วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ส.ส.เพื่อไทยท้าบุญยอดลาออก ถ้าเรื่องลงกลางทางที่ดอนเมืองไม่เป็นจริง

ส.ส.เพื่อไทยท้าบุญยอดลาออก ถ้าเรื่องลงกลางทางที่ดอนเมืองไม่เป็นจริง

          3 ส.ส. เพื่อไทยแถลงโต้ 'บุญยอด สุขถิ่นไทย' ว่าไม่ได้ขอลงจากเครื่องบินกลางทางที่ดอนเมือง พร้อมท้าถ้าเรื่องที่กล่าวหาไม่เป็นจริงขอให้บุญยอดลาออก ด้านบุญยอดบอกทำตามหน้าที่ กมธ. ส่วนเรื่องลาออกประชาชนไม่เดือดร้อนเพราะเขาเป็น ส.ส. บัญชีรายชื่อ ด้านการบินไทยชี้แจงเรื่องกัปตันให้ผู้โดยสารลงจากเครื่องที่ดอนเมืองทำตามมาตรฐานการบินแล้ว
         ตามที่มีการนำเสนอข่าว นายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส. จ.เชียงราย โพสต์ในสเตตัสว่าเกิดเหตุเครื่องบินลงจอดดอนเมืองจริง เพราะต้องเติมน้ำมัน และตัวเขาไปยังลงที่สุวรรณภูมิเพราะลูกสาวไปรอรับอยู่แล้ว หลังมีข่าวที่ลงในสื่อเครือผู้จัดการว่า ส.ส. โทรสั่งผู้ใหญ่การบินไทยขอลงที่ดอนเมือง หลังนักบินนำเครื่องลงสุวรรณภูมิไม่ได้เพราะอากาศแปรปรวนและจอดพักที่ดอนเมือง (อ่านข่าวก่อนหน้านี้) และต่อมา นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้นำไปแถลงต่อว่ามี ส.ส.พรรคเพื่อไทย 3 คน ให้เครื่องบินของบริษัทการบินไทย ลงจอดที่สนามบินดอนเมืองแทนการลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมินั้น
ส.ส.เพื่อไทยท้า 'บุญยอด' ลาออก ถ้าเรื่องแฉลงกลางทางดอนเมืองไม่เป็นจริง
         ล่าสุด ข่าวสด รายงานว่า ในวันนี้ (23 ส.ค.) นายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ และนางอรุณี ชำนาญยา ส.ส.พะเยา พรรคเพื่อไทย ร่วมกันแถลงข่าวตอบโต้นายบุญยอด สุขถิ่นไทย และยืนยันว่าไม่ได้ลงกลางทางที่สนามบินดอนเมืองตามที่ถูกกล่าวหา คนที่ลงจากเครื่องบินเป็นผู้โดยสารกลุ่มอื่น โดยนายสามารถ ได้เสนอให้นายบุญยอด และกรรมาธิการกิจการสภานำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการกิจการสภาตามที่พูดไว้ เพื่อที่เขาจะได้ขอใช้อำนาจเรียกข้อมูลประกอบด้วย 1.บันทึกการบิน 2.เรียกเจ้าหน้าที่บริการบนเครื่องบินมาให้ข้อมูล 3.รายชื่อบุคคลที่ขอลงสนามบินดอนเมือง และ 4.ขอให้การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.) ตรวจสอบกล้องวงจรปิดภายในสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อยืนยันในช่วงเวลาดังกล่าวพวกตนทั้ง 3 คน ได้อยู่ในบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิจริง
         ส่วนนายวิสุทธิ์ กล่าวท้านายบุญยอด ว่าถ้ามีหลักฐานจริงและนำมายืนยันได้พวกตนทั้ง 3 คน จะขอลาออกจาก ส.ส. ตัวเขาที่เป็นรองประธานสภาฯ ก็จะขอลาออก และจะไม่กลับมาเหยียบกรุงเทพฯ อีก แต่ถ้าเรื่องที่นายบุญยอด พูดไม่เป็นความจริงก็ขอให้นายบุญยอด ลาออก พวกตนขอท้า 3 ต่อ 1 และขอย้ำว่านายบุญยอด อย่าถอย

