วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ตร.แจ้งข้อหา ม.116 บวก พ.ร.บ.คอมฯ หญิงวัย 61 โพสต์เฟซบุ๊กปมราชภักดิ์


30 พ.ย. 2558 สำนักข่าวไทย รายงานว่า พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รักษาราชแทนผู้บัญชาการตำรวจนครบาล แถลงจับกุม จุฑาทิพย์ หรือ เจนนี่ เวโรจนากรณ์ อายุ 61 ปี หลังโพสต์ข้อความหมิ่นประมาท อันเป็นเท็จ เกี่ยวกับการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทำให้เกิดความเสียหาย และก่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน
โดย มติชนออนไลน์ ระบุว่า จุฑาทิพย์ เดินทางมามอบตัวกับพนักงานสอบสวน หลังตำรวจปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ปอท. ตรวจสอบได้จากเฟซบุ๊กส่วนตัวของ จุฑาทิพย์ โดยใช้ชื่อว่า "เจนี่เจนี่" (ซึ่งเว็บสวพ.FM91 ระบุว่าชื่อ "Jeny Jeny verochanakorn") ว่ามีการนำข้อความเท็จเกี่ยวกับการทุจริตการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวไม่ตรงกับความเป็นจริงและมีการกล่าวหาในลักษณะหมิ่นประมาทบุคคลอื่นมาเผยแพร่
จุฑาทิพย์ ยอมรับเป็นผู้โพสต์ข้อความดังกล่าวจริง ลงในเฟสบุ๊คส่วนตัวเมื่อวันที่ 24 พ.ย. ที่ผ่านมา โดยได้รับข้อความเหล่านี้มาจากบุคคลอื่น และไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลก่อนว่าเป็นจริงหรือไม่ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยโพสต์ข้อความในลักษณะกล่าวหาการทำงานของรัฐบาลชุดนี้มาแล้ว เนื่องจากเกิดความไม่พอใจในการบริหารงานของรัฐบาลที่ทำให้ธุรกิจส่วนตัวของตนเองชะงักตัวลง และไม่รู้ว่าผิดกฎหมาย
"เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พระโขนง ได้แจ้งข้อหา ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 (2) ที่ระบุความผิดฐานกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันไม่ใช่การกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือไม่ใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร และความผิด พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (2) (4) ที่ระบุว่าความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย ต่อความมั่นคงของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน และเผยแพร่หรือส่งต่อ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ" พล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวประชาไท รายงานเพิ่มเติมด้วยว่าจากการสืบค้นเฟซบุ๊กบัญชีชื่อ 'Jeny Jeny verochanakorn' ขณะนี้ไม่สามารถเข้าถึงได้

