วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554


ความเชื่อบนเหตุผลที่ขัดแย้งแต่กลายเป็นเอกภาพที่ไปกันได้


โต๊ะกลมระดมความคิด
         จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
         ปีที่ 12 ฉบับที่ 3042 ประจำวัน พฤหัสบดี ที่ 28 เมษายน 2011
         โดย ปราณีต ขิระนะ
http://www.dailyworldtoday.com/columblank.php?colum_id=51989
         ช่วงที่ผ่านมาก็เป็นสงกรานต์ หยิบเอาประเด็นนี้ขึ้นมาเขียนเป็นแง่คิดมุมมองเบาๆ แต่พิจารณาให้ลึกซึ้งมันก็เจ็บกระดองหัวใจไม่เลวเลย?

สงกรานต์ยุคก่อนโน้นส่วนมากเขาจะเริ่มต้นกันที่ลานวัด แม้จะไม่ใช่คำสั่งสอนหรือเป็นแบบอย่างอันสะท้อนแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา สงกรานต์เป็นเรื่อง “ลัทธิและความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์” ซึ่งสังคมไทยเราก็รับเรื่องนี้เข้ามาเกี่ยวข้องตั้งนานแล้ว แม้จะไม่เชื่อประวัติศาสตร์ไทยอย่างเต็มที่นัก แต่พอจะอนุมานไปได้กับประวัติศาสตร์ของกรุงสุโขทัยที่เกี่ยวข้องกับนางนพมาศ ข้อมูลเขาบอกต่อๆมาเช่นนั้น

อย่างไรก็ตาม สังคมไทยนั้นเราเป็นส่วนผสมตามความเชื่อของพุทธผสมกับพราหมณ์ ยังมีบางคนเอ่ยถึงอีกสายที่เป็นพุทธผสมความเชื่อตามลัทธิบูชาผี? สรุปแล้วพราหมณ์กับพุทธกลายเป็นอิทธิพลทั้งสองอย่างที่เหนือคนไทยเราชนิดที่หลายอย่างคงไม่มีใครกล้าวินิจฉัยให้แยกขาดจากกันได้?

บ้านเมืองของเรามันเลยเป็นศาสนาพุทธซึ่งอาจถือให้เป็น “พุทธในลัทธิพราหมณ์” ก็ได้เหมือนกัน อีกด้านหนึ่งนั้นยังสะท้อนถึงคุณสมบัติของการเป็นสังคมที่พร้อม “ดูดซับ” อะไรต่อมิอะไรรอบข้างเข้ามาอย่างไม่ยากเย็นนัก? ไม่รู้คุณสมบัติเช่นนี้จะถือให้เป็นจุดแข็ง มีสภาวะของความยืดหยุ่นสูง หรือเป็นอะไรกันแน่เห็นจะอธิบายชี้แจงได้ยากอยู่เหมือนกัน รายละเอียดนั้นเราคงไม่มาหาคำตอบในขอบเขตระหว่างพุทธกับพราหมณ์?

มุมมองนั้นแล้วแต่จะคิด? มีบางมุมมองซึ่งนำเสนอถึงปรัชญาของพุทธอันเป็นเรื่องที่ไม่ยึดติดกับตัวตน ทุกสรรพสิ่งดำเนินไปโดยกฎเกณฑ์อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา คือโลกนี้ไม่เที่ยงแท้แน่นอน อย่าได้ไปยึดติดอะไรให้เกิดอัตตา
ศาสนาพุทธจึงมีปรัชญารากฐานที่ไม่เชื่อในเรื่องของพระผู้เป็นเจ้า แตกต่างไปจากศาสนาพราหมณ์ซึ่งเป็นพระเจ้าตาม “พหุลักษณะ” คือมีพระเจ้าอยู่หลายองค์ ท่านท้าวมหาพรหมที่ให้ลูกสาวชื่อ “กาฬกิณีเทวี” ทรงพาหุรัด ทัดดอกมณฑา อาภรณ์แก้วมรกต ภักษาหารถั่วงา หัตถ์ขวาทรงขอช้าง หัตถ์ซ้ายทรงปืน เสด็จนั่งมาเหนือหลังกุญชร (ช้าง) เป็นพาหนะเข้ามารับผิดชอบตามมอบหมายของพระองค์ในปีนี้ ท่านท้าวมหาพรหมก็ถือเป็นเทพเจ้าที่มีความสำคัญในศาสนาพราหมณ์เช่นเดียวกัน?

ความเป็นพุทธที่ไม่นับถือพระเจ้ากับความเป็นพราหมณ์ซึ่งบูชาพระเจ้าหรือเทพหลายองค์ หากเรามองอย่างเป็นเหตุเป็นผลมันควรจะเป็นเรื่องขัดแย้งแล้วไปกันคนละทาง แต่สังคมไทยไม่ใช่เช่นนั้น มันสามารถสนธิหรือสมาสเข้าจริตกันได้พอดี เลยทำให้บางคนพลอยเห็นประเพณีสงกรานต์กลายเป็นประเพณีของชาวพุทธ?

ความจริงแล้วต่อความเข้าใจเช่นนี้เห็นจะไม่ถูกต้องนัก ควรจะเริ่มต้นใช้ประโยคเสียใหม่ว่า “ประเพณีสงกรานต์เป็นประเพณีของคนไทย ซึ่งนับถือพุทธแล้วเชื่อเกี่ยวกับบางด้านของศาสนาพราหมณ์” ข้อคิดเห็นเช่นนี้คงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตคอขาดบาดตาย ใครจะเห็นด้วยหรือเห็นต่างกันออกไปคงจะไม่ว่ากัน?
เราคงไม่ก้าวล่วงไปพูดถึงประเด็นอื่นๆเกี่ยวกับสังคมแห่งนี้ในหัวข้อที่ว่าด้วย “ความเชื่ออันเป็นเอกภาพบนเหตุผลแห่งความขัดแย้งที่เป็นไปไม่ได้ แต่เป็นไปได้” นี่น่าจะเป็นอีกปรัชญาหรือตรรกะสำคัญ ซึ่งเราควรหยิบยกเอามาทำความเข้าใจหรืออธิบายคุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์กับความยืดหยุ่นที่ไม่มีชาติบ้านเมืองใดจะมาเปรียบเทียบได้ดังเช่นประเทศไทย?

