วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2554

ช้าราชการ หรือขี้ข้าประชาธิปัตย์

คลิปนายอำเภอสาวหมัดใส่ม็อบไล่มาร์ค-เทือก








โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
7 เมษายน 2554

มติชนออนไลน์รายงานว่า เมื่อวันที่ 5 เมษายน ที่ จ.กาฬสินธุ์ กลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (2) 4 ภาค จากพื้นที่ จ.สกลนคร กาฬสินธุ์ และ นครพนม กว่า 500 คน นำโดยนายบุญใส ก้อนดินจี่ แกนนำ เดินทางมาชุมนุมปิดถนนบริเวณสี่แยกอำเภอสมเด็จ จ.กาฬสินธุ์ เพื่อประท้วงและปราศรัยโจมตี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เนื่องจากไม่พอใจกรณีไม่จ่ายเงินชดเชยค่าประกอบอาชีพให้ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.) ที่ตกค้างใน จ.กาฬสินธุ์ สกลนคร ยโสธร นครพนม อุดรธานี หนองบัวลำภู และ มุกดาหาร หลังผ่านการพิจารณาคัดกรองไปแล้ว ส่งผลให้การจราจรติดขัด

ในระหว่างนั้นนายรักษ์ ลี้ทรงศักดิ์ นายอำเภอสมเด็จ จ.กาฬสินธุ์ ขับรถยนต์ประจำตำแหน่งมาตามเส้นทางดังกล่าว แต่ไม่สามารถผ่านทางได้ จึงบีบแตรและขับฝ่าด่านผู้ชุมนุมเข้ามา พร้อมตะโกนต่อว่า และลงไปไล่ชกต่อยผู้ชุมนุม ทำให้เกิดการชุลมุนท่ามกลางการตกตะลึงของชาวบ้าน จากนั้นเจ้าหน้าที่ อส. ตำรวจ พยายามแยกตัวนายรักษ์ออกมา ขณะที่แกนนำ ผรท.ได้ประกาศยุติการชุมนุมทันที เพราะเกรงจะเกิดเหตุร้าย พร้อมนัดชุมนุมประท้วงปิดถนนอีกครั้งในวันที่ 11 เมษายนต่อเนื่องไปจนกว่ากลุ่ม ผรท. 3,000 คน จะได้รับเงินชดเชยจากรัฐบาล

นายรักษ์ ลี้ทรงศักดิ์ นายอำเภอสมเด็จ จ.กาฬสินธุ์ ออกมายอมรับ เหตุกระชากคอเสื้อ แกนนำผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.) ขณะที่รวมตัวปิดถนน บริเวณสี่แยกอำเภอสมเด็จ เพื่อประท้วงนายกรัฐมนตรี เหตุไม่พิจารณาเงินชดเชย

โดยนายอำเภอสมเด็จ เผยว่า ตนได้ก่อเหตุจริง แต่ไม่ได้ยกเท้าพยายามจะถีบ หรือทำร้ายผู้ชุมนุม เหตุเกิดขึ้นขณะตนขับรถไปถึงสี่แยก และขอทางเพื่อจะขอไปจอดรถอีกฝั่งหนึ่งของทางแยก ซึ่งกำลังรีบไปประชุมกำนัน- ผู้ใหญ่บ้าน แต่กลุ่มม็อบไม่ยอมให้ผ่าน เลยลงจากรถไปเจรจา และถามว่าทำไมมาปิดถนน และขอดูหน้า ก่อนกระชากตัวแกนนำ เพื่อจะรู้เป็นใคร ซึ่งการที่กระชากตัวแกนนำนั้น ก็เพราะกลุ่มผู้ชุม ด่าทอหยาบคาย และยืนยันว่า ไม่ได้มีการชกต่อย หรือทำร้ายร่างกาย ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นยังไม่มีผู้บังคับบัญชาเรียกไปสอบถาม หรือตำหนิแต่อย่างใด โดยการชุมนุมนี้มีมานานแล้ว นายอำเภอก็ต้องมาแก้ไขปัญหา แต่กลุ่มผู้ชุมนุมไม่รับฟัง ส่วนเรื่องเงินชดเชยนั้น งบประมาณผ่านพิจารณาแล้ว แต่ก็มีขั้นตอนการดำเนินการ ซึ่งไม่สามารถกำหนดว่าเป็นเวลาใด แต่กลุ่มผู้ชุมนุมก็ยังไม่ฟัง
"ผมถามไปว่าถือดีอย่างไรมาปิดถนน อย่างนี้ และผมแต่งชุดข้าราชการนัดประชุมกำนันผู้ใหญ่บ้านอยู่ แต่ไม่ได้ประชุมเพราะมีการปิดถนน ผมเลยต้องมาเจรจา แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นยืนยันว่าแค่กระชากเสื้อไม่ได้ชกต่อย"นายอำเภอสมเด็จกล่าว



ทางด้าน นายบุญใส ก้อนดินจี่ แกนนำกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.) ที่ถูกกระชากคอเสื้อ กล่าวว่า นายอำเภอ กระทำการจริง และมีการต่อยหมัดมาที่ตนเอง ซึ่งขณะนั้นกำลังปราศรัยอยู่ และการปิดถนน ก็จะมีขั้นตอน เป็นลำดับ แต่ในขณะเกิดเหตุ ยอมรับว่า ปิดการจราจรทุกช่องทาง เนื่องจากไม่มีคำตอบในเรื่องดังกล่าว และการชุมนุมมีมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่มีคำตอบจึงต้องดำเนินการปิดถนน แต่ก็ไม่คาดคิดว่า นายอำเภอจะกระทำการเช่นนี้

นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกครั้งก่อน เพราะดูจากภาพข่าวที่เผยแพร่ เหมือนนายอำเภอจะไม่ได้ตั้งใจทำร้ายผู้ชุมนุม และอาจจะเป็นการป้องกันตัวมากกว่า เนื่องจากบริเวณนั้นมีชายใส่หมวกไหมพรมล้อมรอบตัวอยู่จึงอยากเปิดหมวกออกดูว่าเป็นใคร ซึ่งก็ต้องให้โอกาสนายอำเภอชี้แจงด้วย และไม่ควรปรักปรำฝ่ายเดียว แต่ถ้าตรวจสอบแล้วเป็นอย่างไรก็ต้องว่าไปตามนั้น อย่างไรก็ดี หากมองแง่ดีถือว่า นายอำเภอเกาะติดพื้นที่ ไม่ได้ทิ้งพื้นที่ไปไหน

สงครามไซเบอร์ระหว่างรัฐกับประชาชน (ฉบับพิสดาร)
http://thaienews.blogspot.com/2011/04/blog-post_07.html