ปล่อย ‘จตุพร-ณัฐวุฒิ’ ถึงบ้านแล้ว แต่ยังมีรถทหารเฝ้าอยู่


1 ธ.ค. 2558 จากกรณี จตุพร พรหมพันธุ์ และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ถูกเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัว กลางตลาดมหาชัย จ.สมุทรสาคร ท่ามกลางสื่อมวลชนที่รอทำข่าว และประชาชน ระหว่างแถลงข่าวก่อนเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์ เมื่อช่วงสายของวานนี้ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)
ล่าสุดเมื่อเวลา 22.24 น.(30 พ.ย.58) เฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘Jatuporn Prompan - จตุพร พรหมพันธุ์’ ได้โพสต์ภาพพร้อข้อความว่า “ถึงบ้านโดยปลอดภัย ขอขอบคุณทุกความห่วงใยของพี่น้องครับ”
ขณะที่ ณัฐวุฒิ โพสต์ภาพและข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ’ เมื่อเวลา 0.07 น. ของวันนี้(1 ธ.ค.58) ว่า “ขอบคุณทุกท่านที่เป็นห่วงครับ ผมกลับถึงบ้านตอน 3 ทุ่ม 40 ปลอดภัยดี แต่มีรถทหารและรถปิคอัพตามมาจอดสตาร์ทเครื่องอยู่หน้าบ้านทันทีที่มาถึง คงจอดทั้งคืน ตกลงปล่อยผมหรือยังครับ”
เช่นเดียวกับ ธนาวุฒิ วิชัยดิษฐ แกนนำ นปช. ซึ่งมีรายงานข่าวว่าถูกควบคุมตัวด้วยนั้น โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจด้วยว่าตนเองและคนอื่นๆ ปลอดภัยแล้ว
ก่อนหน้านี้เมื่อเวลา 18.21 น. (30 พ.ย.58) กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ รายงานว่า กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.)กองบัญชาการกองทัพบก ว่า ภายหลังจากที่เจ้าหน้าที่ทหารมณฑลทหารบกที่ 16 จ.ราชบุรี ได้นำกำลังเข้าควบคุมตัวนายจตุพร พรหมพันธ์ และนายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ ที่มหาชัยเมืองใหม่เพื่อเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยได้นำตัวทั้งสองคนไปทำข้อตกลงและหารือ ที่กองพลทหารราบที่ 9 จ.กาญจนบุรี
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ทหารได้แจงถึงข้อตกลงตามคำสั่งคสช.ที่เคยทำข้อตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะการห้ามเคลื่อนไหวใดๆที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคง เพราะจะมีความผิดตามมาตรา 44 ดังนั้นจึงต้องทำข้อตกลงเพิ่มเติมและให้บันทึกทำความเข้าใจด้วยเพื่อเตือนความจำ                 
"เรื่องนี้พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ.ในฐานะผบ.กกล.รส. มีความเห็นว่าจะต้องทำบันทึกความเข้าใจ เพราะที่ผ่านมาอาจจะไม่มีการทำบันทึกเอาไว้ แค่เรียกมาปรับทัศคติหลายครั้งแล้วก็ปล่อยตัวกลับไป หลังจากรับปากว่าจะไม่เคลื่อนไหวอีก แต่ครั้งนี้ต้องทำบันทึกเพื่อจะได้เป็นการเตือนสติ ไม่ให้สร้างความวุ่นวายหรือเคลื่อนไหวใดๆอีกรวมถึงให้ตรวจสุขภาพ ทั้งสองคนก่อนจะปล่อยตัวในค่ำวันนี้(30พ.ย.)เพราะไม่เช่นนั้นเดี๋ยวจะไปอ้างว่าถูกทหารทำร้ายร่างกายดังนั้นจึงต้องทำให้รอบคอบป้องกันการฟ้องร้อง”แหล่งข่าวจาก กกล.รส. ของกรุงเทพธุรกิจออนไลน์ระบุ
สำนักข่าวไทย รายงานด้วยว่า พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรียุติธรรม ในฐานะหัวหน้า คสช.ฝ่ายกฎหมาย ระบุว่า การควบคุมตัวทั้งณัฐวุฒิ และจุตพร เป็นเรื่องที่สอดรับกับกฎหมายด้านความมั่นคง ทั้งกฎอัยการศึก มาตรา 44 ของคสช.
 
ทั้งนี้มีรายงานว่า หลังจากทหารมณฑลทหารบกที่ 16 เข้าคุมตัวณัฐวุฒิ และจตุพร ได้ให้ทั้งคู่ลงนามในบันทึกความเข้าใจ หรือ MOU ว่าจะไม่ฝ่าฝืนคำสั่งคสช.อีก โดยมีนายทหารฝ่ายกฎหมายของ คสช.ร่วมเป็นพยานด้วย เจ้าหน้าที่บอกว่าจะมีการปล่อยตัวทั้งสองคน ในวันนี้อย่างแน่นอน

