วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2555


นัดแรก เบิกความสืบพยานโจทก์ คดี ‘สมยศ’

กอ.รมน.- นักศึกษานิติ มธ. เบิกความสืบพยานโจทก์ คดี ‘สมยศ’



          วันแรกของการสืบพยานต่อเนื่องในกรุงเทพฯ หน่วยงานความมั่นคงระบุ มอนิเตอร์ละเอียดสื่อแดง 3 ฉบับ กอ.รมน.ยังงงกระบวนการ ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษแล้วส่งกลับมา ศอฉ.ให้ กอ.รมน.ไปร้องทุกข์กล่าวโทษตามหลัง ด้านนักศึกษานิติ มธ.อดีตนักศึกษาฝึกงานดีเอสไอเป็นพยานโจทก์ยันบทความเข้าข่ายหมิ่น ส่วนทนายจำเลยเตรียมเบิกพยานอาจารย์จากรั้วเดียวกัน
18 เม.ย.55 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดา มีการสืบพยานโจทก์คดีของนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข อดีตบก.นิตยสาร Vioce of Taksin ซึ่งถูกฟ้องในข้อหาความผิดหมิ่นสถาบัน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112, 58, 91
          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้เป็นการสืบพยานโจทก์นัดที่ 5 แต่เป็นนัดแรกที่สืบพยานที่กรุงเทพมหานคร และมีผู้สนใจเข้าร่วมรับฟังการสืบพยานราว 20 คน รวมถึงนางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)ด้วย ทั้งนี้ ในวันนี้มีการสืบพยาน 5 ปาก โดยเป็นนายทหารในหน่วยงานของกองทัพบก 3 ปาก และเป็นนักศึกษาจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งไปฝึกงานที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อีก 2 ปาก
นายสุวิทย์ หอมหวน ทนายจำเลย กล่าวว่า วันที่ 1-4 พ.ค.ซึ่งเป็นวันสืบพยานจำเลยนั้น ตามบัญชีพยานคาดว่าจะมีพยานทั้งหมด 13 ปาก เช่น นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ , สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ , ปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์, สุนัย จุลพงศธร  ส.ส.พรรคเพื่อไทย, จิตรา คชเดช นักกิจกรรมด้านแรงงาน, ประวิตร โรจนพฤกษ์ สื่อมวลชน รวมถึงจำเลยเองด้วย
          ด้านนายสมยศ ซึ่งถูกเบิกตัวจากเรือนจำมาศาลพร้อมโซ่ตรวน ให้สัมภาษณ์โดยตอบคำถามผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับบทบาทของสื่อมวลชนไทยที่ไม่นับสมยศเป็นสื่อมวลชนว่า เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ เพราะคดีมีความเกี่ยวพันกับสถานบันกษัตริย์ ซึ่งสื่อโดยทั่วไปก็ไม่กล้าแม้แต่จะรายงานเรื่องนี้อย่างจริงจังอยู่แล้วภายใต้การครอบงำของกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม และบรรยากาศในสังคมแห่งความกลัว เมื่อถามถึงบทบาทของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่มีต่อนักโทษทางมโนสำนึก สมยศระบุว่า เห็นได้ชัดว่ารัฐบาลหรือผู้มีอำนาจยังขาดความกล้าหาญทางจริยธรรม  
         สำหรับการสืบพยานปากแรก พ.อ.วิจารณ์ จดแตง ผู้อำนวยการส่วนกฎหมายและสิทธิมนุษยชน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เบิกความว่า ระหว่างเกิดเหตุอยู่ในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยมีศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เป็นผู้ดูแลหลักเรื่องการหมิ่นสถาบัน โดยหน่วยงานด้านความมั่นคงได้ทำการรวบรวมหลักฐาน และส่งเรื่องให้คณะกรรมการคดีพิเศษของกรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณา จากนั้นเมื่อคณะกรรมการรับเป็นคดีพิเศษแล้ว จึงได้ส่งเรื่องกลับมาให้ ศอฉ. และ ศอฉ.ได้มอบหมายให้ตนเป็นผู้มาร้องทุกข์กล่าวโทษ
          ทนายจำเลยถามว่า การดำเนินคดีกับนายสมยศมีส่วนเกี่ยวพันกับพ.อ.สรรเสริญ ที่เป็นโฆษก ศอฉ. และเป็นไปตามผังล้มเจ้าของศอฉ.หรือไม่ พ.อ.วิจารณ์ระบุว่า คณะทำงานที่พิจารณาเนื้อหาในคดีนี้มี 30 กว่าคนจากหลายหน่วยงาน ไม่วาจะเป็น ดีเอสไอ คณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นต้น และหากจำไม่ผิดก็มี พ.อ.สรรเสริญร่วมอยู่ด้วย ส่วนการประกาศผังล้มเจ้าของ ศอฉ.นั้น ตนไม่ได้อยู่ด้วยและไม่มีการปรึกษาหารือกันก่อน เมื่อถามว่ามีเรื่องไหนหรือไม่ที่ผ่านการพิจารณาของฝ่ายความมั่นคงแล้วไม่มีการดำเนินคดี พ.อ.วิจารณ์ตอบว่า ไม่มี ส่วนพระราชดำรัสเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.48 ที่ในหลวงรับสั่งว่ากษัตริย์ถูกวิจารณ์ได้นั้น พ.อ.วิจารณ์ระบุว่าไม่ขอแสดงความคิดเห็นใดๆ
            ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.อ.วิจารณ์ กล่าวภายหลังให้การแก่ศาลว่า ไม่ทราบเหตุผลเช่นกันว่าทำไมดีเอสไอซึ่งรับคดีของนายสมยศเป็นคดีพิเศษแล้วจึงไม่ดำเนินการต่อเลย แต่กลับส่งเรื่องกลับมายัง ศอฉ. และศอฉ.ก็มอบหมายให้ตนเป็นผู้ไปร้องทุกข์กล่าวโทษโดยที่ตนยังไม่เคยอ่านบทความทั้ง 2 เรื่องซึ่งเป็นมูลเหตุแห่งการฟ้องร้อง ขณะที่ทนายจำเลยพยายามชี้ว่าคดีดังกล่าวมีความพิเศษทางการเมืองเนื่องจากเป็นคดีที่ทหารเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ ผิดกับคดีหมิ่นฯ อื่นๆ ที่ผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษเป็นประชาชนทั่วไปหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ
           พ.อ.วิจารณ์ระบุด้วยว่า ในการดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษนั้นระบุถึงกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่มีพฤติกรรมจาบจ้างสถาบัน แต่ไม่ได้ระบุชื่อใครเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม ทราบว่าฝ่ายความมั่นคงได้รวบรวมข้อมูลต่างๆ ของบุคคลที่ปรากฏชื่อตามแผนผังของ ศอฉ.ส่งให้ดีเอสไอไปทั้งหมดแล้ว แต่มีการดำเนินคดีกับบุคคลเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น ทั้งนี้ ฝ่ายความมั่นคงได้ส่งข้อมูลเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาคดีพิเศษของดีเอสไอเมื่อ 29 เม.ย.53 จากนั้นคณะกรรมการมีมติรับเป็นคดีพิเศษในเดือนพ.ค.53 ก่อนที่ พ.อ.วิจารณ์จะได้รับมอบหมายให้ไปร้องทุกข์กล่าวโทษเมื่อวันที่ 30 ส.ค.53 และพนักงานสอบสวนของดีเอสไอเรียกเขาไปสอบสวนในวันที่ 3 ก.ย.53
          ขณะที่ พ.อ.นุชิต ศรีบุญส่ง จากกรมยุทธการทหารบก กองทัพบก ให้การต่อศาลว่า หลังปี 2549 สถานการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคงนั้นรุนแรงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หน่วยงานความมั่นคงมีการติดตามสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะสิ่งพิมพ์หรืออินเตอร์เน็ตตลอดจนการปราศรัยทางการเมืองโดยตลอดว่ามีข้อความใดหมิ่นเหม่ต่อการผิดมาตรา 112 หรือไม่ โดยสิ่งพิมพ์ที่ฝ่ายความมั่นคงเฝ้าจับตาเป็นพิเศษคือ Thai Red News, Voice of Taksin และความจริงวันนี้  โดยเมื่อมีการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลร่วมกันระหว่างสภาความมั่นคงแห่งชาติ, กอ.รมน., สันติบาล, หน่วยข่าวกรอง, ไอซีที ฯลฯ แล้วก็จะส่งข้อมูลพร้อมความเห็นเบื้องต้นให้ ศอฉ.ดำเนินการต่อ โดยยอมรับว่าแผนผังของ ศอฉ.นั้นเป็นเครื่องช่วยในการวางแผนและวิเคราะห์ข้อมูล ส่วนว่าใครจะมีความผิดบ้างตามแผนผังนั้นขึ้นอยู่กับการสอบสวนพนักงานสอบสวน เมื่อทนายจำเลยถามว่า ทราบหรือไม่ว่าผังล้มเจ้าของศอฉ.นั้นอัยการสั่งไม่ฟ้องแล้ว พ.อ.นุชิตกล่าวว่า ไม่ทราบ  
         ทนายจำเลยถามอีกว่า ทราบหรือไม่ว่าผู้ใช้นามแฝงว่า ‘จิต พลจันทร์’ ในบทความตามฟ้องคือใคร พ.อ.นุชิตตอบว่า ไม่ทราบ แต่ยืนยันว่า เนื้อหาในบทความนั้นเป็นการดูหมิ่นสถาบัน โดยเปรียบเปรยถึงเหตุการณ์ต้นราชวงศ์จักรีและการสวรรคตของพระเจ้าตากสินมหาราช แม้ไม่มีการระบุชื่อก็ทำให้เข้าใจได้ แต่ไม่เคยนำบทความดังกล่าวไปสอบถามบุคคลอื่นนอกเหนือจากหน่วยงานความมั่นคง
          พ.อ.นุชิต ตอบอัยการถามติงว่า อย่างไรก็ตาม การวินิจฉัยชี้ขาดว่าข้อความในบทความเข้าข่ายหมิ่นหรือไม่นั้นเป็นอำนาจการพิจารณาของคณะกรรมการใน ศอฉ. ซึ่งมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นหัวหน้าคณะ ตนและทีมงานเป็นเพียงผู้นำเสนอข้อมูลและความเห็นเบื้องต้น
         ส่วนพยานอีก 2 ปาก เป็นนักศึกษาชั้นปี 4 จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเคยฝึกงานที่ดีเอสไอในช่วงเวลาดังกล่าว เบิกความต่อศาลว่า ระหว่างฝึกงาน ผู้ดูแลซึ่งก็คือพนักงานสอบสวนในคดีนี้ได้นำนิตยสาร Voice of Taksinฉบับที่ใช้ฟ้องร้องมาให้อ่าน รวมทั้งบทความที่เข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูงดังกล่าว ซึ่งเมื่ออ่านข้อความดังกล่าวแล้วก็ทำให้เข้าใจได้ตามฟ้อง เมื่อทนายถามถึงสิทธิตามรัฐธรรมนูญในการแสดงความคิดเห็น พยานตอบว่า ประชาชนมีสิทธิในการแสดงความคิดเห็น แต่ต้องอยู่ในกรอบกฎหมาย
http://redusala.blogspot.com

