ทหาร แจงใช้หลักเมตตาธรรมและนิติธรรมเหตุการณ์ "สามเหลี่ยมดินแดง-รางน้ำ http://www.internetfreedom.us/thread-18227-post-188279.html#pid188279 นักข่าวเทศ แจง คอป.ยันกระสุนที่"สามเหลี่ยมดินแดง-รางน้ำ"มาจากทหาร ขนาด"แดง"โดนยิง จนท.ไม่ช่วยสุดท้ายตาย ที่ห้องประชุมสำนักงานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความ จริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ในการประชุมครั้งที่ 8 วันที่ 22 มีนาคม 2554 นายรัษฎา มนูรัษฎา ทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุมโครงการรับฟังข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ เหตุการณ์ความไม่สงบจากทุกฝ่าย (Hearing) ได้นำกรณีความรุนแรงสามเหลี่ยมดินแดง ซอยรางน้ำ ราชปรารภ ระหว่างวันที่ 13-19 พฤษภาคม 2554 นายพงษ์ไทย วัฒนาวณิชย์ ช่างภาพหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ นายนิก นอสติทซ์ (Nick Nostitz) นักข่าวอิสระชาวเยอรมัน นายเอกชัย ดวงพาวัง ผู้เสียหายในเหตุการณ์ มีอาชีพขับมอเตอร์ไซด์รับจ้างอยู่บริเวณซอยโรงพยาบาลเดชา นายบรรฑูรย์ กันจันทึก ผู้เสียหายอีกคน ซึ่งมีอาชีพขับมอเตอร์ไซด์รับจ้างบริเวณประชาสงเคราะห์ 11 มานาน 10 ปี นายพลวัฒน์ สุขเจริญ เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยจากป่อเต๊กตึ๊ง (อ่านรายละเอียดคำให้การต่อ ด้านล่างค่ะ...) =================================================== มาฟังคำชี้แจงบ้าง...จะแถว่ายังไง?... พ.ท.เอกรัตน์ ช้างแก้ว รองผู้บัญชาการ กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ มาทางที่ พ.ท.เอกรัตน์ ช้างแก้ว รองผู้บัญชาการ กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ ชี้แจงภารกิจในพื้นที่สามเหลี่ยมดินแดง ประตูน้ำ ถนนราชปรารภ ซอยรางน้ำ ว่า ได้ตั้งจุดตรวจแข็งแรงขึ้นมาเพื่อป้องกัน การซุกซ่อนอาวุธเข้าไปในพื้นที่การชุมนุม และคัดแยกผู้ชุมนุมไม่ให้เข้าพื้นที่ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยภารกิจ เริ่มตั้งแต่วันที่ 8-13 พ.ค. 2553 ซึ่งในวันที่ 12 พ.ค. 2553 มีเหตุการณ์ยิง M-79 ใส่แอร์พอร์ตลิ้งค์ และวันที่ 15 พ.ค. 2553 ผู้ชุมนุมได้ขโมยกระสอบทรายบังเกอร์ของทหารไป และตอนบ่ายมีการชุมนุมกันมากขึ้น ที่ประตูน้ำ สะพานจตุรทิศ จึงได้ขอกำลังสนับสนุนเพิ่ม คลี่คลายสถานการณ์ และได้ส่งรถน้ำมา แต่ระหว่างทางถูกผู้ชุมนุมยึดรถน้ำสีเขียวไป รถทหารถูกเผาไป 1 คัน และได้ยึดปืนจากทหารไป 2 กระบอก ต่อมาได้คืนมา 1 กระบอกจากผู้ชุมนุมราชประสงค์ และมีนายทหารได้รับบาดเจ็บ 3 นาย จากนั้นจึงได้วางกำลัง 2 จุดหลังปั๊มเอสโซ่ สองข้างถนน พอตกตอนค่ำลงจะมีเสียงปืนดังขึ้นเป็นระยะ เป็นเสียงปืนเล็กยาว ยิงเข้ามาในฐานบัญชาการ และมีเสียงระเบิด M-79 เข้ามาตอนเช้า และมีนายทหารคนหนึ่งถูกยิงที่ขาด้วย RPG บริเวณโรงแรมอินทรา แต่ลูกปืนไม่ทำงาน รองผู้บัญชาการ กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ กล่าวต่อว่า ในช่วงปฏิบัติการณ์มีแหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในตอนเที่ยงคืนของวันที่ 14 พ.ค. 2553 มีรถตู้เช่าวิ่งฝ่าด่านแนวเครื่องกีดขวาง บริเวณโรงแรมอินทรา ทางเจ้าหน้าที่ทหารได้ทำการเตือน แต่รถตู้ไม่ยอมหยุด ทหารจึงได้ปฏิบัติการใช้กำลัง ด้วยการยิงที่ล้อ แต่ทางรถตู้ก็ไม่หยุด จนกระทั่งมีการใช้กระสุนจริง M 16 ยิงยับยั้ง จนคนขับรถได้รับบาดเจ็บ ซึ่งต่อมานายสมร ไหมทอง คนขับรถตู้ ให้การว่าไม่ทราบว่ามีการตั้งด่านของทหาร จากเหตุการณ์นี้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และตลอดทั้งคืนจนถึงรุ่งเช้ามีเสียงปืนดังตลอดเวลา พ.ท.เอกรัตน์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ภารกิจในการป้องกันกลุ่มผู้ชุมนุมแล้ว ยังได้ช่วยเหลือคุ้มครองประชาชน นักการทูต แพทย์ พยาบาล ออกจากพื้นที่อย่างปลอดภัย และในวันที่ 22 พ.ค. 2553 ได้เข้าไปตรวจค้นอาคารสูงโดยรอบ เพราะที่ผ่านมาทหารต้องใช้ความระมัดระวัง ในการข้ามถนน ต้องใช้การวิ่งซิกแซก จากการตรวจค้นยึดของกลางเป็นสิ่งของ คล้ายระเบิดเพลิง และปลอกกระสุนที่โรงแรมใกล้เคียง ในวันที่ 23 พ.ค. 2553 หลังจากเหตุการณ์กลับมาสู่ภาวะปกติ เจ้าหน้าที่ได้เคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่และขนเครื่องกีดขวางออกทั้งหมด ซึ่งหลักในการทำงานที่ผ่านมา คือ ใช้เมตตาธรรมและนิติธรรม ส่วน พ.อ.ธรรมนูญ วิถี ตัวแทนจากกองทัพภาคที่ 1 ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ได้รับการแจ้งจาก นปช. ว่ามีคนแต่งกายคล้ายทหารอยู่ในตึก จึงขออนุญาตศอฉ. ตรวจค้น พบว่า ที่ชั้น 17 หรือ 18 ของอาคารชีวาทัย พบระเบิดแสวงเครื่อง ระเบิดปิงปอง ส่วนโรงแรมเซ็นจูรี่ พบปลอกกระสุนปืน ทางด้าน พ.ต.ท.ถิรพล พิณเมืองงาม ตัวแทนจากกรมสอบสวนคดีพิเศษแจ้งว่า ระหว่างวันที่ 14-19 พ.ค. 2553 ที่ถนนราชปรารภมีผู้เสียชีวิต 20 ศพ แต่กรมสอบสวนคดีพิเศษส่งคืนให้ สน.พญาไท 3 คดี เพื่อสอบสวนเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม ตอนท้ายของการประชุม ผู้มาชี้แจงต่างบอกว่าไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมีแต่การสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน เครดิต http://www.matichon.co.th/news_detail.ph...&subcatid= แบบนี้เหรอ.. คุ้มครอง แพทย์ พยาบาล ใช้เมตตาธรรมและนิติธรรมเหรอ...ไอ้ทะเ ี้ย...ในวัดมันยังยิง..ไม่ใช่คนแล้ว... Sniper Fire and Dead in Wat Pathuwanaram, Bangkok, May 19th, 2010 ทหารกระหน่ำยิงประชาชนมือเปล่าที่ด่านซอยรางน้ำ May15 '2010 สื่อนอกแพร่ภาพยิงสยอง ศพเกลื่อนรางน้ำ ดินแดง |