พล.อ.อุดมเดชยันไม่ลาออก อภิสิทธิ์จี้ฝ่ายการเมืองที่ถูกโยงปมราชภักดิ์ลาออก


1 ธ.ค. 2558 พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดใจด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ยืนยันจะไม่ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี พร้อมกล่าวด้วยว่า การตรวจสอบโครงการอุทยานราชภักดิ์ให้คณะกรรมการดำเนินการตรวจสอบ ซึ่งการทำงานที่ผ่านมา ตั้งแต่เริ่มโครงการในขณะที่ตนดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก มีความตั้งใจดี และมีความโปร่งใสของโครงการ ซึ่งหลังจากเกษียณอายุราชการตนก็ไม่ได้นำเอกสารใดๆ เกี่ยวกับโครงการออกมา
“เชื่อมั่นในความบริสุทธิ์กับการทำงาน ซึ่งโครงการดังกล่าวมีขึ้นมาเพื่อให้ประชาชนคนไทย และต่างประเทศ มีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจทำให้เป็นสมบัติของชาติ รำลึกสิ่ง ที่มีพระคุณของชาติอย่างใหญ่หลวง ไม่เคยคิดหวังเอาประโยชน์อะไรกับสิ่งเหล่านี้ ดำเนินการมาด้วยความตั้งใจและโปร่งใส ทำให้เรียบร้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นวันนี้หากมีคนไม่เข้าใจหรือเขาไม่ปราถนาดีอย่างไรก็แล้วแต่ ส่วนจะมีการเมืองหรือไม่ทุกคนคิดได้” พล.อ.อุดมเดช กล่าว
อภิสิทธิ์ จี้ฝ่ายการเมืองที่ถูกโยงทุจริตราชภักดิ์ลาออก
ด้าน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องฝ่ายที่เกี่ยวข้อง กรณีมีความเคลือบแคลงสงสัยในความโปร่งใสโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์  โดยเฉพาะฝ่ายการเมือง คือ บรรดาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ต้องทำให้ประชาชนมั่นใจในมาตรฐานทางการเมือง ด้วยการลาออก เพื่อเป็นการสร้างบรรยากาศทางการเมืองให้เป็นที่ยอมรับ และเดินหน้าต่อไปได้ ช่วยทำให้สังคมมีข้อยุติระดับหนึ่ง แต่จะต้องมีการสอบสวนหาผู้กระทำผิดต่อ
“หากปล่อยให้ยืดเยื้อ จะลุกลาม บั่นทอนความเชื่อมั่นใจตัวรัฐบาล ผมเห็นว่า ความรับผิดชอบทางการเมือง ต้องสูงกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย  การตัดสินใจลาออก ไม่ได้เป็นการแสดงว่าผิดหรือถูก เพราะผิดหรือถูกจะต้องถูกชี้โดยกรรมการ และหน่วยงานที่ตรวจสอบเรื่องนี้” อภิสิทธิ์ กล่าว