กษัตริย์สเปนกล่าวคำขอโทษ
กษัตริย์สเปนกล่าวคำขอโทษ หลังจากถูกวิจารณ์จากสาธารณะหนักข้อขึ้น


          หลังจากที่กษัตริย์ฮวน คาร์ลอส ของสเปนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงความไม่เหมาะสมหลังเดินทางไปทริปล่าสัตว์ป่าที่บอตสวานา เขาตัดสินใจขอโทษต่อสาธารณะ "ข้าพเจ้าขอโทษอย่างมาก ข้าพเจ้าทำผิดไปแล้วและมันจะไม่เกิดขึ้นอีก"
          สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (18 เม.ย.) กษัตริย์ฮวน คาร์ลอสแห่งสเปน ได่กล่าวคำขอโทษที่หาได้ยากยิ่งต่อสาธารณะ ต่อเรื่องที่ท่านได้เดินทางไปทริปล่าสัตว์ในแอฟริกาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เกิดคำวิพากษ์วิจารณ์ทั้งจากในและต่างประเทศอย่างหนัก จากเรื่องความไม่เหมาะสมด้านค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในขณะที่ประเทศกำลังเผชิญกับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ รวมถึงการล่าสัตว์ป่าด้วย 
         สถานีโทรทัศน์ TVE ของสเปน ได้รายงานคำขอโทษจากกษัตริย์สเปนเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งฮวน คาร์ลอส ให้สัมภาษณ์หลังจากที่ท่านได้รับการผ่าตัดสะโพกในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในมาดริด เนื่องมาจากการบาดเจ็บในระหว่างทริปล่าสัตว์ส่วนตัวที่บอตสวานา 
     "ข้าพเจ้าขอโทษเป็นอย่างมาก ข้าพเจ้าได้ทำผิดไปแล้ว และมันจะไม่เกิดขึ้นอีก" กษัตริย์สเปนกล่าว

       ในการกล่าวขอโทษสั้นๆ นี้ เขาไม่ได้กล่าวถึงทริปการล่าสัตว์ป่าโดยเฉพาะ แต่โทรทัศน์ของรัฐและสื่อสเปนอื่นๆ รายงานว่า ฮวน คาร์ลอสน่าจะหมายถึงทริปดังกล่าว 
         ทั้งนี้ ชาวสเปนมักจะให้ความนับถือกษัตริย์เป็นอย่างสูง ในแง่การทำหน้าที่พระราชกรณียกิจต่อประเทศชาติและการปกป้องประชาธิปไตยหลังจากการสิ้นสุดของผู้ปกครองเผด็จการฟรานซิสโก ฟรังโกในปี 1975 โดยเฉพาะจากเหตุการณ์ที่กษัตริย์ตัดสินใจหยุดยั้งการรัฐประหารจากคณะทหารฝ่ายขวาได้ในปี 1981 
กระแสการวิจารณ์ที่เริ่มหนาหู
     แต่หลังจากที่มีการรายงานข่าวเรื่องทริปล่าสัตว์ที่ใช้งบประมาณเกินจำเป็น และการล่าช้างออกมานั้น แม้กระทั่งฝ่ายพันธมิตรที่หนาแน่นกับสถาบันกษัตริย์ ยังกล่าวในทางสาธารณะว่าทริปการล่าสัตว์ดังกล่าวเป็นความผิดพลาด บางส่วนยังเรียกร้องให้เขากล่าวขอโทษก่อนหน้านี้ด้วย 
       ก่อนหน้านี้ มีการคาดเดาในสื่อสเปนอย่างมากว่าฮวน คาร์ลอสน่าจะตัดสินใจกล่าวขอโทษหลังจากที่เขาออกจากโรงพยาบาล ในขณะที่แพทย์ระบุในรายงานการรักษาว่าท่านฟื้นตัวจากการรักษาสะโพกได้ค่อนข้างดี และกษัตริย์สเปนกล่าวว่า พระองค์จะทรงทำพระราชกรณียกิจต่อไป โดยในระหว่างที่พระองค์อยู่ในโรงพยาบาล มกุฏราชกุมารฟิลิปเป้ก็ได้ทรงทำพระราชกรณียกิจแทน 
          คำวิพากษ์วิจารณ์จากสาธารณะต่อทริปส่วนตัวของกษัตริย์สเปน ในช่วงแรกเพียงเจาะจงอยู่ที่เรื่องต่าใช้จ่ายที่ไม่เหมาะสมในขณะที่ประเทศกำลังเผชิญกับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ โดยเสปนมีอัตราการว่างงานในปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 23 มีชาวสเปนที่ว่างงานอยู่ราว 5 ล้านคน และรัฐบาลก็ใช้มาตรการลดค่าใช้จ่ายโดยการตัดสวัสดิการและเพิ่มการเก็บภาษีเพื่อเพิ่มงบประมาณประเทศ 
           ในเวลาต่อมา คำวิพากษ์วิจารณ์ต่อทริปดังกล่าว ก็ขยายประเด็นไปสู่เรื่องการล่าสัตว์ ซึ่งกลุ่มรณรงค์สิทธิสัตว์ได้รวมตัวกันประท้วงหน้าโรงพยาบาลในระหว่างที่พระองค์รักษาพระวรกายอยู่ นอกจากนี้ องค์กรอนุรักษ์สัตว์ป่า World Wildlife Fund (WWF) สาขาสเปน ระบุว่า พวกเขาจะเรียกร้องให้ถอดถอนกษัตริย์ฮวน คาร์ลอสจากการเป็นประธานสมาคมกิติมศักดิ์ ซึ่งพระองค์ดำรงตำแหน่งอยู่ตั้งแต่ปี 1968 เนื่องจากการเดินทางไปล่าสัตว์ของพระองค์ที่บอตสวานา โดยเป็นเพียงไม่กี่ประเทศที่อนุญาตให้ฆ่าช้างได้
           ก่อนหน้านี้ในปี 2006 ได้มีการเผยแพร่ภาพรูปถ่ายของฮวน คาร์ลอสที่ถ่ายคู่กับช้างที่ล่าเสียชีวิตในบอตสวานาในทริปส่วนตัวของพระองค์ ภาพดังกล่าวนำไปสู่การล่ารายชื่อออนไลน์เรียกร้องให้ถอดถอนกษัตริย์สเปนออกจากการเป็นประธานกิติมศักดิ์ โดยสามารถรวบรวมลายเซ็นได้มากกว่า 80,000 ชื่อ
ถึงคราวิกฤติสถาบัน
         หนังสือพิมพ์ El Pais ของสเปน ระบุว่า การที่กษัตริย์ฮวน คาร์ลอสออกมากล่าวขอโทษต่อสาธารณะเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างผิดปรกติ แต่สถานการณ์ในปัจจุบันได้ทำให้เข้าตัดสินใจดังกล่าว เนื่องจากราชวงศ์สเปนกำลังเผชิญการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ซึ่งนับว่าเป็นวิกฤติที่สำคัญมากที่สุดครั้งหนึ่งหลังจากการฟื้นฟูราชบัลลังก์ในทศวรรษ 1970
         โดยในต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา พระราชนัดดาชายของพระองค์วัย 13 ปี ได้เกิดอุบัติเหตุทำปืนลั่นที่เท้าของตนเองในระหว่างการฝึกซ้อมยิงปืนกับบิดา ซึ่งได้สมรสและหย่าแล้วกับเจ้าหญิงเอลีน่า พระราชธิดาของกษัตริย์ฮวน คาร์ลอส ทั้งนี้ กฎหมายสเปนระบุว่า อายุที่ถูกกฎหมายของเยาวชนซึ่งสามารถถืออาวุธปืนได้ ถึงแม้จะอยู่ภายใต้อยู่ความควบคุมของผู้ใหญ่ก็ตาม คืออายุ 14 ปี 
           นอกจากนี้ อินากิ อูร์ดันการิน พระสุณิสา (ลูกสะใภ้) ของกษัตริย์ฮวน คาร์ลอส ผู้ได้สมรสกับเจ้าหญิงคริสตินา พระราชธิดาคนเล็กสุดของพระองค์ ได้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีทุจริตด้านการเงิน จากการถูกกล่าวหาว่าได้นำเงินจากกองทุนการกุศลไปใช้เป็นการส่วนตัว แต่อูร์ตันการินปฏิเสธในทุกข้อหา
          หนังสือพิมพ์เทเลกราฟรายงานด้วยว่า ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ราชวงศ์สเปน ได้เปิดเผยรายละเอียดด้านการเงินเป็นครั้งแรก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความโปร่งใสแก่สาธารณะ 
          ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า ในปีนี้ สำนักพระราชวังของสเปนได้งบประมาณราว 8.26 ล้านยูโร หรือราว 335 ล้านบาท ซึ่งน้อยลงร้อยละ 2 เมื่อเทียบจากปีที่แล้ว เร็วๆ นี้ สำนักพระราชวังยังได้ประกาศการตัดงบประมาณอีกราว 220,000 ดอลลาร์หรือคิดเป็นราว 6,800,000 บาท และตัดลดเงินเดือนพนักงานที่ได้รับเงินเดือนสูงสุดอีกจำนวนหนึ่งในพระราชวัง
ที่มา : แปลและเรียบเรียงจาก 
Spain's king apologizes for African hunting trip
CNN, 19/04/55
King of Spain's unprecendented apology for elephant-sized blunder amid abdication calls, The Telegraph, 18/04/55
http://redusala.blogspot.com

