วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2558

'สลัม 4 ภาค' ตอบ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าไม่ขออยู่แฟลต-พร้อมกางแผนพัฒนาชุมชนเอง


ประธานสลัม 4 ภาค ยื่นจดหมายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ บอกให้ชุมชนริมรถไฟทางคู่ย้ายไปเช่าแฟลตที่รัฐจัดให้ - ชี้แนวคิดย้ายคนจนขึ้นแฟลต 'การเคหะ' ทำแล้ว 30 ปีไม่สำเร็จ ขณะที่ตั้งแต่สมัย ทักษิณ-สุรยุทธ์-อภิสิทธิ์-ยิ่งลักษณ์ คนจนนับหมื่นได้ร่วมกับภาครัฐพัฒนา "บ้านมั่นคง" ปรับปรุงไม่ให้ชุมชนกลายเป็นสลัม พร้อมเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ สานต่อนโยบายนี้ดีกว่า
จำนงค์ หนูพันธ์ (กลาง) ประธานเครือข่ายสลัม 4 ภาค เมื่อครั้งเดินทางไปยื่นหนังสือที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อ 23 มกราคม 2558 (แฟ้มภาพ/ประชาไท)
24 มี.ค. 2558 - ตามที่เมื่อวันที่  20 มี.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ขอให้ชุมชนริมเส้นทางรถไฟทางคู่ ย้ายไปเช่าอพาร์ทเม้นท์ที่รัฐจัดให้ โดยตอนหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ทำอย่างไรก็ต้องร่วมมือกัน อย่ามาอยู่กันเลยแบบสลัม แบบชุมชนที่ๆ ผมเข้าใจว่า ท่านก็ไม่มีสตางค์ รัฐก็ต้องดูแลแต่ท่านก็ต้องมาเช่า มีทั้งเช่า มีทั้งผ่อนชำระ ผ่อนส่ง เช่าซื้อก็ไปว่ากันมา ถ้าไม่เริ่มคิดอย่างนี้เป็นไปไม่ได้วันหน้าก็รกรุงรังไปหมด ริมคลองก็ทำอะไรไม่ได้ แน่นคลอง ชุมชนก็แออัดไฟไหม้อีกอะไรอีก วุ่นวาย เราจะได้มาใช้พื้นที่ในการทำสวนสาธารณะในการทำประโยชน์อย่างอื่นได้อีกมากมาย สนามกีฬาแล้วคนเหล่านี้ก็มาขึ้นอยู่บนแฟลตหรือบนอพาร์ทเม้นท์ที่พอสมควร ก็ดี อย่างน้อยก็ดีกว่าเพิงสังกะสี หรือบ้านที่ผุพัง หน้าฝน หน้าร้อนก็ไม่สบาย ลูกหลานก็ไม่มีคุณภาพชีวิตที่ดี" (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)
ล่าสุดเมื่อวันที่ 24 มี.ค. เครือข่ายสลัม 4 ภาค ได้แถลงข่าวชี้แจง ยืนยันว่าชุมชนริมทางรถไฟ สามารถพัฒนาที่อยู่อาศัยไม่เป็นสลัมได้ โดยนายจำนงค์  หนูพันธ์ ประธานเครือข่ายสลัม 4 ภาค ได้ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวข้อ "ขอคัดค้านการนำคนสลัมขึ้นแฟลต" โดยระบุว่า แนวคิดเรื่องให้ผู้มีรายได้น้อยย้ายไปอยู่แฟลต ไม่ใช่สิ่งใหม่ โดยการเคหะแห่งชาติได้ดำเนินโครงการลักษณะนี้มาไม่ต่ำกว่า 30 ปี "แต่ท้ายสุดก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาชุมชนแออัดได้เพราะวิถีชีวิตคนจนเมืองส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นแรงงานนอกระบบ ที่ต้องใช้พื้นที่บ้านในการประกอบอาชีพด้วย เช่นเป็นที่ค้าขาย เป็นที่เก็บของเก่า เป็นที่ตัดเย็บเสื้อผ้า เป็นต้น ดังนั้นรูปแบบการอยู่อาศัยแบบแฟลตจึงไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของพวกเขา"
"เครือข่ายสลัม 4 ภาค ขอยืนยันว่า คนจนเมืองไม่ต้องการอยู่อาศัยในลักษณะของสลัม" จดหมายตอนหนึ่งระบุ และยืนยันว่าในรอบหลายรัฐบาล ตั้งแต่สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร, พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์,  อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คนจนเมืองนับหมื่นครัวเรือนก็ได้ริเริ่มทำโครงการที่อยู่อาศัยแบบบ้านมั่นคง โดยร่วมกับสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานของชุมชนและปรับปรุงพัฒนาที่อยู่อาศัยไม่ให้มีลักษณะของการเป็นสลัม
ในท้ายจดหมาย เครือข่ายสลัม 4 ภาค ยังยืนยันให้ พล.อ.ประยุทธ์ "สานต่อในนโยบายการพัฒนาที่อยู่อาศัยในลักษณะบ้านมั่นคง ที่เน้นกระบวนการมีส่วนร่วมของชาวชุมชนในการปรับปรุงพัฒนาที่อยู่อาศัยบริเวณที่ดินเดิมหรือพื้นที่ใกล้เคียง โดยการเช่าที่ดินระยะยาวจากรัฐ" โดยจดหมายเปิดผนึกของประธานเครือข่ายสลัม 4 ภาค มีดังนี้
000
เรื่อง ขอคัดค้านการนำคนสลัมขึ้นแฟลต
กราบเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี
ตามที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความเห็นในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2558 ที่ผ่านมา เครือข่ายสลัม 4 ภาค เข้าใจว่าแนวความคิดดังกล่าวของนายกรัฐมนตรีมุ่งเน้นไปที่การสร้างแฟลต เพื่อรองรับการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยของชุมชนแออัด ที่จะโดนผลกระทบจากโครงการพัฒนาระบบราง โครงการพัฒนาริมคูคลอง อย่างไรก็ตามแนวความคิดเรื่องแฟลต ไม่ใช่สิ่งใหม่ การเคหะแห่งชาติได้ดำเนินโครงการที่อยู่อาศัยในลักษณะนี้มาไม่ต่ำกว่า 30 ปี แต่ท้ายสุดก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาชุมชนแออัดได้เพราะ วิถีชีวิตคนจนเมืองส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นแรงงานนอกระบบ ที่ต้องใช้พื้นที่บ้านในการประกอบอาชีพด้วย เช่นเป็นที่ค้าขาย เป็นที่เก็บของเก่า เป็นที่ตัดเย็บเสื้อผ้า เป็นต้น ดังนั้นรูปแบบการอยู่อาศัยแบบแฟลตจึงไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของพวกเขา
เครือข่ายสลัม 4 ภาค ขอยืนยันว่า คนจนเมืองไม่ต้องการอยู่อาศัยในลักษณะของสลัม และในรอบหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ไปจนถึงรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คนจนเมืองนับหมื่นครัวเรือนก็ได้ริเริ่มทำโครงการที่อยู่อาศัยแบบบ้านมั่นคง โดยร่วมกับสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานของชุมชนและปรับปรุงพัฒนาที่อยู่อาศัยไม่ให้มีลักษณะของการเป็นสลัม
สำหรับการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยสองข้างทางรางรถไฟ ที่ผ่านมาเครือข่ายสลัม 4 ภาคได้มีแนวทางการแก้ปัญหาร่วมกันกับการรถไฟแห่งประเทศไทย และกระทรวงคมนาคม ในการสร้างความมั่นคงในที่ดินโดยการเช่าที่การรถไฟฯแล้วพัฒนาที่อยู่อาศัยตามนโยบายโครงการบ้านมั่นคง   ขณะนี้มีชุมชนหลายแห่งได้สิทธิ์การเช่าตามมติคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย 13 กันยายน 2543 แล้วปรับปรุงชุมชนสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ ไม่มีสภาพเป็นสลัมอย่างที่นายกรัฐมนตรีกล่าวอ้าง
โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วง จิระ-ขอนแก่น และ โครงการก่อสร้างรถไฟรางมาตรฐาน กรุงเทพฯ – หนองคาย ที่จะต้องผ่านตัวเมืองจังหวัดขอนแก่นนั้น  เครือข่ายสลัม 4 ภาค ได้หารือแนวทางการพัฒนาทั้ง 2 โครงการ ร่วมกับทาง สำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.)  กระทั่งได้มีความเห็นเรื่องการใช้พื้นที่สองข้างทางรางรถไฟคือ ในระยะ 20 เมตรแรก จากกึ่งกลางรางออกไปทั้งสองฝั่ง ซ้ายขวา จะเป็นระยะทางการก่อสร้างของทั้ง 2 โครงการ ส่วนพื้นที่เมตรที่ 20 หลังของฝั่งซ้ายและฝั่งขวาจะเป็นที่อยู่อาศัยของชาวชุมชนที่จะปรับขยับบ้านให้เข้ามาอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งขณะนี้ได้ปรับปรุงที่อยู่อาศัยในลักษณะโครงการบ้านมั่นคง และสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ไม่ให้มีสภาพเป็นชุมชนแออัด
ดังนั้นเครือข่ายสลัม 4 ภาค ใคร่ขอให้ ฯพณฯท่านนายกรัฐมนตรีได้ทบทวนแนวความคิดในการแก้ปัญหาชุมชนที่อาศัยอยู่สองข้างทางรถไฟ โดยเครือข่ายสลัม 4 ภาค ขอยืนยันให้ให้ ท่านสานต่อในนโยบายการพัฒนาที่อยู่อาศัยในลักษณะบ้านมั่นคง ที่เน้นกระบวนการมีส่วนร่วมของชาวชุมชนในการปรับปรุงพัฒนาที่อยู่อาศัยบริเวณที่ดินเดิมหรือพื้นที่ใกล้เคียง โดยการเช่าที่ดินระยะยาวจากรัฐ
จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา
ขอแสดงความนับถือ
นายจำนงค์  หนูพันธ์
ประธานเครือข่ายสลัม 4 ภาค

ประยุทธ์ ลั่น ให้ฐปณีย์มาหาเจ้าหน้าที่ หลังตีข่าวแรงงานไทยในอินโดฯ


บิ๊กตู่ มอบหมายรองนายกฯฝ่ายความั่นคง ดูแลเรื่องระบบจัดการน้ำ พร้อมซัด ฐปณีย์ เอียดศรีไชย นำเสนอข่าวแรงงานประมงไทยถูกหลอกที่อินโดนิเซีย ชี้ทำประเทศเสียหาย หวั่นยุโรปเลิกซื้อปลาสองแสนล้านบาท ถามฐปณีย์ นำเสนอข่าวผิด กม. หรือไม่
25 มี.ค. 2558 - กรณี 'แยม' ฐปนีย์ เอียดศรีไชย ผู้สื่อข่าวรายการข่าวสามมิติ เดินทางไปอินโดนีเซียรายงานข่าวชาวประมงไทยติดค้างอยู่ในอินโดนีเซียนั้น ล่าสุด มติชนออนไลน์ รายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางไปเยือนบรูไนดารุสซาลามอย่างเป็นทางการ กรณีการช่วยเหลือชาวประมงที่อินโดนีเซียว่า ได้ดำเนินการมาโดยตลอด ที่ผ่านมาก็ได้ช่วยเหลือไปแล้ว ที่เกาะอัมบน 26 คน และขออย่านำไปขยายความ โดยเฉพาะสื่อ ก่อนการนำเสนอต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อประเทศ ทำให้เกิดปัญหา รวมถึงความมั่นคง ซึ่งรัฐบาลที่ผ่านมาไม่เคยทำ แต่วันนี้รัฐบาลนี้กำลังแก้ทุกอย่าง แต่ถามว่าเรือมี 4-5 ลำ ใช้ชื่อเดียวกันได้หรือไม่ รัฐบาลนี้กำลังขึ้นทะเบียนเรือ ติดจีพีเอส จับปลาที่ไหนมาต้องแสดงให้เห็นถึงพื้นที่ที่จับมา
"ให้ผมทำทุกอย่างให้เสร็จเร็ว ๆ แล้วก็ไล่ผมไป มันได้ที่ไหน ก็เจรจามาตลอด พูดคุยกันอยู่ ทำไมจะเกิดเหตุไหม ถ้าตีข่าวนี้ออกไปปัญหาการค้ามนุษย์ ไอยูยู ถ้าเขาไม่ซื้อปลา 2 แสนกว่าล้านบาท พวกที่ตีข่าวคุณรับผิดชอบกันนะ คนไทยทั้งประเทศเสียหาย ผมบอกไว้เลยฐปณีย์ มาหาเจ้าหน้าที่ด้วย ไปพูดอยู่ข้างนอก มันได้อะไรขึ้นมา ถ้าผมทำไม่ได้ เพราะฐปณีย์ เสนอข่าว ที่ทำผิดกฎหมายหรือเปล่า ไม่ยอมรับอะไรสักอย่างจะเอาแต่สิทธิเสรีภาพ จะเข้าประเทศนู้นประเทศนี้โดยไม่มีใบอนุญาต"

นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงการเข้าพบนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล  ที่ผ่านมาว่า เป็นการหารือถึงการทำงานเท่านั้น ไม่ได้ทะเลาะเบาะแว้งกัน ถ้าทะเลาะมีตนทะเลาะได้คนเดียว ใครทำดีก็ชมใครทำผิดก็ตำหนิ ยืนยันวันนี้ไม่มีการพูดถึงการปรับครม. หากมีการปรับในตอนนี้จะช่วยแก้ปัญหาได้หรือไม่ มีแต่สื่อที่นำเสนอว่ามีการปรับ พร้อมกับย้อนถามว่า "ถ้าหนังสือพิมพ์ปรับบรรณาธิการออก จะทำให้ยอดขายดีขึ้นหรือไม่ มันไม่ได้แก้ปัญหาได้ง่ายขนาดนั้น ประเทศมีคนกว่า 70 ล้านคน มีปัญหากว่าร้อยเรื่อง ตอนนี้ขึ้นมาเป็นพัน แทนทีจะช่วยกัน วันนี้เป็นโอกาสดีที่รัฐบาลเข้ามา แทนที่จะรวมตัวกันแก้ปัญหา ไม่ใช่ตีให้แตกไปทุกเรื่อง ไม่ใช่รัฐบาลปกติ เสรีภาพก็ให้แล้ว ทุกอย่างไม่เคยห้าม ไม่มีใครให้แบบนี้ แต่ตนจะขอดูอีกระยะหนึ่ง
