วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

คอป.เฟ้นความจริง ซัก"ผบ.หน่วย" ถามกองทัพใช้"อาวุธ"ใด ในเหตุ 10 เมษาฯ ขน"ยานเกราะ"ออกมาทำไม

คอป.เฟ้นความจริง ซัก"ผบ.หน่วย"
ถามกองทัพใช้"อาวุธ"ใด ในเหตุ 10 เมษาฯ
ขน"ยานเกราะ"ออกมาทำไม 

           ที่ห้องประชุมสำนักงานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) มีการประชุมแสดงความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อหาข้อสรุปและตรวจสอบหาความจริงจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม 2553 โดยยกกรณีเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน 2553 ในวันที่เจ้าหน้าที่ขอคืนพื้นที่ถนนราชดำเนิน จนเหตุการณ์รุนแรงลุกลามทำให้ทั้งสองฝ่าย คือ พลเรือนและทหาร เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก


พ.อ.ธรรมนูญ วิถี 

          ในการประชุมแสดงความคิดเห็นในครั้งนี้ ทาง คอป. ได้เชิญตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง โดยมีพ.อ.ธรรมนูญ วิถี ผอ.กองยุทธการ ตัวแทนกองทัพภาคที่ 1 กล่าวชี้แจงในฐานะผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารที่เข้าประจำจุดพื้นที่หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ถ.ดินสอ เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ว่า  ในส่วนหน้าโรงเรียนสตรีวิทยาตนเป็นผู้บังคับบัญชาอยู่ในจุดที่มีการชุมนุมและได้รับบาดเจ็บ เบื้องต้นต้องขออนุญาตแสดงความเสียใจและขออภัยขอโทษผู้ที่ได้รับความสูญเสียในวันนั้น ที่ไม่ได้มาในวันนี้ด้วย เป็นความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ด้วยความจริงใจ มีทั้งผู้ใต้บังคับบัญชาที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ขณะเดียวกันก็มีผู้ที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บซึ่งเป็นพี่น้องประชาชนหลายคน

          "ในวันนี้ที่มาคุยกันเพื่อให้รับทราบสาเหตุที่แท้จริง... จนเจ้าหน้าที่ต้องออกมาปฏิบัติงาน ข้างหน้า คือ พี่น้องประชาชน ซึ่งเป็นคนไทยด้วยกันทั้งนั้น

          ผมในฐานะที่นำกำลังมา 3 กองร้อย ผมยืนยันว่าได้บอกกับผู้ใต้บังคับบัญชา ว่า ข้างหน้า คือ พี่น้องคนไทยทุกคน อย่าทำอะไรที่เป็นเหตุความรุนแรง เราจะมีการประชุมวันละสองรอบ คำสั่งที่ได้รับ คือ ไปกำชับลูกน้องให้ปฏิบัติตามคำสั่ง ข้างหน้าไม่ใช้ฝ่ายตรงข้ามที่รังเกียจเดียดฉันท์กัน ผมชื่นชมพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯเป็นการส่วนตัว ยืนยันว่าเมื่อเข้ามาทำหน้าที่ไม่ได้คิดว่าฝั่งตรงข้ามเป็นศัตรู"

         พ.อ.ธรรมนูญ กล่าวว่า ในเรื่องของฝ่ายความมั่นคง การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมีหลายวิธี บางประเทศใช้พลังประชาชน เมื่อเห็นว่ารัฐบริหารงานไม่เป็นไปด้วยความยุติธรรมหรือทุจริตคอรัปชั่น ส่วนฝ่ายความมั่นคงมองว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง มีโมเดลอีกรูปแบบหนึ่ง คือ ใช้ พรรค มวลชน และกองกำลัง นี่คือ พื้นฐานที่ต้องพิสูนจ์กันต่อไป ว่าเรื่องนี้มีอยู่จริงหรือไม่

        ประเด็นใหญ่ในวันที่ 10 เมษายน ผมมีภารกิจที่ใช้กัน ว่า "ขอคืนพื้นที่" บางฝ่ายก็ไม่อยากจะใช้ โดยมีภารกิจทำให้สะพานพระปิ่นเกล้า กับ สะพานพระราม 8 ต้องเปิดใช้งานได้เปิดการจราจรได้

       จากนั้นเป็นการแบ่งมอบให้หน่วยที่รับผิดชอบ  หน่วยหลัก คือ กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ รับผิดชอบถนนราชดำเนินนอกที่รับผิดชอบแยกมิสกวัน ถึงสะพานมัฆวานรังสรรค์ ถึงแยก จปร. กองพลที่ 2 รักษาพระองค์ซึ่งตนรับผิดชอบในส่วนนั้นด้วยรับผิดชอบตั้งแต่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปถึงสี่แยกคอกวัว เพื่อที่จะเปิดการจราจรที่สะพานพระปิ่นเกล้า ภารกิจมีเท่านี้ มีเวลาปฏิบัติภารกิจตั้งแต่ เวลา 1 3.00 น.

         "ในข้อเท็จจริง คือ ยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติภารกิจ กำลังของกองพลที่ 2 ที่อยู่ในกองทัพภาคที่ 1 ส่วนหนึ่งและอยู่ในสโมสรกองทัพบก ไม่สามารถเคลื่อนย้ายออกไปได้ ในแง่ทหารไม่สามารถออกไปจากที่รวมพลไปได้ เพราะกลุ่มผู้ชุมนุมนำคนมาปิดกั้น"

         ในระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่คงต้องปฏิบัติภารกิจตามขั้นตอนจากเบาไปหาหนัก ตามกฎการใช้กำลังเป็นหลัก เจ้าหน้าที่ต้องออกไปจากกองทัพภาคที่ 1 ให้ได้  จากกองทัพภาคที่ 1 มาถึงลานพระบรมรูปทรงม้าเลี้ยวซ้ายไปตามเส้นราชดำเนินนอก เลี้ยวขวาเส้นแยกวังแดงเพื่อไปที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จากตรงนั้นไปมีการเจรจากันมาโดยตลอด ผู้ที่อยู่บริเวณนั้นไม่ยอมให้เราผ่านไป จำเป็นต้องขยับขยายกันบ้าง ใช้แก๊สน้ำตาไป 1 ลูก ทางนั้นโยนกลับมา 4 ลูก

        "ผมโดนแก๊สน้ำตาไป 4 รอบ แต่ไม่โกรธกัน ต่างคนต่างปฏิบัติหน้าที่ ทางฝ่ายผู้ชุมนุมก็ต้องการรักษาพื้นที่ไว้ เพราะเขาคิดว่าจะไปรื้อเวทีที่สะพานผ่านฟ้า แต่เราคิดว่าจะเปิดพื้นที่จากอนุสาวรีย์ไป ต่างฝ่ายต่างปฏิบัติหน้าที่ คิดกันอย่างนั้น จนกระทั่งไปถึงที่บริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยาไปหยุดประมาณ 17.00 น. ก่อนค่ำมืด จุดที่ไปถึงระหว่างกลุ่ม นปช. ที่ตรึงกันบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ขณะนั้นกำลังอยู่ใกล้กันมาก มีรถปิคอัพขวางเท่านั้น  ทั้งสองฝ่ายแลกข้าวแลกน้ำกันแล้ว พูดคุยกันแล้วคิดว่าผู้บังคับบัญชาสั่งอย่างไรก็จะปฏิบัติต่อ แต่ไม่มีลักษณะที่จะเกิดการใช้อาวุธที่รุนแรงจนเสียชีวิต ในส่วนของกองพลทหารราบที่ 2  รักษาพระองค์ไปหยุดที่โรงเรียนสตรีวิทยา  ภาพเป็นอย่างนั้นอาจจะมีการผลักดันกันไป มีพระสงฆ์มานั่งก็ต้องนิมนต์ท่านเชิญออกข้างนอก นายสั่งให้เดินต่อไป มีการพูดคุยกันไม่มีลักษณะรุนแรง จนถึงขนาดบาดเจ็บเสียชีวิต"



     
ส่วนหนึ่งของภาพวิดีโอความยาว 7 นาทีที่นายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ช่างภาพชาวญี่ปุ่นของสำนัก
ข่าวรอยเตอร์บันทึกไว้ระหว่างทำข่าวการปะทะกันของ กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงกับทหาร เมื่อวันที่ 10เมษายนที่ผ่านมา ก่อนที่นายมูราโมโตะจะถูกยิงที่หน้าอกจนเสียชีวิต (รอยเตอร์)



        ส่วนของอีกหน่วย คือ กองพลที่ 2 รักษาพระองค์ จากแยกสะพานวันชาติ เลี้ยวขวาไปหน้าวัดบวรนิเวศ  ผ่านวงเวียน ไปที่สี่แยกคอกวัว เพื่อไปบรรจบกัน กลุ่มหนึ่งไปหยุดที่โรงเรียนสตรีวิทยาอีกกลุ่มไปหยุดที่สี่แยกคอกวัว ผลักดันกันไม่สามารถเคลื่อนต่อไปได้ กำลังของพี่น้องเสื้อแดงมากขึ้นเรื่อยๆ

         กลับไปที่กองพลทหารราบที่ 1 ที่้ต้องเดินทางให้ถึงสะพานมัฆวานรังสรรค์แต่เดินไปไม่ถึง และต้องมีกำลังส่วนหนึ่งที่ไปคอยผลักดันไม่ให้กำลังผู้ชุมนุมที่เดินทางมาจากสี่แยกราชประสงค์มาสมทบได้ แต่ปรากฏว่าสกัดกั้นไม่สำเร็จตรงเชิงสะพานยมราช เพราะมีฝ่ายตรงข้ามเป็นจำนวนมากและได้รับการตอบโต้อย่างหนัก  และมีผู้บังคับบัญชาได้เห็นผู้ที่คิดว่าเป็นแกนนำกองกำลัง มายืนสั่งการมีการใช้ยุทโธปกรณ์ เป็นจำนวนมาก กองพลทหารราบที่ 1 กลับไปไม่ถึงสะพานมัฆวานฯ ต้องกลับเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล ทางราชดำเนินนอกไม่สามารถขอคืนพื้นที่ได้

           ส่วนที่สอง คือ โรงเรียนสตรีวิทยากับสี่แยกคอกวัว ซึ่งถ้าผมเป็นฝ่ายตรงข้ามต้องคิดแล้วว่า จะทำอย่างไรที่จะผลักดันกำลังสองกลุ่มนี้ออกไปได้ ขณะที่เราจับมือกันแล้วคุยกันแล้ว  ผู้บังคับบัญชาสั่งว่าค่ำแล้ว ต้องถอนกำลังออก ในการจะถอนกำลังออก เวลา 17.00 น. ส่วนกองพลที่ 1 ถอนกำลังออก เพราะว่าทางฝ่ายผู้ชุมนุมมีกำลังจำนวนมาก ในส่วนที่เหลืออยู่ถูกล้อมหมดแล้ว ผู้บัญชาการกองพลเรียกรวมว่าจะถอยออกอย่างไร เพื่อปรับกำลัง แนวทางคือว่า จะมีการวางกำลังส่วนหน้าไว้เล็กน้อยและถอนกำลังเข้าไปในกองทัพบก ตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา


กล้องโฟกัสไปที่ ทหารนายหนึ่งซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ดวงตาเหม่อลอยพร้อมกับบาดแผลเลือดท่วม บริเวณลำคอ แต่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อนทหารพยายามปลดเสื้อเกราะกันกระสุนออกมาจากลำคอของทหารนายนั้น

        ระหว่างนั้นสี่แยกคอกวัว มีกำลังพลของกรมหทารราบที่ 2 รักษาพระองค์ถูกยิงด้วยเอ็ม 79 หลายลูก  ทหารได้รับบาดเจ็บหลายคน ผู้บังคับหน่วยก็ขอถอนกำลังกลับเข้าไปที่สโมสรทหารบก ระหว่างทางผู้บังคับบัญชาต้องการให้กำลังของทางผู้บังคับหน่วยที่สี่แยกคอกวัว ปิดกั้นท้ายไว้ส่วนหนึ่งเพื่อไม่ให้กำลังจากวัดบวรนิเวศ บีบเข้ามาทางหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ที่มีคนมาล้อมหมดแล้ว  กองพลที่ 1 ทานไม่ไหวกลับเข้าไปในกองทัพแล้ว ทหารที่มาจากปราจีนบุรีเอง ได้รับบาดเจ็บมาก โดนระเบิด เอ็ม 79 ประมาณ 15-16 ลูก

         พอทหารที่สี่แยกคอกวัวถอนกลับไปแล้ว กลุ่ม นปช.ที่สี่แยกคอกวัวก็เคลื่อนมาจากวัดบวรนิเวศ มาปิดทางด้านข้างของวัดบวรนิเวศ จากสะพานวันชาติมาทางสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ขณะนี้มีคนล้อมทั้งหมด ข้างหน้าที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย นปช.เริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จาก 2 พัน เป็น 5 พันคน ตอนนั้นคิดว่าจะถอนคุยกันได้ แต่บังเอิญว่า มีอาวุธสงครามอยู่ที่สี่แยกคอกวัว น่าจะเป็นอันตราย ผู้บัญชาการเกรงว่าจะมีอันตราย สั่งให้มีการรวมผู้บัญชาการกองโดยการไปรวมตัวที่หลังรถสายพานลำเลียงพล(รสพ.) ระหว่างที่กำลังประชุมชี้แจงปรับกำลังที่จะถอนตัว



        ข้างหน้ามีการสับเปลี่ยนกำลังกัน ผมก็ลุกขึ้นไปกำชับให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ด้านหน้าให้วางกำลังหนาแน่น เพราะว่ามีกำลังที่อยู่บริเวณนั้นเดิมเป็นผู้หญิง แต่ตอนนั้นเป็นกลุ่มชายฉกรรจ์มาพร้อมกับรถเครื่องขยายเสียงขนาดใหญ่ เพื่อกลบเสียงสั่งการ และระหว่างที่ผมลุกไปแล้วไปแจ้งเตือนลูกน้องให้กระชับกำลัง แล้วหันหลังกลับมา ซึ่งห่างจากวงผู้บังคับบัญชาประมาณ 10 เมตร เกิดระเบิดขึ้น 1 ลูก กึ่งกลางเส้นเหลืองของถนน อยู่ด้านข้างของวงสนทนาสั่งการของผู้บังคับบัญชา  ไม่แน่ในว่าเป็นเอ็ม 79 หรือระเบิดขว้าง  มีผู้บังคับบัญชาและกำลังพลบาดเจ็บหลายนาย  ตัวผมเองมีบาดแผลที่นิ้วมือซ้ายและขาซ้าย แต่ยังสามารถควบคุมสติได้

        ในเวลาต่อมา 2-3 นาที มีระเบิดเพลิง 1 ลูกตกลงมาใกล้กัน ระหว่างนี้แถวทหารถูกกลุ่มพี่น้องที่เป็นวัยรุ่นดันมาด้านหลัง จะถอยออกมาเป็นรูปตัวยู จะถึงแนวที่ผู้บังคับบัญชาได้รับบาดเจ็บ ตรงนี้จะมีระเบิดหรือเอ็ม 79 ลงมาอีก 1 ลุก ตรงนี้จะมีผู้บังคับบัญชาบาดเจ็บมาก แล้วผู้บัญชาการก็ขาหักไปไม่ได้ ต้องลากกันไป แตกทัพ จนมาถึงเชิงสะพานวันชาติ

         พี่น้องที่ขยับเข้ามาประมาณกึ่งกลางของถนนดินสอ ไม่แน่ใจว่าเป็นส.ส.กทม.ท่านหนึ่งที่เดินตามกลุ่ม นปช. เข้ามา ทางผมก็ให้ผู้พันไปเรียนให้ท่านทราบว่าพอได้แล้ว มีผู้บังคับบัญชาบาดเจ็บ ท่านก็โทรไปหาพิธีกรบนเวที สั่งให้หยุด เพราะว่ามีการบาดเจ็บ แล้วเราก็ถอนกลับไป ผมคิดว่าสองท่านนั้น เป็นคนโทรไปบอกให้หยุด ท่านผู้บังคับบัญชาต้องลงไปหลบซ่อนในคลองสะพานวันชาติ เพราะว่าไม่สามารถออกไปได้  ผมทราบว่าที่พี่น้อง นปช.มีความโกรธแค้น เป็นข้อมูลมีพี่น้องเราส่งไปให้เพื่อนผู้ชุมนุมทราบว่า ฝ่ายทหารมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต กลุ่มของผมอยู่ในกลุ่มที่สองที่พี่น้องได้รับข้อมูลว่า มีคนเจ็บคนตาย

         ตอนนั้นมีกำลังพลกลุ่มหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บ ขึ้นรถไปเลี้ยวซ้ายไปทางวัดบวรฯ มีพี่น้องกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาปิดทางวัดบวรฯ เห็นทหารกลุ่มหนึ่งได้รับบาดเจ็บจึงลากลงมาตี  ผมดูในทีวีก็มีพี่น้องเสื้อแดงบอกว่าพอแล้วอย่าทำ เขาก็มาห้ามก็มีบาดเจ็บ

จากนั้น คณะกรรมการ คอป. ได้ตั้งคำถามกับ พ.อ.ธรรมนูญหลายข้อดังนี้

@ พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ คณะอนุกรรมการตรวจสอบความจริง คอป. ถามว่า ในส่วนต้นกองทัพบกยังมีคำสั่งไม่ให้ใช้อาวุธในการปฏิบัติการ ถ้าเป็นอย่างนั้นอยู่ แต่มีภาพจากข่าวจาก นสพ.ว่าทหารได้ใช้ รถถังตามข่าว ซึ่งความจริง คือ รถสายพานลำเลียงพล รสพ. ไปด้วยหรือเปล่า ถ้าเอาไปจะประเมินอย่างไร เพราะลักษณะยานยนต์ เหมือนใช้ในสงคราม คนมองหรือตีความจะมองว่า ไม่ควรใช้กับประชาชน มันจะทำให้เกิดความรู้สึกยั่วยุหรือเปล่า

          พ.อ.ธรรมนูญ กล่าวว่า กองพลทหารราบที่ 2 ไม่มีรถยานยนต์หุ้มเกราะมาด้วย เมื่อมาปฏิบัติภารกิจตรงนั้น เมื่อมาถึงสี่แยกวังแดงก็ได้รับแจ้งว่า ทางหน่วยเหนือได้มอบรถบรรทุกยานเกราะไม่ใช่รถถัง เพราะรถถังจะมีปืนใหญ่ รถบรรทุกยานยนต์หุ้มเกราะจะเหมือนยานยนต์รบของทหารราบใช้บรรทุกคนโดยใช้รถเป็นเกราะกำบัง เหยียบเข้าที่หมายโดยไม่ใช้กำลัง กองทัพบกทราบว่า มีกองกำลัง ในห้วงที่ผ่านมา มีเอ็ม 79 ยิงไปที่สถานีโทรทัศน์ มีหลายที่ซึ่งมีอาวุธ ก็ได้ใช้รถหุ้มเกราะเป็นที่กำบัง ซึ่งเราใช้มาตลอด และพลรบก็ไม่มีอาวุธที่จะใช้ปฏิบัติภารกิจในการคืนพื้นที่  โดยพลขับอยู่ข้างบน 1 คน แล้วกำลังพลเดินตามไป

         "ในวันเกิดเหตุใช้ รสพ. คันที่สองบังไว้ในการประชุมวางแผนจะถอนตัว ภาพอาจจะดูว่าเป็นการนำยานเกราะมาทำร้ายประชาชน แต่เป็นการป้องกัน "

@ พล.ท.พีระพงษ์ ถามต่อว่า  กระบวนการตัดสินใจย่อมเล็งเห็นผลว่า ประชาชนไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าใจหรอก แม้กระทั่งสื่อยังไปมองว่าเป็นรถถัง เวลาประกอบกำลังได้มีการคุยกันบ้างหรือไม่ ว่า การนำรถประเภทนี้มากำบังมันอันตรายมาก ชาวบ้านจะเข้าใจผิดว่าเป็นการยั่วยุสถานการณ์ มีประโยคเหล่านี้บ้างหรือไม่ในการประชุมจัดกำลัง


*********************************









           พ.อ.ธรรมนูญ กระบวนการที่จะสนับสนุนรถถัง ผมไม่ได้อยู่ในกระบวนการ แต่อยากจะเรียนว่า กองพลทหาราบที่ 2 ที่ผมมาอยู่ตรงนั้น ทางผู้บังคับบัญชาก็คงใคร่ครวญดูแล้วว่ามีอันตราย ก็ได้กำชับอีกว่าข้างบนเป็นพลขับ ขับมาไม่มีเจ้าหน้าที่ใช้ปืนอยู่บนรถ ตัวพลขับเองระหว่างเกิดเหตุได้รับบาดเจ็บไม่สามารถนำรถคันดังกล่าวออกมาได้

@ พล.ท.พีระพงษ์ ถามอีกว่า ตอนปฏิบัติการขั้นต้นยังมีการสั่งไม่ให้ใช้อาวุธ เพราะเป็นประชาชน แต่ไม่มีใครคาดคิดว่า จะถูกยิงมาจากทางฝั่งที่อยู่ในกลุ่มประชาชน แต่ไม่ได้บอกว่าประชาชนเป็นคนยิง ตอนที่ออกไปได้ถืออาวุธไปหรือไม่

         พ.อ.ธรรมนูญ กล่าวว่า จะเห็นว่ากองทัพภาคที่ 1 มีแต่กระสุนยาง ผมได้รับคำแจ้งเตือนจากผู้บังคับบัญชาระดับสูงแจ้งว่า

  • 1. มีรถตู้สองคันจอดที่ถนนราชดำเนิน และมีกองกำลังติดอาวุธ นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ผู้บังคับบัญชาจะปฏิบัติอย่างไร 
  • 2. กองกำลังที่เจ้าหน้าที่ได้พูดถึง เราใช้กำลังจำนวนหนึ่งไปขอเปิดจราจรปรากฏว่า การที่เราไม่สามารถสกัดกั้นกลุ่มผู้ชุมนุมจากสี่แยกราชประสงค์ ซึ่งในขณะนั้นมาเต็มแล้ว มีกำลังมากกว่าฝ่ายทหารมาก กองทัพบกได้นำกำลังกองพลทหารราบที่ 9 ทางฝั่งธนมาสนับสนุน ปรากฏว่าหน่วยนี้ปฏิบัติตามนโยบายจอดรถเชิงสะพานพระปิ่นเกล้า ปรากฏว่า ทั้งรถและอาวุธถูกยึดไปหมด นี่เป็นข้อมูล 2 ประการ


@ นายสมชาย หอมละออ คณะอนุกรรมการตรวจสอบหาความจริง คอป. ถามว่า กำลังพลนอกจากอุปกรณ์ที่ใช้ควบคุมฝูงชน นอกจากโล่ กระบอง อาวุธอย่างอื่นมีอีกมั้ย เช่น เอ็ม 16 ลูกระเบิด หรือ มีเฉพาะกองพล 9 ที่มาทีหลังแล้วติดอาวุธ ซึ่งติดอยู่ที่สะพานปิ่นเกล้า

             พ.อ.ธรรมนูญ กล่าวว่า เรื่องลูกระเบิดขว้างไม่มีใช้เด็ดขาด มีแค่ลูกซอง ส่วนอาวุธหนึ่งกองร้อยมี 3 หมวด ในแต่ละหมวดมีผู้บังคับหมู่ 3 คน ทางกองทัพบกให้เฉพาะผู้บังคับหมู่ใช้อาวุธได้ เป็นผู้ถืออาวุธ แล้วเอาไว้บนรถ แล้วกำหนดจำนวนที่แน่นนอนควบคุมไว้ จะปฏิบัติได้เมื่อมีคำสั่งที่ทาง ผบ.ทบ. บอกว่าเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตของผู้นั้น เท่ากับว่า 1 กองร้อยมี 10 กระบอก อยู่บนรถ

            นายสมชาย ถามว่า ในความเห็นส่วนตัว ในฐานะนักการทหาร เวลามีเฮลิคอปเตอร์บินมาแล้วโปรยโยนระเบิดควันลงมา คิดว่ามันถูกต้องหรือไม่ คิดว่าเป็นการยั่วยุหรือไม่ในความรู้สึกของนักการทหาร

           พ.อ.ธรรมนูญ กล่าวว่า "ผมไม่ทราบ เพราะว่าอยู่ทางโรงเรียนสตรีวิทยา ในส่วนตัวก็เห็นการปฏิบัติ แต่ขออนุญาตไม่มีความเห็นตรงนี้ แต่ผลที่ได้รับคือเจ้าหน้าที่ทหาร เพราะว่าลมจากใต้ไปเหนือคนที่โดน คือ พวกผมครับ "

         นายสมชาย ถามว่า มีคนใช้อาวุธกับทหารแต่งกายชุดดำหรือคล้ายจะดำ ยืนยันได้หรือไม่ มีข้อมูลบอกได้ไหม ที่ว่าบอกเห็นและระบุตัวได้ด้วย ว่าเป็นคนสั่งการยิงใส่ทหารเริ่มจากที่ถนนราชดำเนินพอจะระบุได้หรือไม่ว่าเป็นใคร

        พ.อ.ธรรมนูญ กล่าวว่า ที่ถนนราชดำเนินนอกที่บอกว่าเป็นภารกิจของกองพลที่ 1 ซึ่งผู้บัญชาการกองพลที่  1 ยืนยันด้วยตัวเองในที่ประชุมว่ามีผู้ยืนสั่งการ ในแง่ของทางการทหาร ผมคิดว่าเส้นหลักการรบมันอยู่ที่ราชดำเนินนอก ทำที่ราชดำเนินนอก กองพลที่ 1 ถอยไปแล้ว จุดต่อไปคือ สี่แยกคอกวัว ระเบิดลง 15 ลูก กรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์แตกไปแล้วก็มาถึงจุดที่ผมอยู่  ผมมองว่าแนวทางการปฏิบัติเป็นเช่นนี้ แต่ถามว่าเห็นหรือไม่ ผมก็บอกได้ว่า ผมเห็นแต่แสงและเสียงลูกที่ 1 เห็นระเบิดเพลิง เห็นเอ็ม 79 ลูกที่ 3 เห็นแต่รถ เห็นแต่ในทีวี เห็นภาพที่มีผู้ถ่ายมาว่าเป็นแบบนั้น อย่างนั้นอย่างนี้ที่ถนนราชดำเนินกลางแต่ไม่เห็นตัว

@ ด้านนายสมชาย ถามอีกว่า ก่อนที่จะปฏิบัติการได้มีการคาดการณ์หรือเตรียมพร้อมรับกับสถานการณ์หรือไม่ อย่างไร 

           พ.อ.ธรรมนูญ กล่าวว่า คิดว่ามีอาวุธ ต้องมีอาวุธ อาจจะเป็นปืนเล็กยาว ทหารที่อยู่ข้างหน้า 4 แถวใช้โล่กับกระบองเท่านั้น ตอนหลังเปลี่ยนเป็นเสื้อเกราะ ทราบว่ามีการใช้อาวุธ แต่ส่วนตัวไม่คิดว่าจะมีการใช้ระเบิดขว้างและเอ็ม 79 ไม่แน่ใจว่าประมาทหรือประเมินสถานการณ์ต่ำไป  เพราะถ้าเป็นปืนเล็กยิงเข้ามาอย่างน้อยก็ยังมีเสื้อเกราะ

@นายสมชาย ถามว่า กำลังพลที่มาใช้ในการขอคืนพื้นที่ได้มีการฝึกยุทธวิธีในการควบคุมฝูงชนมากน้อยแค่ไหน และระยะเวลาการฝึก อุปกรณ์ต่างๆมีความพร้อมอย่างไร

           พ.อ.ธรรมนูญ กล่าวว่า ในการฝึกทางกองทัพได้สั่งการให้ดำเนินการเป็นขั้นตอนตามลำดับ แนวทางการควบคุมการใช้กำลัง 7 ขั้นตอน ยึดถือกันอย่างเคร่งครัด ผู้ปฏิบัติฝึกมาในที่ตั้ง และมาฝึกในพื้นที่ จะเห็นภาพข่าวจำลองสถานการณ์ และคนปฏิบัติจริงๆ จากกองทัพภาคที่ 1 ถึงสตรีวิทยา มีการปฏิบัติอย่างสุภาพบุรุษ

          "กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ กองพลที่ 1 เป็นต้นแบบ กองพล 11 เป็นเจ้าตำรับในการฝึกให้หน่วยอื่นไปปฏิบัติ มีการฝึกซ้อม มีขั้นตอนการปฏิบัติ กำลังพลต้องพกสมุดเล็ก ๆ แนวทางการปฏิบัติกฏ การปะทะต้องทำอย่างไรบ้าง ต้องท่องและมีความเข้าใจ ยืนยันว่ามีการฝึก"

@ นายสมชาย ถามอีกว่า ในการฝึกมีผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานอื่นมาเป็นผู้ฝึกหรือไม่ หรือฝึกกันเอง

         พ.อ.ธรรมนูญ กล่าวว่า ผมเข้าใจว่ากองพลที่ 1 น่าจะมีจากหน่วยงานอื่น คือ ตำรวจนครบาลมาฝึกให้ แต่กองพล 1 เป็นหน่วยหลักและต้นแบบที่กำหนดให้มาจัดการฝึกให้กับหน่วยอื่น

@ คณะกรรมการ คอป.อีกคนหนึ่งถามว่าวันที่ 10 เมษายน มีอาวุธปืนลูกซอง แล้วมีอาวุธปืนอะไรอีกไหม

        พ.อ.ธรรมนูญ บอกว่า ข้างหน้า 4 แถวแรก ไม่มีอาวุธหนัก ครั้งหน้าถ้ามีอีกคนที่อยู่ 4 แถวหน้าจะโดนหนัก คงไม่มีใครอยากไปอยู่อีกแล้ว แถวต่อไปถึงจะให้ปืนลูกซอง ส่วนแถวต่อไปจะเป็นกองบังคับหมู่ปืนเล็ก  และใน 1 กองร้อย จะมี 9 คนที่ใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ได้ แต่การปฏิบัติภารกิจต้องเอาไว้ในรถ แต่ถ้ามีเหตุการณ์ทราบว่าอีกฝ่ายมีกองกำลังติดอาวุธก็ต้องอยู่ที่ดุลพินิจ ของผู้บังคับบัญชาว่า จะเอามาป้องกันตนหรือไม่ หรืออย่างเหตุที่ผ่านมา ซึ่งรับแจ้งว่าพล 9 ถูกยึดอาวุธไป อย่างนี้ก็ต้องนำอาวุธออกไป

คณะกรรมการ คอป.ถามอีกว่าสรุปวันนั้นก็มีอาวุธปืนเอ็ม 16

พ.อ.ธรรมนูญ กล่าวว่า ใช่ครับ  แต่ระเบิดขว้างไม่มีเด็ดขาด

ขณะที่ @ นายวสันต์ สายรัศมี อาสาสมัครกู้ภัยอยู่ในเหตุการณ์ 10 เมษายน ถามว่า  4 แนวหน้าที่ พ.อ.ธรรมนูญ บอกว่า คือ โล่ กับกระบอก แต่ภาพที่เห็นในวันนั้น คือ แนวหน้าโล่กับกระบอกแต่แนวที่ 2-3 คือ ลูกซอง  หลังจาก 2-3 ทำไมใช้ปืนเอ็ม 16

          พ.อ.ธรรมนูญ กล่าวว่า เป็นแนวตามที่ได้เรียนให้ทราบแล้วหลักๆ คือ กองร้อย 150  คน 4 แถวแรกเป็นกำลังโล่กระบอง เป็นหลัก แล้วถอยไปอีก ถ้าข้างหน้ามีกองกำลังคิดอาวุธ อนุญาตให้นำลงมาได้สำหรับป้องกันตน ตรงสี่แยกคอกวัว ผมไม่ได้อยู่ด้วย เขาปฏิบัติมาตั้งแต่บ่ายสองถึง 4 โมง ดันกันไปดันกันมา ก็อาจจะเป็นไปได้เมื่อ  1- 2 แนวที่ได้ปฏิบัติอาจจะล้า แล้วถอยออกมาก็เป็นไปได้ ในแนวที่สองที่อยู่ห่างกันเป็นลูกซองอาจจะเป็นไปได้

@ นายวสันต์ ถามต่อว่า แนวปะทะที่สี่แยกคอกวัวทหารเริ่มเข้าหาประชาชนหลังจากเริ่มเคารพธงชาติไม่ถึง 1 นาที ยืนยันว่าในช่วงก่อน 6 โมงเย็น ท่านบอกว่ามีเสียงเอ็ม 79 บอกได้เลยว่าเป็นแค่ถังแก๊สที่ทางฝั่ง นปช.กลิ้งไปหาทหารแล้ว ระเบิดประมาณ 1 ทุ่ม แล้วทหารบอกว่ามี นปช. ใช้อาวุธหรือขว้างไป บอกได้เลย ไม่ใช่ ตอนที่ทหารเจ็บ นั่นคือ ระเบิดที่ทหารขว้างไปใส่กลุ่ม นปช. แล้วระเบิดลูกนี้ตกไปที่กลุ่มทหารไม่ใช่ นปช. เพราะระเบิดขว้างไปติดสายไฟแล้วเด้งกลับลงมาทางฝ่ายทหาร แล้วบอกว่าฝั่งประชาชนขว้างใส่ทหาร ซึ่งตอนนั้นผมยังช่วยทหารที่บาดเจ็บ

             พ.อ.ธรรมนูญกล่าวว่า เสียงถังแก๊สระเบิดกับเสียงระเบิดเอ็ม 79 นักการทหารจะฟังได้ เสียงเอ็ม 79 นับได้ 15 ลูก อาจจะมีถังแก๊สระเบิดด้วยเพราะว่าพี่น้องเราใช้ถังแก๊สและมีไฟฟู่ออกมาแรงมาก 5-10 เมตร ถ้าจุดอาจจะระเบิด แต่นั่นไม่กลัวเท่าไร และไม่คิดว่ามีอาวุธ เอ็ม 79 ซึ่งเราไม่รู้ว่ามาจากไหน แต่ในหลักการมี มวลชน มีพระ มีกองกำลัง  ในแง่ของการต่อสู้ ในอดีตสู้ด้วยพลังประชาชน สู้ด้วยกองกำลังติดอาวุธ อันไหนจะนำมาใช้ในตอนไหน นี่เป็นหลักการ หลายคนต้องศึกษาตรงนี้ เมื่อเข้าใจตรงนี้ จะรู้ว่าสู้กับอะไร ป้องกันร่วมกัน

        "ถ้าในที่ประชุมนี่ หารือกันแล้วว่า ทหารติดคุก ผมยอม ถ้าทำแล้วทุกอย่างดีขึ้น กองกำลังสลายไป พรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์จับมือกัน ผมยอมเป็นตัวแทนกองทัพบก บอกแล้วว่าเราพยายามทำ ทำอย่างไรไม่ให้เกิดเหตุ  ขนาดฝึกกันมาขนาดนี้ เรายังได้รับบาดเจ็บ วันนี้ก็เข้าใจเป็นวิธีการต่อสู้ใช้กองกำลัง ไม่ชนะแต่ต่อสู้กันในแง่ของการเมือง ถ้าทุกฝ่ายรู้เท่าทันทุกฝ่ายต้องหันมาช่วยกัน ผมเจ็บนอนโรงพยาบาล 10 กว่าวันผมไม่เคยโกรธ  พล.อ.ร่มเกล้า ก็ปั๊มหัวใจกันต่อหน้า "

       "เป็นไปได้ที่เป็นระเบิดขว้างแล้วไปติดสายไฟได้ แต่ผมยืนยันกองทัพภาคที่ 1 ไม่มีเด็ดขาดที่จะเอาระเบิดขว้างติดตัวไป และลูกระเบิดที่เป็นสิ่งประดิษฐ์เราก็ตรวจพบ "

@ นาย สมชายถามว่า ช่วงก่อนที่จะมีระเบิดที่ทำให้ทหารบาดเจ็บก่อนนั้นเข้าใจว่ามีเหตุการณ์รุนแรงเกิดก่อนแล้วในพื้นที่อื่น ส่วนนี้จากเหตุที่เกิดขึ้นหน้ากองทัพบก จะมีผลต่อเนื่องให้เกิดความรุนแรงหน้าโรงเรียนสตรีวิทยาหรือไม่ และหน่วยของท่านเป็นทหารราบ อาจจะคาดเรื่องความรุนแรงอยู่บ้าง ถึงมีรถหุ้มเกราะ ให้นายทหารเพื่อประชุมหารือกัน เพราะไม่ได้ใช้บังเกอร์ ในการจัดกำลัง มีหน่วยคุ้มกันที่อยู่ตามยอดตึกต่างๆหรือไม่เพื่อคุ้มกัน หน่วยทหารราบที่ปฏิบัติหน้าที่ในการควบคุมฝูงชน

          พ.อ.ธรรมนูญ กล่าวว่า การจัดกำลังคุมกันการปฏิบัติในส่วนของหน่วย ใช้รถเกราะในการคุ้มกัน แต่ภาพอาจจะน่ากลัวอย่างที่ประชาชนรู้สึก ผมก็รู้สึกแบบนั้น มีข่าวเรื่องมีอาวุธขึ้นมา ส่วนระวางป้องกันที่จะดูแลตามที่สูงในวันนั้น เรารับภารกิจในพื้นราบ เมื่อไปถึงในช่วงเย็นกำลังที่จะเข้าไปในถนนดินสอ ยังไม่ได้จัดกำลังไปบนยอดตึก ขณะเดียวกันที่มีเฮลิคอปเตอร์บินวนอยู่มีแสงไฟที่อยู่รอบตึกยิงอาวุธใส่ทหารบนเฮลิคอปเตอร์ได้รับบาดเจ็บ การประมาณสถานการณ์ น่าจะทราบว่า มีคนอยู่บนยอดตึกยิงฮ. อาจจะยิงลงมาใส่เราด้วย การคุ้มกันยอดตึกในเวลานั้นก็ทำไม่หมด บนอาคารโรงเรียนสตริวิทยาก็ไม่ได้ขึ้นไป

@ ตัวแทนเอ็นบีที ถามว่า มีไหมที่กำลังพลหน่วยใดหน่วยหนึ่งถูกปลูกฝังมาว่าประชาชนกลุ่มนี้เป็นพวกล้มสถาบันเป็นศัตรูของชาติ

           พ.อ.ธรรมนูญ กล่าวว่า "ผมเรียนชี้แจงตั้งแต่แรก ยืนยันว่า ไม่มี พี่น้องเสื้อแดงที่อยู่ในกรมผม พ่อแม่เขาก็เสื้อแดง ไม่มีการปลุกระดมว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้"

ประกาศ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน




  • 9 พฤศจิกายน 2556  เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป ณ ชั้น 5 อาคารอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช) นำโดย อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานนปช. คุณจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนปช.และแกนนำนปช.ส่วนกลาง ขอเชิญพี่น้องคนเสื้อแดงทุกท่าน และสื่อมวลชน ร่วมฟังการแถลงข่าว ของกลุ่มนปช.เกี่ยวกับสถานการณ์พิเศษ ที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้   ท่านสามารถรับชมการถ่ายทอดสดได้ทาง  Asiaupdate P&P และระบบอินเตอร์เน็ทได้ทาง SPEED HORSE  

  • ในวันที่ 10 พ.ย.เริ่มตั้งแต่เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป เชิญร่วมฟังการปราศรัยในเวที “นปช.เพื่อไทยปกป้องประชาธิปไตย” โดยจะจัดขึ้นที่ลานอเนกประสงค์หลังสนามฟุตบอลเมืองทอง ยูไนเต็ด เมืองทองธานีโดยจะมีแกนนำ นปช.และแกนนำจากพรรคเพื่อไทย ซึ่งถือเป็นแนวร่วมกันในหลักการประชาธิปไตยขึ้นเวทีอย่างคับคั่ง และขอยืนยันว่าการจัดเวทีนี้จะไม่ใช่การเผชิญหน้า จะไม่ใช่การสร้างเงื่อนไขความรุนแรง และจะไม่มีการเคลื่อนขบวนออกไปจนเกิดสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา จะเป็นการชุมนุมตอนเย็น ถึงช่วงกลางคืนก็จะแยกย้ายกลับบ้าน เป็นการชุมนุมด้วยความสงบเรียบร้อย การเปิดเวทีครั้งนี้ก็เพื่ออธิบายสถานการณ์ขณะนี้เป็นอย่างไร ไม่ใช่เกี่ยวกับ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแล้ว และอยากให้คนทั้งสังคมรับทราบเพราะมีการพูดเพียงข้างเดียว และบิดเบือนข้อเท็จจริง เราต้องการอธิบายข้อเท็จจริงเท่านั้น จึงขอเชิญพี่น้องคนเสื้อแดงร่วมฟังการปราศรัยกัน ให้มากๆในวันนั้น



ประกาศ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน
แถลงการณ์ นปช. 6 พ.ย. 2556 ว่าด้วยท่าทีต่อสถานการณ์ปัจจุบัน
คลิป นปช.แถลงข่าว 6 พ.ย. 2556



รายการประชาชน 3.0 ตอน กาแฟปฏิรูปกับ "อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ"
(ตอนที่ถูกถอดจากAsia Update)



“พานทองแท้” FB หวังประชาธิปัตย์ เห็นประโยชน์ของชาติอยู่เหนือประโยชน์ของพรรคตัวเอง


“พานทองแท้” FB หวังประชาธิปัตย์ เห็นประโยชน์ของชาติอยู่เหนือประโยชน์ของพรรคตัวเอง
วันที่ 8 พฤศจิกายน 2556 (go6TV) – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัวhttps://www.facebook.com/oakpanthongtae โดยมีเนื้อหาดังนี้




เพื่อไทย "เป่านกหวีดให้หยุด" แล้ว
แต่ประชาธิปัตย์ยังจะ "เป่านกหวีดให้เล่นต่อ" ครับ


นายกปูแถลงการณ์เมื่อวานนี้ ใครๆก็ฟังออกว่า ไม่ใช่เป็นเพียงการลังเลหรือชลอความเร็ว แต่เป็นการตัดสินใจเด็ดขาด ที่จะไม่เอา พรบ.สุดซอยครับ เมื่อบวกกับท่าทีของสว. ที่แสดงให้เห็นชัดๆว่าไม่เอาด้วย จึงไม่มีวันที่พรบ.สุดซอย จะผ่านด่านสภาสูงไปได้ ใครๆก็ดูออกว่าสถานการณ์คลี่คลายแล้ว ผู้ที่มาชุมนุมเพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างบริสุทธิ์ใจ ตามสิทธิในกรอบของรัฐธรรมนูญ ย่อมที่จะแยกย้ายกันกลับบ้านด้วยความสบายใจ


ดังนั้นต่อไปจากนี้ย่อมไม่มีเรื่อง พรบ.นิรโทษกรรม ที่จะเป็นประเด็นให้ต้องมาเป่านกหวีดชุมนุมประท้วงอะไรกันอีก หากพรรคประชาธิปัตย์ยังคงเป่านกหวีดอยู่ ก็คงจะต้องชี้แจงและพิสูจน์ความจริงใจ ให้กับพี่น้องประชาชนได้เห็นว่า ไม่ได้เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของพรรคฯตัวเอง มัวแต่อ้างว่าต้องชุมนุมต่อ เพราะไม่ไว้ใจว่ารัฐบาลอาจหยิบ พรบ.ขึ้นมาอีกนั้น มันเป็นลูกไม้หลอกสลิ่ม ที่ตื้นเกินไปครับ


สัปดาห์ที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์เป่านกหวีด ชวนคนออกไปประท้วงโดยอ้าง พรบ.นิรโทษกรรมนี้ แต่การประท้วงแฝงด้วยการหาเสียงบนเวที ให้กับพรรคประชาธิปัตย์จนพันธมิตรที่ออกมาร่วมต้านอดรนทนไม่ได้ ต้องออกมาประกาศงดถ่ายทอดสดจากเวทีประท้วง เพราะไม่อยากตกเป็นเครื่องมือหาเสียง ให้กับพรรคประชาธิปัตย์


ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ยังคงเป่านกหวีดต่อ โดยต้องการสร้างสถานการณ์ให้เกิดความปั่นป่วน สร้างความวุ่นวายไปเรื่อยๆ หมดเรื่องพรบ.นิรโทษฯ ก็ดึงเกมหลอกมวลชนให้ประท้วงเรื่องอื่นต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเขาพระวิหาร จำนำข้าว การแก้ปัญหาน้ำ รถไฟความเร็วสูง แบบนี้ประเทศไทยไม่มีวันเข้าสู่ โหมดสงบสุขได้ง่ายๆหรอกครับ


ก็ได้แต่หวังว่าพรรคประชาธิปัตย์ จะเห็นประโยชน์ของประเทศ อยู่เหนือประโยชน์ของพรรคการเมืองนะครับ วันนี้หากแต่จะมัวเก็บคะแนนเข้าพรรคฯ ด้วยการเป่านกหวีดชุมนุมกันไปเรื่อยๆ เดี๋ยวม็อบสีโน้นสีนี้ เดิมใช้บริการม็อบเหลือง พอเหลืองรู้ทันไม่ยอมให้หลอกใช้ ก็เปลี่ยนมาใช้ม็อบสีฟ้าของพรรคฯตัวเอง ประเทศไทยมีแต่จะถอยหลังลงคลอง ไม่มีวันเจริญก้าวหน้าไปไหนหรอก



เป่านกหวีดพร่ำเพรื่อ เอะอะอะไรก็ไล่รัฐบาลๆ ระวังประชาชนจะเป่านกหวีดให้ "แพ้ฟาวล์" จะได้ไม่คุ้มเสียนะครับ

“‘บิ๊กแจ๊ส” ส่ง โฆษกนครบาล มอบกระเช้าเยี่ยม ด.ต. ถูกม็อบอุรุพงษ์กระทืบ


“‘บิ๊กแจ๊ส” ส่ง โฆษกนครบาล มอบกระเช้าเยี่ยม ด.ต. ถูกม็อบอุรุพงษ์กระทืบ


วันที่ 8 พฤศจิกายน 2556 (go6TV) – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ต.อดุลย์ ณรงค์ศักดิ์ โฆษกนครบาล ในฐานะตัวแทน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น.นำกระเช้าดอกไม้และเงินช่วยเหลือไปมอบให้ด.ต.จำเนียร หงส์ไทย ผบ.หมู่งานสืบสวน กก.สส.บก.น.6 ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุชุมนุมของกลุ่มม็อบต้านนิรโทษกรรม ขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่บริเวณสะพานมัฆวานหน้าตึกสหประชาชาติ เมื่อเย็นวานที่ผ่านมา ได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมเยี่ยมอาการในห้องพักชั้น6ห้อง607 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โดยเวลา14.00น.ผบ.ตร.และนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่จะเข้าเยี่ยมและให้กำลังใจด้วย


รองผบช.น.กล่าวว่า อาการบาดเจ็บของด.ต.จำเนียร ดีขึ้นแล้วแพทย์ให้พักรักษาตัวสักระยะก่อน ส่วนสถานการณ์ชุมนุมวันนี้มีผู้ชุมนุม3กลุ่มกระจัดกระจายอยู่ใน3จุด บริเวณสะพานมัฆวาน โดยผบ.ตร.เดินทางตรวจเยี่ยมให้กำลังใจผู้ปฏิบัติและดูความพร้อมการปฏิบัติเวลา13.50 น.โดยนั่งรถตู้มาที่รพ.ตำรวจแลออกตรวจความพร้อมเชิงบริเวณสะพานมัฆวานฯสำหรับผู้ชุมนุมยังปักหลักชุมนุมต่อเนื่อง











กำหนดการ แกนนำ นปช.+เพื่อไทยปราศรัย วันที่ 9 – 10 พศจิกายน 2556


กำหนดการ แกนนำ นปช.+เพื่อไทยปราศรัย วันที่ 9 – 10 พศจิกายน 2556


          วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน เวลา 13.00-14.00 น. แกนนำ นปช.แถลงข่าวที่อิมพีเรียล ลาดพร้าว ชั้น 5 (แถลงวาระพิเศษ ชี้แจงข้อเท็จจริง )

          วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน เวลา 09.00-15.00 น. แกนนำ นปช.เปิดโรงเรียน นปช. ที่วิทยาลัยเทคนิคดอนเมือง 16.00 น.เป็นต้นไป เวที “นปช.-เพื่อไทยปกป้องประชาธิปไตย” ลานอเนกประสงค์ หลังสนามฟุตบอล SCG เมืองทองธานี (เปลี่ยนจากสนามศุภฯ)

          จากนั้นแกนนำ นปช.จะเปิดเวทีปราศรัยที่ต่างจังหวัดทุกวัน ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน เป็นต้นไป เริ่มจาก จังหวัดขอนแก่น เชียงใหม่ อุดร และ ชลบุรี

ครูเป็ด-มนต์ชีพ เตือนม็อบ พรบ.นิรโทษกรรมจบแล้ว ม็อบควรกลับบ้าน อย่าอยู่ต่อเพราะ "ไม่ไว้ใจเทพเทือก!"

ครูเป็ด-มนต์ชีพ เตือนม็อบ พรบ.นิรโทษกรรมจบแล้ว ม็อบควรกลับบ้าน อย่าอยู่ต่อเพราะ "ไม่ไว้ใจเทพเทือก!"




ครูเพลงชื่อดัง  "เป็ด-มนต์ชีพ ศิวะสินางกูร" นักร้องนักแต่งเพลงชื่อดัง หนึ่งในผู้ต่อต้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่มีความเห็นออกมาเป็นระยะในเฟซบุ๊คนั้น ล่าสุดได้โพสต์เฟซบุ๊คถึง "ชาวแกะสีเทา และชาวบ้านหลังเล็ก" มีใจความว่า
ชาวแกะสีเทาครับ ชาวบ้าหลังเล็กทั้งหลายครับ

ฟังผมนิดนึง...

วันนี้ไม่มีนิทาน แต่ขอพูดจริงจังซักหน่อย

ตอนนี้การต่อต้าน พรบ. นิรโทษกรรมของพวกเรา ก็ถือว่าพอมองเห็นผลได้ในระดับนึง แม้อาจจะยังไว้ใจไม่ค่อยได้ แต่เราก็พอจะใจชื้น และรอดูอยู่ได้สักพัก

ทางวุฒิฯ แม้ยังไม่ถึงเวลา ก็รีบมาออกตัวก่อนว่า ไม่รับคร้าบบบ ไม่รับแน่นอน มาเมื่อไหร่ตีกลับ

ทางเพื่อไทยก็แทบจะยกมือไหว้ประหลกๆ ไม่เอาแล้วคร้าบบ วุฒิตีกลับมาเมื่อไหร่ ผมจะเอาไปเผาทิ้งทันที

เชื่อได้ไม๊ได้ แต่ก็รอดูเขาไปก่อนดีกว่านะ อีกไม่กี่วันเอง
ผมว่าเราอย่าเพิ่งไปฮึ่มฮั่มจนดุเกินไป จากม๊อบอุดมการณ์ จะกลายเป็น ม๊อบมันเขี้ยวไป