กล่าวแต่ต้นแล้วว่าเราจะไม่พูดถึงหัวข้ออื่น เอาเฉพาะบริบทของสงกรานต์ ปัจจุบันนี้ประเพณีสงกรานต์ที่เคยรดน้ำและสาดน้ำกันอย่างมีขอบเขต มีสัมมาคารวะ ภาพเหล่านี้ค่อยเปลี่ยนแปลงไป เราจะตั้งคำถามว่ามันเป็นไปตามอิทธิพลของยุคสมัยหรือเปล่า? คือหมายถึงรายละเอียดหลายข้อของสงกรานต์ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว วัฒนธรรมของรถปิกอัพกับโอ่งใบใหญ่ที่ท้ายรถ พร้อมวัยรุ่นถืออุปกรณ์เล่นน้ำสารพัดชนิด ภาพปิกอัพกลายเป็นประเพณีเล่นน้ำสงกรานต์ไปแล้ว หรือคำถามเกี่ยวกับเสื้อหลากสีสันลายดอกซึ่งเอามาใช้สวมใส่ในเทศกาล ลองมีคนตั้งคำถามดูว่าหมายถึงอะไรและอย่างไร? ประเด็นนี้คงไม่มีคำตอบอยู่เหมือนกัน?

โดยเฉพาะเมื่อสงกรานต์ซึ่งเคยยืนอยู่ในบริบทอันเป็นประเพณีของชาวพุทธ ต่อมาค่อยเกิดสภาวะใหม่ที่กลายเป็น “เทศกาล” แล้วตอนนี้หลายจังหวัดจัดให้เป็น “มหกรรมท่องเที่ยว” ข้อนี้เห็นจะไม่โต้แย้งอะไร? มันก็เข้าทีดีเหมือนกัน
การยืดหยุ่นและซึมซับตามปรัชญาความเชื่ออันเป็นเอกภาพบนเหตุผลแห่งความขัดแย้งที่เป็นไปไม่ได้ แต่เป็นไปได้ในสังคมประเทศนี้ หากเราจะมองเฉพาะสงกรานต์ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรนัก? แต่ถ้ามันไปเกี่ยวเนื่องอยู่ในหัวข้ออื่นๆ ทั้งการเมือง ระบอบการปกครอง เศรษฐกิจ ฯลฯ ก็เป็นมุมมองหนึ่งถึงความมึนงงสับสนในสังคมแห่งนี้ โดยเฉพาะวิถีแห่งอำนาจที่เน้นความศักดิ์สิทธิ์และงมงายแบบพราหมณ์ กับความมีเหตุมีผลในแบบพุทธ...

ข้อสรุปคือ อำนาจนั้นทำให้ประเทศไทยเป็นได้ทุกอย่าง เห็นด้วยไหม? ขึ้นอยู่กับว่าช่วงไหน เวลาไหนไปเป็นอะไรแล้วจะได้ประโยชน์มากกว่า? ต่อไปอาจจะเป็นประชาธิปไตยหลอกๆเหมือนกับเป็นพุทธแบบลัทธิพราหมณ์นั้นไง?


*********************************
http://redusala.blogspot.com

สังคมแห่งการปั่นแล้วยังปั่นกันไม่หยุด


คิดเหนือข่าว
         จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
         ปีที่ 12 ฉบับที่ 3042 ประจำวัน พฤหัสบดี ที่ 28 เมษายน 2011
         โดย เรืองยศ จันทรคีรี
http://www.dailyworldtoday.com/columblank.php?colum_id=51993
         เริ่มมีสื่อและนักวิชาการจำนวนหนึ่งพูดถึง “Spin Doctors” อันเป็นความเกี่ยวเนื่องของการเล่นกับสื่อ เป็นลักษณะทำนองการปั่นข่าวหรือปั้นน้ำเป็นตัวอะไรในทำนองนั้น ไม่ได้สนใจหรือเกี่ยวข้องอะไรกับความถูก-ผิด หรือจริง-เท็จ?
คนพวกนี้เขายังถือให้เป็นมนุษย์พันธุ์พิเศษชนิดใหม่ ใหม่ขนาดต้องใช้ศัพท์แสงว่า “Spin Doctors” ส่วนใหญ่กลุ่มคนพวกนี้มักจะเป็นนักการเมือง ทีมงานที่คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง แต่บ่อยครั้งที่พวก Spin Doctors อาจจะไปปรากฏอยู่ในอาชีพอะไรก็ได้ที่หวังใช้ประเด็นของข้อมูลข่าวสารเอามาปั่นหรือปั้นแต่งให้เกิดประโยชน์กับฝ่ายตัวเอง แล้วแน่นอนที่มันจะกลายเป็นคมหอกคมดาบย้อนเข้าหาเป้าหมายอันเป็น “ปฏิปักษ์” ที่พวก Spin Doctors มีธงตั้งเอาไว้เพื่อมุ่งทำลายล้างให้ได้?

เมื่อเราค้นลงไปในความหมายก็อาจจะเจอกับความหมายอื่นๆที่ใกล้เคียงกันเกี่ยวกับ “Spin” ยังอาจหมายความไปถึง “Public relations” ซึ่งเราก็คงเข้าใจกันในข่ายงานของการประชาสัมพันธ์ ประเด็น Spin ที่เป็น Public relations จึงยังมีความเป็นไปได้สำหรับอีกรูปแบบหนึ่งที่หลายคนคุ้นเคยกันดีในสมัยก่อน กระทั่งปัจจุบันก็มีการใช้กันอยู่ ได้แก่ “การโฆษณาชวนเชื่อ” เมื่อเป็นปฏิบัติการในขั้นนี้คนที่จะก้าวเข้ามารับผิดชอบในฐานะ Spin Doctors เห็นจะไม่ใช่มีชั่วโมงบินอย่างธรรมดาแน่นอน แตกต่างไปจากประสบการณ์ในระดับเท่าที่มีอยู่ของนักประชาสัมพันธ์ในองค์กรวิชาชีพเหมือนอย่างที่เราเข้าใจกัน

เพราะอย่างน้อยที่สุดการที่จะ Spin หรือปั่นอะไรออกมาในลักษณะล้างสมองสังคมต้องอาศัย Techniques ขั้นสูงอยู่หลายเพลงยุทธ์เลยทีเดียว ตั้งแต่การเลือกข้อเท็จจริงที่จะยกชูหรือเอ่ยอ้างขึ้นเพื่อสนับสนุนแนวทางของการ Spin ทางการข่าวที่ตั้งเป็นโจทย์เอาไว้ มืออาชีพเหล่านี้ยังต้องคอยลงทุนถึงขั้น “ซื้อข่าวเลวร้ายที่เป็นจุดอ่อนของคู่แข่งขันเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ให้เป็นไปตามเป้าประสงค์ของตัวเอง”

ศักยภาพเหล่านี้ในการ “สร้างประเด็น” ยังอาจวัดได้จากกระแสความสนใจของบรรดาสื่อต่างๆ ซึ่งพวก Spin Doctors อาจไม่จำเป็นต้องลงทุน “ซื้อไปเสียจนครบทุกสื่อ” เพราะหากประเด็นที่เขาปั่นขึ้นมามีความน่าสนใจก็อาจก่อเป็นกระแสในลักษณะ “จุดติด”

ปรากฏการณ์จุดติดนั้นเรายังสามารถมองย้อนกลับมาในสังคมไทยก่อนเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ดังจะเห็นว่าผลงานของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในขณะนั้นประสบความสำเร็จสำหรับการเปิดสนามรบทางข้อมูลข่าวสาร เมื่อสามารถปั่นกระแสจนเกิดการ “จุดติด” จึงเกิดผลที่ต่อเนื่องสามารถโยงเข้าไปเกี่ยวข้องในปฏิบัติการอื่นๆเพื่อรุกรบ และกลายเป็นพลังสนับสนุนที่สำคัญในการขับไล่รัฐบาลร่วมกับฝ่ายกองทัพและอีกหลายอำนาจที่คอยเล่นบทบาทประสานงานอยู่เบื้องหลังด้วยความแยบยล?

