วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

นายกรัฐมนตรีเยือนยุโรปย้ำเป็นหุ้นส่วนแก้ปัญหาเศรษฐกิจ

นายกรัฐมนตรีเยือนยุโรปย้ำเป็นหุ้นส่วนแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
Yingluck Shinawatra on Wednesday, July 18, 2012 at 3:28pm ·.


นายกรัฐมนตรีเยือนยุโรปย้ำเป็นหุ้นส่วนแก้ปัญหาเศรษฐกิจ พร้อมสร้างความเชื่อมั่นต่อพัฒนาทั้งด้านประชาธิปไตยและศักยภาพที่โดดเด่นของไทย

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและคณะ มีกำหนดการเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีและสาธารณรัฐฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 17-21 กรกฎาคม 2555 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อพัฒนาการประชาธิปไตยและศักยภาพทางเศรษฐกิจไทย การพัฒนาขีดความสามารถการแข่งขัน และบทบาทสำคัญของไทยในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งกำลังจะเป็นประชาคมอาเซียนที่มีพลวัตรและศักยภาพด้านเศรษฐกิจที่โดดเด่น

การเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 17-19 กรกฎาคม 2555 ตามคำเชิญของรัฐบาลเยอรมนี นับเป็นการเยือนครั้งแรกของนายกรัฐมนตรีไทย นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 และถือเป็นประเทศแรกของการเยือนภูมิภาคยุโรป ในโอกาสที่ไทยกับเยอรมนีกำลังฉลองวาระครบรอบ 150 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูต ในปีพ.ศ. 2555


โดยสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ถือเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลก มีเครือข่ายธุรกิจที่กว้างขวาง และเป็นประเทศอุตสาหกรรมและนวัตกรรมชั้นนำของโลก จึงมีอิทธิพลทางการเมืองและเศรษฐกิจในยุโรป และเป็นประเทศผู้ขับเคลื่อนและกำหนดทิศทางของสหภาพยุโรป ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญที่นายกรัฐมนตรีจะพบหารือกับผู้นำหญิงของเยอรมนี นางอังเกลา แมร์เคล ที่มีบทบาทสำคัญต่อการแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจยุโรปเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและความคิดเห็นเกี่ยวกับวิกฤติที่เกิดขึ้น การคาดการณ์สถานการณ์ และย้ำบทบาทของไทยในฐานะหุ้นส่วนที่พร้อมสนับสนุนเยอรมนี ต่อการแก้ปัญหาและสร้างเสริมประโยชน์ร่วมกัน รวมทั้ง หารือถึงแนวทางความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พลังงานสีเขียว และอุตสาหกรรมสาขาต่างๆที่สามารถส่งเสริมซึ่งกันและกันได้ เพื่อการเติบโตไปพร้อมกัน


สำหรับการเยือนสาธารณรัฐฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 19 – 21 กรกฎาคม 2555 ซึ่งมีเป้าหมายเดียวกันกับเยอรมนีนั้น นายกรัฐมนตรีจะมุ่งเน้นการกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีกับฝรั่งเศสในฐานะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ซึ่งมีแผนปฏิบัติการร่วมไทย-ฝรั่งเศส ฉบับที่ 2 (ค.ศ.2012-2014) โดยการหารือกับนายฟรองซัวส์ ออลองด์ ประธานาธิบดีสาธารณรัฐฝรั่งเศส จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับวิกฤติที่เกิดขึ้น แนวโน้ม และนโยบายของฝรั่งเศสต่อการแก้ปัญหา และตอกย้ำความร่วมมือทวิภาคี เช่น การหาแนวทางเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุน การขจัดปัญหาอุปสรรคต่างๆ และที่สำคัญการสนับสนุนบทบาทที่สร้างสรรค์ของฝรั่งเศสในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น การเข้าร่วมในโครงการพัฒนาเครือข่ายในภูมิภาค


ทั้งนี้ การเดินทางเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีและสาธารณรัฐฝรั่งเศส ซึ่งถือเป็นประเทศที่สำคัญในภูมิภาคยุโรปที่มีมูลค่าการค้าการลงทุนสูง และเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนความร่วมมือกับไทยในภูมิภาคยุโรป จึงนับเป็นโอกาสและช่วงเวลาที่เหมาะสม ที่ภาคเอกชนของไทย จะได้ใช้โอกาสดังกล่าวแสวงหาลู่ทางการขยายความร่วมมือ การค้าการลงทุน รวมทั้งการเจรจาแก้ปัญหาและลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน ในการนี้ จึงมีภาคเอกชนไทยจาก 5 สาขาที่มีการค้าและการลงทุนอยู่ในภูมิภาคยุโรป และมีแผนการขยายการลงทุน ได้แก่ สาขาเกษตรอาหาร อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ สาขาพลังงาน แฟชั่น และการแพทย์ ร่วมคณะเดินทางเยือนด้วย รวมทั้ง เพื่อผลักดันกลไกความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างภาครัฐและเอกชนอีกด้วย

ภาพนายกรัฐมนตรีไทย เยือนเยอรมัน



นายกรัฐมนตรีเข้าพบนางอังเกลา แมร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี




















ศาลประชาชน ?!

ศาลประชาชน ?! สอาด จันทร์ดี

ผมได้รับฟังเรื่องราว (การก่นด่า) ที่จะเป็นประโยชน์ต่อศาล อย่างสำคัญที่สุด จึงอยากนำเอามาเขียนให้ได้อ่านและบอกเล่าถึงศาลน้อยศาลใหญ่ ขอให้จับเอามาขบคิดเสียบ้าง อย่ามัวแต่อุ้มกะเตงพวกเดียวกัน จนเป็นที่อับอายขายหน้าไปทั่วพารา ...ระวังนะ...ทำแบบนี้ จะทำให้เกิดศาลประชาชน

ก่อนเขียนเรื่องนี้ เรื่องมีอยู่ว่าสหายของเรา “ท่านมณเฑียร บุณยรัตพันธุ์ (คุณไก่)” พ่อเลี้ยงห้างอะไหล่จังหวัดน่านแต่ไปถึงแก่กรรมที่จังหวัดเชียงราย ฌาปนกิจเมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม 2555 เสร็จสิ้นในท่ามกลางความเศร้าโศกเสียใจของลูกเมีย ญาติพี่น้องและมิตรสหาย ตัวผมไปในงานนี้ด้วยและได้พบกับเครือข่ายของพวกเราหลายคนเช่น ท่านสุเทพ บุณยรัตพันธุ์ พี่ชายของผู้วายชนม์ “คุณวารินทร์ สีสุวรรณ” สะไภ้ของ “อุดม สีสุวรรณ” รุ่นบุญเย็น วอทอง แม่ทัพใหญ่ของ พคท. ในอดีต

นอกจากนี้ยังได้พบ “ร.ต.ต. สมศักดิ์ แพทย์สมาน” ประธาน นปช. จ. น่าน คุณดนุรงค์ นิวาเวศน์ และน.ท. สมพงษ์ บุรณัตถากร (ทอ.) เป็นต้น

แขกเหรื่อมากกว่า ๑๐๐ คน จากหลายพื้นที่แห่ไปคารวะและอำลาศพเป็นครั้งสุดท้าย

แต่ในวาระโอกาสอันเศร้าสร้อยดังกล่าวนี้ ยังมีการ “ถกใหญ่” จากผู้ปราดเปรื่องทางการเมืองหลายคน ที่ได้ถือโอกาส “นินทาด่าแหลก” ตุลาการวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ และนินทาดะไปหมดว่า “ตุลาการ” กลุ่มนี้ไม่ได้มีจิตสำนึกในความเป็นคนของศาลหลงเหลืออยู่เลย ขืนทำแบบนี้บ่อยๆ ระบบศาลไทยจะล่มสลาย
เพราะว่าศาลไทยที่ได้ชื่อเป็นสถาบันสูงสุดแห่งความเที่ยงธรรมกลายเป็นศาลเตี้ยไปแล้ว

ทั้งนี้เนื่องมาจากการแสดงตนเป็นเจ้าภาพ “รับฟ้อง” พรรคเพื่อไทยและฟ้องรัฐบาล “จากหมาป่า”ในสภาหินอ่อน ฟ้องร้องในข้อหา “แก้รัฐธรรมนูญเพื่อจะล้มล้างระบอบการปกครอง” อันเป็นข้อหาร้ายแรงที่หมายถึงการ “ล้มล้างองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช” พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินของพระราชอาณาจักรไทย ซึ่งเป็นการฟ้องตาถั่ว โมเมฟ้อง เอาความเท็จขึ้นศาล
มันเป็นข้อหาเท็จ (แจ้งความเท็จ) ที่ไม่น่าจะรับฟ้องไม่ว่ากรณีใดๆ

แต่ก็ “กระโดด” รับฟ้อง แถมเป็นเจ้าภาพเสียเองอีกด้วย ?!

ผู้ปราดเปรื่องหลายท่านรำพึงออกมาว่า “มันเสือกเหลือรับประทาน” พูดแล้วก็ส่ายหน้าด้วยความอิดหนาระอาใจ ในขณะผู้ปราดเปรื่องในจังหวัดเชียงรายท่านหนึ่งพูดเสริมขึ้นมาว่า “ตุลาการศาล รธน.” ไม่มีจิตวิญญาณเป็นคนของศาลเหลืออยู่เลย มันรับใช้อำมาตย์ชั่วเสียจนเอียงกะเท่เร่-กลายเป็นทาสห่วยแตก ว่าแล้วก็สั่นหัวรับไม่ได้ พูดนินทาเสียงดังว่า “ทำแบบนี้...มันเป็นศาลย่ำยีศาลนี่หว่า” มันทำแบบไม่อายหมา...นึกไม่ถึงว่าคนที่อยู่ในตระกูลศาลโดยแท้จะพากัน “ย่ำยีศาล” ได้ร้ายแรงขนาดนี้

ผมยืนอยู่ตรงนั้น จึงขอความรู้ด้วยการตั้งคำถามว่า “อะไรคือย่ำยีศาลขอรับ ?”

ท่านผู้นั้นตอบว่าในกระบวนการของศาลอาญาของไทย เริ่มต้นมาจากผู้เสียหาย แจ้งความกับตำรวจก่อน เมื่อตำรวจจับตัวผู้ร้ายได้ ก็ต้องเอาตัวไปคุมขัง แล้วส่งฟ้องภายในเวลากฎหมายกำหนด

ก่อนจะมีการฟ้องร้องก็ต้องผ่านอัยการ อันหมายถึงทุกคดีต้องผ่านอัยการทั้งหมด อัยการจะเป็นผู้สั่งฟ้อง ถ้าอัยการไม่สั่งฟ้องเรื่องก็ต้องตกไป แล้วเรื่องนี้ศาลรัฐธรรมนูญไปเอาอำนาจพิเศษมาจากไหน จึงรับฟ้อง เอารัฐบาลและสภานิติบัญญัติขึ้นศาล การที่ศาลรัฐธรรมนูญทำแบบนี้ มันย่ำยีศาล

พูดกันให้ชัดเลย ศาลรัฐธรรมนูญไม่มิสิทธิรับฟ้อง...ไม่ว่ากรณีใดๆ


แล้วมันเสือกรับฟ้องทำไม ?


ผมสงสัยต่อไปว่า “อ้าว...แล้วศาลรัฐธรรมนูญไม่รู้ดอกหรือว่าไม่มีสิทธิรับฟ้อง” ?

ท่านผู้นั้นตอบว่า โธ่...มันรู้ซีครับ...ทำไมมันจะไม่รู้ แต่มันเป็นบอดตาใสไง มันเลยทำเป็นว่าตัวเองมิสิทธิ แล้วมันก็ทำให้มีจริงๆได้สำเร็จซะด้วย เพราะว่าประชาชนทั้งประเทศ รวมทั้งรัฐบาลพากัน “ตัวขดตัวงอ” รอฟังคำวินิจฉัย ดังจะเห็นได้จากอาการของสังคมไทยแทบจะบ้าตายในระหว่างรอฟังคำชี้ขาด (13 กรกฎาคม 2555) ?!

แล้วจะแก้แบบไหนครับ...? ผมถามด้วยความอยากรู้

“โอ้ย..แก้ไม่ได้ดอกครับ เพราะมันเป็นพวกเผด็จการ การกระทำของเผด็จการมันถือว่าสิ่งพวกมันทำเป็นเรื่องที่ถูกต้องหมด แม้แต่การปราบปรามประชาชนคนเสื้อแดงตายตั้ง 98 ศพ มันก็ว่ามันทำของมันถูก เห็นไหม...ใครไปเอาโทษมันได้”

อ้าว......ผมร้อง และ อึ้งไปเลย

แต่การจับกลุ่มสนทนา ยังไม่ยอมจบ แม้ว่าขณะนั้น ควันจากปล่องเตาเผาศพกำลังปล่อยควันขึ้นสู่ท้องฟ้า ในขณะญาติ (ลูกสาวเสียใจเป็นลม-ฟุบ) พวกเรามองไปที่ปล่องไฟเหนือเมรุเผาศพ พลันก็ได้ยินคนหนึ่งพูดขึ้นมา

ถ้าพวกตุลาการย่ำยีศาลไม่รู้จักเลิกไม่นานประชานก็จะไม่เชื่อฟังศาลอีกต่อไป สุดท้ายพวกศาลทั้งหลายก็ต้องถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน หรือไม่ก็ต้องถูกจับแขวนคอ ดังที่เคยเกิดขึ้นในประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2432 ตรงกับ คศ. 1789 หรือเมื่อ 113 ปีผ่านมาแล้ว

ความเดิมมีอยู่ว่าพระเจ้าหลุยที่ 16 ทรงมีปัญหากับอาณาประชาราษฎร์ (อันเนื่องจากไปหลงเชื่อพวกอำมาตย์) จนกลายเป็นข้อขัดแย้งลุกลามไปถึงความไม่เป็นประชาธิปไตย จนเป็นเหตุให้เกิดความบาดหมาง ระหว่างพระราชาฝรั่งเศสกับประชาชน แล้วขยายไปสู่การเกิดของศาลประชาชน เป็นครั้งแรก (เพราะไม่เชื่อในน้ำยา) ของศาลหลวงอีกต่อไป

เหตุเกิดครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 1789 แล้วเป็นผลให้เกิด “ศาลประชาชน” เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคมในไม่กี่ปีถัดมา จนได้กลายเป็นวันชาติฝรั่งเศสไปในที่สุด

ผมอำลางานศพ เดินทางกลับกรุงเทพ พร้อมกับภาพ “ปล่องเตาเผาศพ” มันหลอนตา นึกไปถึงวันข้างหน้า พวกบ้าที่ “เป็นศาลย่ำยีศาล” อาจจะทำให้เกิดลมหมุนไปสู่ “ศาลประชาชน” ในประเทศไทย ขึ้นจนได้ ทั้งๆที่ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น ?

ระวังเอาไว้...ถ้าศาลไม่เที่ยงธรรม...ศาลประชาชนจะมาแทน ?!

“สอาด จันทร์ดี”