สิ่งที่สะกิดใจผมคือ ผมไม่ค่อยไว้ใจน้าเทพแก แกเห็นม๊อบเรือนหมื่นเรือนแสนอย่างนี้ กลัวแกจะพาไปเรียกร้องนู่นนี่นั้นอีก ไม่ชวนเรากลับบ้านง่ายๆหรอก และ...
คนนำม๊อบ มือเก๋าคนหนึ่ง ตอนนี้ออกโรงแล้ว คำถามคือ...
ถ้าจะต้าน พรบ. นิรโทษกรรม ทำไมท่านไม่ออกมาตั้งแต่แรก แต่พอม๊อบเริ่มจุดติดแล้ว ท่านจึงออกมา

คำตอบคือ... ในสายตาผู้นำม๊อบที่มีประสบการณ์ ม๊อบขนาดนี้ ถือว่าเป็น ม๊อบมีคุณภาพ เป็นอาวุธที่ทรงพลังอย่างยิ่งทางการเมือง บวกกับความเก๋าของแก เชื่อได้ว่าแกจะมาสวมบทเป็นผู้นำปั่นซ้ายปั่นขวา ให้ม๊อบเคลื่อนไหวไปตามจุดประสงค์ของแกได้ไม่ยาก แล้วอีกอย่าง แน่นอนว่าในม๊อบนี้ มีคนเกลียดทักษิณอยู่ไม่น้อย พอเจอบรรยากาศมันเร้า เจอคนเกลียดทักษิณเหมือนกันมารวมๆกันเข้า คนขึ้นเวทีก็ด่าทักษิณ ด่าเอาๆ สะใจยิ่งนัก จากม๊อบต้านนิรโทษ จะเลยไปเป็นม๊อบไล่รัฐบาลไปเสียฉิบ

ผมเองไม่ได้พิศวาสรัฐบาลนี้เท่าไหร่เลย แต่อยากให้เราดูบทเรียนที่ผ่านมาครับ พอมีม๊อบไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งทีไร มันก็จะออกได้สองหน้าคือ

ถ้าจุดไม่ติด ก็เป็นม๊อบเฉาๆเซ็งๆ โงกเงกๆกันไปวันๆ สุดท้ายก็แห้งตายไปตามกาลเวลา ซึ่งผลก็คือ เหนื่อยเปล่า ไล่รัฐบาลไม่สำเร็จ หรือถ้าจุดติดเป็นเรื่องราวใหญ่โต ก็หนีไม่พ้นต้องลงท้ายความวุ่นวายไม่แบบใดก็แบบหนึ่ง ซึ่งคนที่เสียหายก็คือพวกเรา ประชาชน และประเทศของเราเอง

ประเทศเราบอบช้ำมามากเหลือเกินแล้วครับ...

ผมไม่อยากให้พวกเรา แกะสีเทา ชาวบ้านเล็ก ต้องตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของใคร โดยคิดไม่ถึง

ผมบอกไว้เลย ถ้าการต่อต้านครั้งนี้ ทำให้พรบ. นิรโทษตายสนิทแน่แล้ว ผมถือว่าการเคลื่อนไหวน่าจะจบแล้ว ถ้ายังมีใครพยายามขยายผล กลายไปเป็นการขับไล่รัฐบาล หรือเอาเรื่องอื่น เช่นปราสาทพระวิหาร มาผูกโยง ให้ม๊อบร้อนต่อไป ผมถือว่าคนๆนั้น ไม่หวังดีกับประเทศชาติอย่างยิ่ง

จบนิรโทษ ก็หมดหน้าที่ของพวกเรา เราก็กลับบ้านกลับช่อง มาเล่นในกติกามาตราฐานดีกว่าครับ
ไอ้ที่แค้นใครไว้ ใครที่มันหวังร้ายกับประเทศ โกงกิน หรือเลวยังงู้นยังงี้

คราวหน้าก็อย่าไปเลือกมัน...

บางคนยังคาอกคาใจเหลือเกินว่า กับไอ้คนเลวๆ เราทำได้แค่นี้จริงๆเหรอ แค่ไม่เลือกมันเนียนะ

ครับ... ประชาชนอย่างเรา เราทำได้แค่นี้จริงๆ ถ้าทำมากกว่านี้ อยากรักษาประเทศให้หายจากวงจรอุบาทว์ โดยเร่งรัด มันก็เหมือนกับผ่าตัดคนไข้ โดยไม่วางยาสลบ หวังดีกับคนไข้ อยากให้เขาหายไวๆ เจื๋อนเลย คนไข้อาจตายเพราะความเจ็บปวดซะก่อนจะหาย

หรือถ้าผิดหวังไปซะทุกคนทุกพรรค ไม่รู้จะเลือกใครจริงๆ คราวหน้าผมลงสมัคร สส.เองเลย เอิ๊กๆๆ


ปล. เขียนมาหลายบทความ ไม่เคยขอร้องให้ใครแชร์เลย แต่คราวนี้ขอร้องล่ะครับ ถ้าใครเห็นด้วยกับสิ่งที่ผมเขียน ช่วยแชร์ๆกันหน่อย ขอบคุณครับ

"แซนด์-ชยิกา" โพสต์ FB เตือนระวังตกเป็นเครื่องมือประชาธิปัตย์

"แซนด์-ชยิกา" โพสต์ FB เตือนระวังตกเป็นเครื่องมือประชาธิปัตย์

วันที่ 7 พฤศจิกายน 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นางสาวชยิกา วงศ์นภาจันทร์ หลานสาวนายกรัฐมนตรีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (บุตรสาวนางเยาวเรศ ชินวัตร) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว https://www.facebook.com/Sand.Chayika โดยมีเนื้อหาดังนี้ 






ค้านนิรโทษกรรมเพื่อ “ประชาธิปัตย์”?

ได้มีโอกาสอ่านบทความจากไทยรัฐออนไลน์ ประจำวันที่ 6 พฤศจิกายน เรื่องพลังโซเชียลมีเดีย ปลุกกระแสมวลชนต้าน'นิรโทษฯ'ได้จริงหรือ? (http://www.thairath.co.th/content/tech/380913) บทความดังกล่าวได้ตั้งคำถามว่า “คุณคัดค้านการนิรโทษกรรมแบบไหน?” พร้อมกับแบ่งสาเหตุการคัดค้าน ร่าง พรบ. นิรโทษกรรมฯ ไม่ว่าจะเป็นแบบนิติราษฎร์ที่ค้านการนิรโทษผู้สั่งฆ่าประชาชนและแกนนำ แบบไม่เอาทักษิณ แบบให้ทักษิณมาสู้คดีตามปกติ แบบนิรโทษคดี 112 แบบค้านนิรโทษเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง หรือ แบบค้านเพราะเกลียดนักการเมืองในสภา การรณรงค์ปลุกกระแสมวลชนต้าน “นิรโทษฯ” ในครั้งนี้ “ผู้จัดแคมเปญ” การสื่อสารทางการเมือง (Political Marketing) ได้แบ่งวิธีการสื่อสารด้วย “ข้อความหลัก” (Key Message) ถึงกลุ่มต่างๆได้ 2 ประเภท ดังนี้

ประเภทที่ 1 ข้อความหลักถึงกลุ่มคัดค้าน พรบ. นิรโทษกรรมฯ แบบเกลียดการทุจริต คอร์รัปชั่น และการกระทำผิดกฎหมาย โดย “ผู้จัดแคมเปญ” ใช้ข้อความ รักชาติ ปกป้องประเทศ ปกป้องสถาบัน ด้วยการสร้างวาทกรรมแห่งการเกลียดชัง (Hate Speech) ให้ “ทักษิณ” และครอบครัว เป็นผู้ร้าย หรือ แพะรับบาป หรือ ที่เรียกว่าเทคนิค Scape Goat ให้ผู้รับสารฟังแล้วเกิดความรู้สึกต้องการอยากปกป้องประเทศ ปกป้องสถาบันจากตัวละครตัวร้ายนี้ ด้วยเหตุผล 2 ประการว่า 

1. เป็นพรบ. ที่ร่างขึ้นเพื่อเปิดช่องในการคืนเงิน 4.6 หมื่นล้าน
2. และ เป็นพรบ. ที่ล้างผิดคนโกง โดยจะมีคดีเกี่ยวกับการ ทุจริต คอร์รัปชั่น ของนักการเมืองที่ได้รับอานิสงค์หลายคดี

โดยทั้ง 2 เหตุผลที่ “ผู้จัดแคมเปญ” พร่ำพูดซ้ำๆ โดยที่ไม่ได้บอกผู้รับสารว่า การคืนเงิน 4.6 หมื่นล้านบาท ได้ถูกหักล้างด้วย ถ้อยแถลงของ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าด้วยท่าทีต่อ ร่าง พรบ. นิรโทษกรรมฯ ว่า“การบิดเบือนนั้นทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่ากฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายการเงิน เพราะหากเป็นร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเงิน ดิฉันในฐานะนายกรัฐมนตรีต้องลงนามรับรอง ซึ่งดิฉันไม่เคยลงนามใดๆ”