อภิโถ รัฐธรรมนูญไทย ภาพโป๊หลุดกลางวงถก รธน.
สภาฉาว! ภาพโป๊หลุดกลางวงถก รธน. ปธ.เต้นสั่งสอบหาต้นตอ

เมษายน 18, 2012   

        ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า จากกรณีที่มีภาพโป๊หลุดกลางห้องประชุมร่วมรัฐสภา ขณะพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งช่วงดังกล่าวเกิดขึ้นขณะที่นายพีรพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กำลังอภิปราย

           โดยเป็นช่วงที่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา กำลังสลับสับเปลี่ยนการทำหน้าที่ประธานการประชุมกับพล.อ.ธีรเดช มีเพียร รองประธานรัฐสภา แต่ปรากฏภาพหญิงสาวชาวเอเซียสวมใส่ชุดซีทรูเปลือยท่อนล่าง ใส่ชั้นในลายเสือนั่งถ่างขาขึ้นบนจอภาพแอลซีดี ที่ติดอยู่ด้านหลังห้องประชุมซึ่งเป็นที่นั่งของผู้มาดูงานรัฐสภา และอยู่ฝั่งตรงข้ามบัลลังก์ประธานฯ โดยปรากฏภาพขึ้นมา 3 รอบในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่เมื่อนายสนอง เทพอักษรณรงค์ ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย ได้ท้วงติงขึ้นมา เจ้าหน้าที่ควบคุมระบบถ่ายทอดการประชุมจึงได้ปิดเครื่องแอลซีดีทันที อย่างไรก็ตามทางสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้สั่งให้มีการตรวจสอบแล้วว่า ภาพโป๊ดังกล่าวหลุดออกมาได้อย่างไร
http://redusala.blogspot.com

ท่าน สว.ผู้ทรงเกียรติ์  หน้าไม่อาย โกหก หน้าด้าน ๆ
          
            นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ซึ่งถูกสว.รสนาพาดพิงถึงในการยิงมุก"เสื้อแดงขึ้นเครื่องบินไปเยี่ยมทักษิณ"ลงในfacebook ได้ชี้แจงทางรายการฟันธง สถานีโทรทัศน์เอเชียอัพเดต เมื่อค่ำวานนี้(18เมษายน)

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
19 เมษายน 2555

        ตู่ไม่ตลกบอกควายยังไม่กล้าคิด ประณามรสนาจี้ต้องเปิดตัวรุ่นพี่สว.เจ้าของมุกแดงขึ้นเครื่องบิน  

        โดยได้กล่าวในคลิปข้างต้นนี้ในเรื่องดังกล่าวตั้งแต่นาทีที่ 06.43ว่า "คุณรสนาเขียนข้อความที่ไม่น่าเชื่อ แล้วที่ไม่น่าเชื่อกว่านั้นคือดร.เจิมศักดิ์ คุณศิริโชคก็พากันนำข้อความของรสนาไปขยายความต่อกันอีกมาก"

        จากนั้นนายจตุพรได้อ่านข้อความที่ สว.กรุงเทพฯได้โพสต์ลง facebook โดยชี้ว่าที่สว.รสนาพูดถึง"ตู่"นั้นต้องเป็นตัวเขาแน่นอน "เรื่องนี้เป็นการดูถูกเหยีดหยามศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างรุนแรงที่สุด นางรสนาได้โพสต์ข้อความนี้ และได้ลบออกไปแล้ว แต่คนที่ได้รับข้อความอย่างนายศิริโชค โสภา ส.ส.ประชาธิปัตย์ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสว. ก็นำไปขยายความดูถูกคนเสื้อแดงในบรรยากาศที่ดูถูกคนเสื้อแดงอย่างสนุกสนาน แต่เป็นความเท็จอย่างที่สุด