ดาวน์โหลดคลิ๊ปคนเสื้อแดง
วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2554
โฉนดชุมชน หมอประเวศ-อานันท์ และรัฐบาลอภิสิทธิ์http://thaienews.blogspot.com/2011/03/blog-post_9412.htmlโดย ไกรก้อง กูนอรลัคขณ์ 3 มีนาคม 2554 การเคลื่อนไหวของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย เพื่อให้มีการกระจายการถือครองไม่ให้มีการกระจุกตัวของที่ดินทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด และได้เสนอทางเลือกในการจัดการที่ดินในรูปแบบใหม่”โฉนดชุมชน” ซึ่งไม่เน้นความเป็นกรรมสิทธิ์ของปัจเจกชนและกรรมสิทธิ์ของรัฐแต่ให้ความสำคัญกับการจัดการที่ดินโดยกลุ่ม โดยชุมชน ประเวศ วะสี และอานันท์ ปันยารชุน หัวหน้าคณะกรรมการปฏิรูปฯ ก็ได้เสนอให้มีการจำกัดการถือครองที่ดิน นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เองก็เคยประกาศนโยบายที่จะเก็บภาษีที่ดินที่ก้าวหน้า และโฆษณาประชาสัมพันธ์ในการทำโฉนดชุมชนที่มี สื่อทีพีบีเอส เป็นกระบอกเสียง เสมือนว่า มีการทำโฉนดชุมชนเกิดทั่วขอบเขตประเทศไทย ทั้งๆทำได้น้อยนิดมาก เป็นการหลอกลวงคนดูโดยสื่อเสรีก็ว่าได้ เนื่องเพราะไม่พูดข้อเท็จจริงทั้งหมดตามแบบอย่างที่สื่อมักทำเป็นประจำ หรือพูดเพียงน้อยนิดให้เป็นน้ำจิ้มมากกว่าเจาะลึก หรือแฉการโกหกมดเท็จของรัฐบาล ดูเหมือนทุกอย่างลงตัว ดูเหมือนใครๆก็เห็นด้วยกับการปฏิรูปที่ดิน กระจายการถือครองที่ดิน จำกัดการถือครองที่ดิน แต่ทำไม เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ได้ชุมนุมประท้วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ร่วมแรมเดือน อดตาหลับขับตานอน ตากแดดตากฝน อดทนกับความยากลำบาก เพื่อต่อสู้ให้บรรลุเป้าหมาย ในด้านหนึ่ง อาจบอกได้ว่า เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทยทวงสัญญาที่นายกรัฐมนตรีรับปาก แต่ไม่กระทำการณ์ หรือนายกรัฐมนตรีก็ใช้สำนวนโวหารเหมือนที่เป็นมาในหลายเรื่องหลายราวแต่ไม่ปฏิบัติจริงสักที หรือนายกฯใช้ภาษาที่นิ่มนวล บุคคลิกที่ดูดี แต่ธาตุแท้อาจจะคนละเรื่องก็ได้ ต้องพิสูจน์การที่ปฏิบัติจริงรูปธรรมที่เป็นจริง เหมือนดั่งป้ายประท้วงของเครือข่ายปฎิรุปที่ดินแห่งประเทศไทยที่ว่า ‘โฉนดชุมชน เพื่อคนจน รัฐบาลตอแหลไม่แน่จริง” ใครหลายคนก็เคยเห็น ประเวศ วะสี และอานันท์ ปันยารชุณ เสนออะไรดีๆ เพ้อๆ ฝันๆต่อสังคมในการแถลงข่าว ในห้องสัมนนา ณโรงแรมหรูๆ ใช้งบประมาณไม่พอเพียงเป็นแน่ ครั้งนี้ประเวศ และอานันท์ ก็มีข้อเสนอให้มีการจำกัดการถือครองที่ดินต่อรัฐบาลที่ทั้งสองหนุนช่วยหนุนหลังอยู่ แม้จะเพิ่งผ่านโศกนาฎกรรมสังหารหมู่ประชาชนคนเสื้อแดงก็ตาม และไม่เคยเคลื่อนไหวเลยให้หาคนฆ่าคนสั่งฆ่ามาดำเนินการตามกฎหมายให้เกิดความยุติธรรมที่เขาทั้งสองชอบท่องเอ่ยต่อสังคมเป็นประจำ แต่ข้อเสนอก็คงว่างเปล่า รัฐบาลไม่ดำเนินการตามข้อเสนอ และ ประเวศ วะสี และอานันท์ ปันยารชุณ ก็คงหาเรื่องใหม่ๆมาทำ พร้อมเสนอต่อรัฐบาลอีกครา และแน่นอนว่า งบประมาณทั้งหลายนั้นต้องมาจากรัฐบาลเป็นแน่แท้ในการกระทำการ อันที่จริง ประเวศ วะสี อานันท์ ปันยารชุณ ก็น่าจะเริ่มต้นเป็นตัวอย่างให้ใครต่อใคร โดยการนำที่ดินที่ตัวเองและเครือญาติ หรือคนในส่วนแวดวงตนเอง ที่มีใกล้ชิดอยู่ มาปฏิรูปเป็นแบบอย่างให้ใครต่อใครจะดีไหมละ ? มิใช่วันๆด่า เอาแต่พวกนักการเมือง และควรเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินต่อสาธารณะเหมือนเช่นนักการเมือง น่าจะตรงไปตรงมาดี ?ในฐานะนักการเมืองที่ไม่ชอบลงเลือกตั้ง ส่วนกระผมคิดเห็นว่า การกระจายการถือครองที่ดิน ย่อมแยกไม่ออกกับการพัฒนาประชาธิปไตยในบ้านเรา สังคมยิ่งเป็นประชาธิปไตย การกระจายการถือครองที่ดินย่อมมีมากขึ้น เนื่องเพราะว่า “ความเป็นประชาธิปไตย” ย่อมต้องเปิดเผยข้อมูล ย่อมต้องไม่ปกปิด ย่อมทำให้เห็นความแตกต่างความเหลือ่มล้ำของผู้มีอำนาจกับผู้ไร้อำนาจ ย่อมทำให้มีการตรวจสอบ ย่อมทำให้ไม่ปิดบัง ย่อมทำให้ไม่มีอภิสิทธิ์ชนใดๆ “ความเป็นประชาธิปไตย” จึงเป็นอนาคตในการปฏิรูปที่ดิน กระจายการถือครองที่ดินเหมือนเฉกเช่นการจำกัดการถือครองที่ดินที่เกิดขึ้นจริงในประเทศต่างๆ บนโลกใบนี้ |
"ราชินี" เสด็จฯทอดพระเนตรภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 3สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรภาพยนตร์ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 3 ตอน ยุทธนาวี ที่โรงมหรสพหลวง ศาลาเฉลิมกรุง เมื่อวันที่ 25 มีนาคม (ภาพข่าว:มติชนออนไลน์) โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์ 26 มีนาคม 2554 กระทู้เฉลิมไทย:ตำนานสมเด็จพระนเรศวรได้เรทอะไร ทำไมไม่มีเวปไหนแจ้งไว้ แม้แต่เวปเมเจอร์และเอฟเอสก็ไม่มี เมื่อวานได้ไปดู เรื่อง suckseed มา และ ได้เห็นตัวอย่างเรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งมีฉากที่ทหารใช้ดาบจ้วงแทงศัตรูจนทะลุ ซ้ำยังมีเลือดพุ่งออกมาเป็นที่น่าสยดสยองอย่างยิ่ง (ถ้าไปฉายที่อเมริกาได้เรท R แน่นอน นาทีที่ 0.30 โดนพม่าแทงข้างหลังหลังทะลุถึงหัวใจแบบนั้น ) จึงเกิดความสงสัยว่า แม้หนังเรื่องนี้จะถูกสนับสนุนจากกระทรวงวัฒนธรรม เป็นหนังที่ส่งเสริมให้เกิดความรักและสามัคคีของคนในชาติแต่เนื่องจากมีฉากรบราฆ่าฟันตลอดทั้งเรื่อง(จากที่เคยดู ภาค 1 และ ภาค 2) ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า หนังเรื่องนี้จะได้รับเรทอะไร จึงเข้าไปดูตามเวปต่างๆ เสริ์ทและค้นหา แต่กลับพบว่า ไม่มีเว็ปไหนให้ความกระจ่าง โดยเฉพาะ เมเจอร์ (ตามในรูป) ไม่มีแจ้งไว้ ส่วน เอสเอฟไม่มีแจงเรททุกเรื่อง ซึ่งจะแจงรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดเรทที่เพิ่งมีขึ้นในช่วง ปี 52 ไว้ดังนี้ 1. ภาพยนตร์ที่ส่งเสริมการเรียนรู้และควรส่งเสริมให้มีการดู 2. ภาพยนตร์ที่เหมาะสมกับผู้ดูทั่วไป 3. ภาพยนตร์ที่เหมาะสมกับผู้มีอายุตั้งแต่13 ปีขึ้นไป 4. ภาพยนตร์ที่เหมาะสมกับผู้มีอายุตั้งแต่15 ปีขึ้นไป 5. ภาพยนตร์ที่เหมาะสมกับผู้มีอายุตั้งแต่18 ปีขึ้นไป 6. ภาพยนตร์ที่ห้ามผู้มีอายุต่ำกว่า20 ปีดู (ยกเว้นผู้บรรลุนิติภาวะโดยการสมรส) 7. ภาพยนตร์ที่ห้ามเผยแพร่ในราชอาณาจักร ซึ่งที่ผ่านมา ภาพยนตร์ไทยและเทศได้ถูกจัดเรท โดยเราจะอ้างอิงเฉพาะเรื่องที่มีเนื้อหาคล้ายๆกัน เช่น ซามูไรอโยธยา ได้เรท ท. บางระจัน 2 ได้เรท น. 15+ องค์บาก 3 ได้เรท น.18+ จึงอยากรู้ว่า สำหรับภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรซึ่งถูกฉายในโรงภาพยนตร์ก็ต้องมีการจัดเรทเช่นเดียวกับหนังเรื่องอื่น แต่เท่าที่หาข้อมูลมาไม่มีที่ไหนเปิดเผยเลยว่า เรื่องนี้ได้รับเรทอะไร จึงทำให้สงสัยว่า หนังเรื่องนี้ได้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์เช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆที่ต้องฉายในโรงภาพยนตร์หรือไม่ แต่หากใครมีข้อมูลหรือมีเวปไหนที่แจ้งเกี่ยวกับเรทภาพยนตร์เรื่องนี้ ช่วยนำมาลงเพื่อเป็นข้อมูลให้ด้วยค่ะ **** ต่อมามีผู้ตอบกระทู้ว่า เว็บไหนๆก็บอกเรท R แค่เสิร์ชในในกูเกิ้ลก็เด้งขึ้นมาเต็มแล้วทำไม จขกท มองไม่เห็นนะ คห1 ก็สักแต่จะตินะ อย่างเว็บนี้ก็บอก เรทR http://www.nangdee.com/title/html/m1972.html จึงมีผู้แสดงความเห็นว่า rate R แล้วเกณฑ์เด็กประถม ไปดูเนี้ยนะ เขามีหลาย rate ให้ดูหรือเปล่า ต่อมามีข้อถกเถียงว่า ทางการยังไม่จัดเรต เป็นการจัดเรตเองของเวบไซต์ จึงมีผู้แสดงความเห็นว่า เรทที่มองไม่เห็น จากคุณ : F-MISSILE กระทู้เฉลิมไทยอีกกระทู้:คิดว่ารายได้ ตํานานสมเด็จนเรศวรมหาราช ภาค 3 จะผ่าน 150 ล้านได้หรือไม่ คำตอบบางส่วน อาจมีการเกณฑ์เด็กไปดู แค่เด็กห้องๆหนึ่งในแต่ละโรงเรียน ถ้าทำแบบภาคหนึ่ง ภาคสอง ********** เรื่องเกี่ยวเนื่อง:My best bodyguardหนังดีที่ล้มเหลวด้านรายได้ |
จริงหรือ ที่ประเทศไทยอยู่ในอุ้งมือของกลุ่ม “สะตอ”http://thaienews.blogspot.com/2011/03/blog-post_26.htmlโดย ปาแด งา มูกอ 26 มีนาคม 2554 ขึ้นชื่อบทความนี้ ท่านผู้อ่านส่วนมากคงจะร้องอ๋อทันที โดยเฉพาะพี่น้องชาวใต้ทั้ง 14 จังหวัด แต่สำหรับพี่น้องในภาคอื่นของประเทศรวมถึงพี่น้องในเมืองหลวง กทม. อาจจะไม่ทราบข้อเท็จจริง, ความเป็นมา จนนำไปสู่ของคำที่ว่า ประเทศไทยอยู่ในอุ้งมือของ “กลุ่มสะตอ” ผมขอลำดับความให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบ ดังนี้ครับ “ กลุ่มสะตอ” หรือ “สะตอสามัคคี” มันเป็นคำวลีทางการเมืองที่เรียกขาน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์ทางภาคใต้ ที่เพียบพร้อมไปด้วย “อัตตลักษณ์” ของความเป็น “ข่นไต๊” (ออกเสียงตามตัวอักษรน่ะครับสั้นๆเน้นๆ) โดยเฉพาะ ความเป็นอัตตลักษณ์ของคนใต้ ไม่ว่าความเป็นอยู่ ประเพณี วัฒนธรรม ความสมัครสมานสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ที่มีมาแต่โบราณกาล คนใต้เกินร้อยครับ ในเรื่องเหล่านี้ อัตตลักษณ์พิเศษข้อหนึ่งของคนใต้ ในอดีต เมื่อ 60 - 70 ปีก่อนโน้น (สมัยท่านเปรม ท่านชวน ยังวิ่งเล่นตามท้องทุ่งอยู่เลย) ผู้หลักผู้ใหญ่หรือพ่อแม่ที่มีฐานะดีหน่อยส่วนใหญ่ มักจะส่งลูกหลานให้ไปเรียนที่กรุงเทพฯ เพื่อให้เป็น “เจ้าคนนายคน” ไอ้ที่จะให้ลูกหลานเป็นเจ้าสัว เจ้าของโรงแรม รีสอร์ท สืบทอดวงศ์ตระกูล ก็จะเป็นของฝ่ายคนจีน อาทิเช่นตระกูล คุณอัญชลี วานิช (เทพบุตร)สุดที่รัก สปก.สี่ขีดศูนย์หนึ่ง (เป็นนามสกุลที่ยาวที่สุดในโลก) บังเอิญเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เพื่อนบ้านมาไหว้วานให้ผมช่วยพาลูกสาวแกไปสอบที่โรงเรียนใกล้ๆสะพานติณสูลานนท์ เพื่อเข้าเรียนต่อ เมื่อถึงโรงเรียน ขณะจอดรถใต้ต้นไม้ใหญ่เพื่อรอเจ้าหลานสาวมันสอบเสร็จ ก็ได้ยินเสียงพูดคุยกันระหว่างผู้เป็นแม่และลูกสาวที่มาสอบแข่งขันเหมือนกัน ได้ยินผู้เป็นแม่พูดกับลูกสาวว่า “อีสาว แม่ว่าเราไปกราบขอพรกับเทวรูปท่านเปรมกันก่อนดีมั้ยลูก ท่านจะได้ช่วยให้สอบได้ อยู่แค่นี้เองตีนสะพานติณฯ หน่ะ” พอผมได้ยินก็หันไปดู เห็นหน้าลูกสาวทำหน้าเมื่อยๆยังไงชอบกลแล้วเธอก็ตอบกับแม่ว่า “แหม่ เชยจังเขาเรียกรูปหล่อไม่ใช่เทวรูป ไม่มีใครเขาไปกราบไหว้ขอพรกันหร๊อก หนูไม่ไปน่ะ” “ เออๆตามใจเอ็ง เด็กสมัยนี้มันดื้อ มันไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ แม่ถูกหวยทุกงวดก็เพราะเทวรูปท่านเปรมนี่แหล่ะ”แม่ตอบ หลังจากลูกสาวลุกหนีเดินเข้าห้องสอบอย่างเร่งรีบ หลังสอบเสร็จ ผมก็เลยพาเจ้าลูกสาวเพื่อนบ้านไปนั่งทานขนมจีนริมถนนก่อนกลับบ้าน ระหว่างกำลังทานขนมจีน ก็ได้ยินการสนทนาของชาย 2 คนที่นั่งทานอยู่โต๊ะติดกัน คนแรกบุคคลิกแบบคนใต้เต็มร้อย คือดำ อ้วน เสียงดัง ส่วนอีกคนสุขุมหน่อย ชายคนดำพูดขึ้นด้วยเสียงที่ดังกลัวโต๊ะอื่นเขาไม่ได้ยินกับชายสุขุม ว่า “เห้ มึงเชื่อไม๊ พวกม๊อบแดงมันโค่นป๋าได้สำเร็จแหงๆ กูล่ะชอบไอ้เต้นจริงๆ มันหรอยหว่ะ ไอ้ตู่ก็ไม่เบาโคตรขุดคุ้ยจริงๆ YES แม่งแน่ฉิบฮ้าย”(ประโยคคำพูดดังกล่าวไม่ใช่หยาบน่ะครับ ทางใต้เขาพูดกันแบบนี้ครับ ยิ่งมีคำว่า Yes แม่ง ยิ่งรักกันมากครับ) ทุกโต๊ะต่างหันมามองเป็นตาเดียวกัน แล้วก็ได้แต่ยิ้มๆ ชายที่สุขุมก็ตอบกับเพื่อนอย่างเรียบๆว่า “กูว่ายากส์ คนอย่างป๋าไม่มีใครมาโค่นล้มได้ง่ายๆ แบคหน้าแกแข็งมากทั้งทหารตำรวจฝ่ายปกครอง ยิ่งแบคหลังแกยิ่งแข็งใหญ่ กูว่าไม่มีทางหวะ” ชายคนดำก็พูดสวนขึ้นทันทีว่า “เออ แล้วมึงคอยดูไป ใครจะอยู่ใครจะไป เดิมพันหนึ่งโต๊ะ ” ผมกลับมาถึงบ้าน หลังอาบน้ำดับความร้อนแล้ว ก็นึกขึ้นได้ว่า เออวันนี้เราได้ข้อมูลวัตถุดิบเกี่ยวกับเรื่องคนใต้มา 2 ประเด็น มันช่างเข้าเค้ากับเหตุการณ์ของบ้านเมืองในปัจจุบัน ก็เลยนึกหาคำตอบเผื่อเป็นข้อคิดให้ท่านผู้อ่านได้รับรู้และพิจารณาถึงความเป็นไปได้ ผมขอตั้ง ตุ๊กตาตัวแรก ขึ้นมาก่อน คือ เรื่องเทวรูปป๋าเปรมแผ่บารมียิ่งใหญ่ (จากสองแม่ลูกที่พูดคุยกัน) ผมยอมรับและชื่นชมด้วยใจจริง ครับว่า บารมีป๋าเปรมแกทั้งแข็งทั้งหนาจริงๆ สมัยเมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา ข้าราชการทุกหน่วยงานในภาคใต้ทั้งหมด โดยเฉพาะสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่ระดับนักการภารโรงยันไปถึง ปลัดอำเภอ นายอำเภอ ปลัดจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัด , ร้อยตรี ยันไปถึงนายพล จนถึงแม่ทัพภาค,ร้อยตำรวจตรี ยันไปถึง ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ทุกคนล้วนเป็น “ลูกป๋า” ใครไม่ใช่ “ลูกป๋า” ไม่มีสิทธิเติบโตในตำแหน่งงานในพื้นที่ภาคใต้แห่งนี้ สมัยก่อนเขาเรียกกันว่า “อาณาจักรลูกป๋า” จวบจนกระทั่งมาถึงรุ่นหลานป๋า,เหลนป๋าและโหลนป๋า ในปัจจุบัน ซึ่งบารมีก็ยังคงแข็งและยังคงหนาไม่มีสึกกร่อน ผมไม่ทราบว่าทางภาคอื่นของประเทศจะมีความมหัศจรรย์เหมือนทางภาคใต้หรือเปล่า ทีนี้ผมจะขอเรียบเรียงบารมีของป๋าก่อนน่ะครับว่า ที่ว่าแข็งและหนานั้น มีความเป็นมาอย่างไร พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีลำดับที่ 16 ของประเทศไทย ท่านครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีถึง 2 สมัย รวม 8 ปี สมัยแรก เข้ารับตำแหน่ง วันที่ 3 มีนาคม 2523 ถึง 5 สิงหาคม 2529 (แล้วก็ยุบสภาซ่ะ) สมัยที่สอง เข้ารับตำแหน่ง วันที่ 5 สิงหาคม 2529 ถึง 4 สิงหาคม 2531 (แล้วก็ยุบมันอีก) ท่านเปรม ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกและคนเดียวของโลก ในระบอบประชาธิปไตย โดยไม่ต้องลงเลือกตั้ง ไม่มีพรรคสังกัด ไม่เป็นหัวหน้าพรรคการเมือง แต่พรรคการเมือง อย่างพรรค ประชาธิปัตย์ ต้องโหวตและอัญเชิญท่านมาเป็นนายกรัฐมนตรี (เพื่อเป็นยันต์กันผี หรือไม้ตีหมาเผื่อมีการปฏิวัติเกิดขึ้น เพราะช่วงนั้น “กลุ่มยังเติร์ก” ยังแรงอยู่ ติดตามด้วย “กลุ่ม จปร.5” โดยพ่อบิ๊กสุ ที่กำลังแซงโค้งขึ้นมา) โดยที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตัวจริง เสียงจริง ออกเงินจริง (ท่านพิชัย รัตตกุล) ได้แต่เพียง นั่งทำตาปริบๆเป็นแม่สายบัวแต่งตัวรอเก้อไปถึง 8 ปี หากพูดถึง “ลูกป๋า” ซึ่งมีอยู่อย่างมากมายทั้งทางฝ่ายข้าราชการประจำ และทางฝ่ายการเมือง จะเติบโตในตำแหน่งหน้าที่กันแบบคู่ขนานกันมาโดยตลอด โดยเฉพาะสายการเมือง มี “ลูกป๋า” ท่านหนึ่งที่สามารถขึ้นไปสู่ถึงขั้นผู้นำประเทศในสายของ “กลุ่มสะตอ” ท่านผู้นั้นก็คือ ท่านชวน หลีกภัย นายชวน หลีกภัย ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ลำดับที่ 20 ของประเทศไทย ท่านชวนก็ครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 สมัยเช่นเดียวกับป๋าเปรม สมัยแรก เข้ารับตำแหน่ง วันที่ 23 กันยายน 2535 ถึง 13 กรกฎาคม 2538 (แล้วก็ยุบสภาซ่ะ) (แล้วเว้นวรรคไปเกือบ 2 ปี ให้ท่านบรรหาร ศิลปอาชา และท่าน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ผลัดกันชมตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไปคนละเกือบๆปี) สมัยที่สอง เข้ารับตำแหน่ง วันที่ 9 พฤศจิกายน 2540 ถึง 4 สิงหาคม 2544 (แล้วก็ยุบมันอีก) มันก็เป็นเรื่องที่แปลก,บังเอิญ หรือจงใจก็ไม่ทราบ ที่ท่านเปรมและท่านชวน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 สมัยและมีการยุบสภา 2 ครั้ง เหมือนกันยังกะแพะ และสิ่งที่ปาฏิหาริย์ที่สุด ท่านเปรมและท่านชวน ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีที่ยากจนที่สุด ยากจนยังไงครับ ก็ท่านเปรม ณ ปัจจุบันนี้ท่านยังต้องอาศัยอยู่บ้านหลวง ส่วนท่านชวนท่านก็ต้องเช่าบ้านอยู่ที่ซอยหมอเหล็ง (แต่น่าจะซี้อต่อแล้วมั้ง เจ้าของบ้านเขาอายเลยต้องจำใจขายให้) แต่กลับมีเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจที่สุด ที่บรรดาลูกพรรคประชาธิปัตย์ “สะตอสามัคคี” ทั้งหมด 99.99% กลับร่ำรวยเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี อัครมหาเศรษฐี และโคตรเศรษฐี กันอย่างทั่วหน้า ทั้งที่ก่อนหน้านั้นมีอาชีพเพียงขายขี้ยาง เป็นกำนันบ้านนอก,เป็นทนาย,เป็นข้าราชการ ธรรมดาๆ,บางคนก็เป็นตลกหน้าฉากหนังตะลุง แต่ปัจจุบัน ส.ส.พรรค ปชป.เหล่านี้ โคตรของโคตรรวยเลยครับ ทั้งหมดนี้ คือบารมีของป๋าในมวลหมู่ “สะตอสามัคคี” ภาคใต้ของประเทศไทย มาถึง ตุ๊กตาตัวที่สอง เรื่อง สะตอรุ่นใหม่กำลังจะโค่นสะตอรุ่นเก่า (จากการพูดคุยของสองสหาย) มันชักจะเข้าเค้าครับท่านผู้อ่าน ผมชักจะเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นมากขึ้น ว่า “ประเทศไทยที่มันเกิดวิกฤตปัญหามากมายในขณะนี้ ก็เพราะมันเกิดจากปัญหาคนใต้ด้วยกันทั้งน้าน ที่เก่งเย่งอำนาจกันเองเท้ๆ ” ท่านลองลำดับเหตุการณ์ตามผมน่ะครับ เริ่มจาก 1. กลุ่มพลังมวลชน นปช.