โดย ปาแด งา มูกอ
7 เมษายน 2554

วันนี้ผมถือโอกาสมอบตำราพิชัยสงครามตอนพิชิตศึกอินเตอร์เนท (ภาคพิสดาร) ให้กับกลุ่มมวลชน เพื่อต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยใน facebook และพี่น้องร่วมชาติที่หวงแหนประชาธิปไตย ทุกท่านครับ อาจจะมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย ลองพิจารณาดูน่ะครับ

ก่อนที่เราทุกคนจะแยกย้ายกันปฏิบัติภารกิจเพื่อให้ถึงจุดเป้าหมายที่เราทุกคนหวังไว้ คือ 1.โค่นอำมาตย์ 2.เอาประชาธิไตยของพวกกูคืนมา.
“อันสงครามไซเบอร์นั้น คือการใช่เล่ห์เพทุบาย ฉะนั้น รบได้ให้แสดงรบไม่ได้ จะรุกให้แสดงไม่รุก ใกล้ให้แสดงไกล ไกลให้แสดงใกล้ ให้ล่อด้วยประโยชน์ ให้ชิงเมื่อระส่ำระสาย ข้าศึกแน่นให้เตรียมรับ ข้าศึกแข็งให้หลีกเลี่ยง ข้าศึกโกรธง่ายให้ก่อกวน ข้าศึกยโสให้เหิมเกริม ข้าศึกสบายให้เหนื่อยล้า ข้าศึกกลมเกลียวให้แยกสลาย ให้จู่โจมเมื่อไม่ระวังตัว ให้รุกรบเมื่อไม่คาดคิด นี้คืออัจฉริยะของนักรบไซเบอร์ อันจักกำหนดล่วงหน้ามิได้”-“ซุนกู”


สงครามรูปแบบใหม่เริ่มขึ้นแล้ว


หลักการทำสงครามไซเบอร์ หรือสงครามทางอินเตอร์เนท คือ

-เราจะไม่แหงนคอตั้งบ่าบุกขึ้นไปตีข้าศึกที่ยึดที่มั่นบนภู

-เราจะไม่บุกตีข้าศึกที่หันหลังอิงเนินสี่เสาเทเวศร์

-เราจะไม่ไล่ตามตีข้าศึกที่ทำทีแสร้งแพ้ล่าถอยแบบเขายายเที่ยง

-เราจะไม่โจมตีกำลังที่เข้มแข็งของข้าศึก

-เราจะไม่ไปสนใจกองกำลังที่ข้าศึกส่งมาล่อ เข้ามาแฝง ไม่ว่าจะแดงเทียม แดงปลอม มะเขือเทศ หรือแตงโม

-การล้อมข้าศึกต้องเปิดช่องว่างไว้ ถ้าข้าศึกจนตรอก จงอย่ารุกบีบกระชั้นจนเกินไป เหมือนศึกรัฐสภาที่มีหมาจนตรอกปีนกำแพงหนี

เหล่านี้คือ หลักการสัประยุทธ์ทางอินเตอร์เนท

ดังนั้น การทำสงครามไซเบอร์หรือสงครามอินเตอร์เนท จะประสบชัยชนะได้ ก็ด้วยอาศัยเล่ห์กลอุบาย คือพิจารณาว่า มีความได้เปรียบหรือไม่ แล้วจึงค่อยปฏิบัติการ และปรับเปลี่ยนยุทธวิธีด้วยการกระจายหรือรวมกำลัง

ดังนั้น เวลาเดินทัพบนจอคอมพิวเตอร์จะต้องไปได้รวดเร็วดุจลมกรด หยุดทัพได้สงบนิ่งดุจไม้ในพงไพร รุกตีก้องฮือโหมดุจไฟลาม ตั้งรับได้มั่นคงดุจขุนเขา ซุ่มซ่อนได้ดุจเมฆดำคลุมฟ้า และบุกตะลุยศึกได้ฉับไวดุจสายฟ้าฟาด ต้องชั่งใจตรองดูผลได้ผลเสียให้ถ่องแท้ก่อน จึงค่อยปฏิบัติการ ผู้ใดเข้าใจการแปรทางอ้อมให้เป็นทางลัดก็จักชนะ

นี่คือหัวใจของการสัประยุทธ์ทางอินเตอร์เนท

ตำราพิชัยสงครามโบราณ กล่าวว่า “ด้วยว่าเมื่อรบกัน จะสั่งการด้วยวาจาคงไม่ได้ยิน จำต้องตีฆ้องกลอง แลจะใช้สัญญาณมือสั่งการ ก็คงไม่เห็น จำต้องโบกธงแทน ” มา ณ สมัยปัจจุบันจำเป็นต้องใช้อินเตอร์เนท แทนโบกธง จึงมีไว้เพื่อให้กองทัพประชาชนชาวอินเตอร์เนท ปฏิบัติการให้เป็นหนึ่งเดียวกัน

เราต้องทำลายขวัญและกองทัพข้าศึก และสั่นคลอนการตัดสินใจของแม่ทัพฝ่ายข้าศึก กองทัพเมื่อแรกรบจะมีขวัญสู้รบเต็มเปี่ยม แต่พอผ่านไปสักช่วงหนึ่งขวัญสู้รบก็จะค่อย ๆ ลดหย่อนลงเรื่อย ๆ และสุดท้ายจะไม่มีขวัญสู้รบเหลืออยู่ ผู้ช่ำชองการสงครามไซเบอร์ จึงพึงหลีกเลี่ยงข้าศึกที่มีขวัญสู้รบดีเยี่ยม มีงบประมาณเหลือเฟือจากภาษือากรของทวยราษฏร์ มีเครื่องมืออุปกรณ์ทันสมัย มีผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งดุจขุนเขาเหลียงซานที่ด้านหลังทวารเป็นรูกลวง ให้รอจนกว่าข้าศึกจะขวัญตก ฟัดกันเอง แย่งงบกันเอง แย่งตำแหน่งหน้าที่กันเอง จึงค่อยเข้าตี

นี่คือวิธีควบคุมขวัญทหารนักรบไซเบอร์ 

เราจะใช้นักรบไซเบอร์ประชาชนที่มีระเบียบวินัยดี ไปโจมตีข้าศึกที่แตกแถวสับสนอลหม่าน เหมือนเหตุการณ์สัประยุทธ์ที่สี่แยกคอกวัว เราจะใช้นักรบไซเบอร์ประชาชนที่ใจเย็นสุขุมโจมตีข้าศึกที่วู่วามบุ่มบ่ามปัญญาควาย แบบผู้ครองรัฐเทพเทือก แม่ทัพตุ๊ดตู่ และมือตีนดีเอสไอ