      โดยนายจุพร หรือ"ตู่"ที่ถูกพาดพิงได้ชี้แจงว่า "ที่รสนาเขียนข้อความมานั้นเป็นความเท็จที่สุด เพราะผมไม่เคยนั่งเครื่องบินตรงไปเวียงจันท์เลยในช่วงสงกรานต์ ที่ไปลาวผมไปตั้งแต่ 31 มีนาคมเพื่อประชุมกับฝ่ายลาวเตรียมงานสงกรานต์ผมก็นั่งไปลงอุดรธานี โดยได้นั่งสายการบินนกแอร์ไป ไม่มีชั้นธุรกิจ เพราะมันเป็นสายการบินต้นทุนต่ำ(โลว์คอสต์ แอร์) ผมก็ไปกับคุณพายัพ ปั้นเกตุ สุพร อัตถาวงศ์ อารี ไกรนรา พอลงอุดรฯเสร็จก็นั่งรถไปหนองคาย แล้วข้ามไปกรุงเวียงจันทน์

     ไปประชุมเสร็จก็กลับ จากนั้นค่อยขึ้นการบินไทยมาลงสุวรรณภูมิ แล้วจึงขึ้นบางกอกแอร์เวย์สไปเสียมเรียบเพื่อร่วมงานสงกรานต์ที่กัมพูชา  

       สรุปความว่า เป็นเท็จทั้งหมดที่ว่ามี สว.รุ่นพี่ของรสนาเจอผมบนเครื่องบินไปลาวกับคนเสื้อแดง เพราะในชาตินี้ผมไม่เคยขึ้นเครื่องไปเวียงจันท์โดยตรงแล้วไปนั่งชั้นธุรกิจ แต่สำคัญที่สุดคือทัศนะที่ดูถูกคนเสื้อแดงว่าเป็นตาสีตาสายายมายายมีไม่รู้่เรื่อง ซื้อตั๋วชั้นประหยัดแล้วไปนั่งชั้นธุรกิจ

        พูดเหมือนกับคนเสื้อแดงโง่ชนิดที่ไม่เคยรู้อะไรเลย ไม่เคยขึ้นเครื่องบิน ต้องให้แอร์โฮสเตสมาบอกมาไล่ แล้วการที่รสนาเขียนว่าคนเสื้อแดงก็เลยตอบไปว่าตอนนี้แดงทั้งแผ่นดิน จะนั่งตรงไหนก็ได้นั้น อันนี้เลวทรามต่ำช้าที่สุด

       ไม่รู้ว่ารุ่นที่ สว.ที่เล่าให้รสนาฟังนั้นเป็นหน้าตัวผู้หน้าตัวเมียคนไหน แบบนี้ต้องแสดงตนออกมา เพราะไปเล่าเป็นฉากด้วยความเท็จต่อไปว่า มีกัปตันมากระซิบกับ"ตู่"ว่าด้านหน้าไปลงนครศรีธรรมราช ด้านหลังค่อยไปลงเวียงจันท์ ผมยืนยันว่าเป็นเท็จที่สุด เพราะไม่มีกัปตันที่ไหนเขาจะมาบอกอย่างนี้ แล้วผมจะไปบอกว่า"ไปพวกเราไปนั่งด้านหลัง"

      แต่ที่ดูถูกเสียดแทงที่สุดคือ หาว่าคนเสื้อแดงนี่โง่ที่สุดชนิดที่คิดว่านั่งด้านหน้าจะไปลงนครศรีธรรมราช ด้านหลังค่อยไปลงเวียงจันท์ หากรุ่นพี่สว.คนที่ว่ามาพูดจริงก็แสดงว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอน แบบนี้เจอผมที่ไหนก็ได้ มาเจอกันสภาก็ได้

      ปัญหาคือรสนาแต่งเรื่องเองหรือไม่ หากไม่แต่งเรื่องเองก็ต้องนำรุ่นพี่ สว.รายที่ว่านี้ออกมาแสดงตน เพราะเป็นการกระทำที่เลวที่สุด พูดดูถูกว่าคนเสื้อแดงนี่โง่ที่สุดไม่เคยนั่งเครื่องบิน พูดเหมือนรสนาเป็นผู้ลากมากดีมาจากไหน ทำไมมาดูถูกศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เขียนแบบนี้ทำเหมือนว่าคนเสื้อแดงเขาไม่มีหัวใจเหมือนพวกคุณ หรือเป็นสว.กรุงเทพฯจะดูถูกเหยียดหยามใครก็ได้

ควายยังไม่กล้าคิดเลยครับ ขึ้นเีครื่องบินลำเดียวกัน ด้านหน้าลงนคร ด้านหลังลงเวียงจันท์ อย่าว่าแต่คนเสื้อแดง หรือคนครับ ควายยังไม่กล้าคิด แต่พวกขี้เรื้อนก็นำข้อความของรสนาไปขยายความเฮฮาตลก แต่ผมไม่ตลกกับพวกคุณด้วย

        ดังนั้นรสนาต้องแสดงความรับผิดชอบออกมา แม้คุณจะลบข้อความแล้ว แต่ศิริโชค เจิมศักดิ์และพวกขี้เรื้อนได้นำข้อความนี้ไปขยายต่อ เลวทรามต่ำช้าสกปรกที่สุด แบบนี้รสนาต้องนำตัวรุ่นพี่สว.คนที่ว่านี้ออกมาแสดงตน บอกมาเลยว่ามันเป็นคนไหน เพราะมันเท็จ100% 
เป็นนิทานลวงโลกหลอกด่าคนเสื้อแดง แต่มุกตลกนี้มันเป็นการดูถูกศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไม่ให้หลงเหลืออยู่เลย พฤติกรรมแบบนี้คุณรสนาต้องถูกประณามอย่างถึงที่สุด และผมขอเชิญชวนให้ประจานนางรสนา และประณามพวกที่เอาข้อความไปขยายต่อ ที่พรรคแมงสาบเข้าใจว่าเป็นเรื่องจริงนี่แหละโง่บัดซบที่สุด ส่วนจะดำเนินคดีกันยังไง ค่อยว่ากันอีกที
รสนา-สว.คนกรุงยิงมุกเหลืองฮากระจาย แดงฮือต้าน 


