วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556

นกรู้! "ครรชิต" หมอรามาฯหนีม็อบหมามุ่ย ร่อนหนังสือยอมรับมีมือที่3ผสมโรง


นกรู้! "ครรชิต" หมอรามาฯหนีม็อบหมามุ่ย ร่อนหนังสือยอมรับมีมือที่3ผสมโรง

             24 ตุลาคม 2556 go6TV - นพ.ครรชิต ลิขิตธนสมบัติ แพทย์โรคหัวใจ โรงพยาบาลรามาธิบดี ที่ประกาศจะระดมมวลชน ต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรม ในวันเสาร์ที่ 26 ต.ค.2556 เวลา 16.30น.ได้ส่งหนังสือชี้แจงมายังสื่อมวลชน ขอยกเลิกการเดินทางชุมนุมต่อต้านร่างพรบ.นิรโทษกรรม โดยระบุว่า

         "แรกเริ่มเดิมทีพวกเราชักชวนกันเฉพาะเพื่อนๆไม่กี่คนเรื่องไม่เห็นด้วยกับนิรโทษกรรมแบบสุดซอย แต่มีคนไปโพสต์ในสื่อ online. แล้วตั้งผมเป็นแกนนำ ปรากฎว่าข่าวไปเร็วมากจนมีข่าวว่าคนจะมาร่วมจำนวนมาก ผมก็ตกใจ พอมีคนมาเตือนเรื่องมือที่สาม ผมเลยต้องยกเลิก จริงไม่จริงไม่ทราบ แต่ผมเป็นหมอมีหน้าที่ทำให้คนหายจากความเจ็บป่วย แต่ถ้ามีคนมาแล้วได้รับบาดเจ็บแม้แต่คนเดียวเพราะมีชื่อผมเป็นคนนำ ผมจะรู้สึกเสียใจไปตลอดชีวิตครับ เลยขอยุติการนัดหมาย"


            ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ เว็บไซท์ของ คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้โพสต์ข้อความอ้างอิงหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ บิดเบือนข่าวว่า "หมอรามาฯฮือสมทบอุรุพงษ์" จนเป็นเหตุที่ นพ.ครรชิต แจ้งความไว้ที่ สน.บางพลัด เนื่องจากทำให้เสียชื่อเสียง ทั้งต่อตนเองและหน่วยงาน

ชิ่งหนีสุดฤทธิ์! "ครรชิต" หมอรามาฯ ปัดเอี่ยวม็อบหมามุ่ย



            24 ตุลาคม 2556 go6TV - พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) กล่าวถึงกรณีมีภาพปรากฏทางโชเชียลมีเดีย กรณีปรากฏภาพ น.พ.ครรชิต ลิขิตธนสมบัติ หมอโรคหัวใจ ร.พ.รามาธิบดี จะระดมมวลชน ต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรม ในวันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม 2556 เวลา 16:30 น. เพื่อไปสมทบกับกลุ่มผู้ชุมที่แยกอุรุพงษ์ ว่า ล่าสุด น.พ.ครรชิต ได้ปฏิเสธว่า "ข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริง และตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง" พร้อมได้เดินทางไปแจ้งความไว้ที่ สน.บางพลัด เนื่องจากทำให้เสียชื่อเสียง ทั้งต่อตนเองและหน่วยงาน ยืนยันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการชุมนุมทางการเมือง และไม่ได้มีการนำมวลชนเข้าร่วมการชุมนุม แต่เป็นการนำชื่อไปแอบอ้างเท่านั้น

           ทั้งนี้ โฆษก ศอ.รส. ได้เตือนไปยังประชาชน ก่อนที่จะโพสต์ หรือแชร์ข้อความต่อ ควรตรวจสอบข้อมูลที่แท้จริง เพราะจะเสี่ยงต่อการกระทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เรื่องการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ ซึ่งมีโทษจำคุก 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ไทยโศกเศร้าทั้งแผ่นดิน! "สมเด็จพระสังฆราช" สิ้นพระชนม์ เวลา ๑๙.๓๐น.


