วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2555


กุหลาบ ซาตาน
รูปภาพของ กุหลาบ ซาตาน



"ภาพมันฟ้อง ฟ้องด้วยภาพ !"
สมจิตต์ นวเครือสุนทร นักข่าวช่อง 7
ท่ามกลางคนสำคัญๆ ของพรรคประชาธิปัตย์
"เอ็กซ์คลูซีฟ" เลยครับ
หมายเหตุ : หลักฐานคือภาพ...
http://redusala.blogspot.com

ปัญหาภาคใต้แก้ผิดทาง
สนามหลวง...ชี้  ปัญหาภาคใต้แก้ผิดทาง
หมายเหตุ

           กราบเรียนท่านผู้อ่านว่า สถานีโทรทัศน์ดาวเทียม     DDTV วัดดวงแข ซึ่งเป็นสถานีโทรทัศน์ของพระพุทธศาสนาที่กำลังมีบทบาทในการกะเทาะปัญหาความ “ไม่มั่นคง” ของสังคมไทย ซึ่งกระทบถึงความมั่นคงของประเทศไทยอย่างร้ายแรง ได้ให้ผม “สอาด จันทร์ดี” ไปออกรายการร่วมกับพระอาจารย์ “ณรงค์ฤทธิ์ อุปรกฺขิโต” จากวัดมหาธาตุ และพระอาจารย์พจนารถ ปภาโส จากวัดราชบพิธในรายการตระเวนฅน ตระเวนธรรมประจำวันทุกวันอังคาร ตั้งแต่เวลา 20.30 น. ถึง 22.00 น.

            โดยได้นำปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เอาขึ้นมาถกกันอย่างเอาจริงเอาจัง

            เริ่มตอนที่ 1 คาร์บอม (ระเบิด) ลี การ์เด้นส์ ที่หาดใหญ่  หลังจากนั้นก็ได้พรรณนาความชั่วร้ายของกองโจร  RKK(อาร์เคเค) ไปจนถึงกระบวนการโจร [PULO] พูโล แห่งปัตตานี

            เมื่อรายการนี้แพร่ภาพและเสียงไปทั้งในและนอกประเทศ ก็ได้มีโทรแสดงความคิดเห็นมามากมาย หลายความเห็นบอกว่า เรื่องราว โจรก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดนภาคใต้พวกนี้ เป็นภัยต่อแผ่นดิน จึงถามว่าเหตุไรคนไทยทั้งประเทศไม่สนใจ เหตุไรทางฝ่ายความมั่นคง (รัฐบาลและทหาร)จึงมองปัญหาไม่ออก พีน้องสงสัยว่าจะมีไส้ศึกมากมายทั้งในทำเนียบ สภาผู้แทน และในกระทรวงทบวงกรมฯเป็นแนวที่ 5 รุมหัวกันทำงานช่วยเหลือโจรแบ่งแยกดินแดน

ท่านเหล่านั้นเสนอแนะให้กระทรวงกลาโหมและ กอ.รมน.ขอให้ดูรายการนี้ จะได้รู้ปัญหา

            ในเวลาเดียวกัน ผมก็ได้รับ “บทความ” ชิ้นสำคัญของ “สนามหลวง” ว่าด้วยการแก้ไขปัญหาภาคใต้ที่กำลังทำอยู่ เป็นการแก้ผิดทาง 

ผมจึงขอมอบต่อผู้อ่านที่รักชาติ-รักประเทศไทยจะได้อ่านต่อไป ดังต่อไปนี้
ปัญหาภาคใต้แก้ผิดทาง โดย... สนามหลวง

            วันที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์รายวัน ตีพิมพ์บทความ ของ คุณไชยยงค์  มณีพิลึก เรื่อง จับตาแผนบีอาร์เอ็น ‘ ทุบทีละนิ้ว กินทีละคำ ’ จ้องยึดครององค์กรปกครองท้องถิ่น! รีบแก้ก่อนสาย มีความตอนหนึ่งที่น่าสนใจกล่าวว่า “แต่ถ้าจำนวนผู้เสียชีวิตที่มากกว่า ๑๐๐ ศพ ใน ๗ ปี ที่เป็น บุคลากรของ อปท. เป็นฝีมือของ “แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน ย่อมหมายความว่า อบต.ในพื้นที่ ๓ จังหวัด เป็นหน่วยงานหนึ่งที่อยู่ในแผนการยึดครองของ “แนวร่วม”เนื่องจากมีข้อสังเกตว่า เจ้าหน้าที่ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็น “ไทยพุทธ” จึงเป็นไปได้ที่ “แนวร่วม” ต้องการสร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้น และให้มีการย้ายออกจากพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ “ไทยพุทธ” 