เคยมีผู้ยกย่อง Edward Bernays ในฐานะ “บิดาแห่งการปั่น” เขาเคยมีผลงานเขียนถึงสถานการณ์ในหัวข้อเหล่านี้ เป็นกรณีที่กลุ่มกิจการทั้งยาสูบและเครื่องดื่มมึนเมาได้ใช้กลยุทธ์เพื่อสร้างพฤติกรรมการบริโภคสินค้ากระทั่งกลายเป็นที่ยอมรับของสังคมอย่างกว้างขวาง เมื่อพิจารณาในด้านหนึ่งแล้วพวกที่เป็น Spin Doctors ยังเจาะทะลุจนเชี่ยวชาญถึงขั้นพระกาฬ เป็น “ยอดนักโฆษณาชวนเชื่อ” อีกด้วย และเป็นสถานะหนึ่งของพวกเขาในสังเวียนอาชีพเช่นนี้

พวก Spin Doctors ยังมีชั้นเชิงแพรวพราวในลักษณะการขุดหลุมฝังกับดักหรือขุดบ่อล่อปลาอะไรในทำนองนั้น มีประสบการณ์ที่ปั่นหรือตัดต่อซ่อนแฝงพวกข่าวลวง-ข่าวลือ-ข่าวเลว-ข่าวร้าย ให้เป็นเสมือนเงาที่อยู่ล้อมรอบข้อมูลข่าวสาร ซึ่งสังคมให้ความสนใจที่จะบริโภค ความชำนาญที่จะแฝงความชั่วร้ายเข้าไปในเนื้อหาสำหรับเหตุการณ์ต่างๆกระทำได้อย่างกลมกลืนจนผู้เสพข้อมูลข่าวสารนั้นๆไม่อาจแยกแยะได้ สังคมของ Spin Doctors จึงไม่แตกต่างไปจากการมอมเมาทางปัญญา ทำให้ผู้ตกเป็นเหยื่อบกพร่องลงไปในด้านวินิจฉัย

นี่จึงเป็นอีกมิติของยาพิษที่เกิดขึ้นอยู่ในสื่อใดหรือเมื่อไรก็ได้ถ้าหากเราไม่เลือกที่จะบริโภคด้วยความระมัดระวัง!

เรื่องของ Spin Doctors มีหลายคนถือให้เป็นการจัดการข่าวหรือ “การตลาดเชิงการเมือง” การนำเสนอข่าวสารตั้งแต่นักการเมืองไปจนถึงนักการทหารที่ยุ่งกับการเมือง กลายเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมขึ้นมา ทั้งยังเป็นไปได้สำหรับการเป็นส่วนสำคัญของ “ปฏิบัติการจิตวิทยาหรือปฏิบัติการเกี่ยวกับมวลชน”

เรื่องเหล่านี้ยังเป็นประเด็นเดียวกับยุทธการปล่อยข่าว ตีสี และใส่ไข่ เพื่อทำลายเป้าหมายหนึ่งๆ ...คาดว่าในความขัดแย้งและแตกแยกของสังคมไทยตลอดเวลาเกือบ 6 ปีผ่านมา กลุ่ม Spin Doctors ได้ก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญเพื่อปั่นสังคมจนกระทั่งหลงทิศความถูกผิดกระเจิดกระเจิงมาถึงป่านนี้ เป็นอีกสิ่งที่สะท้อนถึงความเหี้ยมโหดในอีกลักษณะ ซึ่งไม่ได้คำนึงถึงคุณธรรมความดีอะไรใดๆทั้งสิ้น...

Spin Doctors ในหลายประเทศเป็นคนที่ทั้งเก่งกาจและมีความน่ากลัว แต่สำหรับสังคมไทย บุคลากรในลักษณะนี้ก็ไม่แตกต่างไปจากบรรดา “นักตอแหลมืออาชีพ” Spin Doctors แบบไทยจึงเหนือชั้นมากกว่าในหลายชาติบ้านเมือง คิดดูแล้วกันมันจะน่ากลัวสักขนาดไหน?

*******************************
http://redusala.blogspot.com

2 มาตรฐานอีกแล้วจ้า


  http://www.dailyworldtoday.com/columblank.php?colum_id=51991
    

         เป็นประชารัฐ
         จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
         ปีที่ 12 ฉบับที่ 3042 ประจำวัน พฤหัสบดี ที่ 28 เมษายน 2011
         โดย อัคนี คคนัมพร
         เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมาผู้เขียนนั่งรถผ่านถนนลำลูกกา เขตจังหวัดปทุมธานี เจอสภาพการจราจรติดขัดจนน่าสงสัย ค่อยๆกระดึ๊บตามคันหน้าไปจนถึงจุดอันเป็นต้นเหตุ

ต้นเหตุคือมีคนเสื้อแดงกลุ่มใหญ่ชุมนุมกันอยู่หน้าสถานีวิทยุชุมชนของเขา ฟังคำปราศรัยจากแกนนำการชุมนุมชัดบ้าง ไม่ชัดบ้าง เพราะเครื่องขยายเสียงไม่สู้จะมีประสิทธิภาพ พอจับความได้ว่าทางราชการจะไล่ปิดสถานีวิทยุชุมชน ที่ปิดไปแล้วก็มีวิทยุชุมชนวังหิน และกำลังจะปิดที่อื่นๆต่อไปอีก

ระหว่างที่นั่งรถผ่านบริเวณการชุมนุมนั้นได้โทรศัพท์ไปเช็กข่าวจากกองบรรณาธิการว่าทราบข่าวนี้บ้างหรือไม่ ได้รับคำตอบว่าได้รับ และตรวจสอบแล้วเป็นความจริงว่ามีการปิดสถานีวิทยุชุมชนวังหินจริง แต่จะปิดสถานีอื่นหรือไม่กำลังติดตามข่าวอยู่