ส่วนกรณ๊น้ำท่วมในพื้นที่ กทม. เมื่อวานนี้ (24 มี.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า ได้สั่งให้มีการตรวจสอบการระบายน้ำของกรุงเทพมหานคร และให้จัดการน้ำทั้งระบบ จะแก้ปัญหาแบบเดิมไม่ได้ พร้อมมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และกระทรวงมหาดไทยไปดูแลทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด และให้คสช. เตรียมกำลังทหารเข้าช่วยเหลือ แต่ก็สงสัยว่าที่ผ่านมามีการเตรียมการแต่ทำไมน้ำถึงท่วมขังได้ จึงต้องเตรียมมาตรการแก้ไข ยังโชคดีที่ยังเป็นพายุฤดูร้อนที่จะผ่านพ้นไปใน 3-4 วัน ขอเตือนประชาชนในภาคเหนือให้ระวังไว้ ทั้งนี้ปัญหาเกิดจากคนทั้งสิ้น และรัฐบาลที่ผ่านมาก็ไม่เข้มแข็ง การแก้ปัญหาไม่สามารถทำได้ใน 7-8 เดือน แต่หลังจากนี้จะเข้มงวดมากขึ้น

ย้อนความ 'ลีกวนยู' พูดถึง 'ทักษิณ' และประเทศไทยในหนังสือของตัวเอง


ถอดความอย่างละเอียดจากข้อความในหนังสือ "One Man's View of the World" ที่ ลี กวนยู อดีตผู้นำสิงคโปร์ผู้ล่วงลับ แสดงทัศนะต่อ 'ทักษิณ ชินวัตร' และชี้ว่าการเมืองไทยไม่มีทางกลับไปเป็นแบบเก่าอีกต่อไปหลังยุคทักษิณ
24 มี.ค. 2558 ในหนังสือ "มุมมองต่อโลกของคนๆ หนึ่ง" (One Man's View of the World) ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2556 ซึ่งเป็นบทความและบทสัมภาษณ์ ลี กวนยู อดีตนายกรัฐมนตรีคนสำคัญของสิงคโปร์ที่เสียชีวิตไปเมื่อไม่นานนี้ มีส่วนหนึ่งที่ลีกวนยูได้พูดถึงประเทศไทย รวมถึงอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร เนื่องจากเหตุการเสียชีวิตของลีกวนยูจึงมีการนำเรื่องนี้กลับมาพูดถึงอีกครั้ง โดยส่วนที่พูดถึงประเทศไทยในหนังสือเล่มดังกล่าวมีเนื้อหาดังต่อไปนี้
000
ประเทศไทย : การกระตุ้นกลุ่มชนชั้นล่าง
การเข้าสู่อำนาจของทักษิณ ชินวัตร เปลี่ยนการเมืองไทยไปตลอดกาล ก่อนที่เขาจะขึ้นสู่อำนาจนั้น กลุ่มสถาปนาในกรุงเทพฯ ยึดกุมอำนาจทุกฝ่ายในการแข่งขันทางการเมืองและปกครองโดยเน้นให้ผลประโยชน์ต่อเมืองหลวงเป็นส่วนใหญ่ ถ้าหากก่อนหน้านี้จะมีการไม่ลงรอยกันในหมู่ชนชั้นนำกรุงเทพฯ ก็จะไม่ใช่ความขัดแย้งในระดับรุนแรงหรือมีการทะเลาะกันหนักมากเท่ากับช่วงหลังจากทักษิณเข้ามาเป็นนายกฯ สิ่งที่ทักษิณทำเป็นการก่อความยุ่งยากให้กับแผนการคงไว้ซึ่งสถานะทางอำนาจแบบเดิมโดยการนำทรัพยากรไปให้กับภาคส่วนที่ยากจนของประเทศที่ก่อนหน้านี้เคยถูกกีดกันมาก่อนโดยชนชั้นกลางและชนชั้นสูงในกรุงเทพฯ ทักษิณเป็นเครื่องหมายของการเมืองแบบมีส่วนร่วมมากขึ้นที่ทำให้ชาวนาในภาคเหนือและภาคอิสานได้รับส่วนแบ่งจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศด้วย มีช่องว่างเกิดขึ้นอยู่ก่อนหน้าที่ทักษิณจะเข้ามาแล้ว เป็นช่องว่างซึ่งสร้างขึ้นโดยนโยบายแบบเน้นกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางจากผู้นำทางการเมืองก่อนหน้านี้ สิ่งที่ทักษิณทำเป็นแค่การปลุกประชาชนให้ตื่นรู้ว่ามีช่องว่างนี้อยู่ ให้เห็นว่ามีความไม่เป็นธรรมจากช่องว่างนี้ และใช้นโยบายเพื่อแก้ไขถมช่องว่างดังกล่าว ต่อให้ทักษิณไม่ทำ ผมก็เชื่อว่าใครสักคนก็จะคิดได้แล้วทำแบบเดียวกัน
เมื่อตอนที่ทักษิณขึ้นเป็นนายกฯ ในปี 2544 ตัวเขาก็เป็นนักธุรกิจและเศรษฐีที่ประสบความสำเร็จอยู่แล้ว แต่ชาวไทยผู้ร่ำรวยคนใดที่หวังว่าเขาจะแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกับชนชั้นคนรวยด้วยกันพวกเขาก็จะผิดหวังในอีกไม่นานหลังจากนั้น ทักษิณใช้นโยบายเอาใจคนยากจนในชนบทในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขาขยายแหล่งเงินกู้ให้ชาวนา ให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนที่มาจากครอบครัวชนบท และรัฐบาลให้การช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัยแก่คนยากจนในเมืองซึ่งส่วนมากย้ายถิ่นเข้าไปในเมืองเพื่อไปหางานทำและมีรายได้มากพอแค่อยู่ในสลัม ระบบประกันสุขภาพของเขามุ่งเป้าช่วยเหลือผู้ที่ไม่สามารถจ่ายเงินประกันการรักษาพยาบาลของตัวเองได้ จึงให้มีการจ่ายเงินเพียง 30 บาท ต่อการเข้าโรงพยาบาลในแต่ละครั้
สำหรับศัตรูของทักษิณแล้วนี่ถือเป็นการพลิกโฉมประเทศแบบหน้ามือเป็นหลังมือ พวกเขาไม่ยอมปล่อยให้ทักษิณรอดไปได้ พวกเขาเรียกทักษิณว่าเป็นพวกประชานิยมและอ้างว่านโยบายของเขาจะทำให้รัฐล้มละลาย (แต่ก็น่าแปลกที่พอพวกเขายึกอำนาจในช่วงเดือน ธ.ค. 2551 ถึง ส.ค. 2554 พวกเขาก็ยังดำเนินนโยบายเหล่านี้ต่อหลายนโยบาย อีกทั้งยังคิดนโยบายอื่นออกมาคล้ายกันด้วย) พวกเขากล่าวหาว่าทักษิณทุจริตคอร์รัปชั่นและเอื้อผลประโยชน์ต่อครอบครัวของพวกเขาเอง ซึ่งเป้นข้อกล่าวหาที่เขาปฏิเสธ นอกจากนี้พวกเขายังไม่พอใจวิธีการที่เขาเข้มงวดกับสื่อซึ่งในบางคนบอกว่าเป็นเผด็จการต่อสื่อรวมถึงเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับสงครามยาเสพติตในทางตอนใต้ของประเทศโดยในช่วงเวลานั้นไม่มีกระบวนการทางกฎหมายและบางครั้งก็ไม่สนใจต่อสิทธิมนุษยชน อย่างไรก็ตามกลุ่มชาวนาที่มีอยู่จำนวนมากก็ไม่สนใจคำวิจารณ์เหล่านี้และยังคงเลือกเขากลับมาอีกในปี 2548 กลุ่มชนชั้นนำในกรุงเทพฯ เริ่มทนไม่ไหว ทำให้เขาถูกรัฐประหารโดยกองทัพในปี 2549 ในที่สุด
