วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557

องค์กรสิทธิฝรั่งเศสชี้ 'ห้ามจัดเสวนาเรื่อง ปชต.' ขัด รธน.คสช.เอง


กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าห้ามจัดเสวนาวิชาการ "ห้องเรียนประชาธิปไตยบทที่ 2 การล่มสลายของเผด็จการในต่างประเทศ" ที่ มธ. รังสิต และควบคุมตัวนักศึกษากลุ่มธรรมศาสตร์เสรี และนักวิชาการซึ่งเป็นวิทยากรไป สภ.คลองหลวง พร้อมตั้งเงื่อนไขให้จัดเสวนาวิชาการวงปิดและต้องขออนุญาต คสช. ก่อน ก่อนปล่อยตัวในช่วงดึก วานนี้
19 ก.ย.2557 องค์กรสหพันธ์นานาชาติเพื่อสิทธิมนุษยชน หรือ FIDH ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ร่วมกับสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) สมาชิกในประเทศไทย ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยุติการคุกคามและกักตัวนักศึกษาและนักวิชาการซึ่งใช้เสรีภาพในการแสดงออกโดยทันที
คาริม ลาฮิดจิ ประธาน FIDH ชี้ว่า การจับกุมนักศึกษาและนักวิชาการ วานนี้ เป็นสิ่งช่วยเตือนความจำอีกครั้งถึงความไม่อดทนต่อเสียงของคนที่ไม่เห็นด้วยของคณะทหาร
เขาระบุด้วยว่า การจับกุมโดยพลการอย่างต่อเนื่องและการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกอย่างรุนแรงที่ผ่านมา ทำให้คำกล่าวอ้างว่าเคารพสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลทหารเป็นเพียงการแก้ตัวที่ไม่แนบเนียน
ด้านจตุรงค์ บุณยรัตนสุนทร ประธานสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) กล่าวว่า คสช.ต้องหยุดการละเมิดสิทธิมนุษยชน การห้ามอภิปรายสาธารณะเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนนั้นขัดต่อมาตรา 4 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับที่ คสช.ให้ความเห็นชอบเอง

'ประยุทธ์' แจงเหตุล้มเสวนาใน มธ. ลั่น 'ผมเคยทำประเทศชาติเสียหายหรือยัง'


19 ก.ย. 2557 เว็บไซต์มติชนออนไลน์รายงานว่าเมื่อเวลา 11.00 น. ที่ด้านหน้าตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเจ้าหน้าที่ควบคุมตัว ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการชื่อดัง และพวกรวม 7 คน ภายหลังจากจัดเสวนาทางการเมือง ที่ ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต ว่าเรื่องนี้ได้มีการเชิญมาพูดหลายครั้งแล้ว และได้ขอร้องแล้วว่า อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลย เพราะบ้านเมืองกำลังเดินอยู่ วันนี้เรากำลังทำ 3 เรื่อง คือ บริหารประเทศ ปฏิรูป และการปรองดอง เพราะฉะนั้นนำเรื่องไปพูดพอขยายก็จะเป็นเรื่อง เมื่อคนที่หนึ่งพูดได้ คนที่สองสามสี่ ก็จะตามมา ตนก็ไม่ต้องทำงานกันพอดี แล้วจะเข้ามาทำไม

"ผมรู้ตัวดีว่าผมไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง จึงต้องเข้าใจผมด้วย ที่ผ่านมาได้ขอกันมานานแล้ว เราไม่ได้จับกุมตัว เพียงแต่เชิญตัวมา ตอนนี้ก็ได้ปล่อยตัวกลับไปหมดแล้ว" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

เมื่อถามว่ากลัวหรือไม่ว่าเจ้าหน้าที่จะไม่รู้ขั้นตอนการปฏิบัติแล้วจะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวพล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า

"ผมกลัวกว่าคนอื่นอีก แต่เจ้าหน้าที่ทุกคนรู้วิธีปฏิบัติกันดีอยู่แล้ว เพราะทำมาตลอด แทบจะบอกได้เลยว่าเดินซ้ายหรือขวาก่อน ทุกคนรู้ดี ไม่ใช่อยู่ดีๆ เจ้าหน้าที่เข้าไปล็อคคอ ขอร้องไปแล้ว ขออนุญาตก็ไม่ขออนุญาต สิ่งที่พูดเป็นเรื่องการเมืองทั้งสิ้น ไม่ได้ห้ามแต่ขอว่าอย่าเพิ่งพูดในตอนนี้"

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า สถานการณ์ตอนนี้ยังไม่เปิดให้มีการพูดหรือแสดงความเห็นด้านการเมืองใช่หรือไม่

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า คำสั่งคสช.ทุกอย่างยังมีเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และไม่มีอะไรยกเลิกสักอย่าง

เมื่อถามต่อว่าทำไมไม่เปิดช่องให้บางกลุ่มได้แสดงความคิดเห็นพล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า นี่ก็เปิดอยู่ไม่เคยปิด เปิดให้สื่อถามอยู่ตลอด ซึ่งต้องดูว่าเขาพูดเรื่องอะไร เช่นนี่เรื่องประชาธิปไตย ก็อย่าไปขยายความ

เมื่อถามต่อว่า ถ้ามีการส่งเค้าโครงเรื่องก่อนจะมีการตรวจสอบแล้วเปิดเวทีให้พูดหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขณะนี้ก็มีคณะกรรมการตรวจอยู่แล้ว ตนไม่ได้ตรวจคนเดียว แต่ต้องดูว่าเรื่องไหนพูดได้หรือไม่ หากพูดเรื่องประชาธิปไตยการเลือกตั้ง รัฐบาลเป็นอย่างไรนั้น ยังพูดไม่ได้ตอนนี้

ขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ ได้ย้อนถามผู้สื่อข่าวด้วยว่า ขอถามหน่อยว่า ตั้งแต่ตนเข้ามารับตำแหน่ง ได้ทำอะไรให้ประเทศชาติเสียหายบ้างแล้วหรือไม่ เมื่อผู้สื่อข่าวตอบว่า ยังไม่มี พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวสั้นๆว่า “งั้นจบ สวัสดีครับ”

นักศึกษาศนปท. ติดป้ายดำถ่วงด้วยแซนด์วิชรำลึก 8ปี รัฐประหาร49 หน้าสดมภ์ ‘นวมทอง’



นักศึกษาศนปท. ติดป้ายดำถ่วงด้วยแซนด์วิชบนสะพานลอยรำลึก 8 รัฐประหาร 19 ก.ย. 49 หน้าสดมภ์อนุสรณ์ ‘นวมทอง ไพรวัลย์’ เตือนสติคนไทยทุกคนให้เห็นถึงผลร้ายของการรัฐประหาร ที่นำมาสู่ความขัดแย้งครั้งใหญ่จนถึงทุกวันนี้
19 ก.ย.2557 เมื่อเวลา 10.00 น นักศึกษาศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาเพื่อประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย (ศนปท) ติดป้ายดำรำลึก 8 ปี รัฐประหาร 19 กันยา บริเวณสดมภ์อนุสรณ์ ‘นวมทอง ไพรวัลย์’ สะพานลอยหน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ถนนวิภาวดีรังสิต พร้อมข้อความ “นายประชาธิปไตย ของไทย ชาตะ 24 มิ.ย.2475 มรณะ 19 ก.ย. 49 และล่าสุด...?” โดยใช้แซนด์วิชเป็นที่ถ่วงป้ายไว้
ทั้งนี้บริเวณดังกล่าวเป็นจุดที่ นายนวมทอง ซึ่งมีอาชีพขับแท็กซี่ผูกคอเสียชีวิต ในคืนวันที่ 31 ต.ค. 2549 โดยมีจดหมายลาตายระบุว่า ต้องการลบคำสบประมาทของ พ.อ.อัคร ทิพโรจน์ รองโฆษกคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปก.) ที่ว่า “ไม่มีใครมีอุดมการณ์มากขนาดยอมพลีชีพได้” หลังจากก่อนหน้านี้เขาขับแท็กซี่พุ่งชนรถถังของคณะรัฐประหาร ที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าจนบาดเจ็บสาหัสเมื่อวันที่ 30 ก.ย.2549 เพื่อประท้วงการรัฐประหาร
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า หลังจากกลุ่มนักศึกษาดังกล่าวติดป้ายแล้วประมาณ 20 นาที มีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำป้ายดังกล่าวออก
นอกจากบริเวณบริเวณสดมภ์อนุสรณ์ ‘นวมทอง’ แล้ว มติชนออนไลน์ รายงานด้วยว่า เมื่อเวลาประมาณ 07.00 น. บริเวณหน้าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บนสะพานลอยข้ามถนนพญาไท ระหว่างคณะวิทยาศาสตร์ กับคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ มีการนำป้ายสีดำลักษณะเดียวกัน เขียนข้อความ "8 ปี 19 กันยาฯ ประชาธิปไตยที่ถูกฆ่ายังคงนอนตาย" ขึงบนสะพานลอย
ต่อมาเว็บไซต์ ศนปท. ได้โพสต์แสดงความรับผิดชอบกรณีติดป้ายดังกล่าวว่าเป็นการกระทำของกลุ่มตน พร้อมระบุถึงเหตุผลในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ด้วยว่า “นายประชาธิปไตย ของไทย ชาตะ 24 มิ.ย. 2475 มรณะ 19 ก.ย.2549” เป็นข้อความที่ ศนปท. เลือก หยิบมาใช้เพื่อแสดงการหวนรำลึกถึงเหตุการณ์การรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 49 ที่นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน พร้อมผู้นำเหล่าทัพ จนเป็นเหตุ ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องพ้นจากตำแหน่งไปพร้อมกับ ส.ส. และคณะรัฐมนตรี พร้อมกันนั้นก็มีการประกาศเลิกใช้รัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ. 2540 อันเคยได้ชื่อว่าเป็น รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมากที่สุดอีกฉบับหนึ่ง แม้การรัฐประหารของประเทศ ไทยจะมีมาอย่างต่อเนื่องนับมากกว่า 10 ครั้ง แต่การรัฐประหารเมื่อปี 49 นั้นเปรียบ เป็นการทำรัฐประหารที่นำมาสู่ความขัดแย้งครั้งใหญ่ของคนไทย และส่งผลมายังทุกวันนี้
แถลงดังกล่าว ศนปท. ยังระบุด้วยว่า ต้องให้ทุกคนร่วมตระหนักถึงผลของการทำรัฐประหารที่ไม่ได้หมายถึงทาง ออกเดียวเสมอไป ที่สำคัญการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 49 นั้นยังเป็นต้นเหตุทำให้ชายชราผู้มี อาชีพขับรถแท็กซี่ธรรมดาๆคนหนึ่งต้องตัดสินใจขับรถแท็กซี่ที่ใช้หาเลี้ยงชีพตนนั้น พุ่งชนรถถังที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือของทหารในการทำรัฐประหาร ในวันที่ 30 ก.ย. 49 เพื่อหวังปลิดชีพตัวเองเป็นการประกาศก้องให้โลกรู้ว่าตนขอใต้หากต้องอยู่ภายใต้อำนาจเผด็จการ แต่ท้ายที่สุดการฆ่าตัวตายครั้งนั้นก็ไม่ประสบผลดังที่คาด จนมีทหาร นายหนึ่งกล่าวเยาะเย้ยผ่านสื่อว่า “ไม่มีใครมีอุดมการณ์มากขนาดยอมพลีชีพได้” และ แล้วความมุ่งหวังอันแรงกล้าของลุงนวมทอง
ก็ได้มาถึงโดยเมื่อตอนดึกของวันที่ 31 ตุลาคม 49 เขาได้ตัดสินใจผูกคอตาย ณ สะพานลอย หน้าสำนักข่าวไทยรัฐ ถ.วิภาวดี และสิ้นใจในที่สุด วันนี้ครบ 8 ปีวันรัฐประหาร วันที่คนไทยต้องสูญเสียชีวิตแรกให้กับผลพวงของการรัฐประหาร นั้นคือ นวมทอง ไพรวัลย์ และนั้นไม่ใช่เพียงหนึ่งชีวิตที่ต้องสูญเสีย ยังได้มีอีกหลายชีวิตที่ถูกสังเวย ภายใต้ปัญหาสะสมที่ทวีความรุนแรงหลังการรัฐประหาร ศนปท. จึงถือโอกาสในวันครบรอบ 8 ปีรัฐประหาร 19 กันยาฯ นี้เตือนสติคนไทยทุกคนให้เห็นถึงผลร้าย ของการรัฐประหารที่ยากจะปฏิเสธ