ส่วนเรื่อง การล้างผิดคดีทุจริต คอร์รัปชั่น “ผู้จัดแคมเปญ” และผู้สนับสนุนทั้งหลายก็ได้กระหน่ำข้อความ ภาพอินโฟกราฟฟิค ในโลกโซเชียล ให้เห็นว่าใครจะได้รับอานิสงค์จากการทุจริต คอร์รัปชั่น บ้าง โดยที่ไม่เคยบอกผู้รับสารเลยว่าคดีที่จะได้รับการนิรโทษฯ ส่วนใหญ่เป็นคดีที่เป็นผลพวงของการรัฐประหารทั้งสิ้น ดังคำกล่าวของนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรที่ว่า “ที่สำคัญมีความพยายามที่จะบิดเบือนว่ากฎหมายจะ กลบเกลื่อนการทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งเป็นคนละประเด็นกับ พรบ.นิรโทษกรรม ซึ่ง พรบ. ฉบับนี้เป็นกฎหมายที่ยกโทษให้ผู้ได้รับผลพวงทางการเมือง การรัฐประหารที่ไม่อยู่ในหลักนิติธรรม รวมทั้งผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน”

มากไปกว่านั้น เมื่อ “ผู้จัดแคมเปญ” กำหนด “ข้อความหลัก” ย่อมต้องมีการวางแผนและคาดหวังผลใดจากผู้รับสาร โดยเฉพาะจุดมุ่งหมายในการที่จะขับเคลื่อนทางการเมือง กล่าวคือ “วัตถุประสงค์” ของการส่งสาร ของ “ผู้จัดแคมเปญ” หรือ “พรรคประชาธิปัตย์” ซึ่งออกตัวขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างเต็มกำลังนั้นเป็นไป เพื่อสร้างโอกาสให้ได้กลับมาเป็นพรรคจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้งหรือไม่? เพราะหากเป็นเช่นนั้น คงต้องพิจารณากันให้ชัดเจนว่า การปกป้องประเทศชาติจากการทุจริต คอร์รัปชั่น ถูกใช้เป็นแคมเปญในการสื่อสารนั้น ต้องปกป้องด้วยการให้พรรคประชาธิปัตย์ กลับมาได้สิทธิถือครองอำนาจรัฐ  คือคำตอบที่ถูกต้องแล้วหรือไม่?

ประเภทที่ 2 ข้อความหลักถึงกลุ่มที่คัดค้าน ร่าง พรบ. นิรโทษฯ ที่เป็นกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเน้นเรื่องการนิรโทษให้กับผู้สั่งฆ่าประชาชนและแกนนำ ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ว่าผู้สูญเสียและนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย อาจยังไม่สามารถทำใจยอมรับได้ ณ เวลานี้

อย่างไรก็ตาม “ผู้จัดแคมเปญ” ที่สื่อสารข้อความหลักประเภทนี้ ก็ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุม ปี 2553 แต่อย่างใด และไม่ได้มีความต้องการในการสร้างกระแสสังคมเพื่อนำไปสู่หนทางที่ประเทศจะยกระดับประชาธิปไตยที่ดีขึ้น มิหนำซ้ำ  "ผู้จัดแคมเปญ" ยังมีวัตถุประสงค์ทางการเมืองซ่อนเร้นในการล้มล้างรัฐบ าลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน อีกครั้งใช่หรือไม่? และถ้าเป็นเช่นนั้น การชุมนุมอยู่ในขณะนี้นั้นคงไม่ใช่หนทางในการนำประเทศไปสู่การคืนความยุติธรรมให้กับประชาชน และส่งเสริมการปกครองระบบประชาธิปไตยให้ดีขึ้นได้

และท้ายที่สุด การชุมนุมครั้งนี้ ก็คงไม่ต่างจากการชุมนุมที่มีเป้าหมายในการล้มล้างรัฐบาลเหมือนทุกครั้ง โดยเฉพาะในขณะนี้ที่พรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่ยุติการปลุกระดม ในขณะที่ทุกฝ่ายได้ส่งสัญญาณการรับฟังและพร้อมที่จะรักษาบรรยากาศของประเทศและบรรยากาศของความเป็นประชาธิปไตย ซ้ำร้าย พรรคประชาธิปัตย์ยังคงสร้างเงื่อนไขใหม่ เพื่อไปสู้เป้าหมายที่ซ่อนเร้นเอาไว้ภายใต้การปลุกระดมที่ชัดเจนมากขึ้น

ทั้งๆที่ ล่าสุด นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ได้ออกมาแถลงอย่างชัดเจนแล้วว่า "ขอยืนยันว่ารัฐบาลรับฟังเสียงความรู้สึกของประชาชนเพราะมาโดยประชาชน ยึดเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนเป็นสำคัญ และจะไม่ทำลายความรู้สึกของพี่น้องประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลมุ่งหวังมาตั้งแต่แรก ไม่มีทิฐิ ขอเพียงให้บ้านเมืองเกิดความสงบและสันติสุขเท่านั้น ทั้งนี้เรามีหลายขั้นตอนที่ช่วยเหลือประชาชน โดยไม่จำเป็นต้องใช้ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ แม้พ้นระยะเวลา 180 วันไปแล้ว พรรคเพื่อไทยขอยืนยันว่าจะไม่หยิบยกกฎหมายฉบับนี้มาพิจารณาอีก”

นิสิตจุฬาฯสุดทนแฉ! "ผู้บริหารมหาวิทยาลัย หลอกให้ไปประท้วงก่อม็อบ โดยหลอกว่ารัฐสลายการชุมนุมด้วยอาวุธ"

นิสิตจุฬาฯสุดทนแฉ! "ผู้บริหารมหาวิทยาลัย หลอกให้ไปประท้วงก่อม็อบ โดยหลอกว่ารัฐสลายการชุมนุมด้วยอาวุธ"






           วันที่ 6 พฤศจิกายน 2556 (go6TV) เด็กจุฬาฯสุดทนแฉ โดนคณาจารย์หลอกบังคับให้ไปร่วมม็อบจุฬาฯ โดยอ้างว่า รัฐบาลใช้กำลังสลายการชุมนุมแล้ว ต้องออกไปคัดค้าน พอออกไปยืนด้วย กลายเป็น “ม็อบการเมือง” ที่มี “หมอตุลย์” มาปราศรัยด่ารัฐบาล และชักชวนให้ไปชุมนุมที่อุรุพงษ์และสามเสน


            นิสิตจุฬาฯ ได้เขียนข้อความบนเฟสบุ๊คส่วนตัว แฉเหตุการณ์ชุมนุมของจุฬาวานนี้ โดยเล่าว่าโดนมหาวิทยาลัยหลอกไปชุมนุมว่ามีการใช้กำลังสลายการชุมนุมจนคนบาดเจ็บล้มตาย โดยมีข้อความว่า


“เรื่องที่บัดซบมากสำหรับม็อบจุฬาวันนี้คือ
  • 1.แม้ว่าจะออกแถลงการณ์ในนามคณะผู้บริหาร แต่มีการชูธง ชูข้อความแสดงสัญลักษณ์ความเป็นจุฬา ซึ่งอาจจะทำให้คนทั่วไปเข้าใจผิดว่าจุฬาฯออกมาเคลื่อนไหวอย่างเป็นทางการ [ซึ่งอาจทำให้คนทั่วไปเข้าคณะผู้บริหารจุฬาออกมาต่อต้านโดยไม่ได้คำนึงว่าใช้ชื่อจุฬาโดยไม่ได้ทราบว่าคนอื่นในจุฬาคิดอย่างไร]
  • 2.อบจ.แถลงการณ์โดยใช้ข้อความว่า "ในนามตัวแทนนิสิต" โดยไม่มีการสำรวจความคิดเห็นของนิสิตทั้งหมดเลย (จะอ้างเช่นนั้นก็ทำได้ แต่ควรจะบอกว่า นิสิตบางส่วนไม่ใช่นิสิตจุฬาทั้งหมด)
  • 3.สิ่งที่สื่อสารออกไปตอนแรกคือออกมาต่อต้านพรบ.นิรโทษกรรม แต่กลับให้หมอตุลย์มาพูดเรื่องเงินกู้สองล้านล้าน เรื่องกรือเซะตากใบ ปราศรัยโจมตีรัฐบาล และปลุกระดมขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง กล่าวคือเป็นม็อบสอดไส้
  • 4.บอกว่าไม่มีพรรคไม่มีสี แต่เมื่อมาถึงแล้วกลับมีการแนะนำและบอกให้ไปต่อที่อื่น เช่นอุรุกพงษ์ สามเสน ซึ่งมีแกนนำเป็นคนของพรรคการเมือง



สรุปแล้ว พูดถึงพรบ.น้อยมาก เน้นโจมตีรัฐบาลและแสดงตนเป็นคนดีเท่านั้น ...