            ซึ่งสุดท้าย “แนวร่วม” จะสามารถกำหนดตัว ผู้บริหาร อบต. และเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นคนของตนเองเข้าไปบริหาร เป็น ยุทธศาสตร์ “ทุบทีละนิ้ว” และ “กินทีละคำ”ของ ขบวนการแบ่งแยกดินแดน เช่นเดียวกับที่มีแผนในการ “ฆ่าครู” เพื่อต้องการ ขับไล่ ครูออกจากพื้นที่ ทางอ้อม……ฉะนั้น การเสียชีวิตเป็น “ใบไม้ร่วง” ของเจ้าหน้าที่ อปท.ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้อง “สะสาง” ให้ชัดเจน รวมทั้งต้องเร่งป้องกันความสูญเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ รวมทั้งสกัดกั้นแผนของขบวนการแบ่งแยกดินแดน ที่กำลังเตรียมการเข้า “ยึดครอง” องค์กรปกครองท้องถิ่น เพื่อชัยชนะทาง “การเมือง” ตามแผนบันได 7 ขั้น ที่ขบวนการฯมีการ “ตั้งธง” เอาไว้แล้ว.”

            วันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๕  หนังสือพิมพ์เดลินิวส์รายวัน ตีพิมพ์บทความของ คุณไชยยงค์ มณีพิลึก เรื่องระวังเมษายนอันตราย คาร์บอมบ์ ถล่มใต้ แนะยกเครื่องศูนย์ป้องกันปราบปรามโจรกรรมรถยนต์มีความตอนหนึ่งที่น่าสนใจกล่าวว่า“ สถานการณ์ การก่อการร้ายใน 3 จังหวัด และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ซึ่งมีเหตุร้ายรุนแรงมากขึ้น และมีแนวโน้มว่าในเดือน เมษายน ที่จะถึงนี้ มีปัจจัยที่นำสู่ความรุนแรง ของการก่อการร้ายคือข่าวจากหน่วยข่าวความมั่นคงที่ได้รับจาก “สายข่าว” ในพื้นที่ว่าแกนนำ ของกลุ่มนักรบ ฟาตอนี หรือ อาร์เคเค” ได้สั่งการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตที่ แกนนำขบวนการแบ่งแยกดินแดนมีอิทธิพล จัดหาเครื่องแบบ เครื่องหมายของตำรวจ ทหาร อบต.ละ 20 ชุด ส่งมอบให้กับอาร์เคเคภายในสิ้นเดือนมี.ค.นี้ และยังมีการสั่งการของ แกนนำ” ถึงบรรดาเจ้าของเต็นท์รถมือสองใน 4 จังหวัด คือ สงขลา ปัตตานี ยะลา และ นราธิวาส เครือข่ายค้ายาเสพติดที่เป็นกลุ่มสนับสนุนทางการเมืองให้กับขบวนการแบ่งแยกดินแดน จัดเตรียมรถยนต์ด้วยการอำพราง ดัดแปลง ให้คล้ายกับรถยนต์ของเจ้าหน้าที่ที่ใช้อยู่ในพื้นที่ ให้อยู่ในลักษณะความพร้อมในการใช้งาน…ปัญหาเฉพาะหน้าในเดือนเมษายน ซึ่งเป็นเดือนที่ “แกนนำ” ใช้เป็นสัญลักษณ์ ในการเคลื่อนไหว ก่อความรุนแรง จากเหตุการณ์ ล้อมปราบที่ มัสยิดกรือเซะ จ.ปัตตานี จนมีคนตายจำนวน 28 คน ซึ่งจากข่าวการจัดหาเครื่องแบบตำรวจ และการจัดเตรียมรถยนต์ ให้มีความพร้อม แสดงชัดเจนว่า ต้องมีเหตุร้ายครั้งใหญ่อย่างแน่นอน 