การบินไทยชี้แจงกรณีให้ผู้โดยสารลงดอนเมือง กัปตันทำตามมาตรฐานการบิน
         ขณะเดียวกัน จดหมายข่าว TG Update ฉบับวันที่ 22 สิงหาคม 2556 ได้ชี้แจงหลังจาก ASTV ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันที่ 12 สิงหาคม พาดหัวข่าวว่า "พท.แหกกฎบินไทย บีบกัปตันเปิดประตู" โดยการบินไทยชี้แจงว่า "บริษัทฯ ขอชี้แจงข้อเท็จจริงให้ทราบว่า เที่ยวบินดังกล่าวไม่สามารถลงจอดที่ท่าอากาศยานสุวรรรภูมิซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางที่กำหนดไว้ในตารางบินได้ เนื่องจากในวันนั้นบริเวณท่าอากาศยานสุวรรณภูมิสภาพอากาศมีพายุฝนฟ้าคะนอง หอบังคับการบินไม่อนุญาตให้เครื่องบินลงจอด ทำให้กัปตันได้นำเครื่องบินเที่ยวบินทีจี 141 ลงจอดที่ท่าอากาศยานดอนเมืองแทนเพื่อพักรอให้สภาพอากาศที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิดีขึ้น ซึ่งกัปตันได้ประกาศแจ้งให้ผู้โดยสารทราบถึงการปฏิบัติการบินดังกล่าว โดยมีผู้โดยสารบางท่านเข้าใจว่าจะสามารถลงจากเครื่องบินที่ท่าอากาศยานดอนเมืองได้ เมื่อเครื่องบินลงจอดเรียบร้อยมีผู้โดยสารกลุ่มหนึ่งจำนวน 17 คน ได้ลุกขึ้นจากที่นั่งและยืนรอที่ประตูเครื่องบินเพื่อเตรียมตัวลงจากเครื่องบิน ทางพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินได้อธิบายให้ผู้โดยสารกลุ่มดังกล่าวทราบว่าการลงจอดที่ท่าอากาศยานดอนเมืองเป็นการลงจอดรอไม่ใช่การจอดส่งผู้โดยสาร แต่ผู้โดยสารได้ให้พนักงานต้อนรับฯ แจ้งขอกัปตันเพื่อลงที่ท่าอากาศยานดอนเมือง เนื่องจากการจอดรอนั้นไม่ทราบว่าต้องใช้เวลารอนานเท่าใด"
         "กัปตันจึงรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาและได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ท่าอากาศยานดอนเมือง เพื่อนำผู้โดยสารลงจากเครื่องบิน ในกรณีนี้กัปตันได้ปฏิบัติตามขั้นตอนมาตรฐานความปลอดภัยทางด้านการบินอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้การให้ผู้โดยสารลงจากเครื่องดังกล่าวกัปตันไม่ได้นำเรื่องตำแหน่งและหน้าที่การงานของผู้โดยสารมาพิจารณา และไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองแต่อย่างใด"

บุญยอดบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะสื่อเขียนข่าวสั้นไป
และหากเขาลาออกประชาชนก็ไม่เดือดร้อนเพราะเป็น ส.ส. บัญชีรายชื่อ
            ล่าสุด โพสต์ทูเดย์ รายงานความเห็นของนายบุญยอด ว่าเป็นเพราะสื่อมวลชนเขียนข่าวสั้นไป จึงกลายเป็นว่ามีการกดดันให้เครื่องบินลงจอดสนามบินดอนเมือง ส่วนการท้าให้ออกจากตำแหน่ง ส.ส. นั้น เห็นว่าตัวเขาเป็นการทำหน้า กมธ. เพราะเมื่อมีกระแสข่าวว่าสส.ไปบีบบังคับพนักงาน ก็ต้องนำเรื่องเข้าที่ประชุมเพื่อตรวจสอบ และบอกว่า ส.ส.เพื่อไทยทั้ง 3 คน มีสิทธิชี้แจงใน กมธ. หากไม่ใช่เรื่องจริง ซึ่งไม่มีอะไรยุ่งยาก หากเป็นเรื่องจริงแล้ว ผมก็สงสารประชาชนชาวพะเยา และเชียงราย ที่จะต้องมีการเลือกตั้งใหม่ และจะเป็นการสิ้นเปลืองภาษี แต่สำหรับผมหากลาออกประชาชนก็ไม่เดือดร้อนเพราะเป็น ส.ส. บัญชีรายชื่อ

"พันธมิตรฯ" ประกาศยุติบทบาทถาวร! ให้ ส.ส.ประชาธิปัตย์ ลาออกทั้งสภามาเป็นแกนนำม็อบเอง


"พันธมิตรฯ" ประกาศยุติบทบาทถาวร! ให้ ส.ส.ประชาธิปัตย์ ลาออกทั้งสภามาเป็นแกนนำม็อบเอง


         วันที่ 23 สิงหาคม 2556 (go6TV) แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้แถลงการณ์เมื่อเวลา 20.20 น. สรุปว่า แกนนำยังมีคดีต่างๆอยู่ในศาล หากพันธมิตรออกมาชุมนุมนั้น จะต้องชุมนนุมเพื่อชัยชนะ เปลี่ยนแปลงประเทศเท่านั้น หากชุมนุมเพื่อไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ แล้วรัฐบาลสามารถยุบสภา และเลือกตั้ง กลับมาเป็นรัฐบาลใหม่

        ดังนั้น นายสนธิ ลิ้มทองกุล จึงได้เสนอแสวงหาแนวร่วม โดยเสนอให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ลาออก มาหยุดความชอบธรรม และเดิมพันหมดหน้าตักด้วยการเดินนำมวลมหาประชาชน เพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศ ต้องเปลี่ยนแปลงระดับใหญ่เท่านั้น จึงจะหยุดวิกฤตระบอบทักษิณได้

        หากประชาธิปัตย์ไม่ลาออก ก็คือต้องการแค่สลับขั้วการเมือง โค่นล้มรัฐบาล ให้คนอื่นเสียสละให้พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อให้ตนได้รับอำนาจรัฐเท่านั้น

        จะให้พันธมิตรฯ เสียสละออกมานำการชุมนุม เพียงแค่โค่นล้มรัฐบาล จึงไม่คุ้มค่าที่พันธมิตรฯจะร่วมมือด้วย

        ดังนั้น "พันธมิตรฯ รุ่น 1-2" จึงมีมติเอกฉันท์ ยุติบทบาทแกนนำอย่างถาวร


แถลงการณ์ฉบับที่ 5/2556
พันธมิตรประชาขนเพื่อประชาธิปไตย
เรื่อง  "แถลงการณ์ฉบับสุดท้าย"


           ตามที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 4/2556 เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 ว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะยังไม่นำมวลชนเคลื่อนไหวในช่วงเวลานี้ สืบเนื่องจากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้ปราศรัย พิธีกร ศิลปิน และประชาชน ได้ถูกกลั่นแกล้งโดยยัดเยียดข้อหาร้ายแรงอันเป็นเท็จ และเพิ่มผู้ต้องหาจำนวนถึง 96 คน อย่างอยุติธรรมในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งนำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ต้องการสร้างพันธนาการให้กับการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แม้ว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยพร้อมที่จะพิสูจน์ตัวเองตามกระบวนการยุติธรรมเพื่อรักษาหลักนิติรัฐ นิติธรรม แต่ศาลอาญาก็ได้มีคำสั่งในคดีหมายเลขดำที่ อ. 973/2556 ให้ประกันตัวโดยมีเงื่อนไขตั้งแต่เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2556 ว่า

          "ห้ามมิให้จำเลยกระทำการใดๆ อันมีลักษณะเป็นการยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง หรืออาจก่อให้เกิดภัยอันตรายต่อความเสียหายหรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือกระทำการใดๆ เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน และห้ามจำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล"

         และศาลอาญาได้แถลงย้ำคำสั่งดังกล่าวอีกเป็นครั้งที่สองเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 ย่อมแสดงให้เห็นว่า แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้ปราศรัย พิธีกร ศิลปิน และประชาชนอีกจำนวนมากได้ถูกลิดรอนสิทธิจากคำสั่งดังกล่าวอย่างชัดเจน

       หากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุมโดยทำตามเงื่อนไขภายใต้คำสั่งศาลอย่างครบถ้วนก็จะเป็นเรื่องยากที่จะกำหนดยุทธวิธีในการชุมนุมให้ได้รับชัยชนะได้ ในทางตรงกันข้ามหากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะฝ่าฝืนคำสั่งศาลในช่วงเวลานี้เพื่อให้ได้รับชัยชนะทางยุทธวิธีในการชุมนุม ก็จำเป็นที่การเสียสละนั้นจะต้องได้รับผลลัพธ์ที่คุ้มค่าที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศได้อย่างแท้จริงเท่านั้น และการเสียสละของแกนนำก็ไม่ได้มีไว้เพื่อเป็นมาตรการส่งเสริมการขายภาพลักษณ์หรือสร้างคะแนนนิยมให้กับพรรคการเมืองฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรที่จะพ่ายแพ้ด้วยจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้กับฝ่ายรัฐบาลในทุกกรณี

        เมื่อวิเคราะห์แล้วเห็นว่าหากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนำการชุมนุมคัดค้านปัญหาของประเทศรายประเด็นให้ได้ผลสำเร็จ ก็อาจคัดค้านได้อีกเพียงเรื่องเดียว ภายหลังจากนั้นเมื่อศาลมีคำสั่งให้ถอนการประกันตัว ก็จะมีปัญหาชาติในเรื่องอื่นๆที่สำคัญตามมาอีกไม่สิ้นสุด ดังนั้นการเสียสละของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโดยการชุมนุมในปัญหารายประเด็นจึงย่อมไม่คุ้มค่ากับผลประโยชน์ของประเทศชาติที่จะได้รับในขณะนี้

        ในทำนองเดียวกันหากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนำการชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยโดยเคลื่อนไหวให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในระหว่างการชุมนุมก็อาจถูกถอนประกันตัวจนไม่สามารถนำชุมนุมให้ได้รับชัยชนะได้ แม้ต่อให้การชุมนุมขับไล่รัฐบาลไปได้สำเร็จ ก็อาจจบลงด้วยการยุบสภาที่พรรคเพื่อไทยก็จะกลับมาเป็นรัฐบาลอีก หรือแม้หากมีการสลับขั้วทางการเมือง หรือ การรัฐประหาร โดยปราศจากเป้าหมายในการปฏิรูปประเทศไทย หลังจากนั้นปัญหาวิกฤติของชาติก็ยังอยู่เหมือนเดิมไม่ว่าจะเป็นการทุจริตคอร์รัปชั่น การแก้ไขกฎหมายเพื่อประโยชน์ตนเองและพวกพ้อง และหากมีการเลือกตั้งใหม่พรรคเพื่อไทยและระบอบทักษิณก็จะได้รับชัยชนะกลับมาเป็นรัฐบาลยิ่งกว่าเดิม ดังนั้นการชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาลโดยปราศจากความมุ่งมั่นของผู้ที่หวังจะเข้าสู่อำนาจในอนาคตที่จะปฏิรูปประเทศไทย ปราศจากการเสียสละอำนาจและผลประโยชน์ส่วนตนเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนแล้ว ย่อมไม่คุ้มค่าต่อประเทศชาติที่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะนำการชุมนุม

         ดังนั้นท่ามกลางสถานการณ์บ้านเมืองที่มีความสลับซับซ้อนพัฒนาไปมากขึ้น ที่ไม่สามารถยุติปัญหาที่ต้นเหตุด้วยการคัดค้านปัญหารายประเด็น และการแก้ไขปัญหาระบอบทักษิณก็มีการเปลี่ยนแปลงไปมากขึ้น ปัญหาของประเทศชาติจึงถูกยกระดับไปเป็นระบอบเผด็จการที่มาจากการเลือกตั้งที่ทำให้การเมืองล้มเหลว ดังนั้นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงเห็นว่าหากมีความจำเป็นก็พร้อมจะเสียสละนำการชุมนุมแต่การชุมนุมนั้นจะต้องได้รับผลคุ้มค่าต่อประเทศชาติเท่านั้น จึงกำหนดความคุ้มค่าของการชุมนุมที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติอยู่ที่ "การชุมนุมเพื่อเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองที่ล้มเหลวในปัจจุบัน และปฏิรูปประเทศไทยเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเท่านั้น"