อย่างไรก็ตาม ทางกองบรรณาธิการได้แจ้งเพิ่มเติมว่าคนเสื้อแดงส่วนหนึ่งได้เดินทางไปที่สถานีโทรทัศน์ Asia Update ศูนย์การค้าอิมพีเรียล ลาดพร้าว เพื่อปกป้องการบุกปิดสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมแห่งนี้ เนื่องจากมีข่าวว่าจะมีการปิดสถานีที่ว่านี้ด้วย
ผู้เขียนไม่รอตรวจสอบจากแหล่งข่าวใดๆอีกแล้ว กลับถึงบ้านก็ลงมือปั่นต้นฉบับนี้ทันที เพราะรู้สึกว่าเลือดลมที่ไหลอยู่ภายในกายร้อนจี๋ขึ้นมาจนไม่อาจรอข้อมูลสมบูรณ์ต่อไปได้

เรื่องสถานีวิทยุชุมชนนี้เป็นเรื่องที่รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 ให้โอกาสไว้ แต่เกิดช่องว่างทางกฎหมาย เพราะหน่วยงานที่ถูกกำหนดให้รับผิดชอบยังไม่ทันลงมือทำอะไร ชาวบ้านหัวไวเขาสร้างสถานีของเขาออกอากาศรอไว้แล้วเป็นร้อยเป็นพัน

เช่นเดียวกับเรื่องของสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมที่ทางราชการยังไม่ทันกำหนดกฎระเบียบออกมาบังคับ เอกชนหัวใสก็อาศัยช่องว่างทางกฎหมายออกอากาศกันเพลินไป

ปี พ.ศ. 2550 ต้นปี นายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายจักรภพ เพ็ญแข และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ถือโอกาสตั้งสถานี PTV บ้างเพื่อสู้กับเผด็จการ คมช. กลับมีการขัดขวางทำให้ออกอากาศไม่ได้ 4 คนนั้นจึงยกพลไปตั้งเวทีปราศรัยที่สนามหลวงจนเกิดขบวนการแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ขยายเป็นความขัดแย้งระดับชาติมาจนบัดนี้

สถานีวิทยุชุมชนถ้าเป็นของคนเสื้อแดงก็ถูกปิดบ่อย

สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมถ้าเป็นของ นปช. ก็ถูกปิดเหมือนกัน
แต่ทั้งวิทยุชุมชนและสถานีโทรทัศน์ของกลุ่มพันธมิตรฯเสื้อเหลืองไม่เคยมีใครสนใจไปปิด

นับเป็นเรื่องการปฏิบัติ 2 มาตรฐานที่เด่นชัดที่สุดในระยะ 4 ปีที่ผ่านมา
ขณะนี้พันธมิตรฯเสื้อเหลืองปิดถนนชุมนุมกันที่สะพานมัฆวานฯได้ทั้งที่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ

สถานีวิทยุชุมชนของพันธมิตรฯเสื้อเหลืองออกอากาศได้สม่ำเสมอเป็นปรกติ Astv ของเขาทั้งที่ถูกตั้งข้อหาร่วมก่อการร้ายปิดสนามบิน แต่ ผบ.ตร. ก็สั่งไม่ฟ้องไปแล้ว

ขณะนี้กำลังมีการเร่งดำเนินการปิดสถานีวิทยุชุมชนคนเสื้อแดงทุกสถานี สถานีอื่นเป็นร้อยเป็นพันอยู่ได้

ไม่เรียกว่าเลือกปฏิบัติหรือสองมาตรฐานจะเรียกว่าอะไร

****************************************
http://redusala.blogspot.com

ความเชื่อบนเหตุผลที่ขัดแย้งแต่กลายเป็นเอกภาพที่ไปกันได้


       โต๊ะกลมระดมความคิด
         จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
         ปีที่ 12 ฉบับที่ 3042 ประจำวัน พฤหัสบดี ที่ 28 เมษายน 2011
         โดย ปราณีต ขิระนะ
         ช่วงที่ผ่านมาก็เป็นสงกรานต์ หยิบเอาประเด็นนี้ขึ้นมาเขียนเป็นแง่คิดมุมมองเบาๆ แต่พิจารณาให้ลึกซึ้งมันก็เจ็บกระดองหัวใจไม่เลวเลย?

สงกรานต์ยุคก่อนโน้นส่วนมากเขาจะเริ่มต้นกันที่ลานวัด แม้จะไม่ใช่คำสั่งสอนหรือเป็นแบบอย่างอันสะท้อนแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา สงกรานต์เป็นเรื่อง “ลัทธิและความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์” ซึ่งสังคมไทยเราก็รับเรื่องนี้เข้ามาเกี่ยวข้องตั้งนานแล้ว แม้จะไม่เชื่อประวัติศาสตร์ไทยอย่างเต็มที่นัก แต่พอจะอนุมานไปได้กับประวัติศาสตร์ของกรุงสุโขทัยที่เกี่ยวข้องกับนางนพมาศ ข้อมูลเขาบอกต่อๆมาเช่นนั้น

อย่างไรก็ตาม สังคมไทยนั้นเราเป็นส่วนผสมตามความเชื่อของพุทธผสมกับพราหมณ์ ยังมีบางคนเอ่ยถึงอีกสายที่เป็นพุทธผสมความเชื่อตามลัทธิบูชาผี? สรุปแล้วพราหมณ์กับพุทธกลายเป็นอิทธิพลทั้งสองอย่างที่เหนือคนไทยเราชนิดที่หลายอย่างคงไม่มีใครกล้าวินิจฉัยให้แยกขาดจากกันได้?

บ้านเมืองของเรามันเลยเป็นศาสนาพุทธซึ่งอาจถือให้เป็น “พุทธในลัทธิพราหมณ์” ก็ได้เหมือนกัน อีกด้านหนึ่งนั้นยังสะท้อนถึงคุณสมบัติของการเป็นสังคมที่พร้อม “ดูดซับ” อะไรต่อมิอะไรรอบข้างเข้ามาอย่างไม่ยากเย็นนัก? ไม่รู้คุณสมบัติเช่นนี้จะถือให้เป็นจุดแข็ง มีสภาวะของความยืดหยุ่นสูง หรือเป็นอะไรกันแน่เห็นจะอธิบายชี้แจงได้ยากอยู่เหมือนกัน รายละเอียดนั้นเราคงไม่มาหาคำตอบในขอบเขตระหว่างพุทธกับพราหมณ์?