ไทยโศกเศร้าทั้งแผ่นดิน! "สมเด็จพระสังฆราช" สิ้นพระชนม์ เวลา ๑๙.๓๐น.


           วันที่ 24 ตุลาคม 2556 (go6TV) แถลงการณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เรื่อง พระอาการประชวนของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ฉบับที่ ๙

          วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษารายงานว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระอาการโดยรวมทรุดลง ได้สิ้นพระชนม์ลงแล้ว เมื่อเวลา ๑๙.๓๐ น. นาฬิกาของวันนี้ สาเหตุเนื่องจากการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต

จึงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน

โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

๒๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖


พระประวัติ
สมเด็จพระญาณสังวร  สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


          (สุวัฑฒนมหาเถระ เจริญ คชวัตร) วันที่ ๓ ตุลาคม เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งของปวงพุทธศาสนิกชนชาวไทย เป็นวันคล้ายวันประสูติของเจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์พระประมุขแห่งสังฆมณฑลและปวงพุทธศาสนิกบริษัทของไทย เมื่อวาระดิถีเช่นนี้เวียนมาถึง จึงเป็นที่ปลื้มปีติและเป็นโอกาสที่ปวงพุทธศาสนิกชนจะได้ถวายมุทิตาสักการะ และถวายพระกุศล ถวายพระพร เพื่อความเป็นสิริมงคลตามประเพณีนิยม

         เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (สุวัฑฒนมหาเถระ) มีพระนามเดิมว่า เจริญ นามสกุล คชวัตร ทรงมีพระชาติภูมิ ณ จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๕๖ ทรงบรรพชาเป็นสามเณรเมื่อพระชนมายุ ๑๔ พรรษา ณ วัดเทวสังฆาราม กาญจนบุรี แล้วเข้ามาอยู่ศึกษาพระปริยัติธรรม ณ วัดบวรนิเวศวิหาร จนพระชนมายุครบอุปสมบท และทรงอุปสมบท ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๗๖ โดยสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวง วชิรญาณวงศ์ ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ประทับอยู่ศึกษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ตลอดมาจนกระทั่งสอบได้เป็นเปรียญธรรม ๙ ประโยค เมื่อ พุทธศักราช ๒๔๘๔

           เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร ทรงดำรงสมณศักดิ์มาโดยลำดับดังนี้ ทรงเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ พระราชาคณะชั้นราช และพระราชาคณะชั้นเทพ ในราชทินนามที่ พระโศภณคณาภรณ์ ทรงเป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมวราภรณ์ ทรงเป็นพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรองที่ พระสาสนโสภณ ทรงเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระญาณสังวร และทรงได้รับพระราชทานสถาปนาเป็น สมเด็จพระสังฆราช ในราชทินนามที่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๒ นับเป็นสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

           เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร ทรงเป็นผู้ใคร่ในการศึกษา ทรงมีพระอัธยาศัยใฝ่รู้ใฝ่เรียนมาตั้งแต่ทรงเป็นพระเปรียญ โดยเฉพาะในด้านภาษา ทรงศึกษาภาษาต่าง ๆ เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน จีน และ สันสกฤต จนสามารถใช้ประโยชน์ได้เป็นอย่างดี กระทั่งเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ พระอุปัชฌาย์ของพระองค์ทรงเห็นว่า จะเพลินในการศึกษามากไป วันหนึ่งทรงเตือนว่า ควรทำกรรมฐานเสียบ้าง เป็นเหตุให้พระองค์ทรงเริ่มทำกรรมฐานมาแต่บัดนั้น และทำตลอดมาอย่างต่อเนื่อง จึงทรงเป็นพระมหาเถระที่ทรงภูมิธรรมทั้งด้านปริยัติและด้านปฏิบัติ