แดงทั้งแผ่นดิน ที่มีบทบาทการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ทรงพลังมากที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา ในขณะนี้ แกนนำระดับแนวหน้าและโด่งดังไปทั่วโลก เป็น “ข่นไต๊” ทั้งหมด ไม่ว่า คุณวีระ,คุณจตุพร,คุณณัฐวุฒิ ที่ผมขอเรียกว่า “สะตอรุ่นใหม่” 2. เป้าหมาย การเคลื่อนไหว การเรียกร้อง การต่อสู้ พุ่งไปยังบุคคลที่กุมอำนาจสูงสุดในประเทศ(พล.อ.เปรม ตินณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ) ,กลุ่มบุคคลทางการเมือง ที่ครองอำนาจอยู่ในปัจจุบัน (พรรคประชาธิปัตย์) โดยเฉพาะ “กลุ่มสะตอสามัคคี” ซึ่งก็เป็น “ข่นไต๊” เช่นกัน ผมขอเรียกว่า “สะตอรุ่นเก่า” เอาล่ะครับชัดเจนแล้วน่ะครับ ทีนี้เรามาติดตามดูว่า จากเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ตั้งแต่สมัยป๋าเปรมเป็นนายกจากการลากตั้ง มา 2 สมัย จนกระทั่งขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นประธานองคมนตรี จนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยมีอะไรดีขึ้นบ้าง มีบุคคลใดหรือกลุ่มบุคคลใดกล้าที่จะต่อกรกับป๋าเปรม ทั้งๆที่รู้ว่าป๋าเปรมคุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดทั้งกำลังทางทหาร ข้าราชการ เผลอๆก็ตุลาการ นักการเมือง เศรษฐีเจ้าสัว ขนาดคุณทักษิณยังหงายเก๋ง มาแล้ว ก็เห็นแต่เพียง “สะตอรุ่นใหม่” กลุ่มนี้แหล่ะครับที่กล้าหาญชาญชัยเข้าต่อกรกับป๋าเปรม ขนาดยกแรกก็หงายเก๋งไปไม่ใช่น้อยทั้งวีรชนที่สูญเสียชีวิต 91 ท่าน บาดเจ็บเป็นพันๆ แกนนำต้องระเห็จไปสงบสติอารมณ์ในเรือนจำ แทนที่จะหลาบจำหรือยกธงขาว แน่ะ ดันมีก๊อกสองขึ้นมาอีก แบบนี้ไม่เรียกว่า “สะตอรุ่นเก่ายึดครองประเทศ VS สะตอรุ่นใหม่เปลี่ยนแปลงประเทศ” ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรดีแล้วครับ ผมขอฟันธง ว่า “สะตอรุ่นเก่า” จะกลับคืนสู่เหย้าไปเป็น “สะตอดอง” ในไม่ช้านี้ อย่ากระพริบตา Poste |
ความจริงอันน่าเจ็บปวดของคนไทยในญี่ปุ่น:ฐปณีย์ เอียดศรีไชย รายงาน...(ขอโทษหากทำให้ไม่พอใจ)http://thaienews.blogspot.com/2011/03/blog-post_3865.htmlข้อความจากทวิตของคุณฐปณีย์ เอียดศรีไชย นักข่าวโทรทัศน์ช่อง 3 ซึ่งอยู่ระหว่างไปทำข่าวผลกระทบจากแผ่นดินไหว สึนามิ และนิวเคลียร์ในญี่ปุ่น ทวิตสะท้อนความเป็นจริงที่แสนเจ็บปวดกับพี่น้องคนไทยที่ประสบพิบัติภัยในญี่ปุ่น โดย ฐปนีย์ เอียดศรีชัย ผู้สื่อข่าวโทรทัศน์ช่อง 3 ที่มา ทวิตเตอร์ thapanee3miti มาอยู่ญี่ปุ่น 10 วันได้เรียนรู้เรื่องการกินอย่างมีคุณค่า ยิ่งในยามอาหารขาดแคลนน้ำขวดเดียวก็มีค่า ข้าวปั้นก้อนเดียวก็อิ่มท้อง ยังย้ำความรู้สึกเดิมว่ารัฐไทยน่าจะช่วยเหลือคนไทยที่โดนแผ่นดินไหวและสึนามิมากกว่าคำว่าให้เป็นหนี้ค่าตั๋วเครื่องบินคนละ 63,000 บาท 1. ยังสงสัยว่างบ 200 ล้านบาทที่ครม.อนุมัติช่วยญี่ปุ่นเอาไปไหนหมด กรณีพี่นาพี่กรที่โดนสึนามิยังต้องหาเงินค่ารถเข้าโตเกียวเอง 2. สถานฑูตโตเกียวบอกให้นั่งรถมาเองแล้วค่อยมาเบิกเงิน จะทำไงก็เขาเหลือเลิน2คนรวมกันไม่ถึง 3 พันบาท 3. อย่าหาว่าทำเกินหน้าเมื่อข่าว 3 มิติให้เงินเป็นค่ารถเข้าโตเกียวส่วนค่าตั๋วกลับไทยก็ต้องเป็นหนี้ไปตามระเบียบ 4. ถามว่า แล้วเงินบริจาคที่ดาราช่วยกันนู่นนี่ตกลงจะช่วยคนญี่ปุ่นโดยไม่ช่วยคนไทยใช่ไหม 5. แยมก็เป็นแค่นักข่าวช่วยได้ก็แค่ทำข่าวแต่คงไม่มีกำลังในการแก้ปัญหานี้ หากรัฐไทยยังนิ่งเฉยอ้างแต่ระเบียบก็คงต้องทำใจกันต่อไป 6. จะจัดการอย่างไรหรือมีวิธีไหนก็ช่วยกันคิดเถอคะบอกตามตรงมาที่นี่10วันยังไม่เห็นรัฐไทยไปถึงคนไทยที่ประสบภัยสึนามิจริงๆสักคนเห็นไปก็แค่จังหวัดใกล้ๆโตเกียว เห็นใจว่าคนน้อยแต่มีหลายวิธีที่จะเข้าถึงไม่ใช่โทรไปแล้วถามว่าอยู่ได้ไหม ถามงี้ใครก็ต้องตอบว่าอยู่ได้ 7. งานนี้ขอทวิตแรงๆเพราะทนไม่ไหวแล้วจริงไม่รู้ทำไงรมต.ท่านใดfollowอยู่ก็ช่วยทีเถอค่ะอย่างน้อยคนไทย 9 คนที่แยมไปทำข่าวมาน่าจะสะท้อนไรได้บ้าง 8. พี่ลำภู อิชิโนมากิ บ้านโดนแผ่นดินไหวต้องต้มน้ำหิมะกิน บ้านไม่พัง ไม่กลับไทยก็จริง แต่ก็น่าจะมีของบริจาคไปช่วยเขา 9. พี่จอย อิชิโนมากิท้อง 5 เดือนถูกแผ่นดินไหวกลัวจตัวสั่นติดต่อไม่ได้ 12 วัน แม้ไม่กลับแต่คนท้องไม่กล้าเรียกร้องอะไรพี่เจี๊ยบ เป็นแม่บ้านโดนแผ่นดินไหวไม่มากก็จริงแต่ติดอยู่บนเขาไฟฟ้าไม่มี ข้าวไม่มี สามีและลูกญี่ปุ่นก็ไม่มีกิน ต้องช่วยเขา 10. พี่นุช อิชิโนมากิ ติดต่อมาวันที่แยมกำลังจะกลับไทยบอกว่ามีคนไทยโดนสึนามิต้องการความช่วยเหลือมากบ้านพังหมด 11. แยมขอ กลับไปอิชิโนมากิอีกครั้งนั่งรถ 10 ชม.ไปพบพี่นาบ้านพังจากสึนามิจริงเหลือเงินแค่หมื่นเยน = 3 พันบาท 12. พี่นาบอกว่าไปอยู่ศูนย์อพยพมา 5 วันแล้วมาอยู่บ้านน้องสามีซึ่งเต็มไปด้วยซากปรักหักพังส่วนบ้านพังราบเป็นหน้ากลองเหลือเก้าอี้ตัวเดียว 13. พี่นาพาไปพบพี่กรบ้านอยู่ติดท่าเรือถนนถูกตัดขาดเรือมากองหน้าบ้านเหลือเงิน 2 พันเยน = 600 บาทไปอยู่ศูนย์อพยพมา 3 วันโชคดีบ้านไม่พัง 14. พี่กรบอก 15 วันที่ผ่านมายังไม่มีไฟฟ้าไม่มีน้าได้ของทหารมาแจกแค่น้ำกับข้าวปั้น จึงอยากพาสามีกลับไทย นอนอยู่ในหมู่บ้านร้างมีแต่คนตาย 15. ถามว่าคนประสบภัยบ้านพังเงินไม่มี เอทีเอ็มกดไม่ได้เพราะธนาคารก็เสียหายทั้งเมืองรถไม่มีนำมันไม่มีไฟฟ้าโทรศัพท์ไม่ได้ไม่มีเน็ตเขาจะทำไง 16. ส่วนพี่ส้มนอนอยู่ในรถ 15 วันแล้ว อาศัยอาหารในศูนย์อพยพ เธอบอกยังกลับไม่ได้เพราะห่วงสามี และคงไม่มีเงินใช้หนี้ค่าตั๋วก็ต้องอยู่แบบนี้ไปก่อน 17.