รวบแม่ศิริโชค โสภา วอลเปเปอร์มาร์ค คาสนามบินดอนเมือง ข้อหาฉ้อโกง | |
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 21.40 น. วันที่ 6 พ.ค. พ.ต.ท.นุสรณ์ อินน้อย สวป.สน.ดอนเมือง พร้อมชุดจู่โจมได้เข้าจับกุม น.ส.เสาวรส โสภา อายุ 73 ปี แม่ของนายศิริโชค โสภา ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อยู่บ้านเลขที่ 185/1 ซอยทรงสะอาด แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. ตามหมายจับศาลแขวงพระนครใต้ เลขที่ จพ267/2554 ลงวันที่ 3 พ.ค. 2554 ข้อหาฉ้อโกง โดยจับกุมได้ที่บริเวณหน้าประตูทางออกผู้โดยสารขาออก สนามบินดอนเมือง แขวงสนามบิน เขตดอนเมือง หลังจากได้รับเบาะแสจากนายมนตรี สิหนาทกถากุล ผู้เสียหาย ซึ่งต่อมา ทางญาติของ น.ส.เสาวรสได้ยื่นหลักทรัพย์จำนวน 5 แสนบาท เพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราวออกไป และเดินทางไปศาลในช่วงเช้าวันที่ 7 พ.ค. นายมนตรี สิหนาทกถากุล เจ้าของโรงแรมแลนด์มาร์ค เปิดเผยว่า ตนรู้จักกับ น.ส.เสาวรสเป็นเวลานานกว่า 30 ปีแล้ว ก็มีการให้ยืมเงินทองกันเป็นประจำ จนเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว ทางน.ส.เสาวรสได้ขอยืมเงินตน จำนวน 15 ล้านบาท พอเดือนต่อมาก็ได้เขียนเช็คทยอยจ่ายคืน 10 ใบ ใบละ 1.5 ล้านบาท จนกระทั่งวันที่ 15 ต.ค. ตนได้นำเช็คที่เซ็นมาจำนวน 3 ใบไปขึ้นเงินกับธนาคาร พบว่าเช็คเด้ง เมื่อตรวจสอบพบว่า น.ส.เสาวรสเป็นบุคคลล้มละลายและต้องพิทักษ์ทรัพย์ไม่สามารถเขียนเช็คได้ นายมนตรีกล่าวว่า ตนพยายามติดต่อทวงถาม ซึ่งทางน.ส.เสาวรส ก็ได้แต่บ่ายเบี่ยงไม่ยอมคืนเงินให้ โดยอ้างว่าธุรกิจส่งออกกุ้งและปลาหมึกไปยังประเทศญี่ปุ่นประสบปัญหา ทำให้ไม่สามารถจ่ายเงินคืนได้ ที่สุดตนจึงมอบอำนาจให้ทนายความไปฟ้องร้องต่อศาล ซึ่งศาลได้นัดตนและฝ่ายน.ส.เสาวรสมาไกล่เกลี่ย ซึ่งศาลได้มีหมายเรียก 3 ครั้ง แต่น.ส.เสาวรสไม่ได้มาตามนัดหมายของศาล จึงได้มีหมายจับออกไป จนทราบว่าน.ส.เสาวรส จะเดินทางกลับมาจากการพบปะหัวคะแนนของพรรคปชป. ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี จึงได้ประสานเจ้าหน้าที่ให้เข้าจับกุม เมื่อเดินทางมาที่สน.ดอนเมือง น.ส.เสาวรสได้พูดโอ้อวดโวยวายว่าเป็นแม่ของนายศิริโชค โสภา และพูดข่มขู่ตนด้วย ก่อนจะได้รับการประกันตัวออกไป | |
http://redusala.blogspot.com |
ดาวน์โหลดคลิ๊ปคนเสื้อแดง
วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
ตกลงใครกะล่อนกันแน่ ตาชัย หรือ อ้ายหมี.....หน้าฮ๊าก | |||||||||||||