นี่คือวิธีคุมจิตใจนักรบไซเบอร์ประชาชน 

เราจะใช้สมรภูมิที่อยู่ใกล้ (ทั้งบ้านเราเอง สำนักงานของเรา ร้านเนททั่วไป แม้ในห้องน้ำ ) รับมือกับข้าศึกที่เดินทางมาไกล ทั้งจากอีสานเหนือใต้ รวมทั้งบูรพาพยัคฆ์ +วงศ์เทวัญ

และเราจะใช้นักรบไซเบอร์ประชาชนที่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่แล้ว รับมือกับข้าศึกที่เหนื่อยล้า ทั้งเราจะใช้นักรบไซเบอร์ประชาชนที่อิ่มท้อง ไปโจมตีข้าศึกที่หิวโหย ที่ไม่ได้รับส่วนแบ่งจากการคอรัปชั่น ฉ้อราษฏรบังหลวง กินบ้านกินเมือง

นี่คือวิธีคุมกำลังรบของกองทัพไซเบอร์ 

เราจะไม่เข้าตีสกัดข้าศึกที่ตั้งขบวนทัพรถถังและปักธงทิวไว้อย่างเป็นระเบียบ เราจะไม่จู่โจมข้าศึกที่ตั้งค่ายอย่างแน่นหนา พร้อมสไนเปอร์ดูน่าเกรงขาม ทั้งที่เป็นอาวุธที่ประชาชนซื้อให้

นี่คือวิธีพลิกแพลงกลยุทธ์

ผู้สันทัดการเข้าตีทางอินเตอร์เนท จักประหนึ่งเคลื่อนตัวอยู่เหนือฟากฟ้า ฉะนั้น จึงสามารถพิทักษ์ตนเอง ให้ได้รับชัยชนะอย่างสมบูรณ์ หยั่งเห็นในชัยชนะมิเกินซึ่งคนทั้งปวงรู้ หาใช่ความยอดเยี่ยมที่แท้ไม่ ฉะนั้น ยกขนนกขึ้นได้ใช่ว่าทรงพลัง เห็นแสงเดือนตะวัน ใช่ว่าตาสว่าง ได้ยินเสียงฟ้าคำรณใช่ว่าโสตไว

ที่โบราณเรียกว่าผู้สันทัดการรบนั้น คือผู้ที่เอาชนะได้ง่าย ฉะนั้น ชัยชนะของผู้สันทัดการรบ จึงมิได้ชื่อว่ามีสติปัญญา มิมีความชอบในเชิงกล้าหาญ ชัยชนะของเขาจึงมีพึงกังขา เหตุที่มิพึงกังขา ก็เพราะปฏิบัติการของเขาจักต้องชนะ จึงชนะผู้ต้องพ่ายแพ้ ฉะนั้น ผู้สันทัดการรบทางอินเตอร์จึงตั้งอยู่ในฐานะไม่แพ้ และไม่สูญเสียโอกาสทำให้ข้าศึกต้องแพ้

เหตุนี้ ฝ่ายชนะรู้ว่าชนะก่อนจึงออกรบ ฝ่ายแพ้รบก่อนแล้วจึงหวังว่าจะชนะ ฉะนั้น ผู้สันทัดการบัญชาทัพ ทางอินเตอร์เนท จักจรรโลงไว้ซึ่งมรรคและกฎระเบียบ จึงสามารถกำหนดชัยชนะและพ่ายแพ้ได้


หลักแห่งการทำศึกทางอินเตอร์เนท มี หนึ่งคือวินิจฉัย สองคือคำนวณ สามคือปริมาณ สี่คือเปรียบเทียบ ห้าคือชัยชนะ พื้นที่ก่อให้เกิดการวินิจฉัย การวินิจฉัยก่อให้เกิดการคำนวณ การคำนวณก่อให้เกิดปริมาณ ปริมาณก่อให้เกิดการเปรียบเทียบ การเปรียบเทียบก่อให้เกิดชัยชนะ

ฉะนั้น กองทัพประชาชนชาวอินเตอร์เนท ที่ชนะจึงประดุจเอาหนึ่งอี้ไปเปรียบกับหนึ่งจู กองทัพของอ้ายมาร์คเผียงแห่งเสี่ยมก๊ก ที่แพ้ จึงประดุจเอาหนึ่งจูไปเปรียบกับหนึ่งอี้ ไพร่พลของฝ่ายประชาชนชาวอินเตอร์เนท จึงเสมือนปล่อยน้ำที่กักในลำธารสูงแปดพันเซียะ ให้ทะลักกระโจนลงมาพังทะลายรัฐสภาและทำเนียบ

นี้คือรูปลักษณ์ของการรบทางอินเตอร์เนท

ยังมีพิชัยสงครามภาค 2 โปรดติดตามน่ะครับ


สิ่งที่ควรระมัดระวัง ขออีกครั้งเดียวก่อนแยกย้ายกันไปปฏิบัติการเพื่อประชาชน


เรื่อง Cyber crime
As an individual
คือ อาชญากรรมทางไซเบอร์



Walware Attack คือโปรแกรมที่เขียนขึ้นมาเพื่อเก็บข้อมูล
Virus code ที่สามารถ Copy ตัวเองและแพร่ไปยังคอมพิวเตอร์เครื่อง อื่นๆ ได้โดยอาศัยพาหะ เช่น USB,Email attachment,CD
Warm : Standalone Malware Program ที่สามารถแพร่กระจายตัวเองได้ผ่านทางระบบเครือข่ายใน 1 วินาที มันสามารถแพร่กระจายได้ถึง 2500 เครื่อง
Trojan horse: โปรแกรมที่บรรจุเข้าไปในคอมพิวเตอร์เพื่อเก็บข้อมูลเป็นหลัก
Bot Zombie: computer ที่ติด Warm หรือ Trojan แล้วและถูกควบคุมให้ทำงานผ่านทาง network
Dos : เป็นการโจมตี ที่มีจุดประสงค์ให้ PC เหยื่อไม่สามารถให้บริการได้โดยการ floods ข้อมูล