ยังไม่นับรวมพี่เบียร์พี่นิดพี่กิ่งพี่จอยพี่อ้อยที่ฟุกะชิมะคนเหล่านี้ต้องนับถือใจเขาเพราะเขาไม่อยากทิ้งครอบครัวญี่ปุ่นที่กำลังลำบาก 18. วันนี้จะหาว่าแรงก็ยอมเพราะไม่รู้ทำไงเรามันก็แค่นักข่าวจนๆเงินจะกินช้าวก็ไม่มี ไม่ได้ใจใหญ่หรืออยากได้อะไรแต่ไม่เข้าใจสังคมไทย 19. สังคมไทยบ้าเห่อ พอเกิดเหตุอะไรก็ช่วยกันบริจาค ทำcsrกันใหญ่แต่คิดไหมว่าจะช่วยกันอย่างไรให้เขายืนได้ไม่ใช่แบมือขอ 20. ยังย้ำว่าที่พูดมาทั้งหมดคนไทยที่ญี่ปุ่นไม่ได้ร้องขอแต่มาจากความรู้สึกส่วนตัวไม่ได้ต้องการอะไรแค่ขอให้ฉุกคิดกันบ้าง 21. แยมไม่ใช่พวกหน้าใหญ่ใจโตบางทีทำข่าวช่วยไรเขาไปไม่อยากออกข่าวแต่บางทีก็จำเป็นให้สังคมได้เห็นบ้างว่าเรื่องจริงเป็นยังไง 22. เอาง่ายๆแค่ตั๋วรถทัวร์มาโตเกียว ขอให้รัฐจองบัตรเครดิตให้พีกรพี่นา ยังไม่จองให้เขา แต่บอกว่าให้จ่ายไปก่อนแล้วมาเบิก ก็เขาไม่มีเงินง่ะทำไง 23. สุดท้ายก็ทำได้เท่านี้พูดมากไปก็เข้าตัว เดี๋ยวก็งานเข้า แต่อดไม่ได้จริงๆขออภัยทุกท่านที่กวนใจและกวนตีนพรุ่งนี้กลับไทยแล้วสบายใจได้ สิ่งที่เสนอไปก็เพียงแค่เห็นคนไทยบริจาคเงินมากมายเป็นไปได้ไหมจะจัดสรรมาช่วยคนไทยที่เดือดร้อนบ้าง หมดเวลาแล้วแค่นี้ก่อนนะคะ ขอบคุณและขอโทษอีกครั้งหากทำให้หลายคนไม่พอใจไม่มีเจตนาอื่นใดจริงๆ สวัสดีจากญี่ปุ่นค่ะ ว่าแล้วงานเข้าแต่เช้า ขอน้อมรับทุกคำวิจารณ์ของทุกๆท่านค่ะ คนๆนี้รับได้ทุกสถานการณ์ |
รัฐบาลคุณถึงขนาดเอาเงินภาษีมาจ้างคนรักสถาบันแล้วหรือ?!http://thaienews.blogspot.com/2011/03/blog-post_5824.htmlโดย บังสุกุล ที่มา กระดานสนทนา Internet Freedom เข้าไปดูกันเองครับ เอาสถาบันมาบังหน้าแจกเงินคนให้มารักสถาบัน ในโครงการ อสป. อาสาสมัครปกป้องสถาบัน แท้จริงเอาในหลวงมาอ้าง เอาเลขบัตรประชาชนเพื่ออะไรไม่ทราบ |
The Bangkok Post:
The army has ordered all units to return unused bullets from last year’s protests after it was revealed in parliament that 100,000 were fired, including about 2,500 sniper rounds.Pol Lt Col Somchai Phetprasoet, a Puea Thai MP for Nakhon Ratchasima and chairman of the House committee on military affairs, told the House that army units withdrew about 600,000 bullets from arsenals for the crackdown, including 3,000 7.62-mm bullets for SG-3000 sniper rifles.They used more than 100,000 of them in their operations against red-shirt protesters.The remarks set off alarm in the army, sources say. The army chief has asked all army units that took part in the crackdown to return the unused ammunition to the arsenals.Ninety-two died after clashes between soldiers and red-shirt protesters in April and May last year.Pol Lt Col Somchai made the claims during the no-confidence debate against the government last week.Army chief Gen Prayuth Chan-ocha recently told all army units that were involved in red-shirt crackdown from March 12 to May 19, 2010 that the residual ammunition needed to be accounted for.An army source said Gen Prayuth and the army chief of staff, Gen Dapong Rattanasuwan, were alarmed that so many bullets were fired.Pol Lt Col Somchai said that of the 3,000 sniper bullets taken out of armouries, only 480 were returned.About 50,000 bullets for M1 rifles, which are used in ambush operations, were withdrawn from arsenals for the operations.After the operations, 45,158 of them were returned.According to Pol Lt Col Somchai, altogether 597,500 bullets were taken out of army arsenals and 479,577 returned.That meant that altogether, 117,923 bullets were fired, he told the House.After hearing the claims in parliament, Prime Minister Abhisit Vejjajiva asked the army to supply him with the details, the source said.The army told the prime minister that the figures presented to the House applied at the time when units had yet to return any bullets.The army chief has ordered all units to quickly return all ammunition to arsenals, so the army could work out the exact number of bullets fired during the crackdown on the red shirts.The source added that the army earlier ordered all units to delay returning the ammunition because it did not want the figures to come to light.The source said Pol Lt Col Somchai’s information on the ammunition was accurate.However, some figures might have changed because some units have since returned the residual bullets to army arsenals.The number of bullets returned as given in the figures presented to the House may represent an incomplete picture.