 

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน 'สมยศ พฤกษาเกษมสุข' ผิด 112-หมิ่นสพรั่ง จำคุก 11 ปี



ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น คดีอาญา มาตรา 112-หมิ่นสพรั่ง นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข อดีตบรรณาธิการนิตยสาร Voice of Taksin ให้ต้องขัง 11 ปี ภรรยาสมยศผิดหวังระบบศาล ไม่ทราบล่วงหน้าจะมีการอ่านคำพิพากษา
19 ก.ย. 2557 ที่ห้อง 808 อาคารศาลอาญารัชดา ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ระบุ อัยการยื่นฟ้องนายสมยศ ฐานหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 จากกรณีที่นายสมยศ ซึ่งเป็นบรรณาธิการนิตยสาร วอยซ์ ออฟ ทักษิณ ได้จัดพิมพ์ จัดจำหน่าย นิตยสาร ซึ่งมีบทความที่ไม่เหมาะสมของผู้ใช้นามปากกาว่า จิตร พลจันทร์ เรื่องแผนนองเลือดกับยิงข้ามรุ่น ฉบับที่ 15 เดือนกุมภาพันธ์ และ เรื่อง 6 ตุลาแห่ง พ.ศ.2553 ฉบับที่ 16 เดือนมีนาคม 2553
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2556 ให้จำคุกนายสมยศ 10 ปี โดยไม่รอลงอาญา และให้นับโทษต่อจากคดีที่นายสมยศ หมิ่นประมาท พลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก 1 ปี รวมจำคุก 11 ปี
โดยศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่าที่นายสมยศ อุทธรณ์ต่อสู้ว่า พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550 มีบทบัญญัติยกเลิก พ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ.2484 และในฐานะบรรณาธิการไม่ต้องรับผิดนั้น ศาลเห็นว่าการกระทำของนายสมยศ เป็นความผิดฐานหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ไม่ใช่เพียงการรับผิดในฐานะบรรณาธิการ
ส่วนที่นายสมยศต่อสู้ว่าตนเองไม่ใช่ผู้เขียนบทความดังกล่าวนั้น ศาลเห็นว่าโจทก์ฟ้องว่านายสมยศหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ด้วยการจัดพิมพ์ จัดจำหน่ายนิตยสาร ศาลอุทธรณ์จึงไม่รับวินิจฉัยประเด็นนี้
และที่นายสมยศต่อสู้ว่าเนื้อหาในบทความสื่อความหมายถึงอำมาตย์ มิใช่สถาบันเบื้องสูง นั้นคดีนี้โจทก์มีพยาน ทั้งเจ้าหน้าที่ข้าราชการทหาร นักศึกษา และบุคคลอื่น ที่ได้อ่านบทความดังกล่าวแล้ว ต่างเข้าใจว่าเนื้อหาในบทความพาดพิงถึงสถาบันเบื้องสูง ซึ่งพยานก็ไม่เคยรู้จักและไม่มีสาเหตุโกรธเคือง กับนายสมยศ มาก่อน พยานหลักฐานของนายสมยศ ไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้
ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยพิพากษายืน จำคุก 10 ปี พร้อมให้นับโทษต่อจากคดีที่นายสมยศ หมิ่นประมาท พลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก 1 ปี รวมจำคุก 11 ปี
ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษา สมยศมีสีหน้าที่เคร่งเครียด พร้อมกล่าวสั้นๆ ว่าจะฎีกาสู้คดีต่อในประเด็นของข้อกฎหมาย ส่วนสุขภาพขณะนี้ก็เป็นไปตามวัยคนอายุ 53 ที่อยู่ภายในเรือนจำ ซึ่งตนเองถูกคุมขังมากว่า 3 ปี 6 เดือนแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า การอ่านคำพิพากษาในวันนี้ ไม่มีการแจ้งทนายหรือญาติล่วงหน้าแต่อย่างใด และหลังอ่านคำพิพากษา เจ้าหน้าที่ได้นำตัวสมยศกลับเรือนจำทันที ทั้งที่โดยปกติแล้ว ผู้ต้องหาที่มาศาลทั้งหมดจะถูกนำตัวกลับเรือนจำในเวลา 18.00 น. พร้อมกัน
ผู้ใกล้ชิดแจ้งว่านายสมยศระบุว่า เพิ่งทราบว่าต้องออกศาลมาฟังคำพิพากษาเมื่อเช้านี้ หลังจากฟังคำพิพากษาแล้วเบื้องต้นยังไม่ได้หารือกับทนายความ แต่ตั้งใจจะต่อสู้คดีในชั้นศาลฏีกา

"มันไม่มีทางเลือก ไม่อย่างนั้นเราจะหาความยุติธรรมได้จากตรงไหน เรายังเชื่อในความบริสุทธิ์ใจของเราและต้องการพิสูจน์ความถูกต้องว่าเราไม่ได้กระทำผิด" สมยศกล่าว

ด้านนางสุกัญญา พฤกษาเกษมสุข ภรรยานายสมยศกล่าวว่า ทางครอบครัวและทนายความรวมถึงตัวของสมยศเองไม่ทราบมาก่อนว่าจะมีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันนี้ เนื่องจากเมื่อวาน (18 ก.ย.) เธอก็ได้เข้าเยี่ยมสมยศและไม่มีใครทราบเรื่องนี้ ส่วนทางทนายความมีการส่งผู้ช่วยทนายไปแจ้งศาลเรื่องการเปลี่ยนที่อยู่สำนักงานนานแล้ว หากมีการตกหล่นผิดพลาด หมายต่างๆ ของคดีอื่นๆ ก็น่าจะไม่ถึงสำนักงานใหม่เช่นกัน แต่ทุกคดีก็ส่งถึงที่อยู่ใหม่ทั้งหมด

"รู้สึกว่าการที่ไม่มีการแจ้งกำหนดวันอ่านคำพิพากษาก่อน ไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่โปร่งใส เราเสียโอกาสที่จะได้รับฟังการพิจารณาด้วย โดยเฉพาะเมื่อพิพากษายืนแบบนี้ มันกระทบจิตใจเจ้าตัวมากๆ เราต้องการจะ support เขา แต่เราก็ไม่สามารถอยู่กับเขาได้" สุกัญญากล่าว

เปิดปาฐกถาครึ่งเดียวของ ‘นิธิ เอียวศรีวงศ์’ ในห้องเรียนประชาธิปไตยที่ถูกยกเลิก


30 นาทีกับปาฐกถานิธิก่อนถูกเชิญตัวไปสถานีตำรวจทั้งลูกศิษย์-อาจารย์ นิธิพูดถึงลักษณะของเผด็จการในแง่มุมที่น่าสนใจยิ่ง เสียดายที่ไม่มี 'อนาคตของเผด็จการ'  (บรรยายไม่จบ) 
เย็นวันที่ 18 ก.ย. 57 ในที่สุดห้องเรียนประชาธิปไตยครั้งที่ 2 ตอนการล่มสลายของเผด็จการในต่างประเทศก็ถูกจัดขึ้นอย่างทุลักทุเล บริเวณใต้อาคารบรรยายรวม 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  รังสิต ด้วยเหตุผลว่าทางมหาวิทยาลัยได้รับคำสั่งจากกองบังคับการควบคุม กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 2 ลงชื่อโดยพันเอก พัลลภ  เฟื่องฟู สั่งให้มหาวิทยาลัยระงับกิจกรรมดังกล่าว ต่อมาได้มีคำสั่งจากทางมหาวิทยาลัยประกาศงดใช้ห้องเรียนสำหรับการจัดกิจกรรมวิชาการ ทำให้กลุ่มผู้จัดงานตัดสินใจย้ายที่จัดลงมาบริเวณใต้อาคารเรียนในทันที ด้วยเหตุผลที่ว่า “การจัดงานเสวนาวิชาการ เป็นสิทธิเสรีภาพ ที่พึงมีในระบอบประชาธิปไตย” ก่อนจะถูกยกเลิกไปในที่สุด
สำหรับผู้ที่พลาดโอกาสไปร่วมงาน ทั้งผู้ที่ยังอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยและพ้นจากรั้วมหาวิทยาลัยมานานแล้วก็ตาม ประชาไทขอหยิบบันทึกแบบเรียน นำเสนอโดย นิธิ เอียวศรีวงศ์ เนื่องจากโชคดีเล็กน้อยที่เขาสามารถกล่าวปาฐกถาได้ราว 30 นาทีก่อนตำรวจจะขอให้ยุติการจัดงาน และเชิญตัวทั้งนักศึกษาผู้จัดและอาจารย์ที่ร่วมเสวนาไปที่สถานีตำรวจ

นิธิ เอียวศรีวงศ์



             “ถ้าคุณยึดกุมได้แต่รัฐ คุณเป็นได้เพียงทรราชแต่ถ้าคุณยึดกุมชาติได้ด้วย
เมื่อนั้นคุณจึงสามารถเป็นเผด็จการได้”

            “การรัฐประหารที่ผ่านมาในหลายๆ ครั้งของประเทศไทย เป็นเพียงแค่การยึดรัฐ ไม่สามารถยึดชาติได้จะมีก็เพียงสองครั้งคือ รัฐประหารปี49 และรัฐประหารครั้งล่าสุดปี57 ที่มีความพยายามจะยึดชาติด้วยและเมื่อใดก็ตามที่มีความพยายามจะยึดชาติมันไม่ง่ายเหมือนการยึดดินแดน และกลไกของรัฐเพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องเล็กๆ เพียงแค่มีปืน มีอำนาจ จะยึดเมื่อไหร่ก็สามารถยึดได้แต่กับการยึดชาตินั้นเท่ากับว่าเป็นการยึดสำนึกของคน คุณต้องยึดความหวัง ยึดความฝันของคนด้วยซึ่งมันไม่ง่าย และที่ผ่านมาในปี49 นั้นล้มเหลวเพราะไม่สามารถยึดชาติได้ แต่สำหรับปีนี้ เขาไม่ให้พูด ผมก็ไม่พูด”

นิยามให้ชัด เผด็จการ(dictator) คืออะไร?