| |||||||||||||
http://redusala.blogspot.com |
ถ้าไม่เข้าข้างกู ก็คือ ไม่เป็นธรรม มึงจำไว้ | |||||||||||||
| |||||||||||||
http://redusala.blogspot.com |
ล็อกเป้า‘จตุพร-นิสิต’ไต่สวนพยานถอนประกันตัวอัยการเน้นพิเศษ | |||||||||||||
| |||||||||||||
http://redusala.blogspot.com |
แฉกอ.รมน.เพิ่มกำลังลงพื้นที่ทุกเขตเลือกตั้ง | |||||||||||||
| |||||||||||||
http://redusala.blogspot.com |
ปรัชญาปกครองแบบพอกันที | |
เมืองไทยนี้ดี เรามีหลักการที่ราชการประกาศว่าคือปรัชญา โดยไม่ต้องรอให้แนวคิดตกผลึก หรือพิสูจน์ให้เป็นที่ยอมรับต่อมวลชน และสากลโลกเสียก่อนว่าปราชญ์เปรื่องเลื่องลือจริง เพียงมีผู้สมคบ และนบนอบนำมาใช้กับคนบางกลุ่มอันเป็นส่วนใหญ่ว่า ถ้าไม่อยากชอกช้ำกับความแตกต่างทางฐานะ และความเป็นอยู่อันห่างกันลิบลับ* ที่เรียกว่าช่องว่างแห่งชนชั้นละก็ ต้องยึดถือปฏิบัติปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เช่นเดียวกับความเจ็บช้ำทางการเมืองอันเกิดจากการปราบปรามผู้มีความเห็นต่างหลายครั้งหลายครา เสร็จแล้วก็มักจะนำเอาแนวคิดที่มีชื่อเลิศเลอว่า “สมานฉันท์” มาใช้เยียวยา แนวคิดเช่นว่านี้ไม่ช้าคงจะได้รับยกย่องเป็นปรัชญาเช่นกัน เพราะดูจะเป็นทางออกง่ายๆ แบบไทยที่ใช้บ่อยในการแก้ไขปัญหาความแตกต่างทางการเมือง และสยบการต่อต้านวิธีปกครองที่กระทำต่อกลุ่มคนอย่างไม่เท่าเทียม นั่นคือกำหราบด้วยกำลังทหาร และอาวุธเข่นฆ่าเสียก่อน แล้วค่อยปรองดองให้แล้วกันไปภายหลัง จากนั้นก็นิรโทษกรรมทุกฝ่ายที่รอดตาย หรือยังอยู่ รวมทั้งผู้ที่ได้กระทำผิดหลักสิทธิมนุษยชนสากลไปแล้วด้วย อีกสองวันก็จะเข้าสู่เดือนพฤษภาคมแห่งความช้ำชอกสำหรับคนเสื้อแดงที่โหยหาความยุติธรรมถ้วนหน้า ในวาระครบขวบปีของการสูญเสียครั้งมเหาฬารในภาคประชาชน ๙๓ ชีวิตถูกปลิดไป อีกกว่าร้อยไร้อิสรภาพ ไม่นับอีกเป็นพันยากไร้เพราะบาดเจ็บ ทั้งหมดนี้เพียงเพราะพวกเขาเรียกร้องต้องการเสรีภาพ และความเท่าเทียมในระบอบประชาธิปไตยอันแท้จริง แม้จะอยู่ภายใต้สร้อยห้อยท้ายที่มันขัดแย้งในทีกับชื่ออุดมการณ์ ก็มิควรที่การบังคับใช้กฏหมาย และกระบวนตุลาการต้องถูกบิดเบือนไปด้วยเพทุบายแห่งมาตรฐานซ้อน ขณะภาพพจน์ทางการเมืองตลอดกว่า ๖๐ ปีที่ผ่านมา เคยแค่ครึ่งๆ กลางๆ บัดนี้หมดสิ้นแล้วซึ่งความชอบธรรมที่จะใช้คำว่า “ประชาธิปไตย” คงเหลือไว้แต่สร้อยห้อยท้ายที่คนกลุ่มหนึ่งถึงจะมีหยิบมือเดียวแต่ก็เป็นที่ยอมรับกันว่าพวกเขา “เส้นใหญ่” กำลังพยายามนักหนาให้เป็นไปตามสร้อยนั้นทั้งดุ้น