BP: Okay, 597,500 bullets were prepared? No wonder they didn’t want anyone to hear how many bullets were fired. However, because only 479,577 bullets were returned does not mean that 117,923 bullets were fired. It only means that 479,577 bullets were returned and the whereabouts of 117,923 bullets is unknown. There are a few possibilities, (a) all the bullets were fired, (b) some of the bullets were fired and other bullets have gone “missing” (ie sold or simply kept and about to be sold). Given how many military weapons are sold, BP thinks there is a good chance that (b) is the answer. Either way it looks bad for the army although (b) is not as bad as (a)….
ข่าวด่วน: ศาลแพ่งสั่ง 13 แกนนำพันธมิตร จ่าย 522 ล้าน คดีชุมนุมปิดสนามบิน"สุวรรณภูมิ-ดอนเมือง"http://thaienews.blogspot.com/2011/03/13-522.htmlหลังจากคดีพันธมิตรยึดสนามบินตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน - 2 ธันวาคม 2551 วันนี้ครบรอบการยึดสนามบิน 2 ปี กับ 4 เดือนเต็ม ศาลแพ่งเพิ่งตัดสินคดีพันธมิตรโดยสั่งให้แกนนำจ่ายค่าเสียหาย 552 ล้านบาท แต่ก็อย่าเพิ่งดีอกดีใจ เพราะยังมีศาลฎีกาให้พันธมิตรเล่นชักกะเย่อกับกระบวนการกฎหมายไทยได้อีก ซึ่งไม่รู้ว่าครั้งนี้จะกินเวลาอีกกี่ปี มติชนออนไลน์ ลงข่าว "ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 603 ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีที่บริษัท การท่ากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เป็นโจทก์ฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) กับพวกที่เป็นแกนนำร่วม รวม 13 คน เรื่องละเมิดเรียกค่าเสียหาย จากการฟ้องขับไล่ออกจากพื้นที่ การชุมนุมบริเวณท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2551 ศาลวิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยทั้ง 13 คน กระทำผิดจริงฐานละเมิด นำกลุ่มประชาชนเข้าไปชุมนุม ทำให้ท่าอากาศยานทั้ง 2 แห่งของโจทก์ไม่สามารถเปิดบริการขึ้นลงได้ สร้างความเสียหายทั้งกายภาพและทางพาณิชย์ พิพากษาให้จำเลยทั้ง 13 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายต่อโจทก์เป็นเงินรวม 522 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 75 ต่อปี นับจากวันที่ 3 ธันวาคม 2551 ที่จำเลยนำกลุ่มผู้ชุมนุมออกจากท่าอากาศยานทั้ง 2 แห่ง และให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าฤชาทนายความแก่โจทก์เป็นเงิน 8 หมื่นบาท" เดลินิวส์ออนไลน์ ลงรายละเอียดเพิ่มเติมว่า ที่ห้องพิจารณา 403 ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 25 มี.ค.นี้ ศาลได้อ่านคำพิพากษาคดีที่ บริษัท การท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.โดยนายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ เป็นโจทก์ฟ้อง พล.ต. จำลอง ศรีเมืองแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) ร่วมกันเป็น จำเลยที่ 1 – 13 เรื่องละเมิด เรียกค่าเสียหาย จำนวนทุนทรัพย์ 245 ล้านบาทเศษ ไทยอีนิวส์เห็นว่าเดลินิวส์ลงเนื้อหาการพิจารณาในศาลที่ละเอียดกว่าสำนักข่าวฉบับอื่น จึงขออนุญาตนำมาลงเสนอให้ผู้อ่านไทยอีนิวส์ที่ติดตามคดีนี้มาลงไว้ที่ข่าวนี้ด้วย เมื่อระหว่างวันที่ 24 พ.ย. – 3 ธ.ค. 2551 พวกจำเลย ซึ่งเป็นแกนนำกลุ่มพันธมิตรนำผู้ชุมนุมบุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง เพื่อประท้วงรัฐบาลและขับไล่นาย สมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น) ทำให้การให้บริการต่างๆภายในท่าอากาศยานทั้งสองแห่งต้องหยุดลง เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย และขอให้พวกจำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7. 5 ต่อปีด้วย จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ และให้การทำนองเดียวกันว่า โจทก์ยื่นฟ้องคดีโดยไม่สุจริต ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง และ จำเลย มิได้ละเมิดโจทก์ เพราะการชุมนุมของจำเลยได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 และโจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ในชั้นพิจารณา โจทก์นำพยานเข้าสืบ 24 ปาก และอ้างส่งเอกสารรวม 164 ฉบับ วัตถุพยาน 9 อันดับ ส่วนจำเลย นำพยานเข้าสืบ 15 ปาก และอ้างส่งเอกสารรวม 28 ฉบับ ศาล พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมายและคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลยุติธรรมไม่ใช่ศาล ปกครอง ที่จำเลยอ้างว่า โจทก์ไม่มีเจตนาฟ้อง แต่คดีนี้โจทก์กล่าวหาจำเลยร่วมกันกระทำละเมิด จึงย่อมใช้สิทธิอันพึงมี ฟ้องศาลได้ จึงเป็นการฟ้องโดยสุจริต มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าจำเลย ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ ฝ่ายจำเลยต่อสู้ว่า ผู้ร่วมชุมนุมมาโดยสมัครใจและใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ และนาย เสรีรัตน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. เป็นผู้ออกคำสั่งให้หยุดบริการสนามบินเอง เห็นว่าฝ่ายโจทก์มีภาพถ่ายและเทปบันทึกภาพการชุมนุมทั้งสองสนามบินและภาพพวก จำเลย ขึ้นเวทีชุมนุมกล่าวปราศรัย และถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ เรียกร้อง และระดมให้ผู้ชุมนุมออกมาให้มากเพื่อกดดันรัฐบาล ทำให้ประชาชนเข้าร่วมชุมนุมจำนวนมาก แม้เป็นการเข้าชุมนุมโดยสมัคร ใจแต่เกิดจากการเรียกร้องปราศรัยของพวกจำเลย และการเข้าไปในท่าอากาศยานทั้งสองแห่ง แม้จะเป็นพื้นที่สาธารณะที่จะต้องเข้าไปใช้บริการอย่างหนึ่งอย่างใด แต่จำเลยกลับใช้เป็นพื้นที่ชุมนุมกดดันรัฐบาล