การป้องกัน

-ติดตั้ง Anti-virus/Anti-Spy ware และ update อย่างสม่ำเสมอ
-update os Patch/ Service Pack อย่างสม่ำเสมอ เช่น Window update
-Paton software ที่ใช้งานทั้งหมด เช่น Adobe Flash Player Plug-ins
ระมัดระวังในการ Download Software ไม่เปิด E-mail จากคนที่คุณไม่รู้จัก
-Spwware:เป็นโปรแกรมที่บันทึกการกระทำของ User และส่งผ่าน internet ไปยังผู้สร้าง spwware
-Adware: เป็นโปรแกรมที่จะ Download สิ่งโฆษณาอัตโนมัติลงมาที่เครื่อง
-Key logger คือจะบันทึกข้อมูลของผู้ใช้บริการในด้านการซื้อของทางอินเตอร์เน็ตหรือข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญ
การระวังตัว
Download จาก Site ที่เชื่อใจได้สิ่งที่ D/L ผิดกฎหมายหรือไม่ Copy right ลองคิดว่าจะเสี่ยง D/L ข้อมูลนั้น ๆ หรือไม่
Phishing: ใช้เทคนิค Social Engineer เพื่อหลอกลวงทางอินเตอร์เน็ต เพื่อขอข้อมูลที่สำคัญ เช่น รหัสผ่านหรือหมายเลขบัตรเครดิต

พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ 2550
โพสข้อความเท็จ
ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเสียหาย
ส่งผลกระทบต่อความมั่งคงของประเทศ
โทษสูงสุดจำคุก 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000บาท

เห็นสด โต้ ชั้นผิดตรงหนาย

เห็ดสดกรี๊ดใส่ไทยอีนิวส์โผล่พรรคพันธมิตรผิดตรงไหน?





โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
ที่มา กระดานสนทนาประชาทอล์ก
4 เมษายน 2554

คมชัดลึก รายงานว่า นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวชี้แจงอย่างมีอารมณ์กรณีที่มีเวปไชต์ไทยอีนิวส์โพสรูปการตรวจเยี่ยมสำนักงานสาขาพรรคการเมืองใหม่ (ก.ก.ม.) ที่จ.ขอนแก่นเมื่อวันที่ 27 มี.ค. ที่ผ่านมา

และมีการระบุข้อความในเชิงกล่าวอ้างว่าให้ความช่วยเหลือพรรคการเมืองใหม่ในการสนับสนุนการรัฐประหารเพื่อไม่ให้มีการเลือกตั้งว่า ตนไปตรวจเยี่ยมจริงแต่ในวันดังกล่าวไปตรวจเยี่ยมพรรคกาเมือง 2 พรรค

คือพรรคการเมืองใหม่ และพรรคพลังพัฒนา ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าทำไมนำเสนอว่าตนไปตรวจเยี่ยมพรรคการเมืองใหม่เพียงพรรคเดียว และที่ผ่านมาตนก็ไปตรวจเยี่ยมสาขาพรคอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ที่ไปเป็นประจำ เพราะมีสาขาพรรคหลายสาขา รวมทั้งการที่ไปพรรคการเมืองในครั้งนี้ตนก็ไปกับผู้บริหารระดับสูงในกกต. การไปสาขาพรรคการเมืองใหม่นั้นตนไม่ได้ไปเพื่อมีแนวคิดที่จะให้มีการรัฐประหาร และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็เคยโจมตีตนมาตลอดจึงไม่น่าเป็นเรื่องที่จะเอาใจใคร

ทั้งนี้ไทยอีนิวส์ได้นำเสนอภาพข่าวที่นำมาจากกระดานสนทนาประชาทอล์กที่ได้นำเสนอภาพข่าวนางสดศรี เดินทางไปร่วมงานพรรคการเมืองใหม่ สาขา2 จังหวัดขอนแก่นเปิดทำการสาขา และมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมอย่างกว้างขวาง

ทั้งนี้นางสดศรีแสดงทัศนะสอดคล้องกับกลุ่มพันธมิตรฯในช่วงนี้ โดยเธอแสดงความเห็นว่าการเลือกตั้งจะไม่แก้ไขปัญหาประเทศ ให้ทหารทำรัฐประหารอาจดีกว่า ขณะที่เวทีพันธมิตรเรียกร้องให้ทำรัฐประหาร คัดค้านการเลือกตั้ง หากเลือกตั้งก็ให้กา"โหวตโน" แม้พรรคการเมืองใหม่ ที่เป็นสาขาของพันธมิตรประกาศพร้อมสู้ศึกเลือกตั้งก็ตาม

นางสดศรียังบอกว่าจะลาออกเพื่อไปเป็นกรรมการในหน่วยงานอื่น ซึ่งทำให้มีเสียงวิจารณ์ว่าการกระทำของนางเพื่อปูทางไปสู่ความยุ่งยาก หากไม่มีการเบือกตั้ง เช่น การรัฐประหาร หรือการเรียกร้องนายกฯมาตรา 7










ปอกเปลือกเห็ดสด-รายการปอกเปลือกทางโทรทัศน์Spring newsในหัวข้อ"ถ้าหากไม่มีการเลือกตั้ง" บก.ลายจุดและนักวิชาการที่ร่วมรายการได้วิพากษ์วิจารณ์"เห็ดสด"อย่างรุนแรง กรณีจะไม่ทำหน้าที่เป็นกรรมการเลือกตั้ง ทั้งที่เสนอตัวเข้ามาแล้ว เปรียบเทียบกับเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นเข้าไปดับไฟจากกัมมันตรังสีนิวเคลัยร์ ยังเสียสละชีวิตทำหน้าที่แม้รู้ตัวจะตาย แต่เห็ดสดกลับจะหนีหน้าที่

********
เรื่องเกี่ยวเนื่อง มาดูข่าวพวก"คนดี" :กล่าวหา'ลูกสดศรี'ลักทรัพย์เพื่อนนร.กฎหมายที่ญี่ปุ่น
สดุดีวีรชน เทิดศักดิ์ ฟุ้งกลิ่นจันทร์
http://thaienews.blogspot.com/2011/04/blog-post_6295.html

ทีมข่าวไทยอีนิวส์ขอร่วมสดุดีวีรชนเทิดศักดิ์ ฟุ้งกลิ่นจันทร์ ขอร่วมชื่นชมครอบครัวฟุ้งกลิ่นจันทร์แม้ในความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ ยังยืนตระหง่านยึดมั่นประชาธิปไตย

3 เมษายน 2554
ขอบคุณภาพจาก Thailand Mirror



10 เมษายน 2553 นายเทิดศักดิ์ ฟุ่งกลิ่นจันทร์ พร้อมด้วยวีรชนคนเสื้อแดงอีก 18 คนถูกยิงเสียชีววิตที่อนุสาวรีย์ ประชาธิปไตย พร้อมด้วยนักข่าวรอยเตอร์ชาวญี่ปุ่น นายฮิโรยูกิ มูราโมโต้

"นายเทิดศักดิ์ ฟุ้งกลิ่นจันทร์ อายุ 29 ปี อาศัยอยู่ในเขตคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี สาเหตุการเสียชีวิตเนื่องจาก มีบาดเเผลบริเวณทรวงอก ทะลุหัวใจและปอด ผู้เป็นพ่อได้เขียนข้อความไว้อาลัยถึงลูกชายถึงแม้จะรู้ว่าเขาคงไม่ได้อ่าน แล้วก็ตาม แต่ในฐานะพ่อที่ออกมาบอกถึงการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่" มติชน, 12 พฤษภาคม 2553