          เนื่องจากทรงรอบรู้ภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี จึงทรงศึกษาหาความรู้สมัยใหม่ด้วยการอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ ทั้งทางคดีโลกและคดีธรรม เป็นเหตุให้ทรงมีทัศนะกว้างขวาง ทันต่อเหตุการณ์บ้านเมือง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการสั่งสอนและเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก เป็นเหตุให้ทรงนิพนธ์หนังสือทางพระพุทธศาสนาได้อย่างสมสมัย เหมาะแก่บุคคลและสถานการณ์ในยุคปัจจุบัน และทรงสั่งสอนพระพุทธศาสนาทั้งแก่ชาวไทยและชาวต่างประเทศ

           ในด้านการศึกษา ได้ทรงมีพระดำริทางการศึกษาที่กว้างไกล ทรงมีส่วนร่วมในการก่อตั้งมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งแรกของไทย คือมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยมาแต่ต้น ทรงริเริ่มให้มีสำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อฝึกอบรมพระธรรมทูตไทยที่จะไปปฏิบัติศาสนกิจในต่างประเทศ

          ทรงเป็นพระมหาเถระไทยรูปแรกที่ได้ดำเนินงานพระธรรมทูตในต่างประเทศอย่าง เป็นรูปธรรม โดยเริ่มจากทรงเป็นประธานกรรมการอำนวยการสำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่าง ประเทศเป็นรูปแรก เสด็จไปเป็นประธานสงฆ์ในพิธีเปิดวัดไทยแห่งแรกในทวีปยุโรป คือวัดพุทธปทีป ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ทรงนำพระพุทธศาสนาเถรวาทไปสู่ทวีปออสเตรเลียเป็นครั้งแรก โดยการสร้างวัดพุทธรังษีขึ้น ณ นครซิดนีย์ ทรงให้กำเนิดคณะสงฆ์เถรวาทขึ้นในประเทศอินโดนีเซีย ทรงช่วยฟื้นฟูพระพุทธศาสนาเถรวาทในประเทศเนปาล โดยเสด็จไปให้การบรรพชาแก่ศากยะกุลบุตรในประเทศเนปาลเป็นครั้งแรก ทำให้ประเพณีการบวชฟื้นตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่งในเนปาลยุคปัจจุบัน ทรงเจริญศาสนไมตรีกับองค์ทะไล ลามะ กระทั่งเป็นที่ทรงคุ้นเคยและได้วิสาสะกันหลายครั้ง และทรงเป็นพระประมุขแห่งศาสนจักรพระองค์แรกที่ได้รับทูลเชิญให้เสด็จเยือน สาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการในประวัติศาสตร์จีน

            เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร ทรงปฏิบัติพระกรณียกิจทั้งภายในประเทศและต่างประเทศเป็นเอนกประการ ทรงเป็นนักวิชาการและนักวิเคราะห์ธรรมตามหลักการของพระพุทธศาสนา ที่เรียกว่า ธัมมวิจยะ หรือธัมมวิจัย เพื่อแสดงให้เห็นว่า พุทธธรรมนั้นสามารถประยุกต์ใช้กับกิจกรรมของชีวิตได้ทุกระดับ ตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปจนถึงระดับสูงสุด ทรงมีผลงานด้านพระนิพนธ์ทั้งที่เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษจำนวนกว่า ๑๐๐ เรื่อง ประกอบด้วยพระนิพนธ์แสดงคำสอนทางพระพุทธศาสนาทั้งระดับต้น ระดับกลาง และระดับสูง รวมถึงความเรียงเชิงศาสนคดีอีกจำนวนมาก ซึ่งล้วนมีคุณค่าควรแก่การศึกษา สถาบันการศึกษาของชาติหลายแห่งตระหนักถึงพระปรีชาสามารถและคุณค่าแห่งงานพระ นิพนธ์ ตลอดถึงพระกรณียกิจที่ทรงปฏิบัติ จึงได้ทูลถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์เป็นการเทิดพระเกียรติหลายสาขา

           นอกจากพระกรณียกิจตามหน้าที่ตำแหน่งแล้ว เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร ยังได้ทรงปฏิบัติหน้าที่พิเศษ อันมีความสำคัญยิ่งอีกหลายวาระ กล่าวคือ ทรงเป็นพระอภิบาลในพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน เมื่อครั้งเสด็จออกทรงพระผนวช เมื่อพุทธศักราช ๒๔๙๙ พร้อมทั้งทรงถวายความรู้ในพระธรรมวินัยตลอดระยะเวลาแห่งการทรงพระผนวช ทรงเป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อครั้งเสด็จออกทรงผนวชเป็นพระภิกษุ เมื่อพุทธศักราช ๒๕๒๑

           เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร ทรงดำรงตำแหน่งหน้าที่สำคัญทางการคณะสงฆ์ในด้านต่าง ๆ มาเป็นลำดับ เป็นเหตุให้ทรงปฏิบัติพระกรณียกิจเป็นประโยชน์ต่อพระศาสนา ประเทศชาติ และประชาชน เป็นเอนกประการ นับได้ว่าทรงเป็นพระมหาเถระที่ทรงเพียบพร้อมด้วยอัตตสมบัติและปรหิตปฏิบัติ และทรงเป็นครุฐานียบุคคลของชาติ ทั้งในด้านพุทธจักรและอาณาจักร

บิ๊กบัง' แจงหนุน'นิรโทษฯ' เพราะมองบ้านเมืองเป็นหลัก ยอมถูกตำหนิ เพราะบ้านเมืองสำคัญกว่า


'บิ๊กบัง' แจงหนุน'นิรโทษฯ' เพราะมองบ้านเมืองเป็นหลัก ยอมถูกตำหนิ เพราะบ้านเมืองสำคัญกว่า

          25 ตุลาคม 2556 go6TV - พล.อ.สนธิ บุญยรัตนกลิน ส.ส.พรรคมาตุภูมิ ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ระบุว่า สาเหตุที่สนับสนุนการแก้ไขมาตรา 3 ในร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ ให้สามารถนิรโทษกรรมทุกคนทุกฝ่ายนั้น เนื่องจากมีความปรารถนาดี มองผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก ซึ่งยอมถูกตำหนิจากผู้ที่ไม่เห็นด้วยเนื่องจากบ้านเมืองสำคัญกว่า และการตรากฎหมายก็เป็นไปตามกระบวนการของรัฐสภา ไม่อยากให้มองว่าทุกเรื่อง เป็นการทำเพื่อคนเพียงคนเดียว วันนี้บ้านเมืองกำลังวิกฤติ ถ้ามัวแต่ทะเลาะกันอยู่แล้วจะเกิดอะไรขึ้น รวยขนาดไหน พิเศษขนาดไหน ก็ต้องตายเหมือนกันหมด แต่บ้านเมืองยังอยู่



กลุ่มญาติวีรชน 53 หนุน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม

          กลุ่มญาติวีรชน 53 หนุน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับกรรมาธิการ เสียงข้างมาก ระบุ ยอมอภัยแม้เจ็บปวด เพื่อหวังให้ประเทศเดินหน้า

          วันที่ 25 ตุลาคม 2556 กลุ่มญาติวีรชน ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 2553 นำโดย นายสมชาย เจียมพล บิดา นายทิมเนตร เจียมพล ร่วมแถลงข่าวสนับสนุน ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ที่กรรมาธิการปรับแก้ไข เนื้อหาในมาตรา 3 ให้นิรโทษกรรม ครอบคลุมทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง แม้จะรู้สึกขมขื่น และเจ็บปวด แต่ก็พร้อมจะละวางความรู้สึกนั้น เพื่อลดเงื่อนไขความขัดแย้ง และนำพาประเทศให้เดินต่อไปได้ ทั้งนี้เชื่อว่า การนิรโทษกรรมเป็นทางออกที่ดีที่สุด สำหรับสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ มากกว่า การคิดแค้นเอาคืนไม่จบสิ้น พร้อมเรียกร้องให้ฝ่ายค้าน อย่าหยิบยกประเด็นนี้มาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เพราะประเทศเสียหายมามากพอแล้ว นอกจากนี้ ขอให้รัฐบาลเร่งรัดกระบวนการเยียวยา เพื่อดูแลผู้ได้รับผลกระทบอย่างยุติธรรมและเหมาะสม แม้ว่าจะดำเนินการไปบ้างแล้ว

"ชัยเกษม" แฉธาตุแท้ "อภิสิทธิ์" ขวางนิรโทษ เพราะ กลัวทักษิณกลับ


"ชัยเกษม" แฉธาตุแท้ "อภิสิทธิ์" ขวางนิรโทษ เพราะ กลัวทักษิณกลับ


           24 ตุลาคม 2556 go6TV - นายชัยเกษม นิติสิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตั้งข้อสังเกตว่าการที่กระทรวงยุติธรรมออกมาสนับสนุนพรบ.นิรโทษกรรมไม่เหมาะสม ว่า ในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมมีคนคาดหวังกับตนมาตลอดว่าตนจะสามารถทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยไปได้ ซึ่งเรื่องนี้มันไม่ได้อยู่ในอำนาจกระทรวงยุติธรรมเลย และตนไม่ได้พูดในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม แต่พูดตามความเห็นว่า ถ้าเรื่องนี้สามารถทำได้ ก็น่าจะทำให้มันเกิดความเข้าใจกันและมันน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า ฝ่ายค้านคงจะกลัวว่าถ้ารัฐบาลมีการออกพรบ.นิรโทษออกมาแล้วท่านทักษิณ ชินวัตร จะกลับมาแล้วตัวเองจะไม่ได้ผุดได้เกิด เขาจึงไม่อยากให้กลับมา และเป็นเรื่องของผลประโยชน์ของพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าตนพูดตรงกับผลประโยชน์ของพรรคประชาธิปัตย์เขาคงเชียร์ตน แต่ถ้าตนพูดไม่ตรงกับผลประโยชน์ของเขาก็ไม่เชียร์ ซึ่งตนมองว่าจะต้องตัดเรื่องผลประโยชน์ของพรรคออกไปและมองถึงภาพรวมสังคม

          พรรคประชาธิปัตย์คงทำปากแข็งไปอย่างนั้นว่าไม่อยากให้มีการนิรโทษกรรม การออกพรบ.นิรโทษกรรมน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด จะไปรอให้ค้นหาความจริง แล้วจะมีอะไรดีขึ้น เพราะก็ต้องไปดำเนินคดีอีก แล้วก็จะต้องมีคนที่ไม่พอใจขึ้นมาอีกมากมาย แล้วสังคมส่วนรวมจะได้อะไร นอกจากได้ความขัดแย้งขึ้นมาอีก กว่าคดีจะจบอีกบ้านเมืองก็เดินต่อไปไม่ได้ ดังนั้นต้องนิรโทษกรรมให้กับทุกคน

         ส่วนกรณีมีโพลสำรวจความเห็นประชาชนไม่เห็นด้วยนั้น โพลไปถามใคร ถามประชาชนกี่คน ถามว่าอย่างไร ใครเป็นคนทำ ซึ่งการทำโพลไม่ได้ถามประชาชนทั้งประเทศ ดังนั้นตนอยากให้คนที่คัดค้านมองถึงผลประโยชน์ส่วนร่วมเพื่อให้กลับไปนับหนึ่งใหม่กลับไปสู่ความเรียบร้อย แต่ทุกอย่างจะให้คนเห็นพล้องกันหมดและจะให้ทุกคนได้ประโยชน์ทุกคนโดยไม่มีใครเสียอะไรเลย คงจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นถ้าเห็นว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ดีและจะให้เกิดความสงบเรียบร้อยก็กรุณาเสียสละในส่วนที่ตัวเองต้องเสียไปหรือถ้ามีทางอื่นที่ดีกว่าดีก็เสนอมา

"พิชิต" ซัดศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจก้าวล่วง ยัน "นิรโทษกรรม" ไม่ใช่ พ.ร.บ.การเงิน


"พิชิต" ซัดศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจก้าวล่วง ยัน "นิรโทษกรรม" ไม่ใช่ พ.ร.บ.การเงิน