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเมืองหลวงของไทยก็ประสบแต่ความวุ่นวาย มีฉากความโกลาหลเกิดขึ้นซ้ำๆ บนท้องถนนของกรุงเทพฯ นับตั้งแต่ปี 2551 มีทั้งการชุมนุมใหญ่ของเสื้อเหลืองผู้ที่ต่อต้านทักษิณโดยอ้างว่าปกป้องสถาบันกษัตริย์ หรือการชุมนุมใหญ่ของเสื้อแดงที่มาจากผู้สนับสนุนทักษิณอย่างหนักแน่น แต่ในช่วงการเลือกตั้งทั่วไปล่าสุดในปี 2554 ซึ่งทำให้น้องสาวของทักษิณ คือยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรี นับเป็นการพิสูจน์ให้เห็นโดยผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในไทยว่าทักษิณได้เปิดทางใหม่ให้กับประเทศไทย ชาวนาทางภาคเหนือและภาคอิสานของประเทศเข้าใจความรู้สึกของการเข้าถึงทุนได้ และพวกเขาก็จะไม่ยอมให้ใครมาแย่งไป ทักษิณและพวกของเขาเอาชนะการเลือกตั้งทั่วไปติดกันทั้งในปี 2544, 2548, 2549, 2550 และ 2554 สำหรับศัตรูของทักษิณแล้ว การพยายามห้ามกระแสเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้
ถึงจะมีความปั่นป่วนในสังคมไทยในช่วงไม่นานมานี้ แต่ก็มีสิ่งที่ชวนให้มองโลกในแง่ดีได้ในระยะยาว ยังไงเสื้อแดงก็จะมีคนจำนวนมากกว่ากลุ่มเสื้อเหลืองเป็นเวลาอีกนาน เพราะกลุ่มเสื้อเหลืองมาจากกลุ่มคนที่มีจำนวนน้อยลง กลุ่มคนรุ่นเด็กกว่าก็ไม่ค่อยมองราชวงศ์อย่างเคารพนับถือมากเท่าเดิมแล้ว
กองทัพมักจะมีบทบาทหลักในการเมืองไทยเพื่อทำให้แน่ใจว่าจะไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ที่เป็นการต่อต้านระบอบกษัตริย์ ซึ่งกองทัพใช้ทำให้ตัวเองเข้มแข็งขึ้นได้ ตัวกองทัพเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับและปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไม่สามารถต้านทานเจตจำนงค์ของกลุ่มผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งได้ไปอีกนาน และเมื่อเวลาผ่านไปตำแหน่งของเหล่าทหารจะถูกแทนที่ด้วยทหารในรุ่นที่เด็กกว่าซึ่งมีความซาบซึ้งในระบอบกษัตริย์น้อยกว่า ผู้นำทหารจะยังคงพยายามรักษาสิทธิพิเศษของตัวเองต่อไปและไม่ยอมให้ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นกองทัพธรรมดา แต่พวกเขาก็จะเรียนรู้ที่จะอยู่กับรัฐบาลที่มาจากพรรคพวกของทักษิณ มันถึงขั้นเป็นไปได้ว่ากองทัพจะยอมรับให้ทักษิณกลับเข้าประเทศไทยในที่สุดถ้าหากทักษิณสัญญาว่าจะเป็นพวกเดียวกับพวกเขาและไม่ตามล้างแค้น
ไม่มีทางอีกแล้วที่ประเทศไทยจะกลับไปสู่การเมืองแบบเก่าในยุคก่อนทักษิณที่ชนชั้นนำในกรุงเทพผูกขาดอำนาจไว้กับตนเอง ประเทศไทยจะก้าวเดินต่อไปตามทางที่ทักษิณเคยนำทางมาก่อนหน้านี้ ช่องว่างคุณภาพชีวิตของผู้คนทั่วประเทศจะลดลง ชาวนาจำนวนมากจะเปลี่ยนตัวเองเป็นชนชั้นกลางได้และจะช่วยเพิ่มการบริโภคภายในประเทศ ประเทศไทยจะเป็นไปด้วยดี
000
คำถาม : มีนักวิเคราะห์ชาวไทยที่ไม่ได้มองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของไทยนับตั้งแต่การเข้ามาของทักษิณ พวกเขามักจะพูดว่าในช่วงยุค 2533-2542 มีนายกรัฐมนตรีที่สามารถพัฒนาเศรษฐกิจไทยด้วยนโยบายในระยะยาว แต่เมื่อทักษิณเข้าสู่อำนาจในปี 2544 รัฐบาลก็ใช้วิธีที่ให้ผลในระยะสั้นอย่างนโยบายประชานิยมโดยการแจกจ่ายให้คนจน
คำตอบ : ไม่จริง นั่นเป็นมุมมองแบบด้านเดียวมากๆ ทักษิณมีไหวพริบและความฉลาดมากกว่าคนที่วิจารณ์เขา เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงเอาใจชาวตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อแก้ปัญหาการต่อต้านจากพวกเขา
คำถาม : แต่ผมคิดว่ามันมีเรื่องความกังวลว่าจะเป็นการแข่งกันลงเหวในการพยายามชนะคะแนนเสียงชาวชนบทมากที่สุดเท่าที่จะทำได้หรือเปล่า
คำตอบ : หมายถึงว่าเงินที่แจกได้รับมาจากไหนใช่ไหม
คำถาม : นั่นเป็นปัญหา
คำตอบ : ไม่เลย ก่อนที่คุณจะให้เงินแจก คุณจะต้องมีทรัพยากรก่อน ซึ่งมันจะมาจากรายได้และถ้าหากคุณต้องการให้มากกว่าเดิม และรายได้ถึงระดับสมดุลแล้ว คุณก็ต้องเก็บภาษีเพิ่ม
คำถาม : หรือมันอาจจะมาจากการกู้ยืมก็ได้
คำตอบ : ใครจะให้ยืมล่ะ แล้วใช้สินทรัพย์อะไรค้ำประกัน
คำถาม : ท่าทางคุณคิดว่าประเทศไทยจะไม่อยู่ในภาวะชะงักงันยาวนานจากการลงไปสู่นโยบายแบบประชานิยมเช่นนั้นหรือ
คำตอบ : คงไม่หรอก ทำไมพวกเขาถึงต้องพยายามตามใจเหล่าคนยากไร้มากเกินความจำเป็นด้วย
คำถาม : คุณประทับใจอะไรในตัวทักษิณ
คำตอบ : เขาเป็นผู้นำที่ลงมือทำ เป้นผู้ที่ทำงานหนักเพื่อจะให้เห็นผลได้เร็ว เขาเชื่อมั่นใจประสบการณ์จากธุรกิจของตนเองและเชื่อในสัญชาติญาณมากกว่าทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ เขาเคยบอกผมว่าเขาเคยนั่งรถจากกรุงเทพฯ ไปสิงคโปร์ แล้วเขาก็ตัดสินใจว่าเขารู้แล้วว่าอะไรที่ทำให้เมืองสิงคโปร์ไปได้ดี ดังนั้นเขาถึงคิดจะทำแบบเดียวกัน ผมไม่รู้ว่าแค่การเดินทางครั้งเดียวจะทำให้เขาเข้าใจเคล็ดลับของพวกเราหรือเปล่า เคล็ดลับที่ว่าคือเรื่องการศึกษา ทักษะ การฝึกอบรม และสังคมที่เชื่อมโยงถึงกันโดยให้โอกาสเท่ากันแก่ทุกคน คุณต้องไม่ลืมว่าทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีคนเชื้อสายลาวอยู่มากกว่าชาวไทย