       เมื่อวันก่อนนี้ รสนายิงมุกตลกลดทอนคุณค่้าความเป็นมนุษย์ของผู้เห็นต่างทางการเมืองในเฟซบุ๊คส่วนตัว ต่อมาได้ลบออก แต่คนตาดีเซฟไว้ทันเพื่อประจาน


เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสว.ได้โพสต์ลงในเฟซบุ๊คส่วนตัวของเขา เมื่อคืนวานนี้ ว่า 
        (เรื่องฮา ๆ ของเสื้อแดงโดยคุณรสนา โตสิตระกูล) "วันนี้มาสภามีรุ่นพี่ส.ว เล่าให้ฟังว่า ช่วงสงกรานต์ที่สนามบินสุวรรณภูมิเที่ยวบินไปเวียงจันทน์มีคนเสื้อแดงมาขึ้นเครื่องมากมาย พอขึ้นเครื่องก็ไปนั่งที่ชั้นธุรกิจ แอร์โฮสเตสมาบอกว่าที่นี่เป็นชั้นธุรกิจ บัตรของพวกท่านเป็นชั้นประหยัด ต้องนั่งด้านหลัง ได้รับคำตอบว่า ตอนนี้แดงทั้งแผ่นดินแล้ว ประชาชนเป็นใหญ่จะนั่งตรงไหนก็ได้ แอร์โฮสเตสเลยไปบอกกัปตัน กัปตันบอกเดี๋ยวจัดการเอง กัปตันเดินมากระซิบกับตู่ที่นั่งแถวหน้า พอกระซิบเสร็จตู่ก็ลุกขึ้นตะโกนบอกพรรคพวกว่าไปพวกเราไปน่ังข้างหลังกัน แอร์ถามกัปตันว่าไปพูดอะไรตู่จึงสั่งให้ไป
กัปตันบอกว่า ผมบอกเขาว่าข้างหน้าไปลงนครศรีธรรมราช ข้างหลังถึงจะไปเวียงจันทน์"
        อย่างไรก็ตามเมื่อตรวจสอบที่เฟซบุ๊ค รสนา โตสิตระกูล พบว่าเรื่องมุกดังกล่าวถูกลบออกไปแล้ว โดยไม่มีคำชี้แจงใดๆ แต่ในเฟซบุ๊คของเจิมศักดิ์ มีผู้ที่แชร์หรือเผยแพร่ต่อไปอย่างแพร่หลาย ล่าสุดมากกว่า 400 ครั้งแล้ว โดยกลุ่มที่ต่อต้านคนเสื้อแดงพากันเฮฮาขำขันกับมุกนี้

        แต่ในเฟซบุ๊คของคนเสื้อแดง ได้พากันวิจารณ์ว่าทั้งรสนา และเจิมศักดิ์ไร้รสนิยมทั้งคู่ โดยเฉพาะรสนา สว.ที่มาจากการเลือกตั้งของคนกรุงเทพนี่นอกจากจะเป็นตัวแทนทางการเมืองแล้ว น่าจะสะท้อนรสนิยมของผู้เลือกด้วยในบางส่วนนะครับ แต่กับมุกตลกที่ลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของประชาชนที่อยู่คนละขั้วการเมืองกับตัวเองนี่มันเป็นรสนิยมที่สถุลไปหน่อยไหมครับ...!!!

         ขณะที่เฟซบุ๊คของ 
 Nopporn Narmchaingtai  นำภาพที่เขานั่งในชั้นเฟิร์สคลาสบนเครื่องบินมาลงประกอบ พร้อมกับเขียนข้อความว่า

      
        นี่นังรสนา กูเสื้อแดงตัวแม่ กูนั่งแต่ชั้นหนึ่งโว้ยอีเ..แม่งดูถูกคนอื่น อีเวร มึงหลอกได้แต่พวกโง่ แบบพวกมึงเท่านั้นแหละ อีเ..
http://redusala.blogspot.com

สื่อฯ จีนชี้ "ยิ่งลักษณ์" บินเหนือ "อภิสิทธิ์"

           บทวิเคราะห์และบทสรุปของการเยือนประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร  

           เป็นความสำเร็จที่น่ายินดียิ่ง ที่นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้รับการต้อนรับให้เกียรติอย่างสูงสุดจากรัฐบาลจีนมากกว่าเมื่อสมัยรัฐบาลของอดีตนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
จากการรายงานของสำนักข่าว Xinhua เกี่ยวกับนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ และอดีตนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เราพบว่ารัฐบาลจีนให้ความสำคัญต่อการเยือนของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์มากกว่า โดยสำนักพิมพ์ Xinhua ให้น้ำหนักการรายงานข่าวพร้อมรายละเอียดตารางงานอย่างละเอียด เมื่อเปรียบเทียบกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่มีเพียงภาพการสวนสนามและบทสัมภาษณ์สั้นๆ ตามรายละเอียดแนบท้าย

          ในโอกาสดังกล่าวนี้ นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้มีโอกาสเข้าพบนาย Xi Jinping ประธานผู้บริหาร “สถาบันพัฒนาผู้นำการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์” สถาบันแห่งนี้เป็นสถาบันฝึกอบรมผู้นำระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และผู้เข้ารับฟังการกล่าวปาฐกถานี้ ในอนาคตก็คือผู้มีโอกาสกุมอำนาจประเทศจีน นายกรัฐมนตรีหญิงหนึ่งเดียวของประวัติศาสตร์ไทย ที่ได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมชมกิจการและกล่าวปาฐกถาแก่ผู้บริหารและนักศึกษาในสถาบันดังกล่าว จึงเป็นหน้าประวัติศาสตร์ที่สำคัญมากหนึ่งในการเยือนครั้งนี้
เมื่อเปรียบเทียบตารางการเยือนอย่างแน่นเอียดตลอด วันของนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และเปรียบเทียบกับตารางเยือนของอดีตนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ได้รับเชิญแค่ตรวจพลสวนสนามและท่องเที่ยวเมือง Tian Jin และ Guandong เราก็คงทราบว่าประเทศจีนให้ความสำคัญกับรัฐบาลไหนมากกว่ากัน