ดังจะเห็นว่าถึงแม้นายกรัฐมนตรีเทพประทานยันด้วยปากว่าจะยุบสภาในต้นเดือนพฤษภาคมนี้แน่ แต่พวกม็อบมัฆวานก็ยังคงนั่งยันนอนยันกันอยู่ได้ข้างทำเนียบว่าไม่เอาเลือกตั้ง มิหนำซ้ำพวกวิชาชีพ “อยากเป็นเจ้าคนนายคน” สองสามกองพลเสือบูรพา ต่างออกมาสวนสนามความพร้อมเพรียงกันเป็นรายปักษ์ เพื่อช่วยกันเขย่งยันให้ประจักษ์ชัดยิ่งขึ้นว่า ต้นเดือนพฤษภานี้เป็นฤกษ์งามยามดีแก่การพลิกผันแผ่นดินไปสู่ Dark Side ในความมืดทางการเมืองแบบพม่า สัญญานเตือนภัยสำหรับประชาชนที่รัก และหวงแหนเสรีภาพในวิถีประชาธิปไตยถูกปูดเป่าไม่ขาดสาย ไหนจะคำพูดแบบ “ขี้ข้าพลอย” ที่ว่าอย่าให้ทนไม่ได้ต้องจับปืน สมทบด้วยกระบวนการกำจัดขวากหนามของการเข้าสู่ระบอบอำนาจเบ็ดเสร็จ ทั้งการสุมใส่ข้อหาความผิดอาญา มาตรา ๑๑๒ แก่ผู้แสดงความเห็นต่าง และการไล่ล่าปิดสถานีวิทยุชุมชน ๑๓ แห่ง รวมไปถึงคำพูดแบบไร้จิตสำนึกประชาธิปไตย นิสัยงูเห่าของหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นายชวรัตน์ ชาญวีรกุล ที่ว่าการปะทะชายแดนไทย-เขมรอาจทำให้ต้องเลื่อนการยุบสภาออกไป หรือคำพูดล่าสุดแบบโยนหินถามทางของนางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้งคนดัง ว่าข้อพิพาทชายแดนอาจกระทบถึงการเลือกตั้งในประเทศไทยได้ ไม่นับคำพูดของ “หัวโจก” เหนือหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นายเนวิน ชิดชอบ ที่ว่านี่จะมีเลือกตั้งกันจริงๆ หรือ (เหตุที่ไม่นับเพราะคนพูดยังอยู่ในฐานะตามคำพิพากษาห้ามทำกิจกรรมทางการเมือง ๕ ปี) เหล่านี้จึงเป็นการเข้าสู่เดือนพฤษภาคม ๕๔ อย่างระทึกยิ่งสำหรับพรรคเพื่อไทย และ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน ซึ่งมุ่งมาตรเป็นอย่างยิ่งว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะนำไปสู่การเยียวยาพี่น้องที่ได้รับเคราะห์กรรม ไปสู่การสร้างความเป็นธรรมในสังคมให้เกิด และไปสู่การมีสิทธิมีเสรีของประชาชนอย่างแท้จริงในระบอบประชาธิปไตย ด้วยความฝันอันบรรเจิดที่ว่าคะแนนเสียงข้างมากจะส่งผลให้พรรคการเมืองที่ประชาชนส่วนใหญ่ศรัทธา และให้ความไว้วางใจ ได้จัดตั้งรัฐบาลบนพื้นฐานของระบบประชาธิปไตยแบบมีสร้อยอีกครั้ง ด้วยข้อแม้เล็กน้อยว่าถ้าสามารถแหวกผ่านการกระชับพื้นที่ด้วยฤกษ์ดีของผู้ถือน้ำพิพัฒน์สัตยาไปได้ ทว่าประชาธิปไตยแบบมีสร้อยเช่นเคยนั้นจะสามารถนำความยุติธรรมมาสู่ผู้ถูกคร่าชีวิต และญาติมิตรครอบครัวได้แค่ไหน เป็นความหวังตั้งนโมอาราธนากันไว้ ท่ามกลางความมั่นใจว่าผู้บริหารงานแผ่นดินคนเก่าถ้ากลับมาใหม่จะทำให้ช่องว่างระหว่างอำมาตย์-ไพร่ ที่ถูกปล่อยให้หมักหมมเน่าเฟะจนกลายเป็นแผลกลัดหนอง ได้รับการเยียวยาให้ผ่อนคลาย มองเห็นทางปรองดอง ไปสู่สมานฉันท์ในชาติ แต่ก็น่าเสียดายที่ปรัชญาเรื่องความสมานฉันท์ทางการปกครองของผู้กุมอำนาจทางการเมืองขณะนี้ ไม่ได้สอดคล้องกับทฤษฎีประชาธิปไตยแท้จริงที่สากลโลกยึดมั่น และเชิดชู จึงน่าจะเป็นได้แค่ปรัชญาปกครองแบบพอกันทีเสียมากกว่า ท่าทีสมานฉันท์ที่แสดงออกมาจากกลุ่มผู้ปฏิบัติหน้าที่ในการใช้อาวุธปกป้องราชบัลลังก์ เป็นเพียงการสำแดงกำลังเพื่อกำหราบคนที่คิดต่าง และกดหัวผู้ที่วิพากษ์ความไม่เที่ยงธรรมในการปกครอง ให้ค้อมรับเวรกรรมแห่งความพอเพียงเท่านั้น อีกทั้งเจตนาสมานฉันท์ที่แสดงออกมาจากกลุ่มผู้กุมอำนาจบริหารราชการแผ่นดิน มีแต่ให้ร้ายป้ายสี กล่าวหา และบิดเบือนข้อเท็จจริง ให้ผู้ถูกกระทำกลายเป็นผู้ต้องหา (แม้กระทั่งพลั้งเผลออ้างว่าผู้ตายวิ่งใส่กระสุน) และแทนที่จะทำการจับกุมคนชุดดำที่เผาบ้านเผาเมืองเอามาดำเนินคดี กลับสร้างวาทกรรมปลิ้นปล้อนว่าชุดดำคือเสื้อแดง ส่วนผู้ลงมือกระทำการอันเป็นอาชญากรรมนั้นเล่า กลับได้รับยกย่องว่าจงรักภักดี จะเห็นว่าปรัชญาประชาธิปไตยหลังเลือกตั้งครั้งใหม่ (ถ้าหากมี) ก็คงไม่หนีการจำกัดเสรีภาพทางการเมืองอย่างเคย อาจมีข้อจำกัดอย่างใหม่ชนิดหาที่ไหนไม่เหมือน ว่าด้วยร่างกฏหมายที่รัฐบาลชุดราบ ๑๑ นำเสนอเข้าสภาไว้แล้ว นั่นคือพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ** ที่กำหนดให้การชุมนุมต้องได้รับอนุญาติล่วงหน้าจากเจ้าหน้าที่ปกครอง และให้สถาบันตุลาการเข้ามามีอำนาจสั่งเลิกชุมนุม รวมทั้งกำหนดให้เจ้าพนักงานของรัฐสามารถตรวจค้น และจับกุมผู้ชุมนุม ร่าง พ.ร.บ. การชุมนุมฯ นี้จึงนับเป็นนวัตกรรมของปรัชญาปกครองแบบพอกันที ถ้าหากผ่านการอนุมัติจากรัฐสภาก็เท่ากับตรากฏหมายให้อำนาจแก่ฝ่ายปกครอง และตุลาการเหนือสิทธิพื้นฐานของปวงชนในระบอบประชาธิปไตย กฏหมายเช่นนี้ย่อมคุกคามเสรีภาพในการประท้วงโดยสันติตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ รัฐบาลใช้เป็นอาญาสิทธิ์ข่มเหงผู้ชุมนุมถ้าหัวแข็งไม่ยอมคล้อยตามได้ ส่วนข้อจำกัดเหลือร้ายชนิดทำให้ต้องพยายามดำรงชีวิตด้วยความระมัดระวังอย่างสุดๆ ในการแสดงความคิดเห็นไม่ให้เกิดกระทบกระเทือนเบื้องยุคลบาทของพระมหากษัตริย์ ห้ามเหลื่อมล้ำเกินไปกว่าการตีความจงรักภักดีอย่างเหลือล้นก็ยังคงอยู่ อีกทั้งอย่าเผลอไผลพลาดพลั้ง เพราะการกระทำหรือไม่กระทำใดๆ อาจถูกใครก็ได้กล่าวหาว่าเข้าข่ายละเมิดกฏหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ ได้เสมอ นั่นคือใครก็ตามถ้าหากไม่อยากรับโทษจำคุกกระทงละอย่างต่ำ ๓ ปี อย่างสูง ๑๕ ปี และถูกฟ้องร้องในคดีได้โดยไม่รู้ตัว แล้วถูกจับกุมคุมขังทันทีโดยมีเปอร์เซ็นต์สูงโดนห้ามประกัน ซ้ำถูกพิพากษาด้วยการพิจารณาลับ ใครก็ตามที่ว่านั้นต้องพยายามมีส่วนร่วมในการแสดงความจงรักภักดีอย่างหาที่สุดมิได้ด้วย มิฉะนั้นอาจต้องหากระทำผิดร้ายแรงขนาดทรยศต่อชาติ ที่บังอาจวิจารณ์สถาบันอันเป็นสัญญลักษณ์ของประเทศ เฉกเช่นที่ราชวงศ์อังกฤษมีต่อสหราชอาณาจักร เลยชวนให้พินิจข้อคิดในบทความของแอนนา ไว้ท์ล็อค ***นักประวัติศาสตร์อังกฤษยุคใหม่ แห่งสถาบันรอยอัล ฮอลโลเวย์ มหาวิทยาลัยลอนดอน ที่กล่าวถึงราชพิธีสยุมพรของเจ้าฟ้าชายวิลเลี่ยมกับเค้ท มิดเดิลตัน ว่าเป็นรุ่งอรุณของราชาธิปไตยประชานิยม (Populist Monarchy) ซึ่งประชาชนผู้เสียภาษีที่ใช้เป็นงบประมาณจัดงานให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด และล้นหลาม ในขณะนี้ประชาชนอังกฤษกว่าครึ่งต้องการให้เจ้าฟ้าชายวิลเลี่ยมทรงขึ้นครองราชย์สืบต่อจากราชินีเอลิซเบ็ธ โดยข้ามขั้นเจ้าฟ้าชายชาร์ล พระราชบิดาขึ้นมา เนื่องเพราะเจ้าฟ้าชายวิลเลี่ยมทรงมีจริยวัตรเยี่ยงปุถุชนยุคใหม่ ไม่เพียงแต่ทรงสมรสกับหญิงสามัญ หากทรงอยู่อาศัยก่อนแต่งกับคู่หมั้นเหมือนชาวอังกฤษทั่วไป ทั้งนี้เพราะการสนับสนุนสถาบันกษัตริย์ในอังกฤษนั้นมิใช่ด้วยศรัทธาบอดเหมือนก่อน ข้ออ้างเรื่องการสืบทอดประเพณี และความมีสง่าราศีของราชวงศ์ไม่เพียงพอเสียแล้ว กล่าวได้ว่าการเทอดทูนสถาบันกษัตริย์ด้วยข้ออ้างอย่างเดิมๆ สำหรับชาวอังกฤษเดี๋ยวนี้เป็นเรื่องพอกันที อาจารย์ไว้ท์ล็อคกล่าวไว้ในข้อเขียนตอนหนึ่งว่า “ชาวอังกฤษต้องการเห็นราชวงศ์มีจริวัตรคุ้มค่ากับเงิน (เบี้ยหวัดที่ราษฎรจ่าย -คำผู้เขียน) ทรงใกล้ชิด ทรงสำผัสได้ ทรงมีบุคคลิกภาพโดดเด่น และต้องทรงเป็นมากกว่าสัญญลักษณ์อันสูงส่ง งดงามเท่านั้น” เธอยังเสริมด้วยว่า ในยุคสมัยที่การสื่อสารมวลชนก้าวหน้าเช่นนี้ การรักษาความนิยมของประชาชนเอาไว้ให้ได้เป็นสิ่งจำเป็นต่อสถาบันกษัตริย์เหนืออื่นใด แต่การรักษาความนิยมต่อราชาธิปไตยอังกฤษไม่ได้ใช้วิธีบังคับด้วยกฏหมายอาญาที่มีระวางโทษหนักอย่าง ม. ๑๑๒ ของไทย ไม่ต้องมีแม่ทัพนายกองออกมาตบเท้าสวนสนามประกาศศักดาเหมือนทหารไทย ไม่ต้องมีม็อบเส้นใหญ่ใช้คนหยิบมือเดียวปักหลักเรียกร้องดันทุรังให้ปิดประเทศปฏิเสธโลกาภิวัฒน์ เพราะเขาไม่ได้มีปรัชญาปกครองแบบพอกันที *นิตยสารดิเอคอนอมิสต์รายงานตัวเลขจากธนาคารโลกว่าไทยเป็นหนึ่งในประเทศย่านเอเซียที่ช่องว่างระหว่างคนมีกับคนจนแตกต่างกันสูงสุดในอัตรา ๑๕ ต่อ ๑ http://www.economist.com/node/18587127 ดูรายงานภาคภาษาไทยที่ประชาไท http://www.prachatai3.info/journal/2011/04/34274 **ดูข้อวิจารณ์ร่าง พ.ร.บ. ชุมนุมสาธารณะ โดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่ประชาไท หนังสือพิมพ์ออนไลน์ http://www.prachatai3.info/journal/2011/03/33662 | |
http://redusala.blogspot.com |
แดงยุโรปมอบเงินและเยี่ยมผู้ต้องหาเรือนจำอุดร | |
http://www.thairedgermany.net/newspress/ ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.อุดรธานีว่า เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 21 เมษายน ที่เรือนจำกลางอุดรธานี กลุ่มคนเสื้อแดง 32 คน นำโดย นายขวัญชัย สาราคำ หรือไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร หนึ่งในแกนนำ นปช. , นายศราวุธ เพชรพนมพร ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.อุดรธานี เขต 1 พรรคเพื่อไทย พร้อมคณะแดงอียู (กลุ่มเสื้อแดงจากประเทศยุโรป) นำโดย น้องเมย์ เยอรมัน ได้เดินทางเข้าเยี่ยม 22 ผู้ต้องหากลุ่มคนเสื้อแดง ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำกลางอุดรธานี ในคดีร่วมกัน โฆษณาชักชวนให้กระทำผิดกฎหมาย , บุกรุกสถานที่ราชการโดยมีอาวุธ , ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน , วางเพลิงเผาสถานที่ราชการ และทำให้เสียทรัพย์อันเป็นสาธารณประโยชน์ และร่วมกันพยายามเผาที่ว่าการ .เมืองอุดรธานี มานานกว่า 11 เดือน เพื่อสอบถามปัญหาในคดี และมอบเงินเยียวยาให้ผู้ต้องหาทั้ง 22 คน ซึ่งทางคณะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ในการเข้าเยี่ยมก่อนจะกลับออกมา น้องเมย์เยอรมัน ตัวแทนคณะแดงอียู กล่าวว่า คณะของพวกตนที่เดินทางมาจากประเทศต่าง ๆ ในกลุ่มประเทศุโรป หรือ อียู ทั้งหมด 7 คน โดยพวกเราได้แยกย้ายไปเยี่ยมญาติพี่น้องคนเสื้อแดงที่เสียชีวิต และถูกคุมขังตามจังหวัดต่าง ๆ เพื่อมอบเงินช่วยเหลือเยียวยา และสอบถามถึงความเป็นอยู่ของพี่น้องคนเสื้อแดง โดยพวกเราได้ร่วมกันจัดทอดผ้าป่าเวียนไปตามประเทศต่าง ๆ ในประเทศยุโรปที่มีคนไทยเสื้อแดงอยู่ รวมกันกว่า 1 พันคน และได้เงินมาจำนวนหนึ่ง “การมาเยี่ยมคนเสื้อแดงที่ถูกคุมตัวที่เรือนจำกลางอุดรธานี เป็นแห่งแรก โดยมีคนเสื้อแดงถูกคุมตวอยู่ 22 คน นอกจากพวกตนจะมาเยี่ยม เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแล้ว ยังได้มอบเงินจำนวน 52,000 บาท มอบให้กับตัวแทนญาติคนเสื้อแดงอุดรธานี ที่ถูกคุมตัว