คำถาม : มีช่วงเวลาอย่างน้อยก็สักทศวรรษที่แล้วเมื่อผู้นำสิงคโปร์กำลังหารือกันว่าไทยเป็นคู่แข่งรายสำคัญของสิงคโปร์ ในฐานะการขนส่งลำเลียง การผลิต และแหล่งท่องเที่ยวเพื่อการรักษาทางการเแพทย์ ในตอนนี้ยังเป็นเช่นนั้นอยู่ไหม
คำตอบ : ดูจากภูมิศาสตร์แล้ว การขนส่งทางเรือคุณเลี่ยงกรุงเทพฯ ได้ แต่คุณเลี่ยงสิงคโปร์ไม่ได้
คำถาม : แล้วทางอากาศล่ะ
คำตอบ : พวกเขามีทักษะและการศึกษาสูงขนาดไหน พวกเขาต้องมีมากกว่าเราให้ได้
คำถาม : แล้วพวกเขามีศักยภาพที่จะดีกว่าพวกเราไหม
คำตอบ : อย่างแรก พวกเรามีข้อได้เปรียบจากภาษาอังกฤษ อย่างที่สอง พวกเรามีโครงสร้างการศึกษาที่สร้างคนที่จบมาให้มีคุณภาพสูง คนที่จบจากโปลิเทคนิคหรือสถาบันการศึกษาด้านการช่าง ไม่มีใครเลยที่จบออกมาโดยไม่มีทักษะติดตัว พวกเขาจะสามารถพัฒนาประชาชน 60 ล้านคนที่กระจายอยู่ทั่วชนบทได้หรือไม่
คำถาม : เราขอถามเรื่องภูมิศาสตร์การเมืองของภูมิภาคนี้ได้หรือไม่ ไทยเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ เคยถูกใช้เป็นฐานทัพโดยสหรัฐฯ ในช่วงสงครมเวียดนาม พวกเขาจะยังคงเป็นพันธมิตรกันต่อไปไหม
คำตอบ : มันไม่ต่างกันเลย คำถามจริงๆ คือ พวกเขามีผลประโยชน์ไปในทางเดียวกันหรือไม่ คุณอาจจะมีพันธมิตรแต่มันจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อพวกคุณมีผลประโยชน์ไปในทางเดียวกัน เหมือนกับองค์กรนาโต้ พวกเขารวมตัวกันตอนที่มีสหภาพโซเวียต เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย นาโต้ก็ไร้ประโยชน์
คำถาม : มีมุมมองหนึ่งระบุว่าจุดเปลี่ยนมาถึงเมื่อประเทศไทยเผชิญปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2540 และประชาชนก็เล็งเห็นว่าสหรัฐฯ ไม่ได้มาช่วยเหลือพวกเขา แล้วหลังจากนั้นพวกเขาอาจจะตัดสินใจตั้งแต่ตอนนั้นว่าจีนอาจจะเป็นเพื่อนที่พึ่งพาได้มากกว่า
คำตอบ : เพราะผลประโยชน์ระหว่างไทยและสหรัฐฯ ลดลงตั้งแต่สิ้นสุดสงครามเวียดนาม
คำถาม : คุณมองไทยโต้ตอบกับการเติบโตขึ้นจองอิทธิพลและการแผ่ขยายอำนาจของจีนในภูมิภาคนี้
คำตอบ : คุณก็รู้เรื่องประวัติศาสตร์ไทย ตอนที่ญี่ปุ่นเข้มแข็งและกำลังจะบุกโจมตีเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พวกเขาอนุญาตให้กองทัพญี่ปุ่นเข้ามาในประเทศไทย ทำให้พวกเขาเคลื่อนพลไปมาเลเซียและสิงคโปร์ง่ายขึ้น และไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ ใครก็ตามที่เป็นฝ่ายมีอำนาจมากกว่า ไทยก็จะไปเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับฝ่ายนั้น

16 ราย ‘เครือข่ายบรรพต’ จากกดแชร์คลิปสู่เรือนจำและศาลทหาร

หัสดิน อายุ 64 ปี ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 10 ก.พ.58 ทางการระบุว่าเขาคือ “ดีเจบรรพต” ผู้ลือลั่น และเขาก็รับสารภาพตามนั้น พร้อมกับการแถลงข่าวอันเต็มเปี่ยมความมั่นใจของเขา (ดู รู้จัก บรรพต ให้มากขึ้น จากปากคำของ หัสดิน อุไรไพรวัน)
ก่อนหน้าที่หัสดินจะถูกจับมีคนถูกจับไปแล้ว 6 คน รวมถึงภรรยาของเขา
หลังภรรยาและบรรดาแฟนคลับตัวยงทั้งหลายถูกจับโดยที่ยังหาตัวเขาไม่ได้ สำนักข่าวบางแห่งพยายามเชื่อมโยง “บรรพต” เข้ากับ ธเนศวร์ เจริญเมือง อดีตอาจารย์ด้านรัฐศาสตร์ และอดีตที่ปรึกษา รมว.ศึกษาธิการในรัฐบาลเพื่อไทยและลากเส้นไปจนถึงคนแดนไกล เหตุเพราะเสียงใหญ่ทุ้มและยานคางซึ่งเป็นเสียงที่ถูกดัดแปลงของบรรพตนั้นคล้ายกับเสียงจริงของธเนศ สำนักข่าวดังกล่าวตัดต่อเทียบเสียงให้ผู้ชมฟังเป็นเรื่องเป็นราว แต่แล้วเมื่อจับกุมบรรพตตัวจริงได้ เรื่องนี้ก็เงียบหายไปราวไม่เคยเกิดขึ้น (ดู กระชาก!!หน้ากาก บรรพต ล้มเจ้า สัมพันธ์ที่แนบแน่นกับทักษิณ)
บรรพต เป็นใครไม่มีใครมีข้อมูลแน่ชัด รู้เพียงว่าเขาผลิตคลิปเสียงยาวชั่วโมงกว่าๆ วิเคราะห์การเมืองไทยทั้งแง่ประวัติศาสตร์และสถานการณ์ปัจจุบันมาตั้งแต่ราวปี 2552 เขาเป็นนักธุรกิจที่ล้มเหลว(เป็นไปได้ไหมว่า เขาเป็นนักธุรกิจที่เคยรุ่งเรืองในช่วงรัฐบาลทักษิณ ) ผู้ชื่มชมทักษิณ ชินวัตร อย่างยิ่งยวด

ช่วงแรกมีการผลิตรายการในความถี่เดือนละชิ้น และเพิ่มขึ้นเรื่อยจนในระยะหลังรัฐประหารครั้งล่าสุด เขาระบุว่าผลิตคลิปราวสัปดาห์ละ 2 ชิ้น คลิปของเขาถูกเผยแพร่ในอินเตอร์เน็ตผ่านเว็บไซต์ mediafire ให้ผู้สนใจดาวน์โหลด และคนจำนวนหนึ่งก็นำมันไปอัพโหลดขึ้นยูทูบต่อ นอกจากนี้ยังมีการผลิตในรูปแบบซีดีสำหรับจำหน่ายในหมู่แฟนคลับด้วย
ฝ่ายนักวิชาการหรือนักเคลื่อนไหวฝ่ายก้าวหน้าแทบทั้งหมดวิจารณ์บรรพตหนักหน่วงและไม่ยอมรับการวิเคราะห์ของเขาที่แสดงออกแบบ “รู้ทุกเรื่อง” เต็มไปด้วย “ทฤษฎีสมคบคิด” มากมาย เกร็ดประวัติศาสตร์ชนิดที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนก็ปรากฏเป็นระยะ ใช้ภาษาอังกฤษก็มาก คำหยาบแบบภาษาชาวบ้านก็ไม่น้อย บางคลิปพาดพิงถึงสถาบันกษัตริย์ไทยด้วยโดยเขาพูดราวกับเป็นผู้เล่นหนึ่งในการเมืองไทย รวมไปถึงบทบาทของสหรัฐอเมริกาและความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับกองทัพ ฯลฯ