แม้ว่าจุดมุ่งหมายของการพูดในวันนี้จะอยู่ที่อนาคตของเผด็จการ แต่เป็นไปไม่ได้เลยหากไม่มีนิยามให้ชัดเสียก่อนว่าเผด็จการหมายถึงอะไร ประเด็นแรกที่ผมฟันธงคือ เผด็จการนั้นเป็นผลผลิตจากรัฐสมัยใหม่ เพราะในรัฐโบราณมีเพียงแต่ทรราช(tyrant)เท่านั้น ซึ่งหมายถึงผู้ปกครองที่มักจะทำอะไรตามอำเภอใจ โหดร้าย โหดเหี้ยม รังแกคนมาก ทรราชนี่สามารถที่จะเป็นราชาหรือไม่ใช่ราชาก็ได้ คนเหล่านี้ผมมองว่าไม่ใช่เผด็จการด้วยเหตุผล 3 ประการ
1.ในโลกสมัยโบราณ ทรราชมีอำนาจจำกัด คือขาดระบบราชการ เครื่องมือในการสื่อสารคมนาคม ขาดกองทัพประจำการ หมายความว่า อาจจะมีกองทัพอยู่แต่เป็นเพียงกองทัพเล็กๆ  ซึ่งใหญ่กว่าคนอื่น แต่คนอื่นๆ  เขาก็มีกองทัพด้วย ทำให้ทรราชไม่สามารถจะผูกขาดความรุนแรงได้ ถ้าเป็นเผด็จการแล้วไม่ผูกขาดความรุนแรงเป็นไปไม่ได้  นอกจากนี้ยังขาดกลไกอีกหลายอย่าง ที่ไม่สามารถเข้าสู่รายละเอียดในการควบคุมประชาชนได้ ฉะนั้นทรราชก็ได้แต่แสดงอำนาจอยู่กับคนใกล้ตัวเท่านั้น ไม่สามารถที่จะแผลงฤทธิ์ หรือแสดงความไม่ฉลาดของตนให้ปรากฏแก่สาธารณชนได้เท่าเผด็จการ โดยสรุปก็คือการที่ขาดเครื่องมือต่างๆ  นั้นไม่สามารถสร้างความสะพรึงกลัวในระดับที่กว้างขวางได้ เพราะความสะพรึงกลัวนั้นเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดของเผด็จการ ทรราชนั้นไม่ว่ามันจะเลวร้ายแค่ไหนก็แล้วแต่มันไม่สามารถสร้างความสะพรึงกลัวในระดับที่กว้างขวางได้
2.ในระบอบปกครองของทรราช ยังมีอำนาจอื่นเหลืออยู่อีกมาก เช่น อำนาจท้องถิ่น ศาสนา ขุนนาง ประเพณี และอื่นๆ  อีกหลายประการ ซึ่งทรราชไม่มีกำลังพอที่จะไปปราบอำนาจเหล่านั้นได้ วิธีเดียวที่ทรราชจะอยู่ได้คือต้องมีการประนีประนอมกับอำนาจอื่นๆ  เหล่านั้น เพราะฉะนั้นโดยปกติราชาธิราชทั้งหลายในโลกนี้ ไม่ว่าท่านอยากจะมีอำนาจมากแค่ไหน จะเหี้ยมโหดแค่ไหนก็ตาม มันจะมีอำนาจอื่นคอยขวางอยู่ตลอดเวลาทำให้ทรราชนั้นต้องประนีประนอมด้วย เพราะฉะนั้นเผด็จการจึงเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีรัฐสมัยใหม่ เพราะมันไม่มีเครื่องมือต่างๆ  ที่ทำให้เกิดความสะพรึงกลัว
3.อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ทรราชแตกต่างจากเผด็จการก็คือ ในรัฐโบราณไม่มีสิ่งที่เรียกว่าชาติ หรือรัฐชาติ ซึ่งนี้คือสิ่งที่สำคัญมากๆ  ฉะนั้นถ้าไม่มีรัฐสมัยใหม่ ซึ่งเป็นรัฐชาติด้วย โอกาสจะเกิดเผด็จการนั้นเป็นไปได้ยากมาก เพราะชาติไม่ได้มีความหมายเพียงแค่ดินแดนและกลไกของรัฐเท่านั้น แม้จะยึดดินแดน ยึดกลไกของรัฐได้ นั่นไม่ได้หมายความว่าจะยึดชาติได้ เพราะชาติมีมากกว่าดินแดน และกลไกของรัฐ คือชาติมีสำนึกร่วมกันถึงอัตลักษณ์ของคนด้วย มีสำนึกของความคิดถึงอนาคตร่วมกันบางอย่าง ซึ่งรัฐเฉยๆ  ไม่มี  เพราะฉะนั้นเผด็จการที่แท้จริงจะต้องมีชาติอยู่ด้วย
ถ้าคุณยึดกุมได้แต่รัฐ คุณเป็นได้เพียงทรราช แต่ถ้าคุณยึดกุมชาติได้ด้วย เมื่อนั้นคุณจึงสามารถเป็นเผด็จการได้ ในขณะที่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าความเป็นชาติของรัฐสมัยใหม่ทั้งหลายมันไม่เท่ากัน
การจะมีสำนึกความเป็นชาติร่วมกันได้ จะต้องยอมรับเสียก่อนว่า พลเมืองทุกคนเป็นเจ้าของรัฐอย่างเท่าเทียมกัน ถ้ายอมรับข้อนี้ไม่ได้ นั่นหมายความว่า มีเพียงแค่รัฐที่ไร้ชาติ
สำหรับชาติไทยนั้นมีพัฒนาการความเป็นชาติที่ช้ากว่าชาติอเมริกัน ชาติฝรั่งเศส แต่เรากำลังก้าวเดินสู่ความเป็นชาติเข้าไปเรื่อยๆ จนคนเริ่มมีสำนึกในความเป็นเจ้าของประเทศมากขึ้น จากแต่เดิมที่มีเพียงศูนย์กลางที่กรุงเทพ ข้าราชการ และชนชั้นนำของประเทศ ชาวนาเกษตรกรไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
และด้วยเหตุนี้ ผมมองว่าการรัฐประหารที่ผ่านมาในหลายๆ ครั้งของประเทศไทย จึงเป็นเพียงแค่การยึดรัฐ ไม่สามารถยึดชาติได้ จะมีก็เพียงสองครั้งคือ รัฐประหารปี49 และรัฐประหารครั้งล่าสุดปี57  ที่มีความพยายามจะยึดชาติด้วย และเมื่อใดก็ตามที่มีความพยายามจะยึดชาติ มันไม่ง่ายเหมือนการยึดดินแดนและกลไกของรัฐ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องเล็กๆ เพียงแค่มีปืน มีอำนาจ จะยึดเมื่อไรก็สามารถยึดได้ แต่กับการยึดชาตินั้นเท่ากับว่าเป็นการยึดสำนึกของคน ต้องยึดความหวัง ยึดความฝันของคนด้วย ซึ่งมันไม่ง่าย และที่ผ่านมาในปี49 นั้นล้มเหลว เพราะไม่สามารถยึดชาติได้ แต่สำหรับปีนี้ เขาไม่ให้พูด ผมก็ไม่พูด

การสร้างความน่าสะพรึงกลัว เครื่องมือของเผด็จการ

            “ความน่าสะพรึงกลัวของระบอบเผด็จการในรัฐสมัยใหม่จึงแตกต่างจากความน่าสะพรึงกลัวของโจรหรือความน่าสะพรึงกลัวของทรราช… แต่เผด็จการในรัฐสมัยใหม่ไม่ทำแบบนั้นเหตุผลสำคัญก็เพราะจุดมุ่งหมายของการสร้างความน่าสะพรึงกลัวก็คือ… Total Domination การยึดกุมคนจนสุดจิตสุดใจ หรือยอมจำนนอย่างสุดตัว”
สิ่งที่เผด็จการสมัยใหม่ใช้เป็นเครื่องมือนั้นมีอยู่สองสิ่ง คือความน่าสะพรึงกลัว กับอุดมการณ์บางอย่างที่ทำให้ความน่าสะพรึงกลัวเป็นที่ยอมรับได้ ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ต้องทำงานควบคู่กันไป ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้
ความน่าสะพรึงกลัวเป็นเครื่องมือของการใช้อำนาจมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว พระเจ้าแผ่นดินในสมัยโบราณเวลาจะประหารคนนั้นไม่ได้มีวิธีการเอานักโทษเข้าไปฉีดยาแล้วปล่อยให้ตายในห้อง แต่เวลาจะประหารนักโทษท่านสั่งให้จับคนคนนั้นเข้าไปใส่ไว้ในตะกร้อแล้วให้ช้างเตะจนตาย ต่อหน้าคนหลายๆ คน ซึ่งนี่เป็นการสร้างความน่าสะพรึงกลัวในฐานที่ห้ามไม่ให้เกิดการละเมิดพระราชอำนาจ แต่กับเผด็จการในรัฐสมัยใหม่ไม่ได้เป็นอย่างนั้น
ความน่าสะพรึงกลัวในรัฐสมัยใหม่นั้นเป็นการสร้างความน่าสะพรึงที่ไม่มีการแยกแยะ คือไม่ได้ใช้กับคนที่คิดจะล้มอำนาจเผด็จการเพียงอย่างเดียว แต่ใช้กับคนเล็กคนน้อยใช้ทั่วไปหมด เช่นคุณสวมเสื้อผิดสี คุณก็มีความผิด ซึ่งนี่เป็นความน่าสะพรึงกลัวที่สำคัญที่สุดอันหนึ่งของระบบเผด็จการสมัยใหม่ คือมีการทำร้าย ลงโทษคนอื่นทั่วไปหมดโดยไม่คำนึงว่าคนๆ นั้นเป็นศัตรูหรือไม่ ซึ่งในโซเวียตสมัยสตาลิน การลงโทษแบบไม่เลือกหน้าแบบนี้มีการทำกับพรรคพวกตัวเองด้วย ไม่ใช่เพราะพรรคพวกของตนจะหันกลับมาทำร้ายตัวเอง แต่ต้องทำเพราะให้ความน่าสะพรึงกลัวแพร่กระจายออกไป โดยทำให้คนรับรู้ว่าไม่มีทางรอดออกไปได้ง่ายๆ
ในส่วนต่อมา การใช้ความน่าสะพรึงกลัวของเผด็จการในรัฐสมัยใหม่นั้นมีลักษณะที่เป็นการสร้างความน่าสะพรึงกลัวคือ ต้องมีการทำลายคนจำนวนมาก เช่นสิ่งที่นาซีกระทำกับชาวยิวและชนชาติอื่นๆ …ซึ่งมันเป็นการสูญเสียจำนวนมาก และนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถเป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จได้เพราะประชากรมีน้อยเกินไป ฉะนั้นจึงเป็นได้เพียงแค่ระดับหนึ่งเท่านั้น  นอกจากนี้แล้วการทำร้ายคนเผด็จการจะไม่ทำร้ายคนๆ เดียว แต่จะทำร้ายเครือข่ายของคนๆ นั้นด้วย ให้เกิดความทุกข์อย่างแสนสาหัสมาก เช่นในประเทศชิลีและอาร์เจนตินา ซึ่งเคยมีการจับคนแล้วหายไปเลย โดยไม่มีใครรู้ว่าคนๆ หนึ่งหายไปไหน ซึ่งการที่หายไปเฉยๆ โดยไม่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่หลังตายไปแล้ว ส่งผลให้คนที่เหลืออยู่ไม่สามารถกำหนดชีวิตตัวเองได้
ความน่าสะพรึงกลัวอีกอย่างหนึ่ง คือมันทำให้เราไม่สามารถไว้ใจใครได้ กรณีเช่นนักไวโอลินฝีมือเอกของโลกที่ชื่อออย สตาร์ค ซึ่งได้รับอนุญาตจากรัฐบาลโซเวียตสมัยสตาลิน ร่วมกับเพื่อนที่เป็นนักเชลโล ชื่อรอส ทรอโพรวิชท์ วันแรกที่ทั้งสองคนไปถึงปารีสก็ได้เดินออกมาเที่ยวชมที่เมืองปารีส เมื่อมาถึงออย สตาร์ค ก็ได้สารภาพกับรอส ทรอโพรวิชท์ ว่าก่อนจะออกเดินทางมาปารีส ตนได้เขียนบทความโจมตีรอส ทรอโพรวิชท์ อย่างแหลกลาญเลย และในวันพรุ่งนี้บทความเหล่านั้นจะตีพิมพ์ แต่ทั้งสองคนก็เข้าใจกันว่าสตาลินต้องการที่จะให้ตัวรอส ทรอโพรวิชท์ออกนอกประเทศไป จึงได้สั่งให้นักดนตรีที่มีชื่อเสียงพอๆ กันเขียนบทความโจมตีรอส ทรอโพรวิชท์ สรุปก็คือความน่าสะพรึงกลัวนี้ มันกำลังทำใครคุณไม่สามารถไว้ใจใครได้ ให้คนรู้สึกถึงความอ่อนแอเมื่อรู้สึกขาดเครือข่ายโดยสิ้นเชิง  
อีกประการหนึ่งของความน่าสะพรึงกลัวของเผด็จการในโลกสมัยใหม่ คือมันทำให้คนไม่สามารถคาดการณ์อะไรได้ถูกเลย คนไม่สามารถคิดได้ว่าจะทำอะไรได้มากน้อยเพียงไหน ทำอะไรถึงจะถูกหรือทำอะไรถึงจะผิด สุดท้ายจึงส่งผลให้คนหลายๆ คนเซ็นเซอร์ตัวเองไปมากกว่าเส้นที่ผู้มีอำนาจได้ขีดไว้ และนี่คือประโยชน์ของความน่าสะพรึงกลัวของโลกสมัยใหม่
ทั้งหมดนี้ทำได้อย่างไร โดยสรุปก็คือเผด็จการขุดเอากิเลสที่ฝังลึกในใจมนุษย์นั้นออกมา คือมนุษย์ทุกคนเห็นแก่ตัวกันหมด พอเราวางใจใครไม่ได้ เราก็เหลือแต่ความเป็นปัจเจกคนเดียว และนั่นทำให้เราอ่อนแอถึงที่สุด
เพราะฉะนั้นความน่าสะพรึงกลัวของระบอบเผด็จการในรัฐสมัยใหม่จึงแตกต่างจากความน่าสะพรึงกลัวของโจร หรือความน่าสะพรึงกลัวของทรราช… แต่เผด็จการในรัฐสมัยใหม่ไม่ทำแบบนั้น  เหตุผลสำคัญก็เพราะจุดมุ่งหมายของการสร้างความน่าสะพรึงกลัวก็คือ… Total Domination การยึดกุมคนจนสุดจิตสุดใจ หรือยอมจำนนอย่างสุดตัว…