จตุพร ชี้ปมราชภักดิ์ ตั้งลูกน้องสอบนาย ใครจะกล้าตรวจสอบ


ปมราชภักดิ์ ‘จตุพร’ ชี้ไม่มีที่ไหนให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปตรวจสอบผู้บังคับบัญชาตัวเองที่เป็นรัฐมนตรี ใครจะกล้าตรวจสอบ ‘ณัฐวุฒิ’ เผยทหารมาเฝ้าหน้าบ้านอ้างทำตามหน้าที่ สวนการตรวจสอบทุจริตก็เป็นหน้าที่ ปชช. เช่นกัน
จากเมื่อช่วงสายของวานนี้ (30 พ.ย.58) จตุพร พรหมพันธุ์ และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ถูกเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัว กลางตลาดมหาชัย จ.สมุทรสาคร ท่ามกลางสื่อมวลชนที่รอทำข่าว และประชาชน ระหว่างแถลงข่าวก่อนเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม) ล่าทั้งคู่ถูกปล่อยตัวจนกลับถึงบ้าน ในคืนวันเดียวกัน โดย ณัฐวุฒิ โพสต์ภาพและข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ’ เมื่อเวลา 0.07 น. ของวันนี้(1 ธ.ค.58) ว่า “ขอบคุณทุกท่านที่เป็นห่วงครับ ผมกลับถึงบ้านตอน 3 ทุ่ม 40 ปลอดภัยดี แต่มีรถทหารและรถปิคอัพตามมาจอดสตาร์ทเครื่องอยู่หน้าบ้านทันทีที่มาถึง คงจอดทั้งคืน ตกลงปล่อยผมหรือยังครับ”
ณัฐวุฒิ เผยทหารเฝ้าบ้านอ้างทำตามหน้าที่ สวนตรวจสอบทุจริตก็เป็นหน้าที่ ปชช. เช่นกัน
เมื่อเวลา 13.21 น. วันนี้(1 ธ.ค.58) ณัฐวุฒิ โพสต์ภาพและข้อความผ่านเพจดังกล่าวอีกว่า เมื่อการเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์เป็นเรื่องที่ฝ่ายความมั่นคงยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้ เราก็ยุติเรื่องนี้ เพราะไม่มีเจตนาจะใช้ประเด็นดังกล่าวเป็นเงื่อนไขทางการเมืองเผชิญหน้ากับรัฐบาลแต่อย่างใด ส่วนการติดตามผลการตรวจสอบจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงเดินหน้าต่อไป
“ผมมั่นใจว่าความจริงที่ตรงไปตรงมา ในระยะเวลาที่เร่งด่วนเท่านั้นที่จะคลายความสงสัยของคนในสังคมได้ แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นที่บ้านผม ไม่แน่ใจว่ามาจากเจตนาใดของผู้มีอำนาจ เพราะยังคงมีทหารทั้งในและนอกเครื่องแบบสลับกันมาเฝ้าหน้าบ้านตลอด 24 ชั่วโมง ช่วงสายวันนี้ผมเดินออกไปสนทนาด้วย เขาบอกว่ามาทำตามหน้าที่ ผมก็ไม่ขัดข้อง แต่การติดตามตรวจสอบการทุจริตก็เป็นหน้าที่ของประชาชนเช่นกัน” ณัฐวุฒิ กล่าว
ภาพณัฐวุฒิ ตรวจสอบรถที่มีตรากองทัพและไม่ติดป้ายทะเบียนซึ่งจอดบริเวณบ้านพักตนเอง
ทั้งนี้ตั้งแต่มีการประกาศของทั้ง 2 แกนนำ นปช. ที่จะไปอุทยานราชภักดิ์ ได้มีเจ้าหน้าที่ทหารมาอยู่บริเวณบ้านพักของ ณัฐวุฒิ โดยเมื่อวันที่ 29 พ.ย. ที่ผ่านมา เขากล่าว่า มีรถทหาร 4 คันมาที่บ้าน ริมถนนหน้าหมู่บ้าน 4 คน ป้อมยาม 8 คน ศาลพระภูมิ 6 คน จอดรถหน้าบ้าน 1 คัน
จตุพร ชี้ปมราชภักดิ์ ตั้งลูกน้องสอบนาย ใครจะกล้าตรวจสอบ
ขณะที่ จตุพร กล่าวในรายการมองไกล ผ่านยูทูปเมื่อ 1 ธ.ค.นี้ ว่า การถูกควบคุมตัวขณะจะเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์นั้น ไม่ได้กระทบกระเทือนจิตใจเลย และขอขอบคุณทหารที่ควบคุมตัวได้ทำด้วยน้ำใจแห่งมิตรไมตรีต่อกัน แม้ พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และกองทัพบก แถลงการควบคุมตัวเนื่องจากใช้คำว่า "ทุจริต" ซึ่งเป็นเพียงความรู้สึก ความเชื่อเท่านั้น แต่ตนได้ย้ำมาเสมอว่า รับไม่ได้กับการทุจริตเพราะเป็นสิ่งที่เลวร้าย ยิ่งการทุจริตอุทยานราชภักดิ์จึงเป็นสิ่งเลวร้ายเกินกว่าจะหาเรื่องใดมาเปรียบเทียบได้
"ไม่คาดคิดว่า การเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์จะไปกระทบความมั่นคง หรือกระทบต่อผู้มีอำนาจทั้งปวง เพราะอุทยานราชภักดิ์ ไม่ได้เป็นสมบัติของใคร คนใดคนหนึ่ง แม้กองทัพเป็นผู้จัดสร้าง แต่เป็นของคนไทยทุกคน เนื่องจากได้รับการพระราชทานชื่อจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ว่า อุทยานราชภักดิ์ แปลว่า อุทยานที่สร้างขึ้นด้วยความจงรักภักดี ดังนั้น การห้ามพวกผมไปอุทยานราชภักดิ์ สังคมก็ไม่ได้หมดความเคลือบแคลงใจ และที่สำคัญ พวกผมไม่ได้ไปเพื่อโค่นล้มใคร แต่ต้องการไปเห็นด้วยตาของตัวเอง" จตุพร กล่าว
จตุพร กล่าวด้วยว่า ตลอดเวลาเกิดข้อหาการจัดสร้างมีทุจริตขึ้น คนไทยเรียกร้องให้ตรวจสอบตามข้อเท็จจริง แต่ผลสอบของกองทัพบกกลับไร้ข้อมูลมาอธิบาย บอกเพียงให้เชื่อว่าไม่ทุจริต แล้ว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ตั้งกรรมการจากทหารทั้งหมดมาตรวจสอบซ้ำอีก ซึ่งคงไม่มีที่ไหนให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปตรวจสอบผู้บังคับบัญชาตัวเองที่เป็นรัฐมนตรี ใครจะกล้าตรวจสอบ ดังนั้นจึงเป็นเพียงการแก้ปัญหาทางการเมือง เพื่อให้ประชาชนหายเคลือบแคลงใจ โดยไม่ได้มุ่งตรวจสอบหาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น รวมทั้งไม่ได้กำหนดเวลาให้แล้วเสร็จไว้ด้วย