          25 ตุลาคม 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพิชิต ชื่นบาน ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ กล่าวยืนยันว่าร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม มิใช่ร่าง พ.ร.บ.เกี่ยวด้วยการเงิน โดยเห็นว่าแม้ว่า ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 142-143 จะกำหนดให้นายกรัฐมนตรีลงนามรับรองในร่าง พ.ร.บ. ที่มีลักษณะเป็นร่าง พ.ร.บ.เกี่ยวด้วยการเงินที่ ส.ส. เสนอสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร แต่โดยสาระสำคัญในเนื้อหาของร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมโดยนายประยุทธ์ ศิริพาณิชย์) กรรมาธิการและกรรมาธิการเสียงข้างมากมีมติเห็นชอบ หรือร่างนิรโทษกรรม(ส.ส.วรชัย) ไม่เป็นร่าง พ.ร.บ.ที่มีลักษณะเป็นร่าง พ.ร.บ.เกี่ยวด้วยการเงิน เนื่องจากในเนื้อหาของร่างกฎหมายในลักษณะนี้ ไม่มีข้อความใดที่ปรากฏว่ากำหนดให้จัดสรร หรือจ่ายเงินแผ่นดิน หรือโอนงบประมาณแผ่นดิน (มาตรา 143 อนุ 2) ให้แก่บุคคลหนึ่งบุคคลใดโดยเฉพาะเจาะจง และร่างฯนี้ ไม่ได้ระบุจำนวนเงินว่า ต้องคืนให้กับใครเป็นจำนวนเท่าใด

        นายพิชิต กล่าวอีกว่า "สำหรับข้ออ้างของฝ่ายค้านที่ไม่เห็นด้วย โดยอ้างบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 143 อนุ 3 ในเรื่องการดำเนินการที่ผูกพันทรัพย์สินของรัฐน่าจะหมายถึง ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งก่อสร้างที่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน และทรัพย์สินต่างๆ ขององค์กร หน่วยงานของรัฐ แต่มิใช่รูปแบบของเงินแผ่นดินซึ่งมีบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และกฎหมายเฉพาะว่าด้วยการจ่ายเงินแผ่นดิน หรือเงินแผ่นดินตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 143 อนุ 2 บัญญัติไว้อีกทั้งถ้อยคำที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 143 อนุ 3 ที่ระบุว่า “การดำเนินการที่ผูกพันทรัพย์สินของรัฐ” น่าจะหมายถึงการจัดทำนิติกรรมที่ผูกพันทรัพย์สินของรัฐเท่านั้น แต่การดำเนินการเพื่อจัดทำร่างกฎหมาย หรือตรากฎหมายของรัฐสภา มิใช่เรื่องการจัดทำนิติกรรม และตามที่กล่าวมา ร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่มีมาตราใด บัญญัติให้จัดสรร หรือจ่ายเงินแผ่นดิน หรือโอนงบประมาณแผ่นดินให้กับใคร เป็นจำนวนเท่าใด ดังนั้นร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้จึงไม่ใช่ร่าง พ.ร.บ.ที่มีลักษณะเป็นร่าง พ.ร.บ.เกี่ยวด้วยการเงิน"

        ส่วนกรณีที่ฝ่ายค้าน ยังติดใจเห็นว่าร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับ ที่มีการแก้ไขโดยการแปรญัตติ หรือร่างของ ส.ส.วรชัยฯ เป็นร่าง พ.ร.บ.ที่มีลักษณะเป็นร่าง พ.ร.บ.เกี่ยวด้วยการเงินในเรื่องนี้ รัฐธรรมนูญ มาตรา 143 วรรคสอง-วรรคสี่ หรือมาตรา 144 วรรคหนึ่ง-วรรคสอง ได้ให้อำนาจของฝ่าย “รัฐสภา” โดยที่ประชุมร่วมกันของประธานรัฐสภา และประธานคณะกรรมาธิการสามัญของสภาผู้แทนราษฎรทุกคณะเป็นผู้วินิจฉัย และ คำวินิจฉัยของฝ่ายสภาผู้แทนราษฎร ถือเป็นที่สุด ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจในการก้าวล่วง มาตรวจสอบว่าร่างกฎหมายใด เป็นร่างกฎหมายเกี่ยวกับการเงินหรือไม่อีก เพราะตามรัฐธรรมนูญ บัญญัติให้เป็นอำนาจของฝ่ายรัฐสภาในการชี้ขาด