อุดมการณ์ที่หล่อเลี้ยงความชอบธรรมให้ความน่าสะพรึงกลัว

“เผด็จการทั่วไปทำทุกอย่างที่เหมือนกับทรราชทำคือ
พยายามหันกลับไปรื้อฟื้นระเบียบเหล่านี้ซึ่งทำให้มันไม่แตกต่างกับทรราช”
“เมื่อไรที่คุณยึดอำนาจกลายเป็นเผด็จการคุณจะรู้สึกหวั่นไหวที่ข้อมูลข่าวสารจะหลั่งไหลอย่างอิสระจากที่ต่างๆ ในโลกเข้ามาข้างในถ้าบล็อคได้คุณก็บล็อค ถ้าบล็อคไม่ได้คุณก็หาทางแก้โดยวิธีต่างๆอันนี้เป็นลักษณะที่เราพบอยู่ทั่วๆ ไป ในขณะเดียวกันคุณกลัวการเคลื่อนไหวทุกรูปแบบของสังคม”
เหตุใดการสร้างความสะพรึงกลัวในลักษณะดังกล่าวจึงถูกยอมรับ  เหตุผลสำคัญคือมันมีอุดมการณ์ และอุดมการณ์ของระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จทั้งหลายในโลกนั้น มันแตกต่างจากอุดมการณ์ของพวกทรราช คือพวกทรราชไหนก็ต้องมีอุดมการณ์ทั้งนั้น พระเจ้าปราสาททองยึดราชบัลลังก์จากลูกชายพระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อนหน้านั้นที่เป็นเด็กตัวเล็กๆ  แล้วท่านก็บอกว่า ไอ้นี้เป็นเด็กเล็กเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เล่นชนแพะชนทั้งวันแล้วบ้านเมืองจะไปได้ยังไง อุดมการณ์จะปล่อยให้ไปตกในมือเด็กเล็กๆ ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นกูยึดเองดีกว่า กูเป็นเอง นี้คืออุดมการณ์ รัชกาลที่1 ท่านก็บอกว่าจะขึ้นทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา นี่ก็คืออุดมการณ์เหมือนกัน
แต่เผด็จการไม่ใช้อุดมการณ์แบบนี้ อุดมการณ์ของทรราชหรืออุดมการณ์ของเผด็จการที่มันไม่เป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จ มันเป็นอุดมการณ์ที่จะกลับไปย้อนหาอดีต อดีตที่จริงหรือไม่จริง คือการพยายามรักษาสิ่งที่เชื่อว่าดีในอดีต มีระเบียบสังคมที่ดี สงบเรียบร้อยอะไรก็แล้วแต่ สิ่งที่ดีในอดีต เผด็จการเพื่อรักษาสิ่งที่ดีในอดีตเอาไว้ แต่เผด็จการเบ็ดเสร็จไม่ใช่จะรักษาสิ่งที่ดีในอดีต แต่ต้องการสร้างสิ่งใหม่ให้แก่โลกปัจจุบันและอนาคต เช่น คอมมิวนิสต์ของโซเวียต ที่พยายามจะสร้างเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพ ซึ่งประวัติศาสตร์มันบังคับ บ่งบอกว่ายังไงก็ไม่มีทางหนีพ้น คนที่พยายามจะหนีจะถูกกงล้อของประวัติศาสตร์ทับตาย
ฮิตเลอร์บอกว่ามันมีชนชั้นในทางชีววิทยา มีชนชั้นที่เป็นนาย ถึงยังไงชนชั้นนี้ก็เป็นนาย เผด็จการเบ็ดเสร็จต้องการสร้างคนชนิดใหม่ขึ้นมา ไม่ได้ต้องการรักษาคนดีเอาไว้ ต้องเป็นคนชนิดใหม่ถึงจะเหมาะสมที่จะอยู่ถึงโลกยุคใหม่ ในขณะที่เผด็จการทรราช เผด็จการธรรมดาจะพยายามกับไปรื้อระเบียบสังคมเก่าอยู่ตลอดเวลา อุดมการณ์ที่เป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จที่จะสร้างอนาคตใหม่ มันมีพลังมากเพราะมันควบคุมอดีตควบคุมปัจจุบันควบคุมอนาคตไว้ได้ ลองคิดถึงวิธีอธิบายการต่อสู้กันทางชนชั้น ซึ่งมันอธิบายไล่ย้อนกลับไปถึงอดีตพัฒนาเป็นปัจจุบันและอนาคต อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงเป็นอื่น เป็นสิ่งที่มีพลังมาก
แน่นอน เผด็จการที่ไม่ใช่เผด็จการแบบเบ็ดเสร็จไม่สามารถที่จะมีอุดมการณ์ระดับนี้ได้ ดังนั้นจึงต้องพยายามหันกลับไปยึดการรื้อฟื้นระเบียบเก่าของสังคม ระเบียบเก่าเหล่านี้ตัวเองก็ได้ประโยชน์หรือพรรคพวกตัวเองก็ได้ประโยชน์ เช่น ในแอฟริกา เผด็จการหลายแห่ง เป็นเรื่องของการต่อสู้ของชนเผ่าหลายๆ ชนเผ่า ชนเผ่าที่เคยครอบงำผลประโยชน์มากที่สุด คนในชนเผ่านี้บางคนเคยเป็นทหารและทำการยึดอำนาจได้ ชนเผ่านี้ก็พยายามยืนยันว่าจะกับไปสู่ระเบียบสังคมแบบเก่าที่มันมีความสงบสุข
ในลาตินอเมริกากองทัพร่วมมือกับพวกกระฎุมพีหรือกลุ่มคนชั้นกลางในเมืองเพื่อที่จะรักษาผลประโยชน์ของกองทัพและรักษาชนชั้นกลางเอาไว้ ก็อ้างว่าเรากับไปสู่ระเบียบที่มันสงบเรียบร้อยเหมือนเดิม ในฟิลิปปินส์กองทัพร่วมมือกับเจ้าของที่ดินขนาดใหญ่ในประเทศเพื่อรักษาตัวระเบียบสังคมที่เชื่อว่ามันดี
เผด็จการทั่วไปทำทุกอย่างที่เหมือนกับทรราชทำ คือพยายามหันกลับไปรื้อฟื้นระเบียบเหล่านี้ ซึ่งทำให้มันไม่แตกต่างกับทรราช เมื่อไรที่เราพูดถึงเผด็จการในปัจจุบัน ไม่นับฮิตเลอร์ สตาลิน เหมา เราจะนึกถึงเผด็จการที่มีลักษณะที่เป็นแบบทรราช ซึ่งเอื้อผลประโยชน์ของคนชนกลุ่มน้อย เพราะสังคมทุกสังคมในโลกมันเอื้อประโยชน์แก่ชนกลุ่มน้อยก่อนเสมอ ดังนั้นมันเป็นเผด็จการที่ตามทัศนะของผมเป็นเผด็จการที่ล้าสมัย พูดง่ายๆ คือโลกปัจจุบันไม่อนุญาตต่อเผด็จการธรรมดา แต่อาจจะอนุญาตเผด็จการแบบฮิตเลอร์ แต่เผด็จการที่ทำตัวเองเป็นทรราชเมื่อสองพันปีไปแล้วคงไม่ค่อยเอื้อเท่าไร อุดมการณ์อันเดียวที่เผด็จการทั่วไปทั้งหลายที่ไม่ใช่เผด็จการเบ็ดเสร็จมักจะทำ คือ ชาตินิยม ผมต้องเข้ามาเพื่อรักษาชาติเอาไว้ ซึ่งความเป็นชาติของเขาจะสอดคล้องกับการรื้อฟื้นระเบียบแบบเก่า เพราะว่าชาติของประเทศที่มีเผด็จการทั้งหลาย ไม่ว่าจะแอฟริกา  เอเชีย ลาตินอเมริกา มันเป็นชาติที่สร้างระเบียบสังคม ชนิดที่เอื้อต่อผลประโยชน์ของกลุ่มคนจำนวนน้อยตลอดเวลา ฉะนั้นที่บอกคุณรักชาติก็คือการพยายามจะรักษาตัวระเบียบของสังคมเอาไว้ให้มันเหมือนเดิม แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือพลังในชาติของโลกปัจจุบันมันอ่อนไปแล้ว มันถูกตีความได้หลายอย่าง รักชาติแบบมึง รักชาติแบบกู ฉะนั้นตัวชาตินิยมที่เฉยๆ มันจึงกลัวการไหลของข้อมูลข่าวสารที่เสรี
เมื่อไรที่คุณยึดอำนาจกลายเป็นเผด็จการ คุณจะรู้สึกหวั่นไหวที่ข้อมูลข่าวสารจะหลั่งไหลอย่างอิสระจากที่ต่างๆ ในโลกเข้ามาข้างใน ถ้าบล็อคได้คุณก็บล็อค ถ้าบล็อคไม่ได้คุณก็หาทางแก้โดยวิธีต่างๆ  อันนี้เป็นลักษณะที่เราพบอยู่ทั่วๆ ไป ในขณะเดียวกันคุณกลัวการเคลื่อนไหวทุกรูปแบบของสังคม
อย่าลืมว่าตามคำนิยาม ชาติคืออะไร  ชาติก็คือสังคมนั่นเอง เพราะเราพูดถึงชาติคือ รัฐที่ยอมรับความเป็นเจ้าของประเทศที่ทุกคนเท่าเทียมกัน เพราะฉะนั้นเผด็จการจะกลัวการเคลื่อนไหวของสังคมทุกรูปแบบ ไม่ว่าคุณจะเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ เคลื่อนไหวในเชิงวิชาการ คุณจะรู้สึกหวั่นไหวในการเคลื่อนไหวในสังคม
เพราะชาติที่คุณยึดได้มันไม่มีในตัวสังคมที่พูดถึง ขอกลับย้อนไปย้ำสิ่งที่พูดว่า ถ้าคุณยึดได้แต่เพียงรัฐ ยึดชาติไม่ได้ เมื่อไรที่ชาติมันเริ่มแสดงตัวขึ้นมาเมื่อนั้นคุณจะหวั่นไหวกับมันอย่างมากที่สุด ที่น่าสนใจคือคุณจะทำอย่างไรกับการเคลื่อนไหวเหล่านี้ ก็ต้องปราบปรามด้วยความน่าสะพรึงกลัว เหมือนกับเผด็จการเบ็ดเสร็จใช้นั่นเอง แต่ความน่าสะพรึงกลัวที่ขาดอุดมการณ์รองรับ นอกจากที่ยกตัวอย่าง ฮิตเลอร์ สตาลิน เหมา มันทำให้เผด็จการมันกลายเป็นทรราชอีก อย่าลืมว่าความน่าสะพรึงกลัวที่ฮิตเลอร์ สตาลิน ใช้ เป็นความน่าสะพรึงกลัวที่ถูกรองรับด้วยอุดมการณ์ที่คิดถึงอนาคต ไม่ใช่การกลับไปรักษาอดีต และคนจำนวนหนึ่งที่จำนวนมากพอสมควรยอมรับกับการใช้ความน่าสะพรึงกลัว แต่ถ้าเมื่อใดที่คุณใช้ความน่าสะพรึงกลัวเพื่อรักษาอำนาจของตนเอง คุณก็กลายมาเป็นทรราชอย่างเก่า ซึ่งมันไม่สามารถจะอยู่ได้ มันล้าสมัยไปแล้วในโลกปัจจุบันนี้ คุณก็ต้องหันไปหาความชอบธรรมอื่นๆ เช่น การสร้างประชาธิปไตยที่สมบรูณ์ การกำจัดคอรัปชั่น การรักษาความสงบเรียบร้อย การปฏิรูปการเมือง การรักษาสถาบันศาสนา การรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ อะไรก็ตามแต่เป็นความชอบธรรมทางการเมืองซึ่งเอามาทดแทนอุดมการณ์ ซึ่งถ้าอุดมการณ์ที่เป็นการรักษาอดีตแต่เพียงอย่างเดียว มันไม่มีพลังพอที่คุณจะใช้ความน่าสะพรึงกลัวอย่างเต็มได้