"เมื่อวันที่ 3 เมษายน กลุ่มคนเสื้อแดงพร้อมด้วยแกนนำเดินทางมาร่วมงานเผาศพ นายเทิดศักดิ์ ฟุ้งกลิ่นจันทร์ ที่เสียชีวิตจากการถูกยิงบริเวณสี่แยกคอกวัว วันที่ 10 เม.ย. 53 ณ เมรุวัดทุ่งสีกัน เขตดอนเมือง" มติชน 3 เมษายน 2554


พร้อมกันนี้ขอร่วมรำลึกถึงวีรชนทั้ง 19 คนที่เสียชีวิตในวันที่ 10 เมษายน 2553


  1. นายสวาท วงงาม อายุ 43 ปี ถูกยิงศีรษะด้านบนข้างขวาทะลุขมับซ้าย
  2. นายธวัฒนะชัย กลัดสุข อายุ 36 ปี ถูกยิงอกซ้ายทะลุหลัง
  3. นายทศชัย เมฆงามฟ้า อายุ 44 ปี ถูกยิงอกซ้ายทะลุหลัง
  4. นายจรูญ ฉายแม้น อายุ 46 ปี ถูกยิงอกขวากระสุนฝังใน
  5. นายวสันต์ ภู่ทอง อายุ 39 ปี ถูกยิงศีรษะด้านหลังทะลุด้านหน้า
  6. นายสยาม วัฒนนุกุล อายุ 53 ปี ถูกยิงอกทะลุหลัง
  7. นายมนต์ชัย แซ่จอง อายุ 54 ปี ระบบหายใจล้มเหลวจากโรคถุงลมโป่งพอง เสียชีวิตที่ ร.พ.
  8. นายอำพน ตติยรัตน์ อายุ 26 ปี ถูกยิงศีรษะด้านหลังทะลุด้านหน้า
  9. นายยุทธนา ทองเจริญพูลพร อายุ 23 ปี ถูกยิงศีรษะด้านหลังทะลุด้านหน้า
  10. นายไพรศล ทิพย์ลม อายุ 37 ปี ถูกยิงศีรษะด้านหน้าทะลุท้ายทอย เสียชีวิตที่ ร.พ.
  11. นายเกรียงไกร ทาน้อย อายุ 24 ปี ถูกยิงสะโพก กระสุนฝังในช่องท้อง เสียชีวิตที่ ร.พ.
  12. นายคะนึง ฉัตรเท อายุ 50 ปี ถูกยิงอกขวา กระสุนฝังใน
  13. นายสมิง แตงเพชร อายุ 49 ปี ถูกยิงศีรษะ
  14. นายสมศักดิ์ แก้วสาน อายุ 34 ปี ถูกยิงหลังทะลุอกซ้าย
  15. นายบุญธรรม ทองผุย อายุ 40 ปี ถูกยิงหน้าผากซ้ายทะลุศีรษะด้านหลังส่วนบน
  16. นายเทิดศักดิ์ ฟุ้งกลิ่นจันทร์ อายุ 29 ปี แผลที่หน้าอกซ้าย
  17. นายมานะ อาจราญ อายุ 23 ปี ถูกยิงศีรษะด้านหลังทะลุด้านหน้า
  18. นายอนันต์ สิริกุลวานณิชย์ อายุ 54 ปี ถูกยิงเสียชีวิต
  19. ชายไม่ทราบชื่อ อายุ 40-50 ปี บาดแผลเข้าสะโพกขวาตัดเส้นเลือดแดงใหญ่ที่ขาหนีบ เสียชีวิตที่ ร.พ.
ทหารเสียชีวิต 6 คน
  1. พลทหารภูริวัฒน์ ประพันธ์ อายุ 25 ปี แผลเปิดกะโหลกท้ายทอย
  2. พลทหารอนุพงษ์ เมืองราพัน อายุ 21 ปี ทรวงอกฟกช้ำ น่อง 2 ข้างฉีกขาด
  3. นายนภพล เผ่าพนัส อายุ 30 ปี ถูกยิงที่ท้อง เสียชีวิตที่ ร.พ
  4. พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม อายุ 43 ปี ท้ายทอยขวาฉีกขาด น่อง 2 ข้างฉีกขาด เสียชีวิตที่ ร.พ.
  5. พลทหารสิงหา อ่อนทรง อกซ้าย และด้านหน้าต้นขาซ้ายฉีกขาด
  6. พลทหารอนุพงศ์ หอมมาลี อายุ 22 ปี ถูกสะเก็ดระเบิดที่ศีรษะ เสียชีวิตที่ ร.พ.

ขอรำลึกถึง ​ Mr.Hiroyuki Muramoto อายุ 43 ปี นักข่าวรอยเตอร์ที่เสียชีวิตจากการถูกยิงที่หน้าอก ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นไม่ทอดทิ้งเขาและพยายามติดตามความคืบหน้าการสอบสวนสาเหตุการเสียชีวิตของคุณฮิโรยูกิอย่างใกล้ชิด
วิกิลีกส์เปิดโปงการแทรกแซงของสหรัฐฯ ต่อกระบวนการสันติภาพที่เนปาล
http://thaienews.blogspot.com/2011/04/blog-post_05.html

นักกิจกรรมเหมาอิสต์

Nepal: WikiLeaks reveals US intervention against peace process
โดย Alistair Reith
ทีมา Green Left
ถอดความโดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
4 เมษายน 2554




วิกิลิกส์ได้เผยแพร่เคเบิลลับของวงการฑูตสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 15 มีนาคม แสดงให้เห็นว่าอดีตฑูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศเนปาล เจมส์ มอริอาตี้(James Moriarty) ได้พยายามทุกช่องทางที่จะขัดขวางไม่ให้กระบวนการสันติภาพเนปาลสามารถเดิน หน้าสู่ความสำเร็จได้ เพื่อกีดกั้นกลุ่มเหมาอิสต์ไม่ให้ขึ้นสู่อำนาจ
กองทัพปลดแอกประชาชนที่นำโดยกลุ่มเหมาอิสต์ได้นำการต่อสู้ “สงครามประชาชน” ที่ยาวนานต่อเนื่องนับทศวรรษ เพื่อต่อต้านระบอบศักดินากษัตริย์ที่ปกครองเนปาลมาหลายร้อยปี การลุกขึ้นสู้ของประชาชนทั้งประเทศในปี 2549 สามารถโค่นสถาบันพระมหากษัตริย์ลงได้สำเร็จ และเปิดเส้นทางสู่การเลือกตั้งตัวแทนเข้าไปนั่งในสภาได้สำเร็จในปี 2551