ปล่อยว่าง! สนพ.ไทยไม่พิมพ์บทความ โทมัส ฟุลเลอร์ เรื่องศก.ไทย ลงนิวยอร์กไทมส์ วันนี้





1 ธ.ค. 2558  หนังสือพิมพ์รายวัน
อินเตอร์เนชั่นแนล นิวยอร์กไทมส์ ฉบับวันที่ 1 ธ.ค. เวอร์ชั่นที่พิมพ์ในไทย ปล่อยพื้นที่ว่างในหน้า 1 และหน้า 6 ของหนังสือพิมพ์ พร้อมข้อความว่า "บทความซึ่งอยู่ในพื้นที่นี้ถูกนำออกไปโดยผู้พิมพ์ของเราในประเทศไทย  อินเตอร์เนชั่นแนล นิวยอร์กไทมส์ และกองบรรณาธิการไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำออกดังกล่าว"
ทั้งนี้ บทความดังกล่าวเขียนโดย โทมัส ฟุลเลอร์ ใจความหลักพูดถึงสถานการณ์เศรษฐกิจของไทยที่กำลังย่ำแย่ นอกจากนั้นเป็นการให้ภาพรวมด้านสถานการณ์ทางการเมืองทั้งการ "ปรับทัศนคติ" และแนวคิดซิงเกิลเกตเวย์ รวมถึงกรณีการเสียชีวิตด้วยการ "ฆ่าตัวตาย" และ "ป่วย" ของผู้ต้องหาสามรายในคดี 112 รวมถึงมีการกล่าวถึงสมาชิกในราชวงศ์
การเซ็นเซอร์โดยโรงพิมพ์ครั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่สองในรอบปี โดยเมื่อวันที่ 22 ก.ย. ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์รายวัน อินเตอร์เนชั่นแนล นิวยอร์กไทมส์ ส่งอีเมลถึงสมาชิกที่อยู่ในประเทศไทยว่า สำนักพิมพ์คู่สัญญาของนิวยอร์กไทมส์ตัดสินใจไม่ตีพิมพ์หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ฉบับวันอังคารนี้ เนื่องจากมองว่ามีเนื้อหาอ่อนไหวเกินไปที่จะตีพิมพ์ โดยบทความในหน้าหนึ่งวันดังกล่าวที่เกี่ยวกับประเทศไทย เขียนโดยโทมัส ฟุลเลอร์ เกี่ยวกับพระพลานามัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การสืบราชสันตติวงศ์ และอนาคตของสถาบันกษัตริย์ไทย
ทั้งนี้ เมื่อต้นเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา อินเตอร์เนชั่นแนล นิวยอร์กไทมส์ ได้ประกาศหยุดพิมพ์หนังสือพิมพ์ในไทยภายในสิ้นปีนี้ โดยระบุเหตุผลว่าเป็นเรื่องต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม นสพ.ดังกล่าวยังคงมีจำหน่ายใน 6 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ สิงคโปร์ บรูไน มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเมียนมาร์

