'พล.ต.จำลอง' แถลงไม่รับอำนาจศาลโลกและพร้อมเคลื่อนไหวทันที 'สนธิ' ชี้ขณะนี้เป็นสงครามระหว่างความดีความชั่ว ยุบสภาไม่ใช่ทางออก แต่จะต้องหยุดนักการเมือง 2-3 ปี และถวายคืนพระราชอำนาจ โดยสนธิจะยังไม่เคลื่อนไหวตอนนี้ เพราะ พล.ต.จำลองขอไว้
11 พ.ย. 2556 - ตามที่ในช่วงเช้าอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหารือกันที่บ้านพระอาทิตย์นั้น ล่าสุดเวลา 10.30 น. มีการแถลงข่าวของอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และสนธิ ลิ้มทองกุล
ทั้งนี้ พล.ต.จำลอง ในนามประธานกองทัพธรรมมูลนิธิ และอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นผู้อ่านแถลงการณ์หัวข้อ “ไม่รับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศและพร้อมเคลื่อนไหวทันที” กรณีที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) จะอ่านคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร โดยรายละเอียดของแถลงการณ์ที่เผยแพร่ใน
เอเอสทีวี ผู้จัดการออนไลน์ มีดังนี้
000
วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
เรื่อง ไม่รับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศและพร้อมเคลื่อนไหวทันที
เรียน พี่น้องสื่อมวลชนและประชาชน
กระผม พลตรี จำลอง ศรีเมือง ประธานกองทัพธรรมมูลนิธิ และอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้มาพูดคุยกับคุณสนธิ ลิ้มทองกุล หลายครั้งที่บ้านพระอาทิตย์ถึงปัญหาวิกฤติของบ้านเมือง และเห็นว่าแม้ว่าพวกเราจะได้ยุติบทบาทการเป็นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแล้วก็ตาม แต่เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องแสดงจุดยืนบางประการให้สังคมได้รับทราบในสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน ดังนี้
ประการแรก ผม พลตรี จำลอง ศรีเมือง และคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ขอให้กำลังใจพี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่าที่ได้ออกมาเคลื่อนไหวในการคัดค้านและต่อสู้ปัญหาเชิงประเด็นเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติทุกกลุ่ม เช่น การคัดค้านร่างพระราชบัญญัติ นิรโทษกรรม, การคัดค้านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190, การเคลื่อนไหวเพื่อรักษาอธิปไตยของชาติ, การคัดค้านการขึ้นราคาก๊าซแอลพีจีและการปฏิรูปพลังงาน ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราขอให้กำลังใจกลุ่มพี่น้องประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อการการเปลี่ยนแปลงและการปฏิรูปประเทศไทยครั้งใหญ่ เพราะถือว่าทุกท่านที่ออกมานั้นแม้จะมีเป้าหมายต่างกัน ยุทธวิธีต่างกัน แต่ประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหวต่างก็มีความเสียสละและรักชาติบ้านเมืองเหมือนกัน และถือว่าทุกท่านที่ออกมาเคลื่อนไหวนั้น ต่างเสียสละมาทำหน้าที่ ใช้หนี้แผ่นดิน และมาทำบุญกันทั้งสิ้น
ประการที่สอง การที่ผมและแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ยุติบทบาทไปนั้น เรามีความคาดหวังตามที่ปรากฏในแถลงการณ์ฉบับสุดท้ายเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2556 ว่าเมื่อเรายุติบทบาทไปจะทำให้เกิดการเร่งปฏิกิริยาทางการเมือง และเตือนสติให้ประชาชนจะออกมาทำหน้าที่ของตัวเองมากขึ้นโดยไม่ต้องหวังพึ่งหรือฝากความรับผิดชอบปัญหาของประเทศเอาไว้กับมติแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือโดยไม่ต้องอยู่ภายใต้ธงนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอีกต่อไป