กลุ่มเหมาอิสต์ชนะการเลือกตั้งและมีีที่นั่งมากที่สุดในสภา หลังจากที่รัฐบาลนำโดยพรรคคอมมิวนิสต์เหมาอิสต์เนปาล (UCPN-M) ถูกรัฐประหารที่นำโดยนายทหารระดับสูงในปี 2552 กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญก็ถูกบล๊อคไปด้วย

กระบวนการสันติภาพได้ริเริ่มขึ้นเป็นหนึ่งในกระบวนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบประชาธิปไตย แต่มันก็ถูกก่อกวนจากชนชั้นสูง โดยเฉพาะนายทหารระดับสูงรอยัลลิสต์ของกองทัพเนปาล

เคเบิลได้เผยตัวตนมอริอาตี้ผู้ขมขื่น ที่พยายามอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูที่จะโน้มน้าวให้คนเชื่อว่า กระบวนการสันติภาพที่ลงนามโดยเหมาอิสต์ในปี 2549 นั้น เป็นเพียงแผนการณ์เพื่อที่จะช่วยให้พวกเหมาอิสต์สามารถขยายแนวคิดและวาระแห่งการปฏิวัติเท่านั้นเอง เคเบิลเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของท่านฑูตที่จะบล๊อคกระบวนการสันติภาพนี้

เคเบิลหลักชิ้นหนึ่งระบุวันที่ 22 กันยายน 2549 สถาบันพระมหากษัตริย์เพิ่งถูกโค่นโดยการลุกขึ้นสู้ของมวลชนจำนวนมหาศาล ซึ่งกองทัพปลดแอกประชาชนเหมาอิสต์ได้ร่วมมือกับพรรคการเมืองกระแสหลักและ พรรคอนุรักษ์นิยมโค่นล้มพระมหากษัตริย์ที่่เผด็จการจนสำเร็จ

ในข้อตกลงซึ่งถูกทำให้หยุดชะงักไป กลุ่มเหมาอิสต์และพรรคการเมืองเหล่านี้ เห็นพ้องต้องกันที่จะจัดให้มีการเลืิอกตั้งและเปิดสมัยสภาโดยทันทีเพื่อพิจารณาวาระหลักเพื่อการเปลี่ยนผ่านเนปาลอย่างขนานใหญ่ กลุ่มเหมาอิสต์ยุติการต่อสู้้ด้วยอาวุธ และเซ็นข้อตกลงสันติภาพในเดือนพฤศจิกายน 2549

กองทัพปลดแอกประชาชนเนปาลประกาศหยุดยิง และพรรคการเมืองแนวอนุรักษ์นิยมกว่ากลุ่มอื่นๆ ตกลงร่วมกันที่จะเริ่มปฎิรูปสังคมเนปาล

ในช่วงเวลาที่เคเบิลนี้เขียนขึ้นมา มันเป็นช่วงภาวะสูญญากาศทางการเมือง กษัตริย์เนปาลพ่ายแพ้บนท้องถนน และกองทัพเหมาอิสต์สามารถเดินบนท้องถนนกลางกรุงกาฎมัณฑุเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษ กระนั้นก็ตาม มันก็ใช้เวลาอีกร่วมหนึ่งปีไปเพื่อการเจรจาระหว่างกันจนได้ข้อยุติเรื่องรัฐบาลรักษาการ โดยมีตัวแทนเหมาอิสต์อยู่ในคณะรัฐบาลรักษาการด้วย



ยามนี้มันได้เปิดเผยให้เห็น อย่างน้อยก็ในบางด้าน ว่าเพราะเหตุใดกระบวนการเหล่านี้จึงใช้เวลานานนัก เพราะจักรวรรดิอเมริกาได้แทรกแซงกระบวนการทางการเมืองของเนปาล เพื่อพยายามที่จะป้องกันไม่ได้กลุ่มเหมาอิสต์ ซึ่งเป็นกลุ่มการเมืองที่มีมวลชนสนับสนุนมากที่สุดในเนปาล เข้ามาอยู่ร่วมในคณะรัฐบาล

ในเคเบิล มอริอาตี้เขียนว่า “ มันดูเหมือนว่าเวลาแห่งการเผชิญหน้าในเนปาลกำลังย่างกรายเข้ามา . . . เหมาอิสต์จัดตั้งอย่างหนักและจัดการเดินขบวนครั้งใหญ่หลายครั้งตลอดเดือน ตุลาคมที่ผ่านมา . . . ถ้ารัฐบาลยังคงปฏิเสธที่จะยอมทำตามข้อเสนอของพวกเขา กลุ่มเหมาอิสต์ ตามแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้หลายแหล่ง ดูเหมือนว่าจะมีความพร้อมที่จะเคลื่อนเข้ามายังเมืองหลวงในเดือนพฤศจิกายน เพื่อใช้มาตรการรุนแรงในเมืองหลวง โดยใช้ภาพการเดินขบวนเป็นเครื่องบังหน้า” เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เกรงกลัวว่า “เส้นทางสู่อำนาจของ” เหมาอิสต์ จะเพิ่มมากขึ้นหลังจากโค่นพระมหากษัตริย์ลงได้แล้ว

ในช่วง 5 ปี นับตั้งแต่เคเบิลเหล่านี้ได้เขียนขึ้นมา พรรคคอมมิวนิสต์เหมาอิสต์เนปาล ยังคงยึดมั่นในกระบวนการสันติภาพ ยังคงริเริ่มและผลักดันแนวทางเพื่อการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ๋ และการร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน โดยยึดมั่นในแนวทางการประท้วงอย่างสันติวิธี

กระบวนการสันติภาพยังคงอยู่ในสภาวะชะงักงัน การสร้างการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างบูรณาการถูกขัดขวางจากพรรคร่วมรัฐบาล เคเบิลระบุว่า เมื่อต้องเผชิญกับบล๊อคเหล่านี้ กลุ่มเหมาอิสต์ขู่ว่าจะออกไปถอนตัวออกไปจากกระบวนการเจรจา และหันกลับไปใช้มาตราการกดดันข้อเรียกร้องด้วยพลังมวลชน

ในเคเบิลเดือนกันยายน 2549 มาริอาตี้กล่าวว่า ข่าวดี คือ กลุ่มเหมาอิสต์ข่มขู่เรื่องเหล่านี้้เพื่อเป็นการบลั๊ฟทางการเมืองเท่านั้น จริงๆแล้วเหมาอิสต์มีมวลชนค่อนข้างน้อย และก็ไม่มีทางที่จะเอาชนะกองทัพของรัฐบาลได้ถัาจะต้องสู้รบกันอย่างซึ่งๆ หน้า”