แต่ในอีกด้านหนึ่งเขากลับเป็นที่นิยมมากในหมู่คนทั่วไป และมีแฟนคลับมากขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถขายสินค้า เช่น เสื้อยืด ยาสมุนไพร รวมถึงระดมทุนผ่านการบริจาคได้ อย่างไรก็ตาม คลิปของเขาในยูทูบที่ได้รับความนิยมสูงสุดดูเหมือนจะเป็นเรื่องมะนาวและโซดาที่มีผลต้านสารก่อมะเร็ง ซึ่งมียอดคนชมกว่า 1 ล้านวิว ในขณะที่คลิปการเมืองมีคนฟังหลักพันบ้าง หลักหมื่นบ้าง หรือหลักร้อยก็มาก ทั้งนี้เพราะมีหลากหลายบัญชีผู้ใช้ที่นำคลิปของเขามากระจายไว้ในยูทูบ อันที่จริงผู้ต้องหาสูงวัยหลายคนที่ถูกจับกุมคุมขังจากกรณีเผยแพร่คลิปบรรพตก็ให้ข้อมูลกับทนายความว่าเขาชอบฟังช่วงสมุนไพรหรืออายุรเวชศาสตร์มากที่สุด บางคนระบุว่าช่วงหลังแทบไม่ฟังเรื่องการเมืองแต่ skip ไปยังเรื่องสมุนไพร ไข่ดอง น้ำส้มสายชูหมัก เป็นหลัก
ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ เขามักวิเคราะห์การเมืองโดยมีลักษณะเชิดชูสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ซึ่งเขาระบุว่าเป็นความหวังของการ set zero เดินหน้าประเทศไทย เขาเชื่อว่านั่นคือวิถีทางเดียวเท่านั้นที่จะเกิด “การเปลี่ยนผ่านอย่างสันติ”
ปัจจุบันเขาอยู่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ด้วยข้อกล่าวหาความผิดตามมาตรา 112  จากการผลิตคลิปอย่างว่า ราว 400 ชิ้น
ภาพจากมติชนออนไลน์ (วันจับกุม)
สาเหตุที่คาดเดาได้ว่าบรรพตเป็นที่นิยม เนื่องจากฝ่ายความมั่นคงตามล่าหาตัวเขาเป็นพิเศษ ขณะที่หากพิจารณาจากผู้ถูกจับกุมจากกรณีของเขา ปรากฏว่าขณะนี้มีอย่างน้อย 16 ราย มีหลากหลายอาชีพตั้งแต่ข้าราชการระดับสูง คนค้าขาย ช่างเย็บผ้า ชาวบ้านต่างจังหวัด ฯลฯ
ที่สำคัญและน่าสนใจกว่านั้น ข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ผู้ที่ถูกจับกุมใน “เครือข่ายบรรพต” ล้วนเป็น User ทั่วๆ ไปที่ใช้โซเชียลมีเดีย พฤติการณ์ร่วมของพวกเขาตามที่เจ้าหน้าที่กล่าวหาคือ การแชร์คลิปเสียงของบรรพต มีเพียงบางคนที่อาจเป็นผู้อัพโหลดยูทูบด้วย ขณะที่บางคนระบุว่าไม่เกี่ยวข้องกับการแชร์คลิปใดๆ เพียงแต่ยินยอมให้มีการโอนเงินจากการขายสินค้าเข้าบัญชีเพราะเห็นว่าเป็นการร่วมกิจกรรมกลุ่มย่อยทั่วไป
เกือบทั้งหมดยืนยันว่าไม่เคยเจอ ‘บรรพตตัวเป็นๆ’ เพียงแต่ชื่นชอบรายการของเขา ติดตามในฐานะแฟนคลับอย่างไรก็ตาม ทั้งหมดถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่ากระทำผิดตามมาตรา 112  และถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำทั้งหญิงและชาย ศาลทหารไม่อนุญาตให้ประกันตัว บางคนรับสารภาพตั้งแต่ชั้นสอบสวน ขณะที่บางคนปฏิเสธข้อกล่าวหาและเตรียมสู้คดีในศาลทหาร
“มันเหมือนกับที่เราชอบฟังรายการวิทยุอันหนึ่ง ฟังแล้วก็แชร์ให้คนอื่นที่สนใจฟัง ใครไม่สนใจก็ผ่านไป คนเรามันมีวิจารณญาณของตัวเอง นึกไม่ถึงว่าจะโดนหนักขนาดนี้” ภรรยาของผู้ต้องขังคนหนึ่งกล่าว
สำหรับตัวบรรพต เขาเล่าประวัติตัวเองว่า เขาเกิดในตระกูลคนจีนที่ทำกิจการสิ่งทอใหญ่โต เรียกว่าเป็น ‘เสือสิ่งทอ’ ของไทยในช่วงหลายสิบปีก่อน ในวัยเยาว์เขาใช้ชีวิตหรูหรา ฟุ่มเฟือย และเละเทะตามประสาลูกคนรวย เขาจบการศึกษาปริญญาโทจากประเทศอังกฤษเกี่ยวกับด้านการสอน และมีโอกาสไปเรียนที่ฝรั่งเศส แต่ไม่จบดีกรีใด จากนั้นกิจการของครอบครัวก็มีอันล่มสลายเมื่อเขาเข้าสู่วัยกลางคน เขาหางานทำได้ยากลำบาก ทำธุรกิจของตัวเองก็ล้มละลายหลายครั้ง เขามีลูกสาวที่เรียนสูงและคอยส่งเสียเงินให้เขาในช่วงบั้นปลายชีวิต เขาเพิ่งจะเริ่มหันมาสนใจการเมืองหลังอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ถูกยึดอำนาจจากคณะรัฐประหารในปี 2549 และด้วยความอึดอัดจึงผันตัวเป็นดีเจจัดรายการทอล์กการเมืองเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต เขาบอกว่าเขาชอบทักษิณมากในแง่ที่มีวิธีคิดนักบริหารที่เก่งกาจ และกล้าเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะระบบราชการ หลังจากนั้นเขาหันมาสนใจการเมืองโดยศึกษาด้วยตัวเอง เขาอ้างว่าค้นหาและอ่านเอกสารประวัติศาสตร์ชั้นต้นมากมายจากต่างประเทศเนื่องจากเขาสามารถอ่านได้ทั้งภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส
ตัวบรรพตเองยืนยันว่าเขาไม่รู้จักกับบรรดาแฟนคลับอย่างจริงจังเลย อย่างมากก็เพียงคุยหลังไมค์กับบางคน มากที่สุดคือบางคนมีการโทรศัพท์มาปรึกษาปัญหาครอบครัว การร่วมกลุ่มในเฟซบุ๊กดูจะเป็นไปเองตามธรรมชาติ ขณะที่ พล.ต.ต.ศิริพงษ์ ติมุลา ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบก.ปอท.) ระบุว่า เครือข่ายหมิ่นสถาบันนี้เป็นองค์กรอาชญากรรมที่เป็นภัยความมั่นคง แบ่งสายงานเป็น 3 ระดับ คือ ระดับนำหรือผู้บงการเป็นผู้ผลิตแนวความคิดในรูปแบบของสื่อซีดี คลิปเสียง และบทความ, ระดับปฏิบัติงาน ช่วยกันเผยแพร่แนวความคิดตามเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น เฟซบุ๊ก ยูทูบ และบล็อก, ระดับแนวร่วม มีหน้าที่สนับสนุนทางด้านการเงิน และประชาชนทั่วไปที่เรียกว่าเป็นแฟนรายการ
