อดีตรมว.คลัง ยัน ‘โครงการรับจำนำข้าวเปลือก’ คุ้มค่าทั้งทางเศรษฐกิจ-สังคม ผ่านตัวทวีคูณ ชี้ภาษีสรรพสามิตเก็บสินค้าฟุ่มเฟือย หากยอมรับ ‘รถคันแรก’ ไม่ใช่ก็ไม่ควรเก็บ
10 ก.ย. 2558 กิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘
กิตติรัตน์ ณ ระนอง’ ชี้แจงกรณี "โครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล" และ "โครงการรถยนต์คันแรก" หลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา วิจารณ์ทั้ง 2 โครงการว่าสร้างความเสียหายกับรัฐและเศรษฐกิจ
กิตติรัตน์ กล่าวว่า ได้ทราบความเห็นดังกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยความประหลาดใจในความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอย่างมากต่อ โครงการทั้ง 2 ซึ่งตนคาดเดาว่าที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับฟังข้อมูลที่บิดเบือนจากทีมเศรษฐกิจชุดก่อน ที่ตนเคยให้ฉายาว่า รำไม่ดี โทษปี่โทษกลอง ซึ่งก็เป็นชุดที่ถูกท่านปลดออกไปหมาดๆ การปลดดังกล่าวเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เพราะไม่มีฝีมือในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ ให้ประเทศสามารถบรรลุวัตถุประสงค์หลักทางเศรษฐกิจ 3 ประการ อันได้แก่ (1) การเจริญเติบโต (2) ความมีเสถียรภาพของราคา และ (3) การกระจายรายได้ของประชาชน แล้วใช้วิธีแก้ตัว ด้วยการเอาแต่โยนความผิดให้รัฐบาลก่อน จนเกิดความเข้าใจผิดอย่างฝังใจมาจนถึงวันนี้
ยัน ‘จำนำข้าว’ คุ้มค่าทั้งทางเศรษฐกิจ-สังคม ผ่านตัวทวีคูณ
กิตติรัตน์ กล่าวถึงโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ว่า เป็นโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาล ที่มุ่งดูแลชาวนาที่เป็นกระดูกสันหลังที่กำลังผุกร่อนของชาติ โดยมีจำนวนชาวนาที่ได้รับประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมของโครงการฯ จำนวนถึงกว่า 3.7 ล้านครัวเรือน หรือคิดเป็นประชากรกว่าร้อยละ 23 ของประชากรทั้งประเทศ การรับจำนำข้าวในราคาที่ถูกกล่าวหาว่าสูงเกินสมควรนั้น ถือว่าไม่สูงเลยเมื่อเทียบกับต้นทุนการผลิต และรายได้สุทธิ ที่พวกเขาชาวนาผู้มีพระคุณของเราควรได้รับ แม้ว่า นโยบายสาธารณะที่สำคัญนี้จะต้องจัดสรรงบประมาณรายปี เข้าชดเชยโครงการฯ ที่ดูเหมือนจะมากสักหน่อย ก็ยังอยู่ในกรอบเพียงประมาณร้อยละ 5 ของงบประมาณประจำปีเท่านั้น จึงเป็นโครงการที่คุ้มค่าเพราะสามารถช่วยกลุ่มคนรายได้น้อยที่สุดในภาคเกษตรกรรม ได้ถึงร้อยละ 23 ให้พอลืมตาอ้าปากได้ ตัวเลขห้าแสนล้านที่ถูกหยิบขึ้นมากล่าวอ้างราวกับว่าเป็นภาระความเสียหายนั้น แท้ที่จริงเป็นเพดานเงินหมุนเวียน ที่ใช้ดูแลโครงการฯ มาแล้วถึง 5 ฤดูการผลิต โดยยังมีข้าวในคลังที่มีมูลค่าหลายแสนล้านบาทที่ยังไม่ได้จำหน่ายออกไป การระบายข้าวที่มีความล่าช้าเกินสมควรจนเกิดเป็นต้นทุนที่เพิ่มเติมขึ้นมานั้น