นี่คือคำกล่าวที่น่าขบขันยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อมองย้อนไปในช่วงเวลานั้น เมื่อการเลือกตั้งได้จัดขึ้น สื่อกระแสหลักและรับบาลจากประเทศต่างๆ พากันให้ข่าวกันอย่างต่อเนื่องว่า เหมาอิสต์มีผู้สนับสนุนไม่มากนัก และมีการประมาณการว่าเหมาอิสต์จะได้รับเลือกเข้ามาโดยทิ้งช่วงห่างมากเป็น ลำดับที่สาม แต่ผลปรากฎว่า เหมาอิสต์พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นพรรคการเมืองที่ได้รับความนิยมสูงสุดใน ประเทศ

ในเคเบิลที่จ่าหัวว่า “เราจำต้องทำอะไรบ้าง” มอริอาตี้ร่างยุทธศาสตร์ให้กับสหรัฐฯ เพื่อป้องกันไม่ให้การปฏิวัติของกลุ่มเหมาอิสต์ประสบความสำเร็จ

มอริอาตี้ประกาศว่า เราจำเป็นจะต้องเพิ่มความความเป็นไปได้ที่่บรรดาผู้นำที่นี่จะเลือกตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้อง ผมได้เข้าพบปะหารือกับนายกรัฐมนตรีอย่างสม่ำเสมอ ได้ขอร้องให้นายกรัฐมนตรี (จนถึงบัดนี้ ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ) สั่งการให้้กองกำลังตำรวจปฏิบัติหน้าที่ของผู้รักษากฎหมาย และยังได้สั่งการและกำกับให้ท่านนายกปฏิบัติตามคำขอร้องในระดับต่ำสุดคือ ไม่ให้กลุ่มกองกำลังติดอาวุธเหมาอิสต์ย่างเท้าเข้ามาอยู่ในรัฐบาลได้ (เท่าที่ปรากฎ ข้อเรียกร้องนี้ประสบความสำเร็จกว่าข้อแรก)

“พวกเรายังได้ผลักดันให้พรรคการเมืองหลักพรรคอื่น . . . ให้การสนับสนุนนายกรัฐมนตรี ในการจัดการกับกองกำลังติดอาวุธ และกดดันให้นายกรัฐมนตรี สั่งการให้ตำรวจใช้กำลังจัดการกับกลุ่มเหมาอิสต์ ผมยังได้จุดประเด็นเหล่านี้โดยการไปเยี่ยมเยียนค่ายทหารหลายค่าย . . . และได้กล่าวประนามการใช้ความรุนแรงของกลุ่มเหมาอิสต์อย่างเปิดเผย “รัฐมนตรีฝ่ายซ้ายได้พากันเรียกร้องให้ขับผมออกจากประเทศ แต่อย่างน้อยประชาชนบางคนที่นี่ เริ่มพูดคุยกันถึงเรื่องการใช้ความรุนแรงของกลุ่มเหมาอิสต์บ้างแล้ว“

เคเบิลนี้พิสูจน์ว่าทูดสหรัฐฯ ไม่เพียงแต่ผลักดันให้กลุ่มเหมาอิสต์หลุดไปจากเป็นรัฐบาล แต่ยังเรียกร้องให้กำลังตำรวจปราบปรามขบวนการเหมาอิสต์อีกด้วย

มันเป็นการแทรกแซงการเมืองภายในของเนปาลอย่างอย่างหยาบคาย และน่ารังเกียจอย่างที่สุด - โดยเฉพาะมันชัดเจนว่า มีเป้าประสงค์เพื่อปิดกั้นพลังประชาชนและข้อเรียกร้องอันยุติธรรมของพวกเขา

หลังฉาก สหรัฐฯ ได้ต่อต้านกระบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่ระบอบประชาธิปไตยในเนปาล - และสนับสนุนกลุ่มพลังทางการเมืองที่สามารถดำรงอำนาจกดขี่ประชาชนของพระมหากษัตริย์ให้อยู่ต่อไป


สังคมชาวเนปาลต่างก็ชิงชังพวกตำรวจ ที่คอรัปชั่นกันทั้งระบบ ที่ใช้มาตราการทั้งการทรมาน ข่มขืนและลอบสังหารประชาชน

ในประเทศที่รัฐบาลเผิกเฉยต่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชนในชนบทอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้ บ่อยทีเดียวที่สถานีตำรวจท้องถิ่น คือสำนักงานของรัฐฯ ที่มีเพียงแห่งเดียวในพื้นที่นั้น ไม่มีทั้งโรงพยาบาลหรือโรงเรียน มีเพียงพวกนักเลงหัวไม้ที่คอรัปชั่น และให้ความคุ้มครองเจ้าที่ดินและนายทุนเงินกู้เท่านั้น

ในช่วงสงครามประชาชนในทศวรรษที่ 2533 สิ่งแรกที่ขบวนการชาวนาที่ลุกขึ้นสู้กระทำคือ การโจมตีและทำลายโรงพักต่างๆ

พอถึงช่วงต้นทศวรรษ 2543 ตำรวจต่างก็ถูกขับให้ออกไปพ้นพื้นที่หมู่บ้านต่างๆ ในชนบททั่วเนปาล การเรียกร้องให้ตำรวจเคลื่อนกำลังเข้าโจมตีพื้นที่ของเหมาอิสต์ หมายถึงการเรียกร้องให้รัฐบาลดำรงไว้ซึ่งความโหดร้ายที่กระทำต่อประชาชนในช่วงแห่งสงครามปลดแอก

มอริอาตี้ยังคงได้เรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ เตรียมส่งอาวุธล๊อตใหญ่มาที่เนปาล

ตลอดช่วงระยะเวลาแห่งสงครามประชาชน สหรัฐฯและชาติตะวันตกได้บริจาคอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับกองทัพแห่งพระมหากษัตริย์เนปาล แม้ว่าจะมีข่าวเกี่ยวกับความโหดร้ายที่พวกเขากระทำต่อประชาชนเผยแพร่ออกไปแล้วก็ตาม

มันแสดงให้เห็นว่า เพราะเหตุใด สหรัฐฯ มาสู่ข้อสรุปอย่างรวดเร็วในการมองทัพเนปาลในฐานะเครืองมือที่สหรัฐฯ วางใจมากที่สุด และเป็นพันธมิตรเพื่อร่วมกันกำจัดขบวนการปลดแอกประชาชน