ส่วนเรื่องการเงิน บรรพตยังคงเป็นผู้มีหนี้สินและยังชีพจากเงินที่ลูกๆ ให้ เงินที่ได้จากการขายสินค้าเข้ามาเป็นระยะแต่เขาว่าไม่มากนัก มากที่สุดคือการขายเสื้อที่สกรีนข้อความ “ความจริงเข้าใจง่ายเมื่อค้นพบ” ซึ่งก็ต้องแบ่งผู้ขายหลายคน ขณะที่เงินบริจาค เขาระบุว่าเฉลี่ยแล้วประมาณเดือนละ 20,000-30,000 บาท ซึ่งมีผู้บริจาคตั้งแต่หลักพัน ส่วนใหญ่หลักร้อย ไปจนถึง 75 บาทก็มี
หากเราแยกเครือข่ายนี้ (ยกเว้นตัวบรรพต) ออกตามการจับกุมจะพบว่าเจ้าหน้าที่แบ่งการจับกุมเป็นหลายล็อต แต่ละล็อตผู้ต้องขังจะถูกนำตัวเข้าค่ายทหารโดยไม่มีญาติและทนาย ก่อนจะถึงมือตำรวจเพื่อนำไปฝากขังที่ศาลทหารและเดินทางสู่เรือนจำในท้ายที่สุด หลายรายไม่มีเงินประกันตัว ในขณะที่บางรายที่มีฐานะก็ยังไม่มีใครประกันตัวได้สำเร็จ
สูตรก็คือ 2+2+4+3+4+1
ล็อตแรก คือ อัญชัน, ธารา
ล็อตที่สอง คือ สายฝน, นที
ล็อตที่สาม คือ ดำรงค์, ไพสิฐ, เงินคูณ, ศิวาพร
ล็อตที่สี่ คือ ทิพย์รชยา, นงนุช, กรณ์รัฏฐ์
ล็อตที่ห้า คือ เฉลียว, พงษ์ศักดิ์, ราชกวี, ใหญ่ แดงเดือด
ล็อตล่าสุด คือ วิทยา
หากลองไล่เรียงทีละส่วน ข้อมูลเบื้องต้นพบว่า อัญชัน คือข้าราชการซี 8 ในกรมศุลกากร เพื่อนของเธอบอกว่าเธอทำงานที่นี่มา 34 ปีและจะเกษียณอายุราชการในปีหน้า อย่างไรก็ตาม จากการโดนคดีนี้ทำให้เธอถูกตัดบำเหน็จบำนาญไป อัญชัญถูกกล่าวหาเป็นผู้จัดการด้านการเงินให้กับเครือข่าย โดยเปิดบัญชีสำหรับให้สมาชิกโอนเงินเมื่อซื้อสินค้าต่างๆ ของกลุ่ม เธอยังถูกล่าวหาว่าแชร์ลิงก์ยูทูบรายการของบรรพตด้วย ขณะที่ธาราอายุ 57 ปี มีอาชีพเป็นแพทย์แผนโบราณ เขาถูกกล่าวหาว่าตั้งเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในไทยเป็นภาษาอังกฤษ  แต่มุมเล็กๆ ด้านบนของเว็บมีการวางลิงก์รายการบรรพตตอนล่าสุด เขาถูกล่อซื้อให้นำสินค้าสุขภาพมาส่งให้ที่อนุเสาวรีย์ชัย แล้วจึงถูกจับกุม
ล็อตที่สอง สายฝน เป็นภรรยาของบรรพต บรรพตระบุว่าการจับกุมภรรยาของเขาทำให้เขาตัดสินใจเปิดเผยที่ตั้งที่หลบซ่อน ภรรยาของบรรพตเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งหนึ่ง อยู่กับบรรพตมากว่า10 ปี เธอถูกกล่าวหาว่าสนับสนุนการกระทำของเขาโดยการให้ใช้บัญชีและเอทีเอ็มในการรับโอนเงินซื้อสินค้าหรือบริจาค ส่วนนทีนั้นอายุ 48 ปีมีอาชีพขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างในซอยหมู่บ้านของบรรพต เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ที่ขี่มอเตอร์ไซค์คอยรับซีดีหรือเสื้อของกลุ่มไปส่งให้สมาชิกหลักที่ทำนหน้าที่ขายของ
ล็อตที่สาม ไพสิฐ อายุ 46 ปี มีอาชีพเปิดร้านขายสี เขาเสียตาข้างหนึ่งจากต้อหิน และมีแนวโน้มที่จะเสียอีกข้างหนึ่ง การถูกคุมขังในเรือนจำทำให้เขาได้รับยาหยอดตาล่าช้าและส่งผลต่อการมองเห็นของตาข้างที่เหลือพอสมควร นอกจากนี้เขายังป่วยหนักระหว่างคุมขัง เป็นโรคติดเชื้อหรือที่เรียกกันว่า ไฟลามทุ่ง จนต้องส่งตัวไปรักษาที่ รพ.ราชทัณฑ์ด้วย ไพสิฐถูกกล่าวหาว่าตัวการสำคัญของเครือข่าย เป็นผู้นำเสียงของบรรพตไปอัพโหลดไว้ในเว็บไซต์ mediafire และเผยแพร่ให้คนได้ดาวน์โหลด ส่วนเงินคูณ อายุ 43 ปี ทำธุรกิจขายสแตนเลส และยังมีอาชีพหมอดู ในขณะที่คนอื่นๆ ยังพอมีญาติมิตร พี่น้องคอยช่วยกันดูแล แต่กรณีของเงินคูณ ภรรยาของเขาต้องดูแลลูกเล็กเพียงลำพัง และทำให้เธอกังวลใจต่อความปลอดภัยของตนเองอย่างยิ่ง ทั้งคู่มีความตื่นตัวทางการเมืองสูงและร่วมกิจกรรมทางการเมืองอื่นๆ ที่ไม่ใช่การชุมนุมมาตั้งแต่ปี 2554 เงินคูณถูกล่าวหาว่าทำหน้าที่ขายผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและเครื่องสำอางค์เพื่อหาเงินทุนสนับสนุนการเคลื่อนไหวของเครือข่าย สุดท้ายคือ ศิวาพรเป็นอาชีพแม่บ้านแต่ค่อนข้างมีฐานะ ถูกกล่าวหาว่าเป็นแอดมินเพจหนึ่งที่เผยแพร่คลิปบรรพต และใช้เฟซบุ๊กส่วนตัวเผยแพร่ข้อความ-ภาพที่เข้าข่ายความผิด เธอยังถูกกล่าวหาว่าติดต่อสัมพันธ์กับพงษ์ศักดิ์ซึ่งได้ถูกจับกุมแล้วก่อนหน้านี้ด้วย ส่วนดำรง อายุ 65 ปี ถูกกล่าวหาว่าเป็นแอดมินเพจที่ใช้เผยแพร่ข้อมูลคลิปรายการของบรรพต
ล็อตที่สี่ สำหรับทิยพ์รชยาและนงนุชนั้น ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนให้ข้อมูลเบื้องต้นว่า ทั้งคู่อยู่ในกลุ่มเฟซบุ๊กที่ชื่อว่า “ความจริงเข้าใจง่าย เมื่อค้นพบ” ซึ่งเป็นกลุ่มเปิด มีสมาชิกราว 2,000 คน สมาชิกในกลุ่มนี้มักขายเสื้อ และมีบางครั้งที่บางคนจะนัดกินข้าวร้องคาราโอเกะร่วมกัน โดยทิพย์รชญานั้นอายุ 44 ปี จบปริญญาโทและทำงานด้านบัญชี  เธอใช้ชื่อนามสกุลจริงในการเล่นเฟซบุ๊กและอยู่ในกลุ่มดังกล่าว เพราะเข้าใจว่าการฟังคลิปบรรพตไม่ใช่เรื่องผิด นอกจากนี้ยังเห็นว่าบรรพตพูดเรื่องสมุนไพรซึ่งเธอสนใจ ส่วนนงนุชอายุ 47 ปี มีอาชีพขายเสื้อผ้าในห้างสรรพสินค้า