อนาคตของเผด็จการ กับปัญหาที่ต้องเผชิญ บทเรียนที่ต้องยุติ

พอมาถึงเรื่องของอนาคตของเผด็จการ ประเด็นแรกที่อยากจะพูดถึงก็คือ เผด็จการที่พูดถึงเป็นเผด็จการทั่วไปไม่ใช่เผด็จการเบ็ดเสร็จ
ประเด็นที่1 มีนักวิชาการชาวต่างชาติที่พูดถึงเรื่องของความงอกงามเติบโตของประชาธิปไตยในโลกสมัยใหม่ ตั้งแต่ปี 1970 เป็นต้นมา และเหตุผลสำคัญคือโลกาภิวัตน์ รัฐในโลกปัจจุบันไม่ใช่รัฐแบบเก่าที่พร้อมจะปิดประเทศเพื่อที่จะอยู่คนเดียว มันเป็นรัฐที่ประเทศอื่นๆ  เข้ามาแทรกวางนโยบายสาธารณะทั้งทางตรงและทางอ้อม ยกตัวอย่างเช่น รถไฟความเร็วสูง เราไปคิดเพียงแต่ว่าเปิดตลาดให้จีน ซึ่งจริงๆ แล้วตลาดจีนจะสามารถใช้ประโยชน์จากการผลิตในจีน ใช้ประโยชน์จากรถไฟความเร็วสูงได้เท่าไร ซึ่งยังไม่แน่ใจอาจจะแค่ขายราง ขายหัวจักรรถไฟ แต่ที่จริงรถไฟความเร็วสูงมันหมายถึงการขยายตัวของการบริโภค หรือสินค้าอื่นที่คนจำนวนมากและชนชั้นกลางจะเข้าถึงง่ายๆ  เพราะฉะนั้นพอมีรถไฟความเร็วสูง จะมีคำถามขึ้นมาว่าสินค้าจะไหลไปจีนเพียงอย่างเดียวหรือจะมีสินค้าจากโลกข้างนอกที่เจริญกว่าจีน และไหลไปทางรถไฟเข้าไปสู่คนอีสาน เหนือ ใต้ ได้เร็วมากขึ้น จึงมีความหมายเป็นนโยบายสาธารณะของประเทศไทย แต่เป็นผลประโยชน์ทั้งของจีนและประเทศอื่นๆ  ไม่ได้จำกัดเฉพาะประเทศไทยอย่างเดียว
ประเด็นที่2 ปัญหาความมั่นคงด้านนโยบายซึ่งเป็นเรื่องสำคัญกับประเทศมหาอำนาจ สมัยสงครามเย็นความมั่นคงด้านนโยบายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเขา แค่คุณวางนโยบายว่าจะต่อต้านคอมมิวนิสต์ ใครจะมาจากการเลือกตั้ง มาจากการยึดอำนาจรัฐประหารก็ได้ทั้งนั้น เพียงแค่มีนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์ ในโลกปัจจุบันปัญหาความมั่นคงด้านนโยบาย มันมาจากการที่คุณต้องมีรัฐบาลทหารคอยกำกับให้เป็นนโยบายอย่างนั้นหรือเปล่า ส่วนตัวคิดว่ามันไม่ใช่แล้ว ความมั่นคงด้านนโยบายกลับเกิดขึ้นจากการต่อต้านที่มีขีดจำกัด เช่น นโยบายที่มาจากการถกเถียงโต้แย้ง จนในที่สุดสามารถผ่านออกมาได้ แต่จะเป็นนโยบายที่มั่นคงกว่า นโยบายที่มาจากเผด็จการและสามารถวางนโยบายภายใน 3 เดือน ถ้าคิดว่ามหาอำนาจต้องการความมั่นคงทางด้านนโยบายของประเทศเล็กๆ ที่กล่าวมา ผมคิดว่าประชาชนเขาน่าจะพอใจกับระบอบประชาธิปไตยมากกว่า  อันนี้ไม่เกี่ยวว่ามหาอำนาจเหล่านั้นเป็นประชาธิปไตยหรือไม่เป็นประชาธิปไตย  จีนเองนี่อย่างที่ทุกท่านทราบอยู่แล้ว ประสบปัญหาการแปลงเปลี่ยน นโยบายในพม่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมากเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำเหมือง นโยบายพลังงาน หรือแม้แต่นโยบายทางการทหาร ซึ่งครั้งกองทัพพม่าซื้อแต่อาวุธจีนตลอดเวลา ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว แต่เริ่มซื้ออาวุธฝรั่งบ้างเหมือนกัน เพราะฉะนั้นความมั่นคงด้านนโยบายจะมีความสำคัญต่อมหาอำนาจ ไม่ใช่ ฉะนั้นมหาอำนาจที่เป็นประชาธิปไตยแต่เพียงเท่านั้น แต่มหาอำนาจที่ไม่เป็นประชาธิปไตยต่างก็ต้องการความมั่นคงทางนโยบายจากประเทศอื่นทั้งสิ้น
ประเด็นที่ 2 ที่ผมอย่างจะพูดถึงอนาคตของเผด็จการ คือผมคิดว่ารัฐชาติกำลังเปลี่ยนอาจจะไม่ถึงกับสลายลงไป แต่มันเปลี่ยนแน่ๆ  เพราะรัฐชาติในทุกวันนี้คุณต้องอยู่กับองค์กรข้ามชาติระหว่างประเทศแยะมาก ไม่ว่าจะเป็น EU ไม่ว่าจะเป็นASEAN ไม่ว่าจะเป็นFTA ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามอีกร้อยแปดพันประการ องค์กรเหล่านี้ข้อตกลงขององค์เหล่านี้ข้ามอธิปไตยของปวงชนด้วย อย่างที่ทุกท่านทราบ เช่นเรื่องEU มันข้ามกฎหมายของทุกประเทศเลยที่เป็นสมาชิกของEU เพราะมันมีกฎหมายของมันเอง เพราะฉะนั้น…………………………………
 #########
(เจ้าหน้าที่เดินเข้ามาแจ้งนิธิโดยตรง ขอให้ยกเลิกการจัดกิจกรรม)

'ประยุทธ์' ขอโทษ 'นักท่องเที่ยว-กริชสุดา' ระบุชินกับการพูดแบบทหาร


รายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีระบุรัฐบาลเริ่มเดินหน้าทำงานแล้ว พร้อมทั้งขอโทษครอบครัวนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ-กริชสุดา ที่พูดไม่สุภาพ ระบุชินกับการพูดคุยแบบทหาร เน้นตามจับกุมผู้ร้ายก่อเหตุฆาตกรรมนักท่องเที่ยวให้ได้ เพราะทำให้ประเทศเสียหายเป็นแสนล้าน 
 
 
19 ก.ย. 2557 เวลา 20.15 น.พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยตอนหนึ่งว่า
 
"บางครั้งที่ผมพูดหรือกล่าวอะไรไป อาจใช้คำพูดไม่สุภาพบ้างหรือแรงไปบ้าง เพียงต้องการให้ทุกคนได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดของผมของทุกคนในชาติ แล้วมาร่วมมือกันในการแก้ปัญหาที่สำคัญทุก ๆ เรื่อง ผมก็พยายามปรับปรุงตัวเองไปเรื่อย ๆ ผมเป็นทหารมาเกือบทั้งชีวิต 38 ปี ในกองทัพบก ก็อยู่กับลูกน้องส่วนใหญ่ที่เป็นทหาร เป็นผู้ชาย ต้องขอโทษ ถ้าพูดไม่สุภาพบ้าง อะไรบ้าง ผมให้เกียรติทุกท่านเสมอ"
 
“เรื่องที่ผมกล่าวถึงนักท่องเที่ยวที่แต่งกายล่อแหลม หรือใส่บิกินี่ ผมไม่ได้ไปโทษท่าน ไม่ได้ไปให้ร้ายท่าน ไม่ได้เจตนาอย่างอื่น เพียงแต่ต้องการจะเตือนเท่านั้นเองว่า บางเวลา บางสถานที่ อาจจะมีความจำเป็นเพราะว่ายังไม่ปลอดภัยมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาวิกาล ผมก็เสียใจที่คำพูดของผมอาจจะทำให้หลายคนไม่สบายใจและโดยเฉพาะอย่างยิ่งนั้น ผมเสียใจเป็นที่สุดกับครอบครัวชาวต่างชาติที่เสียชีวิต ทุกคนที่เสียชีวิต ผมเสียใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคนไทย คนต่างชาติ อะไรที่พูดแรงไป ต้องขอโทษด้วย ไม่ได้เจตนา ผมเป็นสุภาพบุรุษ ฉะนั้นเมื่อผมพูดผิด ทำอะไรผิด ต้องรับผิดชอบ ก็ขอโทษท่าน ต้องการให้เป็นแบบอย่างกับทุก ๆ คนด้วย”
 
“อีกที อย่าพูดอะไรที่เป็นการให้ร้ายเจ้าหน้าที่เลย เพราะว่าส่วนใหญ่เป็นเรื่องไม่จริงทั้งนั้น ไม่ใช่ส่วนใหญ่ เกือบทั้งหมด ฉะนั้นคุณเป็นสุภาพสตรี ผมต้องขอโทษบางครั้งพูดแรงไป ก็มีอารมณ์เหมือนกัน เพราะว่าท่านให้ร้ายกองทัพให้ร้ายอะไรต่าง ๆ มาโดยตลอด โดยที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง ต้องขอโทษด้วย ผมเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องสุภาพเรียบร้อย” พลเอกประยุทธ์กล่าว
 
โดยรายละเอียดของรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยวันศุกร์ที่ 19 กันยายน 2557 เวลา 20.15 น. ทั้งหมดมีดังต่อไปนี้
 
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
วันศุกร์ที่ 19 กันยายน 2557 เวลา 20.15 น.
 
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องประชาชนชาวไทยที่เคารพรัก สัปดาห์ที่ผ่านมามีเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง โดยเมื่อวันจันทร์ที่ 15 กันยายน 2557 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินกลับมาประทับที่พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อ.หัวหิน เพื่อทรงฟื้นฟูพระวรกาย หลังจากที่เสด็จฯ ประทับโรงพยาบาลศิริราชเพื่อทรงตรวจพระวรกายตามการถวายคำแนะนำของคณะแพทย์ พสกนิกรต่างพร้อมใจกันถือธงชาติและธง ภปร. รับเสด็จฯ เนื่องแน่นตลอดเส้นทางเสด็จพระราชดำเนิน พร้อมกับเปล่งเสียงทรงพระเจริญเพื่อถวายความจงรักภักดี ทั้งสองพระองค์ได้ทรงโบกพระหัตถ์ และแย้มพระสรวล ซึ่งสร้างความปีติยินดีให้กับพสกนิกรที่มารับเสด็จและประชาชนคนไทยทุกหมู่เหล่าเป็นล้นพ้น
 
สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ถือเป็นสัปดาห์แรกที่รัฐบาลและคณะรัฐมนตรี ได้ทำงานในการบริหารประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ภายหลังจากที่ได้แถลงนโยบายแก่สภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งได้แบ่งมอบงานให้กับรองนายกรัฐมนตรี ทั้ง 5 ท่าน กำกับดูแลงานของกระทรวงต่าง ๆ โดย พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี/รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับผิดชอบงานด้านความมั่นคง (กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบงานด้านเศรษฐกิจ (กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร) ท่าน ยงยุทธ ยุทธวงศ์ รองนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบงานด้านสังคมจิตวิทยา (กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี/รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รับผิดชอบงานด้านการต่างประเทศ และกิจการอื่น ๆ (กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวัฒนธรรม) ท่าน วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบงานด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม (กระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานกระบวนการยุติธรรม) ผมเองก็ได้มอบนโยบายให้กับผู้บริหารระดับสูงของส่วนราชการต่าง ๆ ไปแล้ว พวกเราทั้งหมด ทั้งรัฐบาล ข้าราชการ พลเรือน ตำรวจ ทหาร ก็จะปฏิบัติหน้าที่กันอย่างเต็มความสามารถ ในการขับเคลื่อนให้เป็นไปตามนโยบายดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนทุกคน อย่างเท่าเทียม โปร่งใส และเป็นธรรม
 
เรื่องของการปฏิรูป เมื่อวันที่ 12 กันยายน ที่ผ่านมา คณะกรรมการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ทุกด้านได้ประชุมหารือกัน วางแนวทาง หลักเกณฑ์ คัดเลือก สปช. แต่ละด้านไปแล้ว และในวันที่ 15 กันยายน 2557 ได้มีการประชุมนัดที่สอง เพื่อพิจารณาคัดเลือกผู้ถูกเสนอชื่อเข้าสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ คาดว่าจะมีการประชุม 2-3 ครั้ง เพื่อจะคัดเลือกให้เหลือด้านละ 50 รายชื่อ ก่อนที่จะเสนอต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้พิจารณาคัดเลือกในขั้นตอนสุดท้าย การสรรหา สปช. ประจำจังหวัด ได้รับรายงานว่า ขณะนี้ข้อมูลทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่รอการประชุมเพื่อคัดเลือกรายชื่อที่จะเสนอต่อ คสช. จังหวัดละ 5 คน จากนั้น คสช. ก็จะคัดเลือกที่คณะกรรมการสรรหาเสนอมา ด้านต่าง ๆ ทั้ง 11 ด้าน 550 คน และจากจังหวัด ๆ ละ 5 คน 385 คน โดยจะคัดสรรให้ได้ผู้แทน ผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ จากทุกภาคส่วน และทุกภาคของประเทศไทย จนเหลือ 250 คน ซึ่งประกอบไปด้วยด้านต่าง ๆ 173 คน จากจังหวัด 77 คน จากนั้นสภาปฏิรูปแห่งชาติ จะดำเนินการตามขั้นตอน เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปทั้ง 11 เรื่องต่อไป โดยจะต้องครอบคลุมในทุกเรื่อง เราจะต้องร่วมกันปฏิรูปประเทศ สร้างประเทศให้มั่นคงต่อไป
 
สำหรับสถานการณ์จากภาวะฝนตกในหลายพื้นที่ ในห้วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม มีพื้นที่ประสบอุทกภัย 29 จังหวัด รวม 77 อำเภอ 204 ตำบล 826 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบเกือบ 2 หมื่นครัวเรือน ปัจจุบันสถานการณ์คลี่คลายลงแล้ว 25 จังหวัด ยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย 4 จังหวัด 10 อำเภอ 45 ตำบล 241 หมู่บ้าน อันได้แก่ สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร และนครสวรรค์ ซึ่งได้สั่งการให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยฝ่ายพลเรือน ฝ่ายทหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ให้การช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง
 
สำหรับสภาพอากาศในห้วงนี้ยังคงน่าเป็นห่วง ยังคงต้องระมัดระวังกันต่อไป ซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดอุทกภัย วาตภัย ดินถล่ม และคลื่นลมแรง ขอเรียนว่ารัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ห่วงใย ได้มีการติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ขอให้ประชาชนได้รับฟังข้อมูลทางด้านอากาศด้วย เพื่อจะได้มีการระมัดระวังในทุกภาคส่วน รวมทั้งได้สั่งการเน้นส่วนราชการที่มีหน้าที่ในการแจ้งเตือนไปแล้ว ให้แจ้งเตือนให้ทันเวลา เพื่อให้เกิดการป้องกันก่อนที่จะแก้ไขในภายหลังให้ประชาชนได้รับทราบ และปลอดภัย หน่วยงานของรัฐจะต้องสามารถดำเนินการช่วยเหลือได้ทันท่วงที ในช่วงวันที่ 15 - 18 กันยายนที่ผ่านมา ได้มีการแจ้งเตือน 18 จังหวัด ในพื้นที่ริมชายฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย ได้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ ก็ขอให้แจ้งเตือน มีการเฝ้าระวังกันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรือประมง เรือขนาดเล็ก เรือท่องเที่ยวต่าง ๆ ต้องระมัดระวังอย่าให้มีการเกิดอุบัติเหตุทางน้ำโดยเด็ดขาด
 
เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2557 ผมได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ อ.กงไกรลาศ จ.สุโขทัย ซึ่งได้นำส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องไปมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่าน พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งรับผิดชอบในเรื่องของการบริหารจัดการน้ำ ดร.รอยล จิตรดอน ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร และอธิบดีกรมป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงไปตรวจเยี่ยมและพบปัญหาต่าง ๆ ซึ่งได้รับการเสนอแนะจากท่านผู้ว่าราชการจังหวัด และประชาชนในพื้นที่ ได้เสนอแนวทางการบริหารจัดการน้ำมา 4 ข้อ ประกอบไปด้วย การเพิ่มแก้มลิงและพัฒนาพื้นที่แก้มลิง ทบทวนเกณฑ์การผันน้ำในลุ่มน้ำยมและน่าน ระบบรายงานสถานการณ์ฝนในทุกจังหวัด การขยายความจุลำน้ำ โดยการขุดลอก ซึ่งในสิ้นเดือนนี้จะมีการนำแผนการบริหารจัดการน้ำเข้าการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อดำเนินการจัดสรรงบประมาณประจำปี 2557 ที่เหลือจากรัฐบาลที่แล้วประมาณ 1 หมื่นล้านบาทเศษ มาช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มริมแม่น้ำยม และอื่น ๆ ซึ่งถือว่าเป็นความเร่งด่วนมีอยู่ 3 ข้อด้วยกัน คือ 1. เร่งระบายน้ำจากแม่น้ำสายหลักลงสู่แก้มลิงให้ได้โดยเร็ว 2. ขุดลอกแม่น้ำเพื่อจะช่วยให้ระบายน้ำให้เร็วขึ้น และกักเก็บน้ำไว้ได้ในท้องน้ำที่มีความลึกและได้มีการพูดคุยกับผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย จะมีการขุดท่อเจาะช่องระบายน้ำบริเวณถนนในหลายจุด ซึ่งเป็นคันกั้นน้ำอยู่หลาย ๆ จุดในเวลานี้ 3. กรณีของการสร้างเขื่อนในลุ่มน้ำยมหรือลุ่มน้ำอื่น ๆ นั้น ยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ ทั้งสิ้น จะต้องมีการพิจารณาพูดคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า จะสามารถช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมได้มากน้อยเพียงใด และมีประโยชน์ต่อประชาชนหรือไม่ ประชาชนพอใจหรือไม่ด้วย อันนี้คงต้องใช้ระยะเวลาอีกสักระยะหนึ่ง อย่าเพิ่งไปพูดหรือไปคิดอะไรกันในเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นจะเป็นปัญหาในการแก้ปัญหาทั้งระบบต่อไป
 
กรณีเกิดเหตุการณ์น่าสลดกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย และได้รับอันตรายจนกระทั่งเสียชีวิตที่เกาะเต่านั้น เรื่องนี้ผมถือว่าสร้างความเสียหายให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และชื่อเสียงของประเทศชาติเป็นอย่างมาก ได้สั่งการให้เร่งติดตามหาตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเร็ว ขณะนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่าผู้กระทำเป็นใคร แต่อย่างไรก็ตาม ก็มีความคืบหน้ามาโดยตลอด ได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐที่ดูแลความปลอดภัยตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ร่วมกับประชาชน อาสาสมัครต้องช่วยกันและดูแลเรื่องความปลอดภัยให้มากกว่านี้ เพราะว่ามีผลกระบทต่อการท่องเที่ยวในประเทศและในท้องถิ่นด้วย
ความคืบหน้าทางด้านเศรษฐกิจที่สำคัญ
 
ได้แก่ การส่งเสริมการลงทุนและการตลาด การดำเนินการด้านเศรษฐกิจนั้น ได้แบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะเร่งด่วนต้องดำเนินการโดยทันที ระยะต่อไปต้องแก้ไขปัญหาพื้นฐานที่ค้างคาอยู่เป็นจำนวนมาก และระยะยาวที่ต้องวางรากฐานเพื่อการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเข้มแข็ง ในขณะนี้ได้กระตุ้นการลงทุน ด้วยการเร่งพิจารณาโครงการลงทุนที่มีประสิทธิภาพที่นักลงทุนยื่นขออนุมัติส่งเสริมการลงทุนไว้แล้วให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว โดยสถิติการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอ ในช่วง 8 เดือนของปี 2557 ตั้งแต่มกราคม-สิงหาคม 2557 มีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 886 โครงการ เงินลงทุนรวม 416,500 ล้านบาท มีแนวโน้มที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วง 7 เดือนก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามพบว่า สถิติคำขอรับการส่งเสริมในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2557 นั้น เป็นโครงการใหม่ที่ยังไม่เคยลงทุนในประเทศไทยจำนวน 458 โครงการ หรือร้อยละ 52 ของจำนวนคำขอทั้งหมด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า นักลงทุนรายใหม่เริ่มมีความมั่นใจเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น
 
ด้านการปรับปรุงการให้บริการของรัฐแก่ประชาชน จากนโยบายของ คสช. และรัฐบาลในปัจจุบัน ในด้านการพัฒนาปรับปรุงการให้บริการของประชาชน ส่วนราชการต่าง ๆ ในลักษณะ One stop service มีคำแนะนำ ให้ความรู้ อำนวยความสะดวกแก่ประชาชน โดยมีทั้งศูนย์ดำรงธรรม จัดตั้งโดยกระทรวงมหาดไทย ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงต่าง ๆ ส่วนราชการต่าง ๆ เป็นอย่างดี ทำให้เกิดเป็นรูปธรรมในหลายจังหวัด หลายอำเภอ ต้องขอชื่นชมเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขอบคุณมาก ๆ อย่างไรก็ตาม การให้การบริการประชาชนนั้น จะต้องพัฒนาต่อไป ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทราบว่ากระทรวงมหาดไทยได้กำหนดจัดทำโครงการ “ฝึกอบรมเพิ่มทักษะเจ้าหน้าที่ในการบันทึกข้อมูล การร้องทุกข์ผ่านระบบสารสนเทศ และเจ้าหน้าที่ Call Center สายด่วน 1567 ในการให้บริการประชาชนของศูนย์ดำรงธรรม” ณ ศูนย์ฝึกอบรม บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ฝึกอบรมให้แก่เจ้าหน้าที่ของศูนย์ดำรงธรรม ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จำนวน 200 คน ก็คาดหวังว่าศูนย์ดำรงธรรมจะสามารถช่วยเหลือ และบริการประชาชนได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ด้วยความพึงพอใจของประชาชน
 
ด้านการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าว ตามที่ คสช. ได้จัดระเบียบในระยะแรกไว้แล้วนั้น ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา สรุปยอดรวมการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าว ปัจจุบันรวมจดทะเบียนทั้งสิ้น 1,088,306 คน (แรงงานเป็นต่างด้าว 1,024,686 คน ผู้ติดตาม 63,620 คน) จำนวนนายจ้าง 206,678 ราย
สำหรับจังหวัดที่มีการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวมากที่สุด 3 อันดับ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร 232,119 คน ชลบุรี 76,330 คน และสมุทรสาคร 75,659 คน
สำหรับประเภทกิจการที่จดทะเบียนแรงงานต่างด้าวมากที่สุด 3 อันดับ ได้แก่ กิจการก่อสร้าง 451,564 คน เกษตรและปศุสัตว์ 209,024 คน และการให้บริการต่าง ๆ 127,631 คน
 
ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมที่สำคัญ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานธุรกรรมทางด้านการเงิน (AMFICs= AMLO FINANCIAL INFORMATION CORPERATION SYSTEM) เพื่อเป็นการลดภาระและเพิ่มความรวดเร็วในการจัดส่งข้อมูลการทำธุรกรรมทางการเงินของสถาบันการเงินให้แก่ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งขอให้ภาคธุรกิจธนาคาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาคมธนาคารไทยกรุณาให้ความร่วมมือด้วย ในการจัดทำหรือจัดส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรม หากได้รับการร้องขอตามกฎหมาย ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงิน ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และความผิดเกี่ยวกับการทุจริต โดยกระทรวงยุติธรรมจะดำเนินการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินให้สอดคล้องกับมาตรการทางสากลให้เป็นมาตรฐาน การออกร่างกฎหมายว่าด้วยการพิสูจน์พยานหลักฐานทางการเงินและทางบัญชี ให้เกิดความรวดเร็วต่อการสืบสวน ค้นหา ผู้กระทำความผิดของหน่วยงานที่มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ในคดีที่มีความซับซ้อน ทั้งด้านเศรษฐกิจ ยาเสพติดและการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งถือเป็นนโยบายหลักของ คสช. และรัฐบาล
 
สำหรับการทำงานของรัฐบาลและ คสช. ในระยะต่อไปนั้น มีความสำคัญมากนะครับกับประเทศของเราทั้งการบริหารราชการแผ่นดิน การปฏิรูป การปรองดองสมานฉันท์ ตามที่ผมได้เคยกล่าวไปแล้วหลายครั้ง ๆ สิ่งที่เราคาดหวังไว้สำคัญ ๆ ได้แก่ การลดความขัดแย้งอย่างยั่งยืน การสร้างความรักใคร่ สามัคคีของคนในชาติ การขจัดการทุจริตคอร์รัปชั่นในทุกมิติ การปฏิรูปให้เกิดผลยั่งยืนในทุกด้าน การทำตามความคาดหวังของประชาชนทุกเรื่องให้ได้มากที่สุด การปลูกฝังค่านิยม 12 ประการ การปลูกฝัง และสร้างความจงรักภักดีต่อสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ การยกระดับรายได้ของประชาชนทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม การเพิ่มคุณภาพชีวิตที่เท่าเทียมด้วยหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การเพิ่มความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้านและประชาคมโลก ด้วยความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ลดความหวาดระแวง ร่วมมือกันในทุกมิติ ด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรม การสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน ระหว่าง รัฐ เอกชน ประชาสังคม ประชาชน โดยมีข้าราชการเป็นผู้ให้การสนับสนุน ผู้ขับเคลื่อนเป็นข้าราชการที่ดีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะต้องให้การบริการอย่างเต็มสติกำลัง
 
การขับเคลื่อนประเทศชาติในทุกมิตินั้น ทั้ง 3 เสาหลัก จะต้องมีความเข้มแข็ง ทัดเทียม นานาอารยะประเทศ เรามีทั้งวิกฤติและโอกาส เรามีทั้งเป็นหุ้นส่วนและก็เป็นผู้แข่งขันทางการค้าด้วย ต้องเร่งรัดในเรื่องนี้ การเพิ่มขีดความสามารถของประเทศในการแข่งขันด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม ส่งเสริมธุรกิจขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดย่อม
 
สำหรับการแก้ปัญหาที่ดินทำกินนั้น มีปัญหามากมายรวมทั้งการบุกรุกเขตป่าไม้ อุทยาน ราชพัสดุ จะต้องมีการบูรณาการทางกฎหมาย กฎ กติกา ปรับให้เกิดความเหมาะสม เป็นธรรม แก้ปัญหาประชาชนไม่มีที่ดินทำกินให้ได้โดยเร็ว
 
เรื่อง การใช้สื่อต่าง ๆ เรื่องนี้สำคัญ พบว่าสื่อมวลชนบางฉบับ หรือบางสำนัก ยังมีปรับปรุงน้อยนะครับ ยังคงมีการเขียนให้ร้ายกันในบางคอลัมน์ ก็ขอย้อนกลับไปดูที่ผ่านมานั้น ว่าอะไรที่เป็นส่วนสำคัญ ที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็น หนังสือพิมพ์ วารสาร โทรทัศน์ดาวเทียม เคเบิล โซเชียลมีเดีย วิทยุชุมชน บางช่อง บางคน บางท่านก็อ้างว่า เพื่อด้วยความรักชาติ ด้วยความเป็นธรรม เพื่อประชาธิปไตย หรืออะไรก็ตาม หากมีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นอีก มีความขัดแย้งเกิดขึ้นปฏิรูปไม่ได้ ท่านก็ต้องร่วมกับเราในการรับผิดชอบด้วย เพราะว่า หากเป็นสาเหตุในความขัดแย้งต่อไปด้วยการสร้างข้อมูลเท็จ ต้องขอร้องกันนะครับ กรุณาอย่าให้เราต้องบังคับใช้กฎหมายกันมากนักเลย จะมีความเดือดร้อน ไปทั้งพนักงานของสำนักพิมพ์ สถานีทั้งวิทยุ โทรทัศน์ ต่าง ๆ ก็ที่ผ่านมาก็เดือดร้อนกันหมดในกรณีที่ท่านทำผิดกติกาที่ตกลงกันไว้กับหน่วยงานที่ควบคุมอยู่ในปัจจุบัน
 
ขอเรียนว่าการที่สื่อต่าง ๆ บางสื่อนั้น มีการกล่าวให้ร้ายนี้ จะบิดเบือนข้อเท็จจริงบางอย่างก็เป็นเรื่องเล็กน้อย บางอย่างก็ขยายความไปโดยไม่มีข้อเท็จจริงที่สมบูรณ์ บางอย่างยังไม่มีการดำเนินคดีหรือตัดสินให้ถูกต่อกระบวนการยุติธรรม หากไม่ได้กลั่นกรองแล้วออกไป ทำให้คนเข้าใจผิด ทำให้ผู้ที่ถูกกล่าวอ้างหรือกล่าวหานั้นเสียหาย ยังไม่จบขั้นตอนก็ขอให้ใจเย็น ๆ รอเวลา รอกระบวนการยุติธรรมเขาทำงานให้เรียบร้อยก่อน พวกเรานั้น รัฐบาล ก็ยังไม่ได้หวั่นไหวอะไร เพียงแต่บางครั้งก็รำคาญใจเหมือนกัน เพราะทำให้เราคิดอะไรไม่ออกว่าจะทำอะไรให้กับประชาชนได้ ก็ติด ๆ ขัด ๆ ไปทั้งหมด พอจะเริ่มทำ เริ่มคิดก็ติดแล้ว ก็ฟังก่อนว่าเขาไปถึงไหนอย่างไร เขาจะแก้ไขปัญหาอย่างไรและค่อยไปดูว่าในขบวนการขั้นตอนเหล่านั้น ถูกต้องไหม พอใจกันไหม ถ้าเริ่มก็ติดหมดไปไม่ได้ก็จะอยู่เหมือนเก่าเหมือนเดิม ปัญหาเราก็ไม่ได้แก้ก็ฝากดูแลกันด้วย ช่วยกันดูแลด้วยว่าใครบ้างที่ยังมีพฤติกรรม ซึ่งไม่ร่วมกันสร้างบ้านเมือง ไม่ร่วมกันปฏิรูปปรองดอง
 
ในขณะนี้ ผลสำรวจดุสิตโพลล์หรือโพลล์ต่าง ๆ ก็ออกมาแล้วว่าประชาชนนั้น ไม่อยากให้มีความขัดแย้งอีกต่อไปและพอใจกับการปรองดองสมานฉันท์ การรณรงค์ปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมและพร้อมร่วมที่จะสร้างประชาธิปไตยที่เข้มแข็งเหมาะสมกับประเทศไทยของเรา บางคนนั้นบอกว่าทหารเดี๋ยวนี้ประชาสัมพันธ์เก่ง ผมเรียนว่า ทหารนี้ตามหลักนิยมทางทหารต้องทำก่อนแล้วค่อยพูด ก็ดีกว่าบางคนพูดแล้วไม่ทำ หลายท่านก็ชอบพูดหรือกล่าวให้ร้ายในหลายประเด็นด้วยกัน
 
คำว่าประชานิยมนั้น ไม่มีปัญหาหรอก ถ้าหากว่าไม่สร้างปัญหาในอนาคตผมไม่อาจไปกล่าวว่าดีหรือไม่ดี หากทำแล้วรัฐบาลต้องมาหาเงินใช้หนี้ มีเงินกู้เพิ่มหนี้สาธารณะโดยไม่จำเป็นหรือมีผู้ที่ได้ประโยชน์มากกว่าประชาชนที่แท้จริง จากการทุจริต ไม่โปร่งใสในขั้นตอนต่าง ๆ ประชาชนได้แต่เพียงส่วนน้อยต้องไป ด้วยว่าประชาชนได้จริง ๆ เท่าไร ได้ทุนได้ไหม หรือข้าราชการที่ทุจริตได้ไหม หรือใครจะได้อีกต่อไปก็แล้วแต่ ไปดูว่าสิ่งที่เราทำไปแล้วนั้น เป็นปัญหาต่อไปในระยะยาวหรือไม่ เพราะว่าเราถูกเป็นเครื่องมือหรือเปล่า
 
เรื่องปัจจัย 4 ที่เป็นของทฤษฎีในการที่จะทำให้ประชาชนนั้นมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่จะต้องไม่เป็นประชานิยมในลักษณะที่ว่า เมื่อซื้อไปแล้วไม่มีแรงผ่อนต่อ ก็เกิดปัญหาหนี้สินรุงรัง วันนี้ก็ต้องพิจารณาในเรื่องนี้อีกเหมือนกัน หนี้ประชาชน หนี้ครัวเรือนต่าง ๆ มากมาย เราไม่ต้องการให้มีการสร้าง Demand เทียมในการผลิต คือความต้องการที่เกินจากข้อเท็จจริงไป บางคนกล่าวว่า ผมคิดแบบนักการเมือง ผมเรียนว่า ผมคิดแบบทหาร ทหารทำอะไรต้องมีผลสัมฤทธิ์ เพราะเรามีเวลา มีงบประมาณจำกัด เพราะฉะนั้นอีกอย่างหนึ่งที่มาเติมในขณะนี้ ที่ผมเติมมาก็คือผมคิดแบบประชาชน ต้องไม่มีผลประโยชน์ ไม่ต้องนึกถึงพรรค ไม่ต้องหาเงินเข้าพรรคไปบริหาร อะไรก็แล้วแต่ ไม่ต้องรักษาฐานเสียง พวกเรามาขับเคลื่อนทุกองคาพยพให้ทำงาน ด้วยสติปัญญาของผู้รู้ ผู้ทรงคุณวุฒิต่าง ๆ ทุกคน หลาย ๆ คนมาช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ร่วมกับข้าราชการทุกฝ่าย และฟังเสียงประชาชนด้วย เราจะไม่ใช้เงินภาษีของประชาชนหรืองบประมาณของแผ่นดิน ให้เกิดเป็นปัญหาระยะยาว ไม่สร้างหนี้สาธารณะให้มากนัก เพื่อไม่ให้เป็นภาระต้องใช้หนี้ไปเรื่อย ๆ จนในอนาคตนั้น สรุปแล้วงบประมาณประจำปีจะไม่ได้นำมาใช้ในการพัฒนาประเทศ ไม่ได้นำมาดูแลพี่น้องประชาชนให้ทั่วถึง
 