มุมมองนั้นแล้วแต่จะคิด? มีบางมุมมองซึ่งนำเสนอถึงปรัชญาของพุทธอันเป็นเรื่องที่ไม่ยึดติดกับตัวตน ทุกสรรพสิ่งดำเนินไปโดยกฎเกณฑ์อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา คือโลกนี้ไม่เที่ยงแท้แน่นอน อย่าได้ไปยึดติดอะไรให้เกิดอัตตา
ศาสนาพุทธจึงมีปรัชญารากฐานที่ไม่เชื่อในเรื่องของพระผู้เป็นเจ้า แตกต่างไปจากศาสนาพราหมณ์ซึ่งเป็นพระเจ้าตาม “พหุลักษณะ” คือมีพระเจ้าอยู่หลายองค์ ท่านท้าวมหาพรหมที่ให้ลูกสาวชื่อ “กาฬกิณีเทวี” ทรงพาหุรัด ทัดดอกมณฑา อาภรณ์แก้วมรกต ภักษาหารถั่วงา หัตถ์ขวาทรงขอช้าง หัตถ์ซ้ายทรงปืน เสด็จนั่งมาเหนือหลังกุญชร (ช้าง) เป็นพาหนะเข้ามารับผิดชอบตามมอบหมายของพระองค์ในปีนี้ ท่านท้าวมหาพรหมก็ถือเป็นเทพเจ้าที่มีความสำคัญในศาสนาพราหมณ์เช่นเดียวกัน?

ความเป็นพุทธที่ไม่นับถือพระเจ้ากับความเป็นพราหมณ์ซึ่งบูชาพระเจ้าหรือเทพหลายองค์ หากเรามองอย่างเป็นเหตุเป็นผลมันควรจะเป็นเรื่องขัดแย้งแล้วไปกันคนละทาง แต่สังคมไทยไม่ใช่เช่นนั้น มันสามารถสนธิหรือสมาสเข้าจริตกันได้พอดี เลยทำให้บางคนพลอยเห็นประเพณีสงกรานต์กลายเป็นประเพณีของชาวพุทธ?

ความจริงแล้วต่อความเข้าใจเช่นนี้เห็นจะไม่ถูกต้องนัก ควรจะเริ่มต้นใช้ประโยคเสียใหม่ว่า “ประเพณีสงกรานต์เป็นประเพณีของคนไทย ซึ่งนับถือพุทธแล้วเชื่อเกี่ยวกับบางด้านของศาสนาพราหมณ์” ข้อคิดเห็นเช่นนี้คงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตคอขาดบาดตาย ใครจะเห็นด้วยหรือเห็นต่างกันออกไปคงจะไม่ว่ากัน?

เราคงไม่ก้าวล่วงไปพูดถึงประเด็นอื่นๆเกี่ยวกับสังคมแห่งนี้ในหัวข้อที่ว่าด้วย “ความเชื่ออันเป็นเอกภาพบนเหตุผลแห่งความขัดแย้งที่เป็นไปไม่ได้ แต่เป็นไปได้” นี่น่าจะเป็นอีกปรัชญาหรือตรรกะสำคัญ ซึ่งเราควรหยิบยกเอามาทำความเข้าใจหรืออธิบายคุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์กับความยืดหยุ่นที่ไม่มีชาติบ้านเมืองใดจะมาเปรียบเทียบได้ดังเช่นประเทศไทย?

กล่าวแต่ต้นแล้วว่าเราจะไม่พูดถึงหัวข้ออื่น เอาเฉพาะบริบทของสงกรานต์ ปัจจุบันนี้ประเพณีสงกรานต์ที่เคยรดน้ำและสาดน้ำกันอย่างมีขอบเขต มีสัมมาคารวะ ภาพเหล่านี้ค่อยเปลี่ยนแปลงไป เราจะตั้งคำถามว่ามันเป็นไปตามอิทธิพลของยุคสมัยหรือเปล่า? คือหมายถึงรายละเอียดหลายข้อของสงกรานต์ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว วัฒนธรรมของรถปิกอัพกับโอ่งใบใหญ่ที่ท้ายรถ พร้อมวัยรุ่นถืออุปกรณ์เล่นน้ำสารพัดชนิด ภาพปิกอัพกลายเป็นประเพณีเล่นน้ำสงกรานต์ไปแล้ว หรือคำถามเกี่ยวกับเสื้อหลากสีสันลายดอกซึ่งเอามาใช้สวมใส่ในเทศกาล ลองมีคนตั้งคำถามดูว่าหมายถึงอะไรและอย่างไร? ประเด็นนี้คงไม่มีคำตอบอยู่เหมือนกัน?

โดยเฉพาะเมื่อสงกรานต์ซึ่งเคยยืนอยู่ในบริบทอันเป็นประเพณีของชาวพุทธ ต่อมาค่อยเกิดสภาวะใหม่ที่กลายเป็น “เทศกาล” แล้วตอนนี้หลายจังหวัดจัดให้เป็น “มหกรรมท่องเที่ยว” ข้อนี้เห็นจะไม่โต้แย้งอะไร? มันก็เข้าทีดีเหมือนกัน

การยืดหยุ่นและซึมซับตามปรัชญาความเชื่ออันเป็นเอกภาพบนเหตุผลแห่งความขัดแย้งที่เป็นไปไม่ได้ แต่เป็นไปได้ในสังคมประเทศนี้ หากเราจะมองเฉพาะสงกรานต์ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรนัก? แต่ถ้ามันไปเกี่ยวเนื่องอยู่ในหัวข้ออื่นๆ ทั้งการเมือง ระบอบการปกครอง เศรษฐกิจ ฯลฯ ก็เป็นมุมมองหนึ่งถึงความมึนงงสับสนในสังคมแห่งนี้ โดยเฉพาะวิถีแห่งอำนาจที่เน้นความศักดิ์สิทธิ์และงมงายแบบพราหมณ์ กับความมีเหตุมีผลในแบบพุทธ...

ข้อสรุปคือ อำนาจนั้นทำให้ประเทศไทยเป็นได้ทุกอย่าง เห็นด้วยไหม? ขึ้นอยู่กับว่าช่วงไหน เวลาไหนไปเป็นอะไรแล้วจะได้ประโยชน์มากกว่า? ต่อไปอาจจะเป็นประชาธิปไตยหลอกๆเหมือนกับเป็นพุทธแบบลัทธิพราหมณ์นั้นไง?


***************************
http://redusala.blogspot.com
ถุยส์ ตำหรวดควาย เขาจะเปลี่ยนหัวกันแล้ว เพิ่งเสือกจะมาขยัน


http://redusala.blogspot.com
จี้ทหารคิดใหม่เลิกยุ่งการเมืองมุ่งพิทักษ์รธน.

       เรื่องจากปก
         จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
         ปีที่ 12 ฉบับที่ 3040 ประจำวัน อังคาร ที่ 26 เมษายน 2011
http://www.dailyworldtoday.com/newsblank.php?news_id=10476
         นักวิชาการ นายทหาร นักศึกษา เห็นตรงกันกองทัพควรปฏิรูปโครงสร้างและแนวคิดใหม่ ควรถอยออกจากการแทรกแซงทางการเมืองเพื่อไม่ให้ความขัดแย้งขยายตัว แนะปรับอุดมการณ์เป็นมุ่งพิทักษ์รัฐธรรมนูญเพื่อรักษาชาติ ศาสน์ กษัตริย์ให้อยู่รอด

การอภิปรายสาธารณะ “คอร์รัปชันอำนาจ : บทบาทนัก (เลือกตั้ง) การเมืองไทยภายใต้อ้อมกอดทหาร” (แนวทางปฏิรูปกองทัพ บทบาทกองทัพต่อการเมืองและความขัดแย้งภายใน) ที่จัดโดยคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ มีการนำเสนอความเห็นที่หลากหลาย


นายสมชาย หอมลออ กรรมการอิสระค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) กล่าวว่า ยังไม่มีความชัดเจนว่าเราจะสร้างระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแบบไหนกันแน่ เพราะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันหลายกลุ่ม สิ่งที่ต้องทำให้เกิดความชัดเจนคือบทบาทของทหารและนักการเมืองว่ามีควรมีแค่ไหน อย่างไร


“หลังเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 ทหารเข้ามามีบทบาทหลายด้าน ทั้งการพัฒนาและการควบคุมการเมือง จึงเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬในปี 35 หลังจากนั้นทหารก็กลับเข้ากรมกอง แต่ในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทหารก็ออกมามีบทบาทอีก จนนำมาสู่การยึดอำนาจ ประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมาเหมือนหนีเสือปะจระเข้ คือหนีจากนักการเมืองแย่ๆมาเจอทหารยึดอำนาจ ซึ่งไม่ได้มีอะไรดีไปกว่ากัน ที่ผ่านมาทหารได้บทเรียนมามากแล้ว จึงไม่ควรยุ่งกับการเมืองอีก เพราะบริบทของทหารไม่สอดคล้องกับสังคมและการเมืองปัจจุบัน หากออกมาอีกจะถูกต่อต้านมากขึ้น”


นายสมชายกล่าวว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเกิดจากการปิดกั้นทางการเมือง ทั้งที่กลุ่มการเมืองในบ้านเรามีความหลากหลายมาก จึงควรเปิดพื้นที่ให้กลุ่มต่างๆเหล่านี้ได้แสดงออกถึงแนวความคิด จะนิยมเจ้า ชื่นชอบทหาร หรืออะไรก็ได้ แต่ต้องอยู่ในกระบวนการเลือกตั้ง ไม่อย่างนั้นกระบวนการของสภาจะไม่สามารถตอบสนองและแก้ไขปัญหาของประชาชนได้


พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ อนุกรรมาธิการในกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ประชาธิปไตยของไทยเป็นแค่รูปแบบ ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยในเนื้อหาสาระ เพราะยังมีอำนาจจาก 3 ขั้วครอบงำสังคมไทยอยู่ ประกอบด้วย 1.bureaucrat คือกลุ่มอำนาจเก่า ข้าราชการ นักวิชาการ พวกนี้ไม่ได้รับเลือกตั้งแต่อยากเข้ามามีตำแหน่งทางการเมือง 2.Military คือทหาร และ 3.Capital คือกลุ่มทุน


“ยุค พ.ต.ท.ทักษิณคือกลุ่มทุนใหม่เข้ามาครอบครองประเทศ กลุ่มทุนเก่าสู้ไม่ได้จึงจับมือกับชนชั้นนำของประเทศนำมาสู่การยึดอำนาจ เมื่อได้อำนาจมาแล้วก็ไม่ได้แก้ไขโครงสร้างอะไร ทำให้การเลือกตั้งหลังการยึดอำนาจแสดงผลออกมาว่ากลุ่มทุนเก่าไม่มีทางชนะ”


พล.ท.พีระพงษ์เสนอว่า ถึงเวลาที่จะต้องปฏิรูปกองทัพใหม่ทั้งในเรื่องอุดมการณ์และโครงสร้างของกองทัพ ปัจจุบันหน่วยงานทหารเป็นเอกเทศเกินไป ทำให้มีปัญหาเรื่องงบประมาณที่แย่งกันซื้อแย่งกันใช้ ให้เท่าไรก็ไม่พอ จึงมีความจำเป็นต้องยุบรวมให้เล็กลง ในเรื่องอุดมการณ์ทหารต้องเปลี่ยนความคิดมาเป็นการพิทักษ์รัฐธรรมนูญ เพราะถ้ารักษารัฐธรรมนูญได้ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ก็จะรอดด้วย เพราะทั้งหมดถูกกำหนดเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ


“คำถามคือเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 49 ทหารออกมาพิทักษ์อะไร ทหารคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่มากในประเทศนี้ อะไรก็เห็นว่ากระทบต่อความมั่นคงไปหมด ตีความคำว่าอริราชศัตรูกว้างมากเกินไป แม้แต่คนที่มาชุมนุมก็ถูกมองว่าเป็นผู้ก่อการร้าย หากยังเป็นอย่างนี้มีแต่จะเสียหาย”


นายอติเทพ ไชยสิทธิ์ กรรมการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) กล่าวว่า ทหารต้องเปลี่ยนแนวความคิดใหม่ ต้องมองตัวเองเป็นพลเมืองคนหนึ่งที่อยู่ในเครื่องแบบมีอาชีพเป็นทหาร ไม่ได้มีอำนาจพิเศษหรือเหนือไปกว่านักการเมืองหรือประชาชน ทหารต้องเป็นผู้พิทักษ์รัฐธรรมนูญ ต้องเป็นกลางและไม่อ้างสถาบัน แต่สิ่งที่แสดงออกในขณะนี้คือความไม่เป็นกลาง
นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา กล่าวว่า ยุคนี้เป็นยุคทหารนำการเมือง และพยายามเข้ามาครอบงำการเมืองโดยการสร้างกองทัพให้เป็นพรรคทหารที่ไม่ต้องลงเลือกตั้ง แต่สามารถเป็นรัฐบาลเงาได้
“วันนี้ทหารแสดงให้เห็นว่าเล่นการเมืองอย่างเต็มตัว ดูได้จากการถืออาวุธออกมาตบเท้าให้ใจกับผู้บัญชาการทหารบก เพราะดูยังไงก็เป็นการกระทำเพื่อข่มขู่ประชาชนที่เห็นแตกต่าง ทั้งที่การใช้กองทัพเข้ามาจัดการปัญหาขัดแย้งที่เกิดจากความแตกต่างทางความคิดเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เพราะยิ่งเข้ามายิ่งทำให้เกิดความขัดแย้ง จึงอยากให้ยุติบทบาททางการเมืองแล้วหันไปแสดงบทบาทในการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยพิบัติต่างๆที่ถือเป็นหน้าที่ของทหารในยุคปัจจุบันจะดีกว่า”


**************************
http://redusala.blogspot.com
กอ.รมน.ผุดเสื้อชมพู7แสนแสดงพลังปกป้องสถาบัน

        เรื่องจากปก
         จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
         ปีที่ 12 ฉบับที่ 3041 ประจำวัน พุธ ที่ 27 เมษายน 2011
http://www.dailyworldtoday.com/newsblank.php?news_id=10484
         กอ.รมน. เตรียมสร้างมวลชนเสื้อสีชมพู 700,000 คนออกมาแสดงพลังปกป้องสถาบันและสนับสนุนการทำงานของผู้บัญชาการทหารบก กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ นำกำลังผล 745 นายตบเท้าโชว์พลัง ผบช.พล.ม.2 รอ. ประกาศพร้อมปฏิบัติตามคำสั่ง “ประยุทธ์” ตลอด 24 ชั่วโมง ด้านเครือข่ายประชาธิปไตยเคลื่อนไหวล่า 10,000 รายชื่อเสนอกฎหมายยกเลิกมาตรา 112 ต่อรัฐสภา ยืนยันสามารถทำได้เพราะเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ระบุหากยังมีกฎหมายนี้จะยิ่งขยายความขัดแย้งไม่รู้จบ เพราะถูกใช้เป็นเครื่องมือทำลายล้างกันทางการเมือง

วันที่ 26 เม.ย. 2554 พล.ต.สุรศักดิ์ บุญศิริ ผู้บัญชาการกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) นำกำลังทหารม้ารักษาพระองค์ หน่วยปฏิบัติทั้งในกรุงเทพฯและสระบุรี 3 กรม รวม 745 นาย แสดงพลังปกป้องสถาบัน รักษาอธิปไตย และสนับสนุนการทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)


“พร้อมทำตามคำสั่ง ผบ.ทบ. ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะทำเพื่อปกป้องสถาบัน ปกป้องอธิปไตย หรือรักษาความมั่นคงต่างๆ” พล.ต.สุรศักดิ์กล่าวและว่า ทหารม้าจะมีการฝึกภาคสนามที่ลพบุรีระหว่างวันที่ 28 เม.ย.-9 พ.ค. นี้
รายงานข่าวแจ้งว่า การตบเท้าแสดงพลังเป็นไปตามคำสั่งของ ผบ.ทบ. ที่ให้ทหารรักษาพระองค์ 69 หน่วยทั่วประเทศออกมาแสดงความพร้อมปกป้องสถาบัน


ที่กองบัญชาการกองทัพบกมีผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย 750 คน จาก 14 จังหวัดภาคอีสานพร้อมใจกันใส่เสื้อสีชมพูเดินทางโดยรถบัส 15 คันมาให้กำลังใจ ผบ.ทบ. โดยมี พล.ท.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ผู้ช่วยเสนาธิการทหารบก ฝ่ายกิจการพลเรือน ให้การต้อนรับและพูดคุย


มีรายงานว่าการเดินทางมาครั้งนี้เป็นการดำเนินการของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ซึ่งเป็นไปตามแผนการสร้างมวลชนเสื้อสีชมพูออกมาเคลื่อนไหวปกป้องสถาบันและให้กำลังใจ ผบ.ทบ. ที่มีบทบาทในการปกป้องสถาบัน ขณะนี้ กอ.รมน. มีมวลชนที่พร้อมสนับสนุนอยู่ประมาณ 700,000 คนทั่วประเทศ


ด้านเครือข่ายประชาธิปไตย (คปต.) ที่เป็นการรวมตัวกันขององค์กรประชาธิปไตยหลายองค์กรแถลงเรียกร้อง “หยุด 112 หยุดคุกคามประชาชน เราต้องการเสรีภาพ”


นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย เป็นตัวแทนแถลงว่า คปต. ที่เกิดจากการรวมตัวกันของกลุ่มอิสระ เสรีชน ปัญญาชนในโลกไซเบอร์ และกลุ่มอิสระต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแนวร่วมของคนเสื้อแดง เห็นว่าการบังคับใช้กฎหมายมาตรา 112 มีปัญหาเพราะถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือทำลายล้างกันทางการเมือง จึงร่วมกันรณรงค์ให้ยกเลิกกฎหมายนี้


“หลังแกนนำคนเสื้อแดงปราศรัยเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมา ผบ.ทบ. ส่งลูกน้องไปแจ้งความดำเนินคดี จากนั้นมีทหารออกมาตบเท้าแสดงพลังกันไม่เว้นแต่ละวัน และยังมีการข่มขู่คุกคามนักวิชาการ นี่คือสัญญาณที่จะนำไปสู่ความรุนแรง เป็นการทำลายบรรยากาศก่อนมีการเลือกตั้ง” นายสมยศกล่าวและว่า พวกตนไม่มีอาวุธหรือกองกำลังจึงไม่สามารถตบเท้าแสดงพลังได้ แต่จะใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญในการเข้าชื่อ 10,000 ชื่อเพื่อเสนอยกเลิกมาตรา 112 ต่อรัฐสภา


นายประเวศ ประภานุกูล ทนายความของ น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือดา ตอร์ปิโด จำเลยคดีหมิ่นสถาบัน กล่าวว่า การเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 นั้นเป็นเรื่องที่ทำได้โดยไม่ผิดกฎหมาย และเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญในการเสนอกฎหมายให้ยกเลิกได้


“หากยังมีข้อกำหนดนี้ไว้ต่อไปจะก่อให้เกิดความแตกแยกขยายตัวไปอย่างไม่รู้จบ และยังเป็นช่องทางที่จะใช้ปลุกระดมใช้วิธีการนอกระบบกับคนที่เห็นต่างทางการเมืองอีกด้วย”


*************************************
http://redusala.blogspot.com
ปิดวิทยุเสื้อแดง13แห่งกอ.รมน.ส่งทหาร-ตำรวจบุกค้นยึดอุปกรณ์

จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
         ปีที่ 12 ฉบับที่ 3041 ประจำวัน พุธ ที่ 27 เมษายน 2011
http://www.dailyworldtoday.com/newsblank.php?news_id=10485


         ตำรวจ ทหาร และเจ้าหน้าที่ กสทช. ถือหมายศาลเข้าตรวจค้นและยึดอุปกรณ์สถานีวิทยุชุมชนของคนเสื้อแดง 13 แห่งในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล เผยสั่งการจาก กอ.รมน. ที่สืบพบออกอากาศโดยไม่ได้รับอนุญาต คนเสื้อแดงตั้งข้อสังเกตอาจเป็นจุดเริ่มต้นก่อนยึดอำนาจ “ธาริต” ยืนยันงานนี้ดีเอสไอไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เชื่อแกนนำ นปช. มารับทราบข้อหาหมิ่นสถาบันตามหมายเรียก ลูกสาว “เสธ.แดง” บุกยื่นหนังสือถึงนายกฯถามความคืบหน้าคดีสังหารพ่อ ครม. รับทราบรายงาน คอป. “อภิสิทธิ์” สั่งสภาความมั่นคงเป็นหน่วยงานหลักให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับ คอป. พร้อมกำชับดีเอสไอและตำรวจเปิดเผยข้อเท็จจริงให้มากที่สุด