และเมื่อถึงวันนี้ยุทธิวิธีดังกล่าวได้ปรากฏเห็นเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนว่า รัฐบาลย่ามใจลุแก่อำนาจมากขึ้นจนเป็นที่มาของ พระราชบัญญัติ นิรโทษกรรมที่ประชาชนไม่สามารถจะยอมรับได้ เหตุเพราะมีความประมาทว่าหากไม่มีแกนนำอย่างพวกเราแล้วจะมีผู้ต่อต้านรัฐบาลน้อยลง ในอีกด้านหนึ่งก็ปรากฏว่าประชาชนทุกหมู่เหล่า ทุกชนชั้น ทุกสาขาอาชีพ ก็ได้ออกมาเคลื่อนไหวมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยไม่ต้องมติการเคลื่อนไหวหรือชี้นำจากกลุ่มคนใด หรืออยู่ภายใต้สังกัดกลุ่มขั้วสีเสื้อใด จึงเป็นการยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า การยุติบาทบาทขอพวกเราแท้ที่จริงคือยุทธวิธีที่ก่อกำเนิดและการขยายแนวร่วมกลุ่มใหม่ที่ไม่ต้องอยู่ภายใต้ธงของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงเป็นยุทธวิธีที่ถูกต้องและเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ ดังที่ปรากฏไว้ในแถลงการณ์ทุกประการ
ประการที่สาม ในแถลงการณ์ฉบับสุดท้ายของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ลงมติเป็นเอกฉันท์ ได้สรุปเอาไว้ว่า เงื่อนไขเดียวที่จะคุ้มค่าต่อประเทศชาติเพื่อให้เกิดการกลับมารวมตัวกันของอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอีกครั้ง คือ 1. สถานการณ์ถึงพร้อมที่ทุกภาคส่วนต้องการการปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ และ 2. ถ้าพี่น้องประชาชนยังคงต้องการพวกเราให้เป็นแกนนำ
อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ปัจจุบันประชาชนส่วนใหญ่ที่ตื่นและลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวยังคงจำกัดขอบเขตของการเคลื่อนไหวครั้งนี้อยู่เพียงแค่การคัดค้านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมเท่านั้น การคัดค้านปัญหารายประเด็นเรื่องนี้มีแนวร่วมของมวลประชาชนเป็นจำนวนมากมายมหาศาลที่มีความสมบูรณ์ดีอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องอาศัยการกลับมาเคลื่อนไหวของอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอีก
แต่ความจริงแล้ว ปัญหาวิกฤตของประเทศชาติไม่ได้มีเพียงแค่ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมเท่านั้น เพราะยังมีวิกฤตชาติอีกหลายประเด็นภายใต้การบริหารของรัฐบาลชุดนี้ และเมื่อประชาชนคัดค้านการกระทำความผิดของรัฐบาลเรื่องหนึ่ง รัฐบาลก็จะไปกระทำความผิดเรื่องเลวร้ายวิกฤติของชาติในเรื่องอื่นๆต่อไปได้อีก และประเทศชาติก็ยังมีปัญหาอีกมากภายใต้ระบบการเมืองที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ดังนั้น ลำพังการเคลื่อนไหวเพียงแค่คัดค้านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมเพียงอย่างเดียวย่อมไม่สามารถแก้ไขปัญหาวิกฤติของชาติได้ และการขับไล่รัฐบาลเพื่อให้รัฐบาลลาออกหรือยุบสภาภายใต้ระบบการเมืองเช่นนี้ก็ยังแก้ไขปัญหาของประเทศไม่ได้อย่างแท้จริงเช่นกัน จึงมีเพียงการเปลี่ยนแปลง ปฏิรูปประเทศรอบด้านครั้งใหญ่เท่านั้นที่จะยุติวิกฤตของประเทศชาติได้อย่างยั่งยืน
แต่ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ได้มีพัฒนาการของการชุมนุมหลายเวทีซึ่งเริ่มมีการปราศรัยในเรื่องปฏิรูปประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งหมายความว่าอาจมีโอกาสที่สถานการณ์ถึงพร้อมที่จะนำไปสู่การปฏิรูปประเทศในวันข้างหน้าได้ หากทุกฝ่ายได้ร่วมมือร่วมใจในการกำหนดเป้าหมาย ผลักดัน และเรียกร้องการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่ให้เป็นเอกภาพในเวลาอันใกล้นี้
แต่ผมก็หวังไปมากกว่านั้นด้วยว่า องค์กรและสถาบันอื่นจะทำหน้าที่ของตัวเองด้วย เช่น ผู้ที่มีโอกาสจะเข้าสู่อำนาจในอนาคตทุกกลุ่มจะทำสัญญาประชาคมที่จะปฏิรูปประเทศอย่างเป็นรูปธรรม ศาลภายใต้พระปรมาภิไธยและองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญจะทำหน้าที่ของตัวเองในการลงโทษผู้กระทำความผิดให้ได้อย่างรวดเร็ว ทหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เข้ามาทำหน้าที่ของตัวเองตามคำถวายสัตย์ปฏิญาณตนเพื่อปกป้องชาติและราชบัลลังก์ และข้าราชการทุกหมู่เหล่าจะออกมาเคลื่อนไหวทำหน้าที่ของตัวเองหยุดทำตามคำสั่งทรราชย์แล้วหันกลับมาทำเพื่อประเทศชาติและประชาชน เราจึงจะสามารถฝ่าฟันวิกฤติครั้งนี้ร่วมกับมวลมหาประชาชนได้
อย่างไรก็ตาม สำหรับในวันนี้วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 เป็นวันสำคัญที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะได้มีการตัดสินการตีความคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปี พ.ศ. 2505 แม้จะไม่ใช่เป็นเรื่องการปฏิรูปประเทศ แต่ก็เป็นปัญหาอีกประเด็นหนึ่งที่กำลังจะเป็นวิกฤติของชาติอันใหญ่หลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาชิกรัฐสภาเสียงข้างมากได้สมรู้ร่วมคิด รู้เห็นเป็นใจลงมติในวาระที่ 3 ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 ให้รัฐบาลสามารถทำสัญญาระหว่างประเทศและยกผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและอธิปไตยให้ต่างชาติได้โดยสามารถปกปิดให้ประชาชนไม่ต้องรับรู้ ก่อนที่จะมีการตัดสินคดีปราสาทพระวิหาร ถือได้ว่าเป็นเจตนาที่ไม่โปร่งใสและมีพฤติกรรมที่ไม่น่าไว้วางใจอย่างยิ่ง
ทั้งนี้ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้เคยเคลื่อนไหวชุมนุมในเรื่องอธิปไตยของชาติในกรณีปราสาทพระวิหารและผลประโยชน์ทางทะเลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 และเคลื่อนไหวชุมนุมอีกครั้งในปี พ.ศ. 2554 ดังปรากฏเป็นหลักฐานเป็นแถลงการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงการณ์ 4 ฉบับ ในวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เพื่อแสดงว่าภาคประชาชนได้ต่อสู้มาอย่างยาวนานอย่างไร และประสบผลสำเร็จอย่างไร อีกทั้งได้เสนอหาทางออกเอาไว้แล้ว ได้แก่ ฉบับที่ 3/2554 เรื่อง “ภาคประชาชนได้ต่อสู้เรื่องอธิปไตยและดินแดนอย่างเต็มที่สุดความสามารถแล้ว” ฉบับที่ 4/2554 เรื่อง “ทหารของจอมทัพไทยยังไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองในการรักษาอธิปไตยของชาติ” ฉบับที่ 5/2554 เรื่อง “บทพิสูจน์ความล้มเหลวของรัฐบาลประชาธิปัตย์ในการใช้ MOU 2543 และจะเสียดินแดนต่อไปเพราะรับอำนาจศาลโลก” และฉบับที่ 6/2554 “ขอให้รัฐบาลชุดต่อไปปกป้องอธิปไตยของชาติ” ซึ่งก็ไม่เคยได้รับการตอบสนองจากรัฐบาลแต่อย่างใด
นอกจากนี้ วันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้มีมติให้นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไปยื่นข้อเรียกร้องต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตามจดหมาย พธม.1/2556 เรื่อง ขอให้ปฏิเสธอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศและรักษาอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย โดยยื่นข้อเรียกร้องกล่าวโดยสรุป 7 ประการดังนี้
ประการแรก ใช้โอกาสสุดท้ายที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในชั้นการไต่สวน เรียกร้องให้รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยประกาศอย่างเป็นทางการว่าราชอาณาจักรไทยถือว่าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไม่มีอำนาจในการตีความคดีนี้ และราชอาณาจักรไทยจะไม่รับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในการตีความในคดีความนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการตีความนั้นก่อให้เกิดผลเสียต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของราชอาณาจักรไทย
ทั้งนี้ เพราะราชอาณาจักรไทยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาครบถ้วนแล้ว และเป็นที่รับทราบโดยปราศจากการคัดค้าน ทั้งจากราชอาณาจักรกัมพูชา และสมาชิกองค์การสหประชาชาติ อีกทั้งราชอาณาจักรไทยยังได้แถลงประท้วง ไม่เห็นด้วย คัดค้านในคำตัดสินที่ผิดพลาดและอยุติธรรม เพราะเป็นการตัดสินที่ไม่อยู่บนภูมิศาสตร์ที่แท้จริง ละเลยสนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ไม่สนใจบันทึกการสำรวจในพื้นที่บริเวณทิวเขาดงรักใช้ขอบหน้าผาเป็นสันปันน้ำ แต่กลับใช้กฎหมายปิดปากซึ่งเป็นกฎหมายประเพณีอังกฤษมาตัดสินเรื่องเขตแดนว่าไทยไม่ปฏิเสธแผนที่ที่จัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว ทั้งๆที่กฎหมายดังกล่าวเป็นกฎหมายที่อยุติธรรมเพราะใช้กับประเทศไทยประเทศแรก ประเทศเดียว และประเทศสุดท้ายในโลก รัฐบาลไทยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงได้ตั้งข้อสงวนเอาไว้ในการทวงคืนปราสาทพระวิหารในอนาคตหากกฎหมายระหว่างประเทศพัฒนาขึ้นต่อที่ประชุมใหญ่ของสมาชิกองค์การสหประชาชาติ โดยคำแถลงครั้งนั้นไม่ได้มีประเทศสมาชิกในองค์การสหประชาชาติคัดค้านแต่ประการใด ประกอบกับราชอาณาจักรไทยก็ไม่ได้ต่ออายุปฏิญญาการยอมรับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศโดยบังคับ มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 แล้ว
ประการที่สอง เมื่อราชอาณาจักรไทยไม่รับว่าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมีอำนาจในการตีความแล้ว รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยจึงไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ไม่ต้องถอนทหารหรือตำรวจตระเวนชายแดนออกจากแผ่นดินไทย และขอให้เร่งผลักดันชุมชนกัมพูชาให้ออกจากแผ่นดินไทย ทั้งนี้ ได้ปรากฏเป็นหลักฐานอย่างชัดเจนแล้วว่าตั้งแต่มีการก่อตั้งศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมามีประเทศคู่พิพาทให้ศาลออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราว 17 คดี แต่ศาลรับให้ออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราว 10 คดี ผลปรากฏว่าจนถึงบัดนี้ยังไม่เคยมีประเทศใดปฏิบัติตามเลยแม้แต่ประเทศเดียว ซึ่งรวมถึงประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย ดังนั้น คำสั่งดังกล่าวไม่มีสภาพบังคับแต่ประการใด และหากรัฐบาลไทยยินยอมปฏิบัติถอนทหารออกจากพื้นที่จะถือเป็นประเทศแรกในโลกที่ปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวทั้งๆ ที่มีชุมชนกัมพูชารุกรานเข้ามาอาศัยอยู่บนแผ่นดินของราชอาณาจักรไทย
ประการที่สาม ให้รัฐบาลไทยเร่งฟื้นฟูและพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยเฉพาะกับประเทศในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติอย่างเร่งด่วน เพื่อเป็นหลักประกันว่าจะไม่มีประเทศใดเข้ามาใช้อำนาจในการละเมิดอธิปไตยของชาติ
ประการที่สี่ อาศัยกฎบัตรสหประชาชาติข้อ 2 วรรค 7 และให้รัฐบาลไทยยืนยันว่าสมาชิกสหประชาชาติไม่มีอำนาจในการแทรกแซงในเรื่องภายในอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย และให้รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยยืนยันตามข้อ 2 (ก) และ 2 (ง) แห่งกฎบัตรสมาคมแห่งประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ว่ารัฐสมาชิกอาเซียนจะต้องปฏิบัติตามหลักการในการเคารพเอกราช อธิปไตย ความเสมอภาค บูรณภาพแห่งดินแดน ตลอดจนไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐสมาชิกอาเซียน
ประการที่ห้า รัฐบาลราชอาณาจักรไทยจะต้องไม่กลับเข้าไปเป็นภาคีอนุสัญญามรดกโลกอีก
ประการที่หก ให้รัฐบาลไทยหยุดการใช้นักวิชาการ 7.1 ล้านบาท ที่รับจ้างจากกระทรวงการต่างประเทศมาโฆษณาชวนเชื่อในสื่อของรัฐฝ่ายเดียว เพียงเพื่อให้คนไทยยอมจำนนกับการยกดินแดนไทยให้กับกัมพูชา เพราะนักวิชาการเหล่านี้มีจุดยืนอยู่ข้างฝ่ายกัมพูชา และควรเปิดพื้นที่สื่อให้กว้างขวางเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลจากผู้ที่ต้องการปกป้องอธิปไตยของชาติและไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลด้วย
ประการที่เจ็ด ให้ช่วยเหลือ นายวีระ สมความคิด และน.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ซึ่งถูกทหารกัมพูชาจับในแผ่นดินไทยแต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับใส่ร้ายว่าถูกจับในแผ่นดินกัมพูชา โดยเร่งรัดดำเนินการให้ทั้ง 2 คนถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำกัมพูชาโดยเร็วที่สุด
ดังนั้น หากรัฐบาลเมื่อทราบทางเลือกแล้วยังไม่ปฏิบัติตาม อีกทั้งยังประชาสัมพันธ์เพื่อให้คนไทยยอมจำนนกับความพ่ายแพ้อย่างอยุติธรรมในเวทีศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ย่อมถือว่ารัฐบาลมีเจตนาขายชาติขายแผ่นดิน จึงต้องเป็นผู้ร่วมรับผิดชอบด้วยหากราชอาณาจักรไทยต้องสูญเสียอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนครั้งนี้ และหากราชอาณาจักรไทยต้องสูญเสียดินแดนในครั้งนี้ จะถือว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่ราชอาณาจักรไทยต้องเสียดินแดนในรัชกาลปัจจุบัน เพราะการสมรู้ร่วมคิด รู้เห็นเป็นใจ ของนักการเมืองทุกฝ่าย ข้าราชการที่เกี่ยวข้อง และผู้นำกองทัพที่ไม่ทำหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยของชาติตามรัฐธรรมนูญอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และจะต้องร่วมกันรับผิดชอบในความอัปยศทั้งหมดที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป”
เมื่อเวลาผ่านไปถึง 10 เดือนกว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันก็เพิกเฉยและไม่ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องดังกล่าวข้างต้น ผมในฐานะที่เป็นอดีตข้าราชการทหารผ่านศึกสงครามที่เคยรับใช้ประเทศชาติในการปกป้องผืนแผ่นดินไทยมาก่อน จึงมีสถานะภาพต่างจากอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยท่านอื่น ประกอบกับผมเองได้มีส่วนในการลงนามคัดค้านอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศร่วมกับประชาชนคนอื่นต่อองค์การสหประชาชาติมาแล้ว อีกทั้งยังมีฐานะในการเป็นประธานกองทัพธรรมมูลนิธิซึ่งเป็นองค์กรที่เข้าร่วมการชุมนุมครั้งนี้ร่วมกับกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณอย่างเต็มตัว