ชาวเน็ตสุดทน! แนะต้นสังกัดจ่อฟันวินัย "ตำรวจอยากดัง" ขึ้นปราศรัยม็อบสวนลุมฯ


ชาวเน็ตสุดทน! แนะต้นสังกัดจ่อฟันวินัย "ตำรวจอยากดัง" ขึ้นปราศรัยม็อบสวนลุมฯ



          25 ตุลาคม 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่าผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตจำนวนมาก ต่างโพสต์ข้อความแสดงความไม่พอใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเวทีปราศรัย "ม็อบเสธ.อ้าย2" บริเวณสวนลุมพินี เมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา มีผู้อ้างตัวว่าเป็นตำรวจที่ยังอยู่ในราชการ ชื่อ พ.ต.ท.สุภวัฒน์ สุปิยะพาณิชย์ สวมเครื่องแบบเต็มยศโผล่ขึ้นเวทีปราศรัย พร้อมอ้างว่า จะนัดชุมนุมตำรวจในวันอาทิตย์นี้ ที่หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ช่วงเวลา 9.00น.

           ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตบางส่วนวิพากษ์วิจารณ์ การกระทำดังกล่าวของ พ.ต.ท.สุภวัฒน์ สุปิยะพาณิชย์ ว่าไม่เหมาะสม รวมทั้งแนะนำ "กองบัญชาการตำรวจนครบาล" รวบรวมหลักฐานส่งต้นสังกัด เพื่อให้ดำเนินคดีทางวินัยกับ พ.ต.ท.สุภวัฒน์ สุปิยะพาณิชย์ ที่ขึ้นเวทีปราศรัย "ม็อบเสธ.อ้าย2" พร้อมชี้ว่าแม้จะไม่เป็นความผิดวินัยร้ายแรง แต่ก็เป็นความผิดวินัยชัดเจน และอยากให้รัฐบาลเร่งตรวจสอบในเรื่องดังกล่าวด้วย ขณะที่ผู้สันทัดกรณีตั้งข้อสังเกตว่า "ต้องดูว่าหากไปขึ้นเวที โดยแต่งชุดตำรวจหรือใช้เวลาในการทำงานขึ้นเวทีก็ถือว่าไม่เหมาะสม เพราะตำรวจต้องทำตัวเป็นกลาง ซึ่งมีความผิดตามระเบียบเรื่องแต่งกายตำรวจ และหากมีการพูดหมิ่นก็ผิดกฎหมายอาญา"

ASTV มั่ว! กุข่าว คืนเงินทักษิณ ทีมกฏหมายเพื่อไทยยัน นิรโทษไม่ใช่กฏหมายการเงิน


ASTV มั่ว! กุข่าว คืนเงินทักษิณ ทีมกฏหมายเพื่อไทยยัน นิรโทษไม่ใช่กฏหมายการเงิน


            26 ตุลาคม 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากที่หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการ สุดสัปดาห์ ฉบับฉบับล่าสุด พาดหัวหน้า1 บิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อเสี้ยมให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯโดยทำภาพกราฟิกระบุว่า "ต้ม(ยำ)แดง เงินกูอยู่ไหน" พร้อมภาพปกเป็นรูป พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี, นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี, พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์