รัฐบาลนี้จะจัดลำดับงานตามลำดับความเร่งด่วน อะไรทำก่อน ทำจริง ทำทันที มีผลสัมฤทธิ์ และจะส่งต่อให้กับรัฐบาลต่อไปอย่างยั่งยืน ขอให้นักการเมืองในอนาคตเตรียมการให้ดี อะไรที่เราทำไม่เสร็จในระยะสั้น ท่านก็ต้องทำต่อ ประชาชนต้องช่วยกันตัดสิน ดูแล เฝ้าระวัง ช่วยกันประเมินผลสัมฤทธิ์ที่จะตามมาในภายหลังที่สำคัญ ถ้าหากใครเตรียมการไม่ดี ไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเอง หากได้รับเลือกเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินต่อไป ก็จะเป็นปัญหาอีกต่อไปในอนาคต ต้องเตรียมตัวเองให้พร้อม
 
อีกเรื่อง บางครั้งที่ผมพูดหรือกล่าวอะไรไป อาจใช้คำพูดไม่สุภาพบ้างหรือแรงไปบ้าง เพียงต้องการให้ทุกคนได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดของผม ของทุกคนในชาติ แล้วมาร่วมมือกันในการแก้ปัญหาที่สำคัญทุก ๆ เรื่อง ผมก็พยายามปรับปรุงตัวเองไปเรื่อย ๆ ผมเป็นทหารมาเกือบทั้งชีวิต 38 ปี ในกองทัพบก ก็อยู่กับลูกน้องส่วนใหญ่ที่เป็นทหาร เป็นผู้ชาย ต้องขอโทษ ถ้าพูดไม่สุภาพบ้าง อะไรบ้าง ผมให้เกียรติทุกท่านเสมอ
 
เรื่องที่ผมกล่าวถึงนักท่องเที่ยวที่แต่งกายล่อแหลม หรือใส่บิกินี่ ผมไม่ได้ไปโทษท่าน ไม่ได้ไปให้ร้ายท่าน ไม่ได้เจตนาอย่างอื่น เพียงแต่ต้องการจะเตือนเท่านั้นเองว่า บางเวลา บางสถานที่ อาจจะมีความจำเป็นเพราะว่ายังไม่ปลอดภัยมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาวิกาล ผมก็เสียใจที่คำพูดของผมอาจจะทำให้หลายคนไม่สบายใจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งนั้น ผมเสียใจเป็นที่สุดกับครอบครัวชาวต่างชาติที่เสียชีวิต ทุกคนที่เสียชีวิต ผมเสียใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคนไทย คนต่างชาติ อะไรที่พูดแรงไป ต้องขอโทษด้วย ไม่ได้เจตนา ผมเป็นสุภาพบุรุษ ฉะนั้นเมื่อผมพูดผิด ทำอะไรผิด ต้องรับผิดชอบ ก็ต้องขอโทษท่าน ต้องการให้เป็นแบบอย่างกับทุก ๆ คนด้วย
 
เรื่องคุณกริชสุดา ผมขอร้องอีกที อย่าพูดอะไรที่เป็นการให้ร้ายเจ้าหน้าที่เลย เพราะว่าส่วนใหญ่เป็นเรื่องไม่จริงทั้งนั้น ไม่ใช่ส่วนใหญ่ เกือบทั้งหมด ฉะนั้นคุณเป็นสุภาพสตรี ผมต้องขอโทษ บางครั้งพูดแรงไป ก็มีอารมณ์เหมือนกัน เพราะว่าท่านให้ร้ายกองทัพให้ร้ายอะไรต่าง ๆ มาโดยตลอด โดยที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง ต้องขอโทษด้วย ผมเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องสุภาพเรียบร้อย
 
สำหรับเหตุการณ์ทำร้ายนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการตีกันของเด็กนักเรียน นักศึกษา คิดว่าต้องไม่มีอีกแล้ว ทุกคนต้องช่วยกันดูแล ทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน ประชาสังคมต้องช่วยกัน สร้างการเรียนรู้ สร้างว่า รับทราบว่าผลประโยชน์แห่งชาติอยู่ตรงไหน การท่องเที่ยวปีหนึ่งเป็นแสนล้านบาท ถ้าเกิดขึ้นเช่นนี้บ่อย ๆ อีกหน่อยใครก็ไม่มาเที่ยวประเทศไทย ไม่ปลอดภัย เขาจะมาเที่ยวชายหาด เขาจะมาพักผ่อน ประเทศไทยก็ได้ขับเคลื่อนในด้านท่องเที่ยว การบริการ อาหาร มากมาย ที่จะทำให้ประเทศชาติเราดีขึ้นในอนาคต ถ้าเรายังคงต้องมีเรื่องแบบนี้ ก็ทำให้เราเสียงบประมาณ เจ้าหน้าที่ก็มีงานเพิ่ม เสียอนาคตเด็กเยาวชนด้วย เรื่องตีกัน ทำให้เสียโอกาส เสียรายได้การท่องเที่ยว เสียชื่อเสียงในสังคมโลก วันนี้เราใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ ทุกคนทราบดี แต่เหตุการณ์เหล่านี้ทำไมยังเกิดขึ้นอีก สิ่งนี้น่าสงสัย น่าแปลกใจ ไปหาทางคิดดูว่า ถ้ากฎหมายแรงอย่างนี้ แล้วยังเกิดอย่างนี้ แสดงว่าคนเหล่านี้ไม่เกรงกลัวกฎหมาย แล้วจะทำอย่างไรต่อไป เมื่อใช้กฎหมายปกติอย่างเดียว แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ไปหามาตรการมาว่าจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร ผมไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้นอีก ทุกคนในชาติก็ไม่ต้องการให้เกิด สงสารคนตาย คนเสียชีวิต คนบาดเจ็บ เหล่านี้ไม่ได้ ทุกคนในชาติต้องเข้มงวด ให้ความสำคัญอย่าปล่อยให้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก เหมือนกับวัวหายแล้วล้อมคอกทุกครั้ง เราต้องทำตั้งแต่ เช่น ป้องกัน ป้องปราม มากกว่าแก้ไข เพราะหมายถึงชีวิตของคน เรื่องที่ผมต้องการพูดก็คงทยอยพูดไปเรื่อย ๆ วันนี้ก็ขอโทษ ขอโทษจริง ๆ ที่พูดจาอาจจะเร็วไปบ้าง หรือพูดแรงไปบ้าง ก็ขอโทษไปแล้ว ขอเพียงแต่ขอความร่วมมือจากทั้งสองฝ่าย ผมก็ขอโทษท่านให้เกียรติท่าน ท่านก็ให้เกียรติผมบ้าง การที่ให้สื่อช่วยระมัดระวังเรื่องการนำรูปผมไปดัดแปลง บางรูปดูไม่ได้เลย ไม่ใช่ดัดแปลงผมเสียหาย นำรูปประชาชนมาประกอบกับผม โดยแกล้งนำรูปจริง ๆ มา แล้วใส่เข้าไป บิดเบือน ทำให้เสียหายไปถึงสถาบันเบื้องสูงด้วย อะไรเหล่านี้ ผมว่าไม่สมควร จะทำทำไมไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย
 
เรื่องภาษี เรื่องอะไรต่าง ๆ ยังไม่ได้เกิดอะไรขึ้นทั้งนั้น กำลังพิจารณากันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นมรดก ไม่ว่าจะเป็นภาษีที่ดินอะไรต่าง ๆ ก็ไปว่ามา เหมาะสมไม่เหมาะสม เป็นเรื่องของสภานิติบัญญัติ ผมก็เพียงคิดริเริ่ม ศึกษา จากข้อมูลที่ส่วนราชการเขาทำขึ้นมา ผมก็ให้แนวทางไป ว่าจะเกิดอย่างไร ทั้งหมดต้องเกิดความเป็นธรรมกับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนมีรายได้น้อย อย่าพึ่งไปกลัว แม้ว่าจะต้อง เรื่องไปขายที่ดินมาเสียภาษี ไม่ใช่แบบนั้นเลย แสดงว่ามีคนที่ปลุกปั่นในเรื่องเหล่านี้อยู่ ไม่เข้าใจ ก็รอฟังเขาก่อน เมื่อถึงเวลานั้นค่อยว่ากัน จะแก้ไขก็ว่ากัน พอเริ่มพูดก็มีปัญหามาโดยตลอด ไม่ได้ ทำงานไม่ได้ ในเมื่อเราต้องการแก้ไขเรื่องคอร์รัปชั่นทุจริตในทุกมิติแล้ว ก็ต้องช่วยผมเฝ้าระวังตรงโน้น ดีกว่าที่จะ สิ่งนี้ เดี๋ยวจะทุจริตอีกก็ไม่ต้องทำ อย่างนี้จะไปอย่างไร ประเทศชาติไม่มีอนาคต วันนี้เราวางยุทธศาสตร์ชาติไว้แล้ว ว่าเราจะเดินหน้าไปอย่างไรในห้วง 5 ปี 10 ปี 15 ปี ตามแผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แต่ละ 5 ปี จะทำอย่างไรถึงจะต่อเนื่องได้ 3 แผนได้ไหม ในเรื่องของการลงทุน สาธารณูปโภค พื้นฐานในการพัฒนา หรือปฏิรูปในทุกมิติ ต้องมีความต่อเนื่อง วันนี้เราทำได้แต่เรื่องเร่งด่วนแล้วก็วางรากฐานของประเทศไปให้ได้ ก็เป็นยุทธศาสตร์ชาติ ต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ชาติ ต้องเป็นไปตามนโยบายชาติ แล้วก็ยุทธศาสตร์ชาติ ฝ่ายความมั่นคง หรือฝ่ายเศรษฐกิจ สังคม จิตวิทยา เหล่านี้ก็ต้องเสริมกันขึ้นมา ร่วมพลังกันขึ้นมาแล้วขับเคลื่อนประเทศชาติไปตามยุทธศาสตร์ชาติให้ได้ ทุกคนต้องการความก้าวหน้า ต้องการพัฒนาประเทศ เดี๋ยวปีหน้าเกิดประชาคมอาเซียนโดยสมบูรณ์ที่ขับเคลื่อน โดยในเรื่องของเศรษฐกิจอาเซียน AEC นี้จะเหนื่อยเล็กน้อย ต้องมีการแข่งขัน เป็นหุ้นส่วนกันก็เป็น แข่งขันกันก็ต้องแข่ง การเคลื่อนย้ายทรัพยากรบุคคล มนุษย์ และในเรื่องของฐานที่ตั้งเศรษฐกิจการค้า จะไม่มีข้อจำกัด เราต้องสร้างความมั่นคง สร้างความเป็นปึกแผ่นของเราในวันนี้ให้ได้ สร้างความเข้มแข็งให้สู้เขาให้ได้ ไม่อย่างนั้นวันหน้าเราจะสู้เขาไม่ได้ ทั้งคน ทั้งความรู้ ทั้งการประกอบการ ทั้งนวัตกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ ต้องรีบผลิตออกมา ผมเห็นว่ามีหลาย ๆ ธุรกิจประกอบการมีการพัฒนาเรื่องนวัตกรรมใหม่ ๆ ต้องการให้ทำให้ตรงแบบที่ประเทศชาติจะเดินไปข้างหน้า เขาจะเดินไปทางไหนก็ทำตรงนั้น ขอขอบคุณ วันนี้ก็มีเรื่องพูดคุยเพียงเท่านี้ ขอบคุณ สวัสดี