เมื่อถึงเวลาวิกฤติเช่นนี้ผมจึงไม่สามารถที่จะอยู่นิ่งเฉยได้ ประกอบกับได้รับคำปรึกษาจากผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองซึ่งมีส่วนร่วมและมีความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างดี ผมจึงเห็นว่าการเคลื่อนไหวในครั้งนี้มีความคุ้มค่าสำหรับตัวผมเอง ผมจึงขอเป็นคนหนึ่งร่วมกับพี่น้องประชาชนประกาศยืนยันอีกครั้งว่าผมจะไม่รับอำนาจศาลโลกไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร และผมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทั่วประเทศรวมถึงพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยร่วมกันเคลื่อนไหวประกาศไม่รับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ และคัดการการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 และร่วมกันปกป้องอธิปไตยของชาติ อย่างถึงที่สุด
อย่างไรก็ตาม คุณสนธิ ลิ้มทองกุลได้แจ้งผมมาโดยตลอดว่า หากผมออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องใดก็จะออกมาเคลื่อนไหวร่วมด้วยอย่างถึงที่สุดรวมถึงเรื่องนี้ แม้จะเป็นพันธสัญญาใจในฐานะกัลยาณมิตรที่มีต่อกันมานานแล้ว แต่ผมเห็นว่ายังมีความจำเป็นทางกลยุทธ์ที่ต้องมีหนทางสำรองเอาไว้ในยามวิกฤตเพื่อบรรลุเป้าหมายการปฏิรูปประเทศไทยอย่างแท้จริง จึงได้ขอร้องให้คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ยังไม่ต้องออกมาเคลื่อนไหวขึ้นเวทีในเวลานี้เพื่อประโยชน์ทางยุทธวิธี คุณสนธิ ลิ้มทองกุล จึงได้รับปากและมอบหมายให้สื่อในเครือเอเอสทีวีดำเนินการสนับสนุนการเคลื่อนไหวให้กับผมและคณะในเรื่องนี้อย่างเต็มกำลัง
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
ด้วยจิตคารวะ
พลตรี จำลอง ศรีเมือง
000
สนธิ ลิ้มทองกุล โจมตีจีน มาเร่งไทยแก้ไข ม.190
ทั้งนี้หลังการอ่านแถลงการณ์ สนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวว่า ถ้าไทยแพ้คดีในศาลโลกเท่ากับยอมรับแผนที่ 1:200,000 ซึ่งจะลากยาวถึงพื้นที่ทางทะเล รวมทั้งพลังงานในอ่าวไทยของไทยก็จะเหลือ 1 ใน 4 ส่วน อย่างไรก็ตามมีหลักฐานว่าไม่มีประเทศไหนยอมรับอำนาจศาลโลก มีแต่ไทยชาติเดียวที่สมรู้ร่วมคิดกับมหาอำนาจ ซึ่งถ้าให้ทั้ง 2 ชาติเจรจา ก็จะเข้าสู่ ม.190 ที่รัฐสภาผ่านการแก้ไขไปแล้ว โดยไม่ต้องนำการเซ็นสนธิสัญญาให้ประชาชนทราบ
นายสนธิ ยังโจมตีนายหลี่ เค่อเฉียง นายรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่กล่าวในสภาของไทยว่าก็เพื่อเร่งการพิจารณา ม.190 มาเจรจาในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งจีนเองก็มีผลประโยชน์กับกัมพูชาโดยในเงินสนับสนุนการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน สร้างโรงกลั่นน้่ำมัน อีกทั้งกรณีการให้ฟรีวีซ่าแก่ชาวจีนก็จะทำให้ประเทศฉิบหาย เป็นการขายชาติยกให้จีนอย่างสมบูรณ์แบบ รัฐบาลทำทุกอย่างเพื่อยกดินแดนรวมไปถึงท่าทีของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ที่รับฟังแต่คำสั่งของรัฐบาล อย่างเช่นกรณีแม่ทัพภาค 2 เจรจากับทางแม่ทัพภาค 4 ของกัมพูชาเพื่อขออยู่ด้วยกันอย่างสันติ ซึ่งตนเห็นว่าไทยไม่ควรมีทหารแบบพล.อ.ประยุทธ์ ทั้งนี้ตนเห็นว่าทหารไทยไม่ควรพูดอะไรมาก อย่างมากก็แค่บอกว่ารอฟังคำสั่งศาลก่อน
พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ได้ขอร้องให้นายสนธิ ขอให้สำรองไว้เผื่อหากตนชุมนุมแล้วไม่สำเร็จค่อยออกมานำการชุมนุม ซึ่งนายสนธิ จะขึ้นเวทีตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่ตนไม่ยอม ขณะที่นายสนธิ ชี้แจงว่า พันธมิตรฯ ชุมนุมมา 7 ปี มีทั้งคนรัก และคนเกลียด การยุติคือการรุกฆาตให้คนได้ออกมาชุมนุม และทุกเวทีในตอนนี้ก็มีแกนนำ ตนจะออกหรือไม่ก็ไม่มีความหมาย ตนหวังว่าทุกเวทีจะมีการบูรณาการให้ตกผลึกถึงการปฏิรูป ซึ่งตนเห็นนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ แกนนำเวทีราชดำเนิน เริ่มเข้าใจแล้วว่าบัดนี้มวลชนได้ล้ำหน้าไปกว่าการนิรโทษกรรม ตนจึงหวังให้มีการตกผลึกให้เปลี่ยนประเทศไม่ใช่แค่พิพากษาตระกูลชินวัตร
ย้ำยุบสภาไม่ใช่ทางออก ต้องยุตินักการเมือง 2-3 ปี ถวายคืนพระราชอำนาจ
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ในขณะนี้เป็นสงครามของความดีและชั่ว เคยเห็นหรือไม่ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ออกมายอมรับว่ารับใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขณะที่อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเคยเป็นอัยการสูงสุดก็พูดชัดว่าการนิรโทษกรรมไม่เสียหาย เท่ากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ว่าจ้าง ข้าราชการระดับสูงให้อยู่แนวหน้าแล้ว ส่วนแกนนำคนเสื้อแดงก็ได้รับเงินเลยกลับตัว ตนขอคนเสื้อแดงอย่าถูกหลอกอีกเลย แกนนำคนเสื้อแดงรวยกันถ้วนหน้าชัดเจน
นายสนธิ กล่าวอีกว่า การยุบสภาก็ไม่ใช่ทางออก จริงๆ ต้องยุตินักการเมือง 2 - 3 ปี ถวายคืนพระราชอำนาจ มานั่งคุยกันถึงการเมืองที่ไม่มีประสิทธิภาพ เพราะเหตุใดพ.ต.ท.ทักษิณ ถึงคุมได้ทั้งหมด การต่อสู้ของกลุ่มคนเสื้อแดงก็ไม่ใช่สู่เพื่อประชาธิปไตย แกนนำเองก็พูดโกหกกันอย่างไม่อาย แม้แต่สำนักข่าวต่างประเทศก็ยังเขียนระบุชัดว่าเป็นสาธารณรัฐทักษิณ ทั้งนี้ตนเห็นว่า ต้องให้มีคนมาบริหารงานชั่วคราวให้สังคมได้ตกผลึกระบบการเมืองแบบไทย ที่ไม่มีการลงทุนทางการเมืองแบบทุกวันนี้ที่ใช้กัน 15,000 ล้าน แล้วเอางบชาติมาคืนให้กับนักลงทุน เราจะนิ่งอยู่อีกนานแค่ไหน คงต้องรอให้ชาติล่มสลาย แต่ยังดีที่พรรคประชาธิปัตย์ออกมาสู้ ก็หวังว่าจะไม่ถอดใจ ซึ่งตนไม่ได้พูดว่าต้องเอาใครมาเป็นคนในรัฐบาล หรือใช้กฏหมายมาตราไหนจัดการ แต่สมมุติว่าหากมีสุญญากาศทางการเมืองอย่างกรณีพิพากษาแก้รัฐธรรมนูญผิดกฏหมาย ทำให้ ส.ส.ต้องพ้นวาระก็จะมีสุญญากาศ
จำลองเชียร์ผู้พิพากษาค้านนิรโทษกรรม
ส่วนที่มีการเกรงว่าจะเกิดการปะทะกันระหว่างประชาชนนั้น พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ตนอยากรู้ว่าใครจะมาปะทะในเรื่องพระวิหาร ถ้ามีก็พวกขายชาติ ด้านนายสนธิ กล่าวว่า รัฐบาลอยากให้มีการปะทะ แต่ตนก็เห็นว่าชาวบ้านเริ่มเหลืออดกับคนสู้เพื่อประชาธิปไตยจอมปลอม ตนเชื่อว่าถ้าฝั่งโน้นต้องการความรุนแรงก็ไม่มีใครกลัว ความดีอดทนความชั่วไม่ได้แล้วไม่ว่าจะรูปแบบไหน คนต้องการความถูกต้องไม่กลัวอะไรแล้ว ตั้งแต่เกิดจนอายุ 66 ปียังไม่เคยเห็นเหล่าผู้พิพากษาออกมาเซ็นคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม การที่ผู้พิพากษาทนไม่ได้ คนอื่นก็ยิ่งทนไม่ได้มากกว่า ใครก็ตามที่สร้างความรุนแรงอยู่ไม่ได้แน่ จำลองอ้างด้วยว่า ทราบว่าว่ามีอธิบดีคนนึงไปซื้ออพาร์ทเม้นท์อยู่ที่อังกฤษแล้ว ขณะที่นักการเมืองหลายคนก็เตรียมลี้ภัยไปอังกฤษ สูบเงินไทยเข้ามากุมอำนาจเพื่อทำมาหากิน พวกนี้เป็นปุ๋ยโรยใต้ต้นไม้ก็ยังไม่ได้
ทั้งนี้ภายหลังการแถลงข่าว เครือข่ายปัญญาสยาม นำโดยคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และคณะได้เข้ามามอบดอกไม้ให้กำลังใจพล.ต.จำลอง และนายสนธิ พร้อมยืนยันไม่ต้องการให้ไทยยอมรับอำนาจศาลโลกด้วย