ทั้งคู่โดนจับ 18 ก.พ. ในเวลาไล่เลี่ยกัน ถูกนำตัวไปค้นบ้านและยึดคอมพิวเตอร์ จากนั้นถูกนำตัวไปสอบที่ มณฑลทหารบกที่ 11 เมื่อไปถึงทิพย์รชญาถูกปิดตา คลุมหัว ระหว่างถูกสอบสวน ได้เปิดตาอีกครั้งก็เมื่ออยู่ในห้องที่มีลูกกรงตรงหน้าต่าง ส่วนนงนุชก็ถูกปิดตาเหมือนกันแต่ได้พักอยู่ห้องปกติ พวกเธออยู่ที่ค่ายทหารกันราว 2 คืน ทิพย์รชญาถูกข่มขู่ว่าเป็นภัยความมั่นคง ทหารพยายามระบุว่าเธอเป็นแฟนกับคนที่ชื่อเหน่งซึ่งมีชื่ออยู่ในผังเครือข่ายบรรพตแต่หลบหนีไปแล้ว แต่เธอยืนยันว่าไม่รู้จัก “ถ้ามีคนอย่างคุณสัก 20 คน ประเทศล่มจมแน่” ประโยคที่เจ้าหน้าที่กล่าวกับเธอ  สำหรับนงนุชทนายระบุว่าในช่วงแรกของการถูกคุมขัง สภาพจิตใจเธอไม่ดีนัก เวลาเล่าเรื่องจะร้องไห้เป็นระยะ แม้เธอยืนยันว่าไม่มีการทำร้ายร่างกาย แต่คำพูดต่างๆ ของเจ้าหน้าที่ก็ทำให้เธอกลัวมาก
ล็อตสุดท้าย อาจเรียกได้ว่า เป็นกลุ่มที่ถูกจับก่อนหน้า “เครือข่ายบรรพต” นานพอสมควร โดยทนายความจากศูนย์ทนายระบุว่า 4 คนนี้ถูกเจ้าหน้าที่นับรวมอยู่ใน “ผังเครือข่ายบรรพต” ด้วย
กรณีของเฉลียวนั้นถูกเรียกให้รายงานตัวกับ คสช.ในคำสั่งฉบับที่ 44/2557 พร้อมๆ กับนักกิจกรรมหลายคน เขาน่าจะอายุราวๆ 60 ปี มีอาชีพเป็นช่างตัดกางเกง เมื่อเขาไปรายงานตัวกับคสช.เขาถูกคุมตัวอยู่ 7 วัน ถูกสอบสวนโดยเครื่องจับเท็จหลายครั้งว่าใช่ “บรรพต” หรือไม่ เนื่องจากเขาอัพโหลดคลิปรายการบรรพตจำนวนมากลงในเว็บไซต์ 4share ท้ายที่สุดเขาถูกแจ้งข้อกล่าวหา 112 และถูกคุมขังระหว่างพิจารณาคดีหลายเดือน จนกระทั่งวันที่ 29 ส.ค.57 ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 3 ปี จำเลยรับสารภาพลดโทษลงกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน โทษจำคุกให้รอการลงโทษมีกำหนด 2 ปี เขาได้รับอิสรภาพในที่สุด ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์
ส่วนราชกวีนั้น ไม่ปรากฏข้อมูลของเขามากนัก ทราบเพียงว่าถูกจับกุมและคุมขังในเรือนจำจนครบ 7 ผลัด
สุดท้ายถูกปล่อยตัวไปโดยไม่ฟ้องคดี อีก 2 คน คือ พงษ์ศักดิ์ และ ใหญ่ แดงเดือด (ชื่อในเฟซบุ๊ก) ทั้งคู่ถูกคุมขังในเรือนจำจนปัจจุบัน โดยพงษ์ศักดิ์ อายุ 40 กว่าปี มีอาชีพเป็นไกด์ เคยใช้ชีวิตทำธุรกิจอยู่ต่างประเทศพักหนึ่ง เขาระบุว่าเขาเคยเป็น “สลิ่มตัวแม่” และเริ่มหันมาสนใจการเมืองจริงจังหลังเหตุการณ์ปี 2553 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก จากนั้นก็ศึกษาเรื่องการเมืองเองจากอินเทอร์เน็ต จนกระทั่งกลับเมืองไทยก็ยังคงวิพากษ์วิจารณ์ทางการเมืองผ่านโซเชียลมีเดีย เขาใช้ชื่อในเฟซบุ๊กว่า Sam Parr นั้นถูกตำรวจนำตัวมาแถลงข่าวเมื่อวันที่ 7 ม.ค.  เขาถูกแจ้งข้อกล่าวหาทั้งฝ่าฝืนคำสั่ง ไม่มารายงานตัว กับ มาตรา 112 จากการโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ทั้งสองคดีกำลังดำเนินการพิจารณาอยู่ในศาลทหาร
ส่วนใหญ่ แดงเดือด นั้น อายุ 58 ปี เขาถูกแจ้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 จากการโพสต์เฟซบุ๊ก ข้อมูลจากไอลอว์ระบุว่า เขาจบการศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว  ไม่เคยมีประวัติการกระทำความผิด เคยเข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองของกลุ่ม นปช.ที่ถนนอักษะ เมื่อ ปี 2556 ในฐานะผู้สังเกตการณ์  โดยปกติรับข่าวสารจากหนังสือพิมพ์และทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาระบุว่า เมื่อระหว่างเดือนมิถุนายน 2557 เป็นต้นมา เขาโพสต์ข้อความวิพากษ์วิจารณ์การเมือง และโจมตีการทำงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) รวมทั้งการทำงานของคณะรัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีเรื่อยมา โดยมีการทำกราฟฟิคภาพพร้อมข้อความที่มีเนื้อหาเสียดสีการทำงานของรัฐบาล และพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ปัจจุบัน เขาถูกฝากขังจนครบ 7 ผลัดเมื่อไม่นานมานี้และอัยการทหารยื่นฟ้องต่อศาลทหารแล้ว
กรณีท้ายสุดคือ วิทยา เขาเพิ่งถูกจับกุมจากหอพักในจังหวัดลำพูดเมื่อ 17 มี.ค.ที่ผ่านมา เขาจบการศึกษาชั้น ม.6 เป็นลูกจ้างของสถานีขนส่ง วิทยาให้ข้อมูลว่าตัวเองอยู่คนเดียว ไม่มีครอบครัว บุตร ภรรยา พ่อแม่เสียชีวิตแล้ว หลังการจับกุมเขาถูกนำไปที่ศาลากลางจังหวัดลำพูน ย้ายไปที่ค่ายกาวีละ จ.เชียงใหม่ แล้วจึงนำส่งมาที่ ร.พัน1 มทบ.3 จนกระทั่งถูกนำตัวมาขอฝากขังที่ศาลทหารเมื่อ 21 มี.ค.
เขาถูกกล่าวหาจากเจ้าหน้าที่ทหารว่าเป็นผู้ใช้เฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า Vladislave Vince เขาให้พาสเวิร์ดทั้งอีเมล์และเฟซบุ๊กกับเจ้าหน้าที่ ในวันที่ถูกจับกุมเขาจึงได้ทราบจากเจ้าหน้าที่ว่า หลังบรรพตถูกจับกุม เจ้าหน้าที่ได้เข้าใช้บัญชีเฟซบุ๊กของบรรพตเพื่อขอเบอร์มือถือจากเขา และติดตามหาตำแหน่งเขาจากเบอร์โทร
วิทยาแชร์บทความ ‘เช้าแล้วกรุงเทพ’ ทุกวัน มาตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ เขาบอกว่าเฟซบุ๊กเก่าของเขาโดนรีพอร์ท จึงเปิดเฟซบุ๊กใหม่ในแอคเคาต์นี้ เขาระบุว่าเขาแชร์คลิปบรรพตเพียง 3-4 ครั้งเท่านนั้นและจำกัดเห็นได้เฉพาะเพื่อนเท่านั้น เขาบอกด้วยว่าที่ผ่านมาไม่เคยยุ่งหรือข้องเกี่ยวกับกลุ่มเสื้อแดง กลุ่ม นปช. ไม่เคยเข้าร่วมการชุมนุมมาก่อน เหตุที่แชร์เพราะได้ฟังบบรพตมาระยะหนึ่ง “ฟังแล้วสนุกดีชอบ ก็เลยติดตาม”
ทั้งหมดนี้คือข้อมูลเบื้องต้นของโฉมหน้าเครือข่ายอาชญากรรมสะท้านรัฐ ติดตามการดำเนินคดีในศาลทหารได้ในภาคต่อไป เร็วๆ นี้