อีกทั้งกลุ่มพันธมิตรชุดแรกที่เข้าไปในพื้นที่สนามบินสุวรรณภูมิ ส่วนมากสวมหมวกหรือผ้าปิดบังใบหน้า บางคนถือไม้ ท่อนเหล็ก มีดดาบ และหน้าไม้ ส่งเสียงโห่ร้องอื้ออึง มีการปิดกั้นถนนสาธารณะทางเข้าออกของท่าอากาศยายทั้งสองแห่ง ตรวจค้นรถยนต์ทุกคันที่จะผ่านก่อให้เกิดความเกรงกลัวต่อบุคคลอื่นว่าจะไม่ ได้รับความปลอดภัย นอกจากนี้ฝ่ายโจทก์ยังมี พยานและภาพถ่ายเป็นหลักฐานว่า เรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์ หนึ่งในผู้ชุมนุมได้นำกลุ่มพันธมิตรเข้ายึดหอบังคับการบิน ซึ่งเป็นเขตหวงห้าม อันเป็นการแสดงเจตนาอย่างชัดเจนว่า ต้องการให้การบริการด้านการบินและการพาณิชย์หยุดชะงักลง ถือได้ว่าเป็นการแทรกแซงโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งโจทก์ต้องยึดถือความปลอดภัยของผู้โดยสาร ลูกเรือ เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินและสาธารณชนเป็นอันดับแรก การกระทำของจำเลยทั้งหมด และกลุ่มพันธมิตร ทำให้โจทก์ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้เป็นไปตามอนุสัญญาการบินได้ จนเป็นเหตุให้ให้นายเสรีรัตน์ ออกคำสั่งหยุดให้บริการ เนื่องจากเกรงว่าพนักงานและประชาชนจะไม่ได้รับความปลอดภัย ทั้งนี้ การชุมนุมที่จะได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ม.63 นั้น ศาลแพ่งเห็นว่า หมายถึงการชุมนุมที่เป็นไปโดยสงบและปราศจากอาวุธ ตาม ม.63 วรรคหนึ่ง แต่การชุมนุมของพวกจำเลย มิได้เป็นไปตามหลักการ และยังส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและประโยชน์สาธารณะ ละเมิดสิทธิและเสรีภาพการประกอบอาชีพและการคมนาคมของประชาชน ซึ่งการชุมนุมจะต้องไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ ไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีตาม ม.28 แห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งการชุมนุมจะต้องตั้งอยู่บนหลักแห่งความสมดุลกับสิทธิและเสรีภาพของบุคคล อื่นและมิใช้สิทธิเด็ดขาดที่พวกจำเลย เป็นผู้จัดการชุมนุม หรือผู้เข้าร่วมชุมนุมจะสามารถกระทำการใดๆก็ได้โดยไม่อยู่ภายใต้บทบัญญัติ แห่งกฎหมายหรือข้อบังคับใดๆทั้งสิ้น คดีนี้การเข้าไปชุมนุมใน พื้นที่สนามบินทั้งสองแห่งของจำเลยกับพวกมีวัตถุประสงค์ปิดท่าอากาศยานทั้งสองแห่งให้หยุดให้บริการ เพื่อยกระดับการกดดันรัฐบาลนายสมชาย ให้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้อง เป็นผลให้ท่าอากาศยานทั้งสองแห่งไม่สามารถให้บริการได้ ก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายในหมู่ผู้โดยสารทั้งชายไทยและต่างประเทศ ตลอดจนผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการพาณิชย์ เสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศอย่างรุนแรง จึงเป็นวัตถุประสงค์ให้เกิดความไม่สงบภายในบ้านเมือง ซึ่งนอกจากจะไม่เป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธแล้วยังเป็นการใช้สิทธิ เสรีภาพการชุมนุมที่เกินสัดส่วน พวกจำเลย จะอ้างความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ม.63 ย่อมมิได้ การกระทำของจำเลยทั้ง 13 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ศาลเห็นว่า เมื่อการกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงต้องรับผิดชอบต่อโจทก์ตามมูลค่าความเสียหายที่โจทก์ได้รับทางกายภาพเช่น ประตู กระจก เครื่องสุขภัณฑ์ กล้องวงจรปิด เครื่องหมายบอกทางจราจร อุปกรณ์ต่างๆ และค่าเสียหายเชิงพาณิชย์ อาทิ ค่าเสียหายจากการหยุดให้บริการการบิน ค่าธรรมเนียมการใช้เส้นทาง ค่าเช่าพื้นที่ต่างๆ จึงเห็นควรให้จำเลย ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์จากการบุกยึดสนามบินดอนเมือง12 ล้านบาทเศษ และชดใช้ค่าเสียหายจากการบุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิรวม 510 ล้านบาทเศษ และเมื่อคำนวณวามเสียหายของสนามบินทั้งสองแห่งแล้วเป็นเงิน ทั้งสิ้น522,160,947.31 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 3 ธ.ค. 2551จนกว่าจะชำระเสร็จ รวมทั้งให้จ่ายค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์เป็นเงินจำนวน 80,000 บาทด้วย ส่วนที่โจทก์ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้นหลัง จากการชุมนุม ซึ่งโจทก์นำสืบว่ายังคงได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องและได้รับความเสียหาย จำนวนมากจนถึงช่วงปี 2552 แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้น โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องและไม่ได้ขอให้จำเลย ชดใช้ในคำขอบังคับคดีนี้ ศาลจึงไม่อาจบังคบตามคำขอของโจทก์ได้เพราะถือว่าเกินคำขอของโจทก์ตาม ป.วิธี แพ่ง ม.412 วรรคแรก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการฟังคำพิพากษาในวันนี้ คู่ความ รวมทั้งทนายความทั้งสองฝ่ายไม่ได้เดินทางมาศาล คงมีแต่เสมียนทนายความมาฟังคำพิพากษาแทน อย่างไรก็ตามคดีนี้เมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลก็สามารถยื่นอุทธรณ์ – ฎีกาต่อศาลได้ตามกฎหมาย ย้อนหลังข่าวพันธมิตรยึดสนามบินกับไทยอีนิวส์ ศุกร์13ครบ80วันพันธมิตรยึดสนามบิน กับคำสัญญาจับผู้ก่อการร้ายในสายลม ครึ่งปีคดียึดสนามบินโดนดอง ตำรวจโบ้ยเข้าเวรรอหลักฐานจากกรมขนส่งทางอากา ครบ2ปียึดสนามบิน:100บาทเอาขี้หมากองเดียวลอยนวล สิ้นหวังประเทศนี้ไม่มีเหลือความยุติธรรม |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)