จำคุก 6 ปี ‘ชาญวิทย์’ คดี 112 แจกใบปลิว



1 ธ.ค.2558 ศาลจังหวัดนนทบุรีนัดฟังคำพิพากษาคดีที่นายชาญวิทย์ (สงวนนามสกุล) ต้องเป็นผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112 จากกรณีที่เขาแจกใบปลิววิเคราะห์การเมืองไทยระยะเปลี่ยนผ่านซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ในที่ชุมนุมเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2550
ศาลพิพากษาลงโทษจำเลย 6 ปี จากการกระทำความผิด 1 กรรม โดยไม่รอการลงโทษ สำหรับประเด็นข้อต่อสู้ของจำเลยว่าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาทรงเป็นองค์รัชทายาทที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายมาตรา 112 หรือไม่นั้น ศาลเห็นว่าไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยเนื่องจากถือว่าการกระทำความผิดได้พิจารณาสำเร็จแล้ว
ทั้งนี้คำฟ้องของโจทก์ระบุความผิดของจำเลย 4 กรรมในการหมิ่นประมาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา มีการสืบพยานเมื่อวันที่ 15-16 ก.ย.2558 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า ก่อนเริ่มการสืบพยาน อัยการโจทก์แถลงว่าทางสำนักพระราชวังได้ส่งหนังสือมายืนยันว่าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ไม่ได้ดำรงตำแหน่งรัชทายาทตามม.112 ทนายความได้ขอคัดถ่ายหนังสือฉบับดังกล่าวจากศาล แต่ศาลไม่อนุญาตให้คัดถ่าย
ชาญวิทย์ อายุ 60 ปี เป็นนักกิจกรรมทางการเมืองมายาวนาน คดี 112 ดังกล่าวเป็นคดีตั้งแต่ปี 2550 และเขาเพิ่งถูกนำตัวมาขึ้นศาลอีกครั้งในปี 2558 หลังจากไม่ยอมมาตามนัดหมายของศาล ศาลจึงออกหมายจับและจำหน่ายคดีชั่วคราว เหตุที่ถูกนำตัวมาดำเนินคดีต่อในปีนี้เนื่องจากเขาถูกจับกุมตัวเมื่อวันที่ 9 มี.ค.2558 จากอีกคดีหนึ่ง นั่นคือ ร่วมวางแผนปาระเบิดลานจอดรถศาลอาญา เหตุเกิดเมื่อ 7 มี.ค.2558 ตำรวจจับกุมเขาและกล่าวหาว่าเขามีส่วนร่วมด้วยเนื่องจากเขาไปเป็นวิทยากรให้กับกลุ่มประชาชนในจังหวัดขอนแก่นก่อนหน้านั้น เจ้าหน้าที่กล่าวหาว่าการประชุมดังกล่าวเป็นการประชุมวางแผนเตรียมการ ขณะที่เขายืนยันว่าเป็นเพียงกลุ่มศึกษาการเมืองซึ่งเขาได้ชวนสรรเสริญ ศรีอุ่นเรือน นักกิจกรรมสูงวัยที่มีอาชีพขับแท็กซี่ไปเป็นวิทยกรด้วย และภายหลังเกิดเหตุ ตัวเขา สรรเสริญ และผู้ประสานงาน รวมถึงวิทยากรอื่นๆ ในงานเสวนาดังกล่าวก็ถูกจับกุมและคุมขังไปด้วยจนถึงปัจจุบัน รวมเวลาราว 6 เดือน บางส่วนมีรายงานการถูกเจ้าหน้าที่ทำร้ายร่างกายขณะสอบสวนด้วย หลายคนยื่นประกันตัวแต่ไม่สามารถประกันตัวได้ ขณะนี้กำลังพิจารณาคดีอยู่ในศาลทหาร แม้จำเลยทั้งหมดจะถูกคุมขังมาแล้ว 8 เดือนแต่ศาลทหารยังไม่มีการนัดหมายสืบพยานแต่อย่างใด