อ้างอิงข่าวนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 
http://news.xinhuanet.com/english/china/2012-04/18/c_131533612.htm
อ้างอิงข่าวนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 

http://news.xinhuanet.com/english/2009-06/24/content_11595955.htm
http://redusala.blogspot.com

"สส.ผู้ต้องสงสัย-ดูคลิปโป๊ระหว่างประชุมรัฐสภา
แฉภาพ "สส.ผู้ต้องสงสัย-ดูคลิปโป๊ระหว่างประชุมรัฐสภา"


 นายณัฏฐ์ บรรทัดฐาน ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นยืนยันกลางที่ประชุมสภาว่า เป็น ส.ส.ที่ปรากฎเป็นภาพอยู่ในโซเชียลเน็ตเวิร์ค ว่าดูภาพโป๊ผ่านโทรศัพท์สมาร์ทโฟนในระหว่างการประชุมสภาฯ แล้วจากนั้นก็ได้ลงมาแถลงข่าวชี้แจงที่ห้องแถลงข่าวประจำรัฐสภาว่า ตนเป็นบุคคลดังกล่าวที่อยู่ภาพจริง แต่ไม่มีเจตนาที่ดูรูปดังกล่าว

        สาเหตุมาจากในการประชุมสภาตามปกติจะมีกลุ่มเพื่อนและคณะทำงานส่งข้อความและรูปภาพผ่านทางเฟซบุ๊ก วอตส์แอพ มาถึงตนเป็นระยะ ตนจึงต้องเปิดดูเป็นระยะๆ ส่วนใหญ่เป็นภาพต่างๆ แต่บังเอิญภาพที่เปิดดูในช่วงนั้นเป็นภาพที่ปรากฎเป็นข่าว ซึ่งตนเปิดดูในระยะสั้นๆ เท่านั้น และเชื่อว่าช่างภาพที่ถ่ายภาพนี้ก็ทราบดี ว่าตนไม่ได้ใช้เวลาดูภาพนาน ดังนั้นตนจึงออกมาแสดงจุดยืนพูดให้ชัดและเชื่อว่าประชาชนจะเข้าใจ เนื่องจากที่ผ่านมาตนเป็นคนทำงานจริงจังด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง การอภิปรายที่ผ่านก็ไม่เกะกะระรานใคร ทั้นี้ เจตนาของตน คือ ไม่ได้ต้องการดูภาพดังกล่าว และหากใครจะนำภาพไปโจมตีทางการเมืองก็ไม่เป็นไร เพราะเชื่อว่าทุกคนจะเข้าใจดี และตนพร้อมที่จะเข้าชี้แจงต่อคณะกรรมการจริยธรรม หรือกรรมการชุดใด ๆ ที่อาจมีการตั้งขึ้นมาเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้

             “ขอประทานอภัยที่ทำให้รัฐสภาเสียเวลากับภาพที่ไม่เหมาะสม มีการนำภาพข่าวเข้าไปในสื่อออนไลน์ และการดูคลิป  ซึ่งมีพี่น้องประชาชนส่งภาพเข้ามาสอบถามกับผมทั้งทางโซเชี่ยลมีเดีย และเฟซบุ๊ก บางคนก็มาพูดคุยถึงเหตุการณ์ที่มีภาพไม่เหมาะสมที่จอมอนิเตอร์ในที่ประชุมสภา ซึ่งผมได้เปิดภาพที่ประชาชนสอบถามขึ้นดูก็พบว่าเป็นภาพแบบนี้ บางภาพผมก็ปิดทิ้งไปและอธิบายชี้แจงให้ทราบข้อเท็จจริงว่าไม่ได้เป็นภาพเดียวกัน  เมื่อวานภาพที่เกิดขึ้น เป็นภาพของกระผมเองครับ แต่เป็นเพราะประชาชนได้ส่งภาพเข้ามาสอบถามข้อเท็จจริงว่าใช่ภาพที่เกิดขึ้นในห้องประชุมรัฐสภาหรือไม่ พอผมได้อธิบายชี้แจงให้ทราบแล้วก็ได้ปิดโทรศัพท์ทันทีนี่คือข้อเท็จจริง”

           ด้านนายธนิตพล ไชยนันทน์ ส.ส.ตาก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ห่วงว่าเรื่องนี้จะกระทบต่อภาพลักษณ์ของสภาฯ แต่ยืนยันว่านายณัฎฐ์ ไม่ได้ทำตัวไม่เหมาะสม แต่เป็นการใช้เครื่องมือสื่อสารในการทำงานในสภา จึงถือว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาทางเทคนิค ซึ่งที่ผ่านมาก็มี ส.ส. จากพรรคอื่น เช่น พรรคเพื่อไทย ก็เปิดดูเช่นกัน แต่ช่างภาพไม่ได้ถ่ายมา


 
ที่มาภาพ: ภาพบน:ASTVผู้จัดการ ภาพกลาง:เว็บบอร์ดประชาทอล์ก

เว็บไซต์ASTVผู้จัดการ รายงานว่า ก่อนเข้าสู่การประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณา
แก้ไขร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับที่...) พ.ศ.... วันนี้ (19 เม.ย.) 
โดยมีนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานในการประชุม 
จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศีรษะ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ได้ขอหารือกรณีที่สื่อมวล
ชนรายงานว่ามี ส.ส.บางคนเปิดคลิปภาพไม่เหมาะสมในระหว่างการประชุมรัฐสภา
เมื่อค่ำวานนี้ (18) ซึ่งถือว่าสร้างความเสื่อมเสียให้แก่รัฐสภาไทย จึงอยากให้ประธาน
สืบหาว่าบุคคลที่อยู่ในภาพนั้นเป็นใคร
       
แต่ น.ส.บุญธิดา สมชัย ส.ส.อุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ เสนอว่าเรื่องนี้ควรหา
รือเป็นการภายในมากกว่าเพื่อไม่ควรให้มีการบันทึกการประชุม ขณะที่นายสมศักดิ์ชี้
แจงว่า ตนได้ตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบแล้ว ขอให้สมาชิกใจเย็นรอผลการการตรวจ
สอบก่อน
       