           ล่าสุด นายพิชิต ชื่นบาน ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯกล่าวยืนยันว่าร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม มิใช่ร่าง พ.ร.บ.เกี่ยวด้วยการเงิน โดยเห็นว่าแม้ว่า ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 142-143 จะกำหนดให้นายกรัฐมนตรีลงนามรับรองในร่าง พ.ร.บ. ที่มีลักษณะเป็นร่าง พ.ร.บ.เกี่ยวด้วยการเงินที่ ส.ส. เสนอสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร แต่โดยสาระสำคัญในเนื้อหาของร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมโดยนายประยุทธ์ ศิริพาณิชย์) กรรมาธิการและกรรมาธิการเสียงข้างมากมีมติเห็นชอบ หรือร่างนิรโทษกรรม(ส.ส.วรชัย) ไม่เป็นร่าง พ.ร.บ.ที่มีลักษณะเป็นร่าง พ.ร.บ.เกี่ยวด้วยการเงิน เนื่องจากในเนื้อหาของร่างกฎหมายในลักษณะนี้ ไม่มีข้อความใดที่ปรากฏว่ากำหนดให้จัดสรร หรือจ่ายเงินแผ่นดิน หรือโอนงบประมาณแผ่นดิน (มาตรา 143 อนุ 2) ให้แก่บุคคลหนึ่งบุคคลใดโดยเฉพาะเจาะจง และร่างฯนี้ ไม่ได้ระบุจำนวนเงินว่า ต้องคืนให้กับใครเป็นจำนวนเท่าใด

          นายพิชิต กล่าวอีกว่า "สำหรับข้ออ้างของฝ่ายค้านที่ไม่เห็นด้วย โดยอ้างบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 143 อนุ 3 ในเรื่องการดำเนินการที่ผูกพันทรัพย์สินของรัฐน่าจะหมายถึง ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งก่อสร้างที่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน และทรัพย์สินต่างๆ ขององค์กร หน่วยงานของรัฐ แต่มิใช่รูปแบบของเงินแผ่นดินซึ่งมีบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และกฎหมายเฉพาะว่าด้วยการจ่ายเงินแผ่นดิน หรือเงินแผ่นดินตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 143 อนุ 2 บัญญัติไว้อีกทั้งถ้อยคำที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 143 อนุ 3 ที่ระบุว่า “การดำเนินการที่ผูกพันทรัพย์สินของรัฐ” น่าจะหมายถึงการจัดทำนิติกรรมที่ผูกพันทรัพย์สินของรัฐเท่านั้น แต่การดำเนินการเพื่อจัดทำร่างกฎหมาย หรือตรากฎหมายของรัฐสภา มิใช่เรื่องการจัดทำนิติกรรม และตามที่กล่าวมา ร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่มีมาตราใด บัญญัติให้จัดสรร หรือจ่ายเงินแผ่นดิน หรือโอนงบประมาณแผ่นดินให้กับใคร เป็นจำนวนเท่าใด ดังนั้นร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้จึงไม่ใช่ร่าง พ.ร.บ.ที่มีลักษณะเป็นร่าง พ.ร.บ.เกี่ยวด้วยการเงิน"

          ส่วนกรณีที่ฝ่ายค้าน ยังติดใจเห็นว่าร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับ ที่มีการแก้ไขโดยการแปรญัตติ หรือร่างของ ส.ส.วรชัยฯ เป็นร่าง พ.ร.บ.ที่มีลักษณะเป็นร่าง พ.ร.บ.เกี่ยวด้วยการเงินในเรื่องนี้ รัฐธรรมนูญ มาตรา 143 วรรคสอง-วรรคสี่ หรือมาตรา 144 วรรคหนึ่ง-วรรคสอง ได้ให้อำนาจของฝ่าย “รัฐสภา” โดยที่ประชุมร่วมกันของประธานรัฐสภา และประธานคณะกรรมาธิการสามัญของสภาผู้แทนราษฎรทุกคณะเป็นผู้วินิจฉัย และ คำวินิจฉัยของฝ่ายสภาผู้แทนราษฎร ถือเป็นที่สุด ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจในการก้าวล่วง มาตรวจสอบว่าร่างกฎหมายใด เป็นร่างกฎหมายเกี่ยวกับการเงินหรือไม่อีก เพราะตามรัฐธรรมนูญ บัญญัติให้เป็นอำนาจของฝ่ายรัฐสภาในการชี้ขาด