รัฐบาลนี้ควรตรวจสอบการดำเนินงานว่าเกิดอะไรขึ้นที่ทำให้การระบายข้าวของโครงการฯ มีความล่าช้าเป็นอย่างมากในช่วงระยะเวลาปีเศษที่ผ่านมา และเดาว่าทีมเศรษฐกิจชุดเดิมคงไม่เคยใส่ใจที่จะอธิบายถึงประโยชน์ และความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากกลไกของตัวทวีคูณ (Multiplier Effect) ผ่านหลักการการบริโภคเมื่อรายได้ดีขึ้น (Marginal Propensity to Consume) ทำให้เศรษฐกิจรวมของประเทศ ขยายตัวได้ปีละกว่า 3 แสนล้านบาทในปี 2555 ถึงปี 2556 หรือคิดเป็น ร้อยละ 2.7 ถึง 2.8 ของ GDP ของประเทศ
ซึ่งแปลว่าผู้คนทุกภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจล้วนได้รับประโยชน์โดยถ้วนทั่ว โครงการรับจำนำข้าวเปลือก เป็นโครงการที่ดี และมีความคุ้มค่าทั้งทางเศรษฐกิจ และสังคม ภายใต้การบริหารการเงินและการคลังที่มีวินัยอย่างดี ทั้งในประเด็นระดับหนี้สาธารณะ และการบริหารงบประมาณของรัฐบาล
ภาษีสรรพสามิตเก็บสินค้าฟุ่มเฟือย หากยอมรับ ‘รถคันแรก’ ไม่ใช่ก็ไม่ควรเก็บ
สำหรับโครงการรถคันแรก นั้น กิตติรัตน์ กล่าวว่า เคยอธิบายแล้วหลายครั้ง ทั้งในช่วงที่ยังอยู่ในหน้าที่ รัฐมนตรีคลัง และเมื่อหมดหน้าที่แล้ว เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง แต่เมื่อยังคงมีความเข้าใจผิดอยู่ ตนก็มีหน้าที่ต้องอธิบายอีกครั้ง
โครงการนี้ นอกจากจะช่วยส่งเสริมโรงงานประกอบรถยนต์ ขนาดคันเล็กๆ ที่ประหยัดการใช้พลังงานให้ลงหลักปักฐานในประเทศไทย แทนที่จะยกขบวนไปอยู่ประเทศอื่นหลังน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 แล้ว ยังช่วยให้ผู้คนจำนวนหนึ่งสามารถมีรถยนต์ ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยที่ห้าของชีวิตเป็นของตนเองได้ในราคาสุทธิที่ไม่สูงนัก ด้วยการที่รัฐ มอบคืนภาษีสรรพสามิต ที่ผู้ซื้อรถเป็นคันแรกของชีวิต และต้องเป็นรถขนาดเล็กสมแก่ฐานะอันไม่ฟุ่มเฟือยเท่านั้น ให้ได้รับคืนภาษีฯ ในจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินหนึ่งแสนบาท จากค่าภาษีฯ ที่ตนเองชำระไว้เต็มจำนวนเมื่อแรกซื้อ กลับคืนไปเมื่อถือครองใช้ประโยชน์ของรถครบหนึ่งปีเต็ม ไม่นำไปขายต่อให้กับคนอื่น ภาษีที่เสียดายหนักหนานั้น ไม่ใช่เงินภาษีของกองกลางที่ไหนสักหน่อย ก็ภาษีของผู้ซื้อรถเองที่จ่ายมาให้รัฐ เมื่อตัดสินใจซื้อรถ ตามโครงการฯ รัฐบาลก็เอาเงินค่าภาษีสรรพสามิตของเขาดังกล่าว มาถือรอข้ามปีเพื่อดูใจว่า คนซื้อฯ ซื้อรถไว้ใช้เองจริง มิได้นำไปขายต่อเอากำไรพิเศษ กับใครทั้งนั้น ขออธิบายให้หายข้องใจอีกด้านว่า โดยหลักการแล้ว ภาษีสรรพสามิต เป็นภาษีสำหรับสินค้าฟุ่มเฟือยเท่านั้น หากเรายอมรับว่ารถคันเล็กๆ ไม่ใช่สิ่งฟุ่มเฟือย เราก็ไม่ควรไปเก็บภาษีคนซื้อ แต่รัฐบาลในเวลานั้นเห็นว่าควรค่อยๆ ทำเป็นขั้นเป็นตอน แทนที่จะยกเลิกภาษีสรรพสามิตรถคันเล็กๆ ไปเสียเลย ก็ให้ดำเนินการ แบบมีเงื่อนไขว่าเป็นผู้ใช้รถจริง ไม่ใช่ผู้ค้ารถ และมีการซื้อไปเพื่อใช้เพียงคันเดียว มิใช่มีใช้กันคนละหลายคันจนล้นเหลือเกินแก่ความสมถะอันสมควร และเมื่อรัฐบาลรับภาษีสรรพสามิต ของพวกเขามาเข้าคลังไว้เป็นปี ถึงคราวจ่ายคืนก็ย่อมต้องตั้งงบประมาณประจำปีของปีถัดไปจ่ายคืนค่าภาษีสรรพสามิต ของเขา กลับไป อย่าไปเสียดายเลยครับ เราไม่ควรเก็บมาตั้งแต่แรกเสียด้วยซ้ำ คนเขาซื้อรถเล็กๆ เป็นครั้งแรกในชีวิต ไม่ใช่ความฟุ่มเฟือยหรอกครับ ถ้าฟุ่มเฟือยจริง ต้องมีหลายคัน แต่ละคัน หรูๆ หราๆ
กิตติรัตน์ มองว่า พล.อ.ประยุทธ์ คงเข้าใจผิดคิดว่ารัฐบาลต้องไปเอารายได้ภาษีจากกองกลางมาจ่ายให้คนซื้อรถคันแรก ตามโครงการฯ จนคนซื้อฯ เหล่านั้นเปรมปรีดิ์ ขอย้ำเงินที่คืนเป็นเงินของเขาที่รัฐเก็บมาทั้งๆ ที่ไม่ควรต้องเก็บ
“ไม่มีใครหรอกครับที่มีความอุตสาหะ ไปซื้อรถคันแรกมาจอดไว้ เพียงเพื่อหวังจะเอาเปรียบรัฐบาลด้วยการได้รับเงินของตนเองคืน” กิตติรัตน์ กล่าว
ประยุทธ์ ติง 'รถคันแรก' สร้างดีมานเทียม แต่คนซื้อยังขับไม่เป็น
สำหรับข้อวิจารณ์ทั้ง 2 โครงการดังกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ นั้น
Voice TV รายงานว่า เมื่อวันที่ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ พูดในฐานะประธานในพิธีมอบรางวัลองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง โดยตอนหนึ่งกล่าวว่า วันนี้ต้องปรับรูปแบบการบริหารราชการแผ่นดินใหม่ โดยรัฐบาลจะเป็นผู้อำนวยความสะดวก ลดขั้นตอน เริ่มต้น จากนั้นเอกชนต้องไปเดินต่อคู่ขนานกันไป ถ้าแบบนี้จะทำให้ไปเร็วขึ้น ถ้ารัฐมัวแต่ลงทุนจะเอาเงินที่ไหน หาเงินก็ยังไม่ได้ ถ้าลงทุนอีกก็จะเป็นหนี้ผูกพัน หนี้สาธารณะ รัฐบาลนี้จะลงทุนเฉพาะเท่าที่จำเป็น อาจจะต้อมีกู้บ้าง เพราะที่ผ่านมามีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หลายอย่าง ต้องแก้ปัญหาชดใช้หนี้ไป
พล.อ.ประยุทธ์ บอก ไม่อยากจะพูดว่าคดีไหน คดีที่หนักที่สุดคือโครงการรับจำนำข้าว ถ้าไม่หยุดวันนี้จะเป็นหนี้อีกเท่าไหร่ ทำไป 2 ปีถ้าไม่หยุดทำ จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ กระทบที่ละ 5 แสนเกิดความเสียหายมากมาย รับจำนำมาตันละ 15,000 ซึ่งราคาตลาดมันไม่ถึงอยู่แล้ว เอาล่ะช่วยประชาชนผมไม่ว่า แต่เอามาแล้วจำหน่ายได้ไหม ขายใครได้ไหม ต้นทุน 15,000 บาท วันนี้กลายเป็น 2 หมื่นกว่าบาท และก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็น 3 หมื่น เพราะต้องมีค่าคลังเก็บรักษา ค่าเจ้าหน้าที่ดูแล แต่ผมให้โอกาสเพราะให้เกียรติคนทำงาน เพราะไม่มีใครที่จะแก้ปัญหานี้ได้
นอกจากคนที่อยู่ในกระบวนการที่รับรู้ และผมก็ไว้ใจ ไม่ต้องกลัว ทำไปให้ดีที่สุด ทุกเรื่อง และเรื่องที่เสียหายมากอีกคือรถคันแรก เดือดร้อนไปหมด เป็นการสร้างดีมานเทียม บางคนซื้อยังขับรถไม่เป็น แต่จองไว้เพื่อเอาเงินแสน เสียเงินไป 8 หมื่นกว่าล้าน ธุรกิจรถยนต์เสียหาย เพราะทุกอย่างบิดเบือน พล.อ.ประยุทธ์กล่าว