        อย่างไรก็ตามนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลในระบอบทักษิณก็มุ่งเน้นที่จะแก้ไขกฎหมายเพื่อนิรโทษกรรมให้กับตัวเองและพวกพ้อง แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้สมาชิกวุฒิสภาอยู่ภายใต้อิทธิพลของนักการเมืองส่วนใหญ่ฝ่ายรัฐบาล โดยมีเป้าหมายในการที่จะครอบงำในการคัดสรรผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญมิให้สามารถตรวจสอบตัวเองได้เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในระหว่างช่วงปี พ.ศ. 2544 - พ.ศ. 2548 อันเป็นต้นเหตุของวิกฤติชาติมาจนถึงวันนี้ เราขอประณามนักการเมืองพรรคเพื่อไทยที่กระทำตัวเป็นทาสในระบอบทักษิณไม่มีสำนึกประโยชน์ของชาติ และสร้างวิกฤติให้แก่ประเทศชาติไม่มีวันจบสิ้น

         ดังนั้นนายสนธิ ลิ้มทองกุล ในนามตัวแทนแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงได้แสวงหาแนวร่วมเพื่อแก้ไขวิกฤติชาติให้ได้อย่างคุ้มค่าต่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ โดยได้เสนอทางออกให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์เสียสละลาออกมาเพื่อหยุดความชอบธรรมในจำนวนคณิตศาสตร์ของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบอบเผด็จการรัฐสภา และสร้างกระแสเดิมพันหมดหน้าตักนำมวลมหาประชาชนทั่วประเทศเคลื่อนไหวเพื่อหยุดระบบการเมืองที่ล้มเหลว เรียกร้องการเปลี่ยนแปลง และการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน 65 ล้านคน โดยไม่เข้าร่วมกับการเมืองในระบบนี้อีกไม่ว่าจะมีการยุบสภาหรือไม่ก็ตามจนกว่าจะได้รับผลสำเร็จตามเป้าหมายการปฏิรูปประเทศไทย หากเป็นเช่นนั้นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่ิอประชาธิปไตยก็พร้อมเสียสละและจะร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์ในการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองครั้งนี้ เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่าความเสี่ยงเมื่อเทียบกับผลประโยชน์ของประเทศชาติที่จะได้รับ เพราะหากการชุมนุมของมวลมหาประชาชนเกิดขึ้นเมื่อใดโอกาสที่จะมีการปฏิรูปการเมืองครั้งนี้สำเร็จก็ย่อมมีสูง ซึ่งผลที่ได้คือมีโอกาสหยุดปัญหารายประเด็นในปัจจุบันได้ และมีโอกาสหยุดการเมืองระบอบทักษิณในภาวะวิกฤติเช่นนี้ได้ด้วย

        ทั้งนี้ในยามที่ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ยังไม่ตื่นรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง ยังหลงอยู่ในวังวนของสงครามขั้วอำนาจของพรรคการเมืองต่างๆ ลำพังการนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยย่อมไม่มีพลังพอที่จะนำการชุมนุมเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยได้ในเวลานี้ คงเหลือแต่พรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นที่มีศักยภาพพร้อมทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น มวลชนที่มีฐานคะแนนถึง 12 ล้านเสียง นักปราศรัย นักกฎหมาย ฐานะการเงิน สถานีโทรทัศน์ ฯลฯ อีกทั้งผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์มิได้มีพันธนาการด้วยคำสั่งศาลเหมือนกับแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พรรคประชาธิปัตย์จึงย่อมอยู่ในฐานะที่จะนำการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้หากยอมเสียสละเพื่อเอาชาติเป็นตัวตั้ง

       แต่เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ปฏิเสธไม่เสียสละลาออกจากระบบการเมืองล้มเหลวเพื่อออกมาร่วมสู้กับประชาชน ก็แสดงให้เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ยังคงหวังเพียงแค่ทำลายความน่าเชื่อถือฝ่ายรัฐบาล หรือ หวังสลับขั้วทางการเมืองในวันข้างหน้า หรือ หวังโค่นล้มรัฐบาลโดยสนับสนุนมวลชนกลุ่มอื่นให้เสียสละแทนตัวเอง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือพรรคการเมืองทุกพรรคในสภาผู้แทนราษฎรกำลังสมรู้ร่วมคิดรู้เห็นเป็นใจกันเพื่อรักษาระบอบเผด็จการที่มาจากการเลือกตั้งแบบนี้เอาไว้เพียงเพื่อรออำนาจและผลประโยชน์ของตัวเองในปัจจุบันหรือในวันข้างหน้าเท่านั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้เชื่อได้ว่ามีการปฏิรูปประเทศไทยภายใต้ทิศทางการนำของพรรคประชาธิปัตย์ เราได้วิเคราะห์เห็นแล้วว่าแนวทางดังกล่าวที่พรรคการเมืองทุกพรรคกำลังเดินหน้าอยู่นั้นจะนำไปสู่ความชอบธรรมของระบอบทักษิณที่จะได้รับชัยชนะในระบบรัฐสภามากขึ้น และจะกระชับอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจนยากที่จะเยียวยาได้

        การที่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะเสียสละในการนำชุมนุมย่อมไม่คุ้มค่าต่อประเทศหากมุ่งแต่เพียงคัดค้านปัญหารายประเด็น หรือโค่นล้มระบอบทักษิณโดยปราศจากการปฏิรูปประเทศ ในขณะเดียวกันพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่เสียสละที่จะนำการชุมนุมเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศอันเป็นประเด็นซึ่งคุ้มค่าที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะร่วมมือด้วย ดังนั้นจึงย่อมเป็นไปไม่ได้ที่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะมีฐานะการนำมวลชนได้จริงในสถานการณ์และเงื่อนไขในปัจจุบันนี้

         อย่างไรก็ตามในสถานการณ์ปัจจุบัน ทำให้มีกลุ่มประชาชนจำนวนหนึ่งที่มีความห่วงใยบ้านเมืองซึ่งสนใจแต่เฉพาะการชุมนุมคัดค้านปัญหาบ้านเมืองรายประเด็น หรือบางกลุ่มอาจสนใจที่จะเคลื่อนไหวเพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณแต่เพียงอย่างเดียวที่พรรคประชาธิปัตย์สนับสนุนอยู่ ซึ่งไม่สอดคล้องกับแนวทางของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตามที่กล่าวมาข้างต้น ในขณะแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็มิอาจสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มมวลชนอื่นใดโดยปราศจากความรับผิดชอบในความคาดหวังต่อทั้งชัยชนะต่อประเทศชาติและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับผู้เข้าร่วมชุมนุมได้ ดังนั้นการดำรงอยู่ของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็อาจเป็นอุปสรรคในการเคลื่อนไหวของมวลชนกลุ่มอื่นที่อาจไม่เห็นด้วยกับแนวทางของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้

         ดังนั้นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั้งรุ่น 1 และ รุ่น 2 จึงมติอย่างเป็นเอกฉันท์ยุติบทบาทจากฐานะแกนนำ เพื่อเปิดโอกาสให้ แกนนำ นักปราศรัย ศิลปิน พิธีกร ประชาชน ฯลฯ ได้ตัดสินใจด้วยตัวเองที่จะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมกับกลุ่มใดก็ได้อย่างอิสระเสรี และเปิดโอกาสให้เกิดขบวนการใหม่ในสังคมไทย โดยไม่ต้องรอแถลงการณ์หรือมติใดๆจากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอีก

        การยุติบทบาทครั้งนี้ถือเป็นยุทธวิธีเดียวเท่านั้น ที่จะเปิดโอกาสให้ผู้มีอำนาจในปัจจุบัน หรือผู้ที่มีโอกาสจะมีอำนาจในอนาคต รวมถึง ทหารภายใต้จอมทัพไทยและศาลที่กระทำการภายใต้พระปรมาภิไธย ตลอดจนผู้ที่มีบทบาทในบ้านเมือง รวมถึงประชาชนทั่วไป ได้ตัดสินใจที่จะทำหน้าที่ของตนเองและเลือกเดินทางของตัวเอง มากกว่าที่จะคาดหวังหรือรอมติการนำมวลชนโดยแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยให้เป็นตัวแปรหรือเป็นเครื่องมือที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายที่แท้จริงของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

          ในขณะเดียวกันพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะเป็นอดีตรัฐบาลที่สร้างเงื่อนไขให้กับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจนเป็นเหตุอันสำคัญยิ่งที่ทำให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่สามารถนำมวลชนได้เหมือนเช่นเดิม และในฐานะพรรคการเมืองฝ่ายค้านในปัจจุบันไม่เสียสละลาออกมานำการต่อสู้แบบหมดหน้าตักร่วมกับประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองทั้งๆที่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ประกาศไปแล้วว่าพร้อมที่จะเสียสละเข้าร่วมการในการปฏิรูปประเทศไทยครั้งนี้ ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์จึงยังคงเป็นปัญหาส่วนหนึ่งของประเทศและเป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปประเทศไทยด้วย พรรคประชาธิปัตย์จึงต้องรับผิดชอบในผลที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อบ้านเมืองต่อไปด้วยเช่นกัน

         เราขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าแม้แกนนำจะได้ยุติบทบาทไปแล้ว แต่ทุกคนก็ยังคงเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอยู่เหมือนเดิม และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ยังคงอยู่เช่นเดิม อุดมการณ์ความเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ยังอยู่ในสายเลือดและจิตใจของทุกคนเหมือนเดิม และเรายังคงมีภาระหน้าที่ในการต่อสู้คดีความ เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับผู้ที่สูญเสีย บาดเจ็บ และเสียชีวิต ตลอดจนแสวงหาความเป็นธรรมให้กับผู้ที่ถูกดำเนินคดีในระหว่างการชุมนุมต่อไป โดยในระหว่างนี้เราได้ขอให้สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม เอเอสทีวี เว็บไซต์แมเนเจอร์ สื่อสิ่งพิมพ์ และวิทยุในเครือ เอเอสทีวี-ผู้จัดการ ยังคงเป็นศูนย์กลางในการจัดกิจกรรมเพื่อนำไปสู่การให้ปัญญากับประชาชนและการปฏิรูปประเทศ โดยแกนนำที่ยุติบทบาทไปก็จะยังคงทำหน้าที่ให้ปัญญากับประชาชนตามหน้าที่และบทบาทของแต่ละคนเพื่อเป้าหมายในการนำไปสู่การปฏิรูปประเทศไทยอย่างแท้จริงเท่านั้น

         จนกว่าสถานการณ์จะถึงพร้อมที่ประชาชนทุกกลุ่มได้ตื่นรู้และตั้งสติได้ว่าต้องการการเปลี่ยนแปลงเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยครั้งใหญ่ หรือเมื่อสถานการณ์ที่ผู้มีอำนาจหรือผู้ที่มีโอกาสจะเข้าสู่อำนาจในกาลข้างหน้า เสียสละอำนาจและผลประโยชน์ในปัจจุบันหรือในอนาคตเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยเพื่อผลประโยชน์ของคนไทย 65 ล้านคน เมื่อถึงเวลาดังกล่าวแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่แม้จะยุติบทบาทไปแล้ว ก็พร้อมจะกลับมารวมตัวกันใหม่เพื่อทบทวนบทบาทของตัวเองในการเคลื่อนไหวมวลชนอีกครั้งหากในเวลานั้นพี่น้องประชาชนยังคงต้องการพวกเรา

         แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 พร้อมผู้ประสานงาน และมีการแต่งตั้งแกนนำรุ่นที่ 2 ต่อมาวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2551 อีกทั้งยังมีมีการแต่งตั้งแกนนำรุ่นที่ 2 เพิ่มเติมในวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 และวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555 เราขอกราบขอบพระคุณพี่น้องประชาชนที่ไว้วางใจพวกเราตลอดระยะเวลาเกือบ 8 ปีที่ผ่านมา และขอกราบขอบพระคุณพี่น้องประชาชนที่ได้เข้าร่วมชุมนุมแบบต่อเนื่องปักหลักพักค้าง 3 ช่วงเวลา เป็นจำนวนเวลาถึง 384 วัน 384 คืน จนได้รับผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของการชุมนุมทุกครั้ง จึงนับเป็นการชุมนุมโดยสงบ อหิงสา และปราศจากอาวุธของภาคประชาชนครั้งประวัติศาสตร์ที่ยาวนานที่สุดในโลก

         เราขอยืนยันว่าจะยังคงแน่วแน่ยึดมั่นในอุดมการณ์ของวีรชนและพี่น้องประชาชนที่เสียสละไม่เคยเปลี่ยน และขอให้มั่นใจว่าการตัดสินใจครั้งนี้เป็นยุทธวิธีที่จะได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน


ด้วยจิตคารวะ


พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ณ ห้องส่งสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม เอเอสทีวี