ด้าน นายณัฏฐ์ บรรทัดฐาน ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นพยายามชี้แจงเรื่องนี้ 
โดยอภิปรายว่า ตนต้องขอโทษประธานและที่ประชุมที่ทำให้สภาเสียหาย แม้ว่าจะไม่
มีการบันทึกการประชุมก็ตาม และสมาชิกมีการคัดค้านไม่ควรนำมาพูดในที่ประชุมสภา 
แต่เมื่อมาถึงช่วงนี้นายสมศักดิ์รีบตัดบทไม่ให้ชี้แจงต่อไป เพราะเมื่อสมาชิกขอให้ยุติ
เรื่องนี้และไม่ให้บันทึกในที่ประชุม ตนก็ทำตามที่ร้องขอแล้ว ทำไมต้องพยายามพูดถึง
กันอีก
       
 อย่างไรก็ตาม นายธนิตพล ไชยนันท์ ส.ส.ตาก พรรคประชาธิปัตย์ เลขานุการวิปฝ่าย
ค้าน ได้ขอให้อนุญาตให้นายณัฏฐ์ได้ชี้แจงเพื่อให้เกิดความชัดเจน ทำให้นายสมศักดิ์
ยอมเปิดโอกาสให้นำเรื่องนี้มาพูดในสภาอีกครั้ง โดยนายณัฏฐ์ได้ชี้แจงว่า เมื่อเกิดเหตุ
การณ์ภาพไม่เหมาะสมปรากฏในที่ประชุมสภา ได้มีหลายคนมาสอบถามตนจำนวน
มากผ่านช่องทางต่างๆ เช่น โซเชียลมีเดีย บางคนก็มีการกระเซ้าเย้าแหย่ มีการส่ง
รูปมาให้ดูและสอบถาม บางรูปตนก็ได้เปิดดูภาพ ถือเป็นเหตุความผิดพลาด และก็ได้
ชี้แจงคนตั้งคำถามให้เกิดข้อเท็จจริง ตนยอมรับว่าบุคคลในภาพนั้นเป็นตน แต่เมื่อ
ได้อธิบายไปตนก็ปิดภาพดังกล่าว
สส.ปชป."ณัฏฐ์ บรรทัดฐาน"รับดูภาพโป๊ในมือถือกลางที่ประชุมรัฐสภา
แต่เพื่อลบทิ้งอ้างได้รับแท็กจากเอฟบี 

        โพสต์ทูเดย์รายงานว่า นายณัฏฐ์ สาเหตุที่ยกโทรศัพท์ขึ้นมาก็เพื่อลบภาพ 
เนื่องจากได้รับแท็กมาทางเฟซบุ๊กอีกต่อหนึ่งซึ่งเพราะประชาชนสอบถามเข้า
มาว่า เป็นภาพที่ปรากฎบนจอโทรทัศน์ ในการประชุมรัฐสภาระหว่างมีการประชุม
หรือไม่
       "เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน และป้องกันการเข้าใจผิดจึงขอชี้แจง ประเด็นนี้ต่อ
ท่านประธาน" นายณัฏฐ์ กล่าว 
       ไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่า นายณัฏฐ์ กล่าวยืนยัน กับทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ 
กรณีภาพโป๊วาบหวิว นางแบบสาวชาวเอเชีย ที่หลุดขึ้นจอโปรเจ็กเตอร์ ระหว่าง
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เหตุเกิดเมื่อวานที่ผ่านมา ว่า ภาพดังกล่าว ไม่ใช่
ภาพของตน เป็นแต่เพียงมีกลุ่มบุคคลบางกลุ่มส่งภาพโป๊ดังกล่าวเข้ามาใน 
ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก หรือในวอชแอพส่วนตัว เพื่อสอบถามถึงเหตุการณ์ดังกล่าว 
ตนจึงได้ชี้แจงไปตามที่สมควร และบางข้อความที่ไม่เหมาะสมก็ลบทิ้งไปก็เท่านั้น 
แต่ยอมรับก็มีฟอร์เวิร์ดส่งต่อๆ กันไปบ้าง  และกรณีที่มีสื่อมวลชนถ่ายภาพได้ ว่า
ตนเองเปิดมือถือส่วนตัว ดูภาพดังกล่าวอยู่ ขอชี้แจงว่า มันไม่ใช่อย่างที่คิดเป็น
เพราะมีคนส่งภาพดังกล่าวเข้ามาแล้วตนเองจึงเปิดดู และตอบคำถามที่มี
ผู้ส่งเข้ามาก็เท่านั้น ยืนยันไม่มีอะไรเป็นอย่างอื่น
         อย่างไรก็ตาม นายณัฏฐ์ ยังกล่าวต่อว่า ภาพดังกล่าวหลุดออกมาจากห้องโสตฯ
ที่รัฐสภา เจ้าหน้าที่ต้องรับผิดชอบไป ซึ่งตนในฐานะ ส.ส.คงไม่เกี่ยวข้องแต่อย่าง
ใด

คดีพลิกไม่ใช่ลูกอีดี้กลายเป็นลูกหยัด

          ทั้งนี้เมื่อวานนี้เว็บไซต์ASTVผู้จัดการ นำเสนอภาพข่าวส.ส.รายหนึ่งกำลังดู
ภาพโป๊ในมือถือ และมีความเห็นต่อท้ายข่าวชี้นำไปทำนองว่าบุคคลในภาพ
น่าจะเป็นนายต่อพงษ์ ไชยสาส์น ส.ส.พรรคเพื่อไทย ลูกชายนายประจวบ 
ไชยสาส์น และมีการประณามตามเฟซบุ๊คและทวิตเตอร์ของเครือข่ายที่ต่อ
ต้านรัฐบาล ทั้งผู้สนับสนุรพรรคประชาธิปัตย์ พันธมิตร สลิ่มอย่างแพร่หลาย 
แต่ล่าสุดนายณัฏฐ์ ลูกชายนายบัญญัติ บรรทัดฐาน นักการเมืองอาวุโสพรรค
ประชาธิปัตย์ออกมายอมรับว่าเป็นตัวเขาเอง
http://redusala.blogspot.com