มอริอาตี้เขียน “พวก เราจำเป็นจะต้องเตรียมรับมือในความเป็นไปได้ที่เหมาอิสต์จะกลับไปใช้ความรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง ในเดือนพฤศจิกายน ประเด็นสำคัญคือการประนามการใช้ความรุนแรงของกลุ่มเหมาอิสต์อย่างรวดเร็วที่สุด ในขณะเดียวกันก็จัดการส่งอาวุธ 4,500 กระบอกหรือมากกว่านั้นที่มีในคลังอาวุธมาให้กับกองทัพเนปาลมาโดยทันที
“อาวุธเหล่่านั้นจะส่งผลสะเทือนทางเทคนิคในทันที แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ มันจะช่วยอุ้มรัฐบาลที่อยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างมหาศาลให้ต้องยอมแพ้ในอยู่ต่อไปได้”

ถ้ามีกองกำลังต่อต้านความรุนแรงที่พร้อมรับคำสั่ง สหรัฐฯ ก็มีความพร้อมที่จะให้อาวุธปืนกับพวกเขาตามที่ต้องการเพื่อใช้ในการบดขยี้ประชาชนของตัวเองที่ลุกขึ้นมาต่อสู้

เมื่อกระบวนการสันติภาพกำลังดำเนินไปด้วยดี สถานฑูตสหรัฐฯ ได้ทุกทุกวิถีทางในอำนาจที่มี เพื่อจะทำลายกระบวนการสันติภาพ และแสวงหาหนทางที่จะบดขยี้กลุ่มเหมาอิสต์และมวลชนของพวกเขา - แม้แต่ว่าจะต้องจ่ายด้วยราคาแห่งการจุดไฟสงครามประชาชนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งก็ตาม

ถ้ากระบวนการสันติภาพเนปาลล้มเหลวและมีการปะทะระหว่างมวลชนเกิดขึ้นจริงๆ ในอนาคต ความผิดจะไม่ได้เกิดจากกลุ่มเหมาอิสต์ พวกเขาได้แสดงให้เห็นถึงความอดทนอดกั้นอย่างถึงที่สุด ที่จะปรานีปรานอมกับกระบวนการสันติภาพ พวกเขาได้เสียสละอย่างมากแล้ว

พวกเรารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า สหรัฐฯ พยายามจะทำให้กระบวนสันติภาพต้องหยุดชะงัก

เคเบิลเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นถึงบทบาทของอินเดียในเนปาลด้วยเช่นกัน เนปาลโดยพฤตินัยเป็นอาณานิคมของอินเดียมานานมาก ทั้งนักการเมือง ระบบเศรษฐกิจ และกองทัพของเนปาล รวมทั้งในอีกหลายแง่มุมของวีถีสังคมล้วนอยู่ภายใต้การครอบงำของอินเดีย

หนึ่งข้อเรียกร้องสำคัญของบวนการเหมาอิสต์คือการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมนี้ และเริ่มจัดรูปแบบความสันพันธ์ระหว่างสองประเทศขึ้นมาใหม่ บนพื้นฐานแห่งการเคารพในความเท่าเทียม เคารพอธิปไตยและอำนาจในการตัดสินอนาคตของตัวเองของชาวเนปาล

เหมาอิสต์ได้กล่าวหาอินเดียที่เข้ามาแทรกแซงกระบวนการทางการเมืองของเนปาลมานานแล้ว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในความพยายามที่จะบิดเบื้อนความหมายที่แท้จริงของการต่อสู้ของพวกเขาและรวมทั้งมุ่งทำลายขบวนการเหมาอิสต์

มันคือความลับที่รับรู้กันอย่างกว้างขวาง แต่ยามนี้มันมีหลักฐานสำคัญที่ชี้ชัด

ในเคเบิลของมอริอาตี้ของเดือนกันยายน 2549 เขาได้เปิดเผยให้เห็นถึงบทบาทของฑูตอินเดียในความพยายามบล๊อครัฐบาลรักษาการที่มีกลุ่มเหมาอิสต์รวมอยู่ด้วย และในการผลักดันให้ตำรวจใช้ความรุนแรงเหมือนที่เคยทำ

เขากล่าว “ผมได้ประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรอินเดียที่นี่ และในนามส่วนตัว เขาได้กดดันข้อเสนอเดียวกับผม “คือตำรวจจำเป็นจะต้องทำหน้าที่ผู้พิทักษ์กฎหมาย และรัฐบาลเนปาลไม่ควรปล่อยให้กองกำลังเหมาอิสต์เข้ามานั่งอยู่ในรัฐบาลรักษาการ”

มอริอาตี้จบเคเบิลเขาด้วยการเขียน “ชัยชนะของเหมาอิสต์จะช่วยสร้างขวัญกำลังใจให้กับกองกำลังฝ่ายซ้ายทั้งหลายและเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพของทั้งภูมิภาค ดังนั้นจึงจำเป็นที่พวกเราจะต้องทำทุกวิถีทางที่สามารถทำได้เพื่อป้องกันผลที่จะเกิดตามมา”

ชัยชนะของเหมาอิสต์จะนำสิ่งเหล่านี้มาแน่นอนและมากกว่านี้อีก

ในยุคสมัยแห่งวิกฤติทุนนิยมเช่นนี้ คุณภาพของวิถีชีวิตลดต่ำลง สินค้าขึ้นราคา สงครามจักรวรรดินิยมและความพยายามควบคุมขบวนการปลดแอกประชาชนที่ปะทุขึ้น ทั่วโลก การที่เนปาลได้รับอิสระภาพ และเคลื่อนเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างขนานใหญ่ จะกลายเป็นดังเช่นแสงไฟแห่งความหวังในท่ามกลางความมืดมิด

และแล้ว ในปี 2554 ในยามที่ประชาชนยึดครองถนนทั่วทั้งอาฟริกาและตะวันออกกลาง ในทันทีทันใดนั้น คำว่า “ปฏิวัติ” ไม่ได้ดูเป็นคำที่ล้าสมัยหรือว่าเปล่งออกมาจากการยึดมั่นอุดมการณ์เท่านั้น แต่มันเป็นปรากฎการณ์ร่วมสมัย ที่เติบโตอย่างมั่นคง ทันท่วงที และมันคือความจริง ชัยชนะของเหมาอิสต์ในเนปาล ได้ส่งกระแสคลื่นที่ซ๊อคทั้งสังคมโลกและมัน “เป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพ” อย่างแท้จริงต่อเผด็จการทั้งหลาย ไม่ใช่เฉพาะในอาฟริกาเท่านั้น

ไม่ว่าสถานฑูตสหรัฐฯ จะพยายามจะแค่ไหนก็ตามที่จะเปลี่ยนแปลงความจริงเรื่องนี้ ก็ไม่สามารถจะทำได้สำเร็จอีกต่อไป