วันที่ 26 เม.ย. 2554 ตั้งแต่ช่วงบ่ายคนเสื้อแดงได้แจ้งข่าวผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์คว่ามีกำลังตำรวจ ทหาร และเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ถือหมายศาลเข้าตรวจค้นวิทยุชุมชนของคนเสื้อแดงในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล 13 แห่งพร้อมๆกัน เช่น คลื่น 105.40 วิทยุชุมชนคนลำลูกกา คลอง 4 คลื่น 96.35 วิทยุลำลูกกา คลอง 3 และคลื่น 97.25 วิทยุชุมชนเพื่อประชาธิปไตย สำโรง เป็นต้น


ยึดอุปกรณ์ทั้งหมดจากสถานี


นายพลท เฉลิมแสน ทีมงานสถานีวิทยุชุมชนลำลูกกา คลื่น 105.40 เปิดเผยว่า มีเจ้าหน้าที่ทั้งทหารและตำรวจประมาณ 20-30 คนมาที่สถานี โดยแสดงหมายตรวจค้นจากศาล จากนั้นได้ยึดเครื่องส่ง ไมโครโฟน คอมพิวเตอร์ มิกเซอร์ และตัวแปลงสัญญาณของสถานีไปไว้ที่สถานีตำรวจภูธรคูคต


อาจเป็นจุดเริ่มก่อนปฏิวัติ


“สถานีนี้เพิ่งเปิดมาประมาณสัปดาห์เศษ หลังปิดปรับปรุงมาระยะหนึ่ง ยังไม่มีผังรายการที่ชัดเจนก็ถูกเข้าตรวจค้นและยึดอุปกรณ์” นายพลทกล่าวและว่า การเข้าตรวจค้นและยึดอุปกรณ์สถานีวิทยุของคนเสื้อแดงหลายแห่งพร้อมๆกัน อาจเป็นการส่งสัญญาณว่าจะมีการยึดอำนาจก็เป็นได้ โดยเริ่มต้นจากการปิดสื่อของคนเสื้อแดงก่อน เบื้องต้นถูกแจ้งข้อหามีเครื่องมือสื่อสารและตั้งสถานีโดยไม่ได้รับอนุญาต


กอ.รมน. เป็นผู้สั่งเข้าตรวจค้น


มีรายงานว่าการเข้าตรวจค้นและยึดอุปกรณ์ของสถานีวิทยุคนเสื้อแดงเป็นการดำเนินการของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ที่สนธิกำลังกับ กสทช. กองบังคับการปราบปราม และตำรวจท้องที่ เนื่องจากสืบทราบมาว่าออกอากาศโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงแจ้งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มอบหมายให้กองบัญชาการสอบสวนกลาง นำโดย พล.ต.ต.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบช.ก. เป็นผู้รับผิดชอบ


ดีเอสไอยังไม่มีส่วนร่วมตรวจยึด


นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ยืนยันว่า ดีเอสไอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเข้าตรวจค้นและยึดอุปกรณ์สถานีวิทยุชุ

มชนของคนเสื้อแดง ส่วนหน่วยงานใดจะเข้าไปตรวจค้นนั้นส่วนตัวไม่ทราบ
มั่นใจแกนนำ นปช. มาตามหมายเรียก


นายธาริตกล่าวอีกว่า ยังไม่ได้รับการติดต่อจากอัยการที่มีข่าวว่าจะขอหลักฐานคำปราศรัยของแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดินเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมาเพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณายื่นถอนประกันตัว หากติดต่อมาก็พร้อมให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการ ส่วนการเข้ารายงานตัวตามหมายเรียกเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาหมิ่นสถาบันนั้น เบื้องต้นทราบว่าแกนนำจะมาตามนัด


ลูก “เสธ.แดง” จี้ถามความคืบหน้าคดี


ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล หัวหน้าพรรคขัตติยะธรรม บุตรสาว พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ได้เดินทางไปที่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อยื่นหนังสือสอบถามความคืบหน้าการสอบสวนสาเหตุการตายของบิดาและคนเสื้อแดงที่ไม่มีความคืบหน้ากับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แต่เมื่อไปถึงทราบว่านายกรัฐมนตรีอยู่ที่รัฐสภาจึงเดินทางไปที่รัฐสภา อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีไม่ได้มารับหนังสือด้วยตัวเอง แต่ส่งนายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มารับหนังสือแทน


1 ปีดีเอสไอติดต่อมาครั้งเดียว


น.ส.ขัตติยากล่าวระหว่างการยื่นหนังสือว่า ขอให้ช่วยเร่งรัดติดตามความคืบหน้าผลการสอบสวนสาเหตุการเสียชีวิตของบิดา เพราะผ่านมาจะครบ 1 ปีแล้วแต่ไม่มีความคืบหน้าเลย ที่ผ่านมาได้รับการติดต่อจากดีเอสไอที่รับผิดชอบคดีนี้เพียงครั้งเดียว จากนั้นไม่มีการติดต่อมาอีกเลย


อ้างอยู่ในกลุ่มหาตัวคนผิดไม่ได้


“ดีเอสไอบอกว่ากรณีของบิดาอยู่ในกลุ่มที่ไม่สามารถหาตัวผู้กระทำความผิดได้ ซึ่งไม่น่าจะเป็นคำตอบที่ควรได้รับ ที่ต้องยื่นเรื่องถึงนายกฯเพราะต้องการให้ท่านรับรู้จะได้สั่งการอะไรลงไปบ้าง ถ้าไม่สั่งการอะไรเลยถือว่าละเลยการทำหน้าที่”


นายปณิธานกล่าวว่า รัฐบาลจะเร่งรัดคดีให้ และแม้ว่าจะมีการยุบสภาแล้วก็มีหน่วยงานอื่นๆที่รับผิดชอบอยู่ เช่น คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ซึ่งมีหน้าที่คอยประสานติดตามเรื่องนี้


ครม. รับทราบรายงาน คอป.


นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าที่ประชุมรับทราบรายงานผลการดำเนินงานรอบ 6 เดือนของ คอป. ที่มีนายคณิตเป็นประธาน รายงานดังกล่าวได้จำแนกผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ จำนวนคดี พร้อมกับเสนอการวิจัยปัญหาและการเยียวยาให้รัฐบาลดำเนินการ


“มาร์ค” สั่งทุกหน่วยร่วมมือให้ข้อมูล


“นายกรัฐมนตรีได้สั่งการสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ส่งรายงานของ คอป. ไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และให้นำเสนอความเห็นหรือชี้แจงกลับมาที่ ครม. นอกจากนี้ยังได้ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นหน่วยงานหลักในการให้ข้อเท็จจริงกับ คอป. และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดีเอสไอ สนับสนุนการทำงานของ คอป. ในการให้ข้อมูลที่ครบถ้วนถูกต้อง”


**********************************
http://redusala.blogspot.com