ทั้ง 22 คน เพราะส่วนใหญ่คนที่ถูกจับจะเป็นผู้นำหาเลี้ยงครอบครัว เมื่อถูกจับคุมขังก็ทำให้ครอบครัวลำบากยิ่งขึ้น” น้องเมย์ เยอรมัน กล่าวอีกว่า หลังจากพวกตนเดินทางกลับต่างประเทศ จะทำการจัดตั้งกองผ้าป่าขึ้นอีก โดยหมุนเวียนไปยังประเทศต่าง ๆ ที่มีคนเสื้อแดงอยู่ ภายในเดือนพฤษภาคม 2554 เมื่อได้เงินบริจาคมาเท่าไหร่ ก็จะเดินทางกลับมา เพื่อมามอบให้กับพี่น้องเสื้อแดงที่ถูกคุมขัง ตามเรือนจำต่าง ๆ ทั่วประเทศอีก……… Posted in ไม่มีหมวดหมู่ | Leave a comment เสื้อแดงสหภาพยุโรปทอดผ้าป่าประชาธิปไตย เชิญผู้บาดเจ็บ-ญาติผู้เสียชีวิตติดต่อรับความช่วยเหลือโดย ประชาสัมพันธ์ UDD-THAI OF EUROPE สำเร็จลุล่วงไปอย่างงดงาม ได้รับผลบุญกันไปทั่วหน้ากับงานผ้าป่าประชาธิปไตยไทยในเยอรมนี ที่เมืองซาโบรกเคิ่น ซึ่งครั้งนี้ไม่มีการโฟนอินของแกนนำ แต่เป็นการโฟนอินของพี่น้องเสื้อแดงที่ได้รับบาดเจ็บจากการสลายม็อบที่ราชประสงค์ ได้สร้างความประทับใจให้กับแขกที่มาในงาน และท่านที่ได้รับบาดเจ็บเองจนกลั้นน้ำตากันไว้ไม่อยู่ทั้งสองฝ่าย ทางเจ้าภาพขอกราบขอบพระคุณพี่น้องเสื้อแดงจากหลายๆประเทศ ที่พร้อมใจกันมาร่วมงาน ซึ่งท่านนายกฯทักษิณ ได้รับเป็นประธานฝ่ายฆราวาส และได้ร่วมทำบุญด้วย 2,000 ยูโร หลังจากถวายผ้าป่าเรียบร้อย ทางคณะกรรมการได้เปิดซองผ้าป่าที่พี่น้องร่วมกันทำบุญได้ยอดทั้งหมด 6,500 ยูโร+2,000 ยูโร(ของท่านนายกฯ)รวมเป็นเงิน8,500 ยูโร จากนั้นทางพี่น้องเสื้อแดงได้ช่วยกันต่อยอดผ้าป่าจนได้เพิ่มเป็นจำนวน 10,166 ยูโร คิดเป็นเงินไทย 426,972 บาท ได้ถวายให้กับทางวัดพุทธบารมี ฮัมบวร์ก 6,000ยูโร(252,000บาท) ส่วนที่เหลือ4,166 ยูโร ใส่ซองถวายพระ 400 ยูโร ยอดคงเหลือ 3,766 ยูโร (158,172 บาท) จำนวนเงินส่วนนี้ ทางวัดได้มอบกลับคืนไปให้เพื่อส่งไปช่วยเหลือพี่น้องเสื้อแดงที่บาดเจ็บ ซึ่งทางคณะกรรมการได้ติดต่อประสานไปทางครอบครัวผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บแล้วจะนัดหมายส่งมอบเงินในเวลาต่อไป ซึ่งจะแจ้งรายชื่อครอบครัวที่ได้รับการช่วยเหลือจากพวกเรา นปช.อียูหรือแดงยุโรป เร็วๆนี้ ท่านใดที่มีรายชื่อของพี่น้องที่บาดเจ็บ และครอบครัวของผู้ที่เสียชีวิต สามารถส่งเพิ่มเติมมาได้ที่ thairedeu@hotmail.com กราบขอบพระคุณทุกกำลังใจที่ส่งมาให้พวกเราในยุโรปด้วยค่ะ จาก ประชาสัมพันธ์ UDD-THAI OF EUROPE ชมภาพทั้งหมดได้ที่นี่ http://www.thairedeu.com/page13.html*** | |
http://redusala.blogspot.com |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)