            ในเมื่อ “แนวร่วม” มีการเตรียมการ และเตรียมพร้อมถึงขนาดนี้ ฝ่ายเรา ทั้ง กอ.รมน. และ ศชต. มีความพร้อมทั้งในการ รุกและตั้งรับ กันพร้อมเพรียงแค่ไหน อย่าคิดเพียงว่า การที่ “แนวร่วม” ฆ่าผู้บริสุทธิ์มากขึ้น เราจะชนะทาง “ยุทธศาสตร์” เพราะประชาชนจะเคียดแค้น เกลียดชัง ไม่สนับสนุน แก่ขบวนการ เราจึงย่อมเพลี่ยงพล้ำทาง“ยุทธวิธี” เพื่อเอาชนะทางยุทธศาสตร์ เพราะถ้าคิดกันได้แค่นี้ จะเข้าตำรา ถั่วสุก งาไหม้หายนะ จะอยู่คู่กับจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปอีกยาวนาน.”

            วันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ สื่อสารมวลชนทุกแขนงรายงานข่าวโจรใต้ก่อเหตุลอบวางระเบิดคาร์บอมบ์ ๒ แห่งคือ บนถนนรวมมิตร เขตเทศบาลนครยะลา จ.ยะลา ๓ จุด มีผู้เสียชีวิต ๑๐ ราย และบาดเจ็บสาหัส ๑๐ ราย และ ที่โรงแรมลี การ์เดนส์ พลาซ่า อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา มีผู้เสียชีวิต ๕ ราย และผู้บาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้โจรใต้ยังก่อเหตุวางระเบิดจักรยานยนต์บอมบ์ ๑ แห่ง ที่ร้านขายข้าวแกง บริเวณปากทางเข้าที่ว่าการอำเภอแม่ลาน จ.ปัตตานี มีผู้บาดเจ็บ ๑ ราย

            วันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๕  ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (DSW) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ได้สรุปเหตุความไม่สงบในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ จ.ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และ ๔ อำเภอของ จ.สงขลา ตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๔๗ ถึง เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ รวม ๙๘ เดือน โดยมีสถิติเหตุความไม่สงบในพื้นที่รวม ๑๑,๕๔๒  ครั้ง มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตรวม ๑๓,๕๗๑ ราย แยกเป็นผู้เสียชีวิต ๕,๐๘๖ ราย  (แยกเป็นชาวไทยพุทธ ๑,๙๕๑  ราย ชาวไทยมุสลิม ๒,๙๙๖ ราย และไม่ระบุศาสนา ๑๓๙ราย)   และผู้ได้รับบาดเจ็บ ๘,๔๘๕ ราย (แยกเป็นชาวไทยพุทธ ๕,๑๔๑ ราย ชาวไทยมุสลิม ๒,๗๕๑ ราย และไม่ทราบศาสนา ๕๙๓ ราย)

             วันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๕ หนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวัน ในคอลัมน์แวดวงอิสลาม เขียนข่าวว่า โครงการ“สานใจไทย สู่ใจใต้” เป็นโครงการที่เกิดขึ้นจากดำริของ ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ โดยได้รับการสนับสนุนจากคณะกรรมการมูลนิธิรัฐบุรุษฯ มูลนิธิรักเมืองไทย และมูลนิธิพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่ หอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรม สมาคมธนาคารไทย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง...พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการดำเนินโครงการ“สานใจไทย สู่ใจใต้” ในปีนี้เป็นรุ่นที่ ๑๗ ท่านประธานได้เปิดพิธีปฐมนิเทศครอบครัวอุปถัมภ์ของรุ่นนี้ไป

             เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๕....อารีย์ วงศ์อารยะ รองประธาน คณะกรรมการดำเนินโครงการฯ ให้โอวาทแก่เยาวชนใน ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในการเข้าไปอยู่ในครอบครัวมุสลิม ที่อยู่ในภาคกลาง เช่นนนทบุรี นครนายก ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ฉะเชิงเทรา ชลบุรี สระบุรี และ กรุงเทพมหานคร.....ประดิษฐ์ รัตนโกมลประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นหนึ่งของผู้ให้การปฐมนิเทศ ท่านให้ข้อคิดแก่เยาวชนที่เข้ารับการอบรมได้มีโอกาสเรียนรู้จากการได้ไปอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ ให้เยาวชนมีอิหม่าม และแสวงหาความก้าวหน้าในเทคโนโลยี่ที่ทันสมัย และสร้างความเข้าใจในการอยู่ร่วมกัน เพื่อนำไปสู่การเสริมสร้างความสมานฉันท์และสันติสุขอันยั่งยืน..

              จากเวปไซด์ http://www.sbpac.go.th/index.php?

cmd=news&cate_id=1&mode=detail&id=1132  ศอ.บต.ส่งเสริมการสัมมนาคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด ๑๕ จังหวัดภาคใต้ เร่งระดมความคิดพิจารณาปรับแก้ไข พ.ร.บ. การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ.๒๕๔๐  เมื่ออ่านข่าวนี้แล้วทำให้อดไปดูในhttp://th.wikipedia.org/wiki/ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ #cite_note-1
 งบประมาณศอ.บต. ในปีพ.ศ. ๒๕๕๕ มีจำนวนถึง ๑,๖๒๖.๐๓๖๑ ล้านบาท 
  
            จากข้อมูลที่นำมาเสนอนี้ ทำให้เชื่อได้ว่า รัฐบาลกำลังดำเนินการในนโยบายแก้ไขปัญหาใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ผิดพลาดอย่างมาก มาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๔ และทำให้ตระหนักถึงความอ่อนแอทางยุทธวิธีของทหาร ที่ไม่สามารถปราบปรามโจรใต้ให้ราบคาบ   ตราบใดที่ยังคงเน้นแก้ไขปัญหาโดยยกปัจจัยทางศาสนาเป็นตัวนำ   โอกาสที่ประเทศไทยจะสูญเสียดินแดนและชีวิตของพี่น้องไทยพุทธในท้องถิ่นก็จะยังคงอยู่ตราบนั้น   

              น่าสังเวชคือข้าราชการที่รับเงินเดือนอันเกิดจากภาษีของพี่น้องไทยพุทธเป็นส่วนมาก กลับมีใจไปรับใช้ศาสนาของคนกลุ่มน้อย ซึ่งเท่ากับสนับสนุนให้มีการทำร้ายไทยพุทธในพื้นที่มากขึ้น ดูต่อไปเถอะว่าในที่สุด พ.ร.บ.การบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๒๕๕๓ ที่ออกโดยพรรคประชาธิปัตย์ จะเป็นตัวเร่งให้เกิดการแบ่งแยกดินแดนในที่สุด ไม่ต้องเชื่อ ได้ทันเห็นแน่ ตราบใดที่ยังมีข้าราชการเลวๆ เช่นนี้อยู่

                                                           ๓ เมษายน ๒๕๕๕ เวลา ๐๗.๐๗ น.

ขอคิดเห็นปัญหาภาคใต้แก้ผิดทาง
1.  การนำเยาวชนใน ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในการเข้าไปอยู่ในครอบครัวมุสลิม ที่อยู่ในภาคกลาง เช่นนนทบุรี นครนายก ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ฉะเชิงเทรา ชลบุรี สระบุรี และ กรุงเทพมหานคร ทำไปเพื่ออะไร หรือมีความคิดที่ต้องการขยายพื้นที่ซึ่งจะกระทำในทำนองเดียวกันกับภาคใต้ใช่หรือไม่

2.   การดำเนินนโยบายของรัฐบาลตั้งแต่ที่ผมเกิดมา(จ. ยะลา) รัฐบาลทุกชุดให้ความสำคัญคนที่นับถือศาสนาอิสลาม มาก ส่วนคนไทยเชื่อสายจีนจะไม่ได้รับสิทธิต่างๆ ทั้งๆ ที่เป็นทำความเจริญสู่บ้านเมืองและให้ความร่วมมือกับทางราชการทุกครั้งที่ร้องขอมา
3.  นักการเมืองมีส่วนที่ทำให้บ้านเมืองเสียหายมากขึ้น เนื่องจากบุคคลเหล่านั้นไม่มีจิตสำนึกบุญคุณของแผ่นดิน 
4.  นักการเมืองมีส่วนที่ทำให้ข้าราชการไม่สามารถทำงานได้สะดวก 
5.  การวางระเบิดมีการทำมานานแล้วตั้งแต่ที่ผมเรียนหนังสืออยู่ที่ จ.ยะลา แต่ทุกวันนี้เป็นการยกระดับความรุนแรกขึ้นเรื่อยๆ
                 
             “โต  สนามหลวง”
http://redusala.blogspot.com

ประกาศนิติราษฏร์ ฉบับที 34
“วรเจตน์” ออก “ประกาศนิติราษฎร์ ฉ.34” แย้งนิรโทษทุกฝ่าย เสนอเพิ่มบทบัญญัติ รธน.หมวด “ขจัดความขัดแย้ง”
.จาก มติชน ออนไลน์  วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2555 เวลา 16:11:50 น.

        เมื่อวันที่ 25 เมษายน นักวิชาการคณะนิติราษฎร์ได้ออก "ประกาศนิติราษฎร์ ฉบับที่ 34" หัวข้อ "จุดยืนคณะนิติราษฎร์" ที่เขียนโดยนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ ผ่านทางเว็บไซต์ http://www.enlightened-jurists.com มีเนื้อหาดังนี้

       หลังจากที่คณะนิติราษฎร์ได้เสนอให้ลบล้างผลพวงของการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เสนอแนวทางการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และยกร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งต่อมาคณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 (ครก. 112)ได้ดำเนินการรวบรวมรายชื่ออย่างน้อย 10,000 รายชื่อเพื่อเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ไปยังรัฐสภา กำหนดระยะเวลารณรงค์ 112 วัน และการรณรงค์ดังกล่าวจะครบกำหนดในวันที่ 5 พฤษภาคม ที่จะถึงนี้ มีผู้สอบถามมายังคณะนิติราษฎร์เกี่ยวกับกิจกรรมทางวิชาการและการเคลื่อนไหว ทางความคิดที่จะดำเนินต่อไปในโอกาสครบรอบ 80 ปีของการอภิวัฒน์สยาม 2475 ตลอดจนแนวทางทางกฎหมายในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย คณะนิติราษฎร์เห็นสมควรที่จะได้แสดงจุดยืนและทัศนะต่อประเด็นปัญหาต่างๆ ไว้โดยสังเขป ดังนี้

           1. คณะนิติราษฎร์ยืนยันว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เนื่องจากอัตราโทษที่กำหนดไว้ในปัจจุบันสูงเกินสมควรกว่าเหตุ นอกจากนี้ยังมีปัญหาอื่นๆอีกหลายประการ ดังที่ได้เคยแสดงให้เห็นไว้แล้วในประกาศนิติราษฎร์ฉบับที่  16 (วันที่ 13 มีนาคม 2554) และในข้อเสนอเพื่อการรณรงค์แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้หลายประการ และจะบรรเทาปัญหาบางประการลง คณะนิติราษฎร์จึงยืนยันสนับสนุนกิจกรรมของ ครก.112 ในการรวบรวมรายชื่อประชาชนเพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ไปยังรัฐสภา และให้เป็นหน้าที่ของรัฐสภาในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป

            2. คณะนิติราษฎร์ไม่เห็นด้วยอย่างสิ้นเชิงต่อแนวทางการปรองดองหรือสมานฉันท์โดยวิธีการตรากฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่บุคคลทุกฝ่ายดังเช่นการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ระหว่างวันที่ 4 ถึงวันที่ 6 ตุลาคม 2519 พ.ศ.2521 (นิรโทษกรรมในเหตุการณ์ 6 ตุลา 19) หรือการตราพระราชกำหนดนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมกันระหว่างวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ.2535 ถึงวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ.2535 พ.ศ.2535 (นิรโทษกรรมในเหตุการณ์พฤษภา 35) เนื่องจากการนิรโทษกรรมในลักษณะดังกล่าวแม้จะทำให้ประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุมพ้นจากความผิดและความรับผิด แต่ก็จะมีผลให้บรรดาผู้ที่สั่งการและปฏิบัติการสลายการชุมนุมพ้นจากความผิดไปพร้อมกันด้วย การนิรโทษกรรมในลักษณะดังกล่าวไม่เป็นธรรมอย่างยิ่งต่อผู้ที่สูญเสียในเหตุการณ์สลายการชุมนุมต่างๆที่เกิดขึ้นหลังจากการแย่งชิงอำนาจรัฐเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา

            3. คณะนิติราษฎร์เห็นว่าแนวทางการตรากฎหมายเพื่อการขจัดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมอย่างเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายภายหลังจากการแย่งชิงอำนาจรัฐเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ควรจะต้องพิจารณาแยกแยะลักษณะการกระทำของบรรดาบุคคลที่เกี่ยวข้องและจัดวางโครงสร้างของกฎหมายโดยมีสาระสำคัญหลัก คือ

              ประการที่หนึ่ง ต้องไม่มีการนิรโทษกรรมให้แก่บรรดาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์การชุมนุมประท้วงตลอดจนการสลายการชุมนุมทุกเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา การกระทำของบรรดาเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลที่ถือได้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ว่าจะได้กระทำการในฐานะเป็นผู้สั่งการหรือผู้ปฏิบัติการ และไม่ว่าจะกระทำในขั้นตอนใดๆ หากการกระทำนั้นเป็นความผิดตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในเวลานั้น บุคคลนั้นยังคงมีความผิดตามกฎหมายและต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

              ประการที่สอง ให้มีการนิรโทษกรรมทันทีแก่ประชาชนที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐานฝ่าฝืนบรรดากฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉินและกฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงที่ได้รับการประกาศใช้ในเหตุการณ์การเดินขบวนและการชุมนุมประท้วงทางการเมืองในพื้นที่ต่างๆตามที่จะได้กำหนดไว้ในประกาศที่ออกตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญในหมวดที่ว่าด้วยการขจัดความขัดแย้งและบรรดาการกระทำต่างๆของผู้เข้าร่วมเดินขบวนและชุมนุมประท้วงทางการเมืองในพื้นที่ต่างๆข้างต้น หากเป็นความผิดลหุโทษ หรือความผิดที่อัตราโทษไม่เกินกว่าที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญในหมวดที่ว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง ก็ให้บุคคลนั้นพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง

              ประการที่สาม บรรดาการกระทำทั้งหลายของบุคคลที่เข้าร่วมเดินขบวนและชุมนุมประท้วงทางการเมืองที่ไม่เข้าข่ายที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ เช่น การกระทำที่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหรือกฎหมายอื่นและไม่ใช่ความผิดลหุโทษหรือความผิดที่อัตราโทษไม่เกินกว่าที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญในหมวดที่ว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง ตลอดจนการกระทำความผิดของบุคคลที่แม้ไม่ได้เข้าร่วมเดินขบวนและชุมนุมประท้วงทางการเมือง แต่มีข้อสงสัยว่ามีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมืองหลังการแย่งชิงอำนาจรัฐเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา ให้นำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการขจัดความขัดแย้งซึ่งได้รับการจัดตั้งขึ้นตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในหมวดที่ว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการขจัดความขัดแย้ง จะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่ถูกกล่าวหาไม่ได้ ในกรณีที่มีการฟ้องร้องเป็นคดีและคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล ไม่ว่าจะเป็นศาลในลำดับชั้นใด ให้ศาลระงับการดำเนินกระบวนพิจารณา และให้ปล่อยตัวผู้ถูกกล่าวหาไปก่อน ในกรณีที่มีข้อสงสัยว่าการกระทำนั้นตกอยู่ภายใต้บังคับของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญว่าด้วยการขจัดความขัดแย้งหรือไม่ ให้คณะกรรมการขจัดความขัดแย้งเป็นผู้วินิจฉัย คำวินิจฉัยว่าการกระทำใดอยู่ภายใต้บังคับของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญในหมวดที่ว่าด้วยการขจัดความขัดแย้งหรือไม่ ให้มีผลผูกพันองค์กรของรัฐทุกองค์กร และไม่อาจเป็นวัตถุในการพิจารณาขององค์กรตุลาการหรือองค์กรอื่นใดได้

              ประการที่สี่ ในกรณีที่คณะกรรมการขจัดความขัดแย้งวินิจฉัยว่าการกระทำใดไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง หรือวินิจฉัยว่าการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นในระหว่างการชุมนุมต่างๆ ตลอดจนการกระทำที่มีข้อสงสัยว่ามีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมืองหลังการแย่งชิงอำนาจรัฐเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา ไม่เกี่ยวข้องกับมูลเหตุจูงใจหรือแรงจูงใจทางการเมือง ให้ดำเนินการกับบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป ในกรณีที่คณะกรรมการขจัดความขัดแย้งวินิจฉัยว่าการกระทำนั้นเกิดขึ้นจากมูลเหตุจูงใจหรือแรงจูงใจทางการเมืองหลังเหตุการณ์แย่งชิงอำนาจรัฐ 19 กันยายน 2549 ก็ให้บุคคลที่ถูกกล่าวหาดังกล่าวพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้เท่าที่ไม่ขัดกับพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิก

              ประการที่ห้า การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งตามแนวทางที่คณะนิติราษฎร์เสนอไว้เบื้องต้นโดยสังเขปนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแก้ไขเพิ่มรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันโดยเพิ่มบทบัญญัติว่าด้วยการขจัดความขัดแย้งเป็นอีกหมวดหนึ่ง โดยนอกจากบทบัญญัติในหมวดนี้จะกล่าวถึงคณะกรรมการขจัดความขัดแย้ง และกฎเกณฑ์ต่างๆตามแนวทางที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว ยังต้องกล่าวถึงการเยียวยาความเสียหายต่างๆด้วย การดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้สามารถทำได้โดยไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการจัดให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และสามารถกระทำได้ทันที

               4. สำหรับกรณีของการลบล้างผลพวงรัฐประหารนั้น คณะนิติราษฎร์เสนอให้บัญญัติเป็นหมวดอีกหมวดหนึ่งในรัฐธรรมนูญฉบับที่จะได้จัดทำขึ้นใหม่ตามที่ได้เคยแถลงต่อสาธารณะไปแล้ว โดยคณะนิติราษฎร์ยืนยันหลักการของการประกาศให้การนิรโทษกรรมการทำรัฐประหารหรือการแย่งชิงอำนาจรัฐเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นโมฆะ เพื่อเปิดทางให้บุคคลที่มีส่วนร่วมในการทำรัฐประหารหรือแย่งชิงอำนาจรัฐเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ไม่ว่าจะเป็นผู้กระทำการเอง ผู้ใช้ ตลอดจนผู้สนับสนุน เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม สำหรับบรรดาคดีซึ่งเกิดขึ้นจากการเริ่มกระบวนการโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากคณะผู้แย่งชิงอำนาจรัฐนั้น ก็ให้ลบล้างให้สิ้นผลไป ซึ่งไม่ได้หมายถึงการนิรโทษกรรม แต่ให้เริ่มกระบวนการใหม่ให้ถูกต้องเป็นธรรมต่อไป

               คณะนิติราษฎร์ขอเรียนให้ผู้ที่ติดตามกิจกรรมทางวิชาการของคณะนิติราษฎร์ทราบว่าในเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้ คณะนิติราษฎร์จะได้จัดกิจกรรมทางวิชาการที่เกี่ยวเนื่องกับการลบล้างผลพวงรัฐประหาร การขจัดความขัดแย้งในสังคมไทย และวิเคราะห์วิจารณ์ข้อเสนอเกี่ยวกับการปรองดองของบุคคลและสถาบันต่างๆ นอกจากนี้เพื่อให้การเคลื่อนไหวทางความคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยและนิติรัฐดำเนินไปในวงกว้างยิ่งขึ้น คณะนิติราษฎร์จะได้จัดให้มีการเผยแพร่แลกเปลี่ยนความรู้ทางกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายมหาชน ให้แก่ประชาชนทั่วไป รายละเอียดในเรื่องเหล่านี้จะแถลงให้ทราบต่อไป


25 เมษายน 2555 
http://redusala.blogspot.com

"สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล" เบรกครม.ดำหัว "เปรม"
"สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล" เบรกครม.ดำหัว 
"เปรม" ชี้ไม่จำเป็นทางกฎหมาย - นิติรัฐ - รธน. 

       "โฆษก ปชป." ชี้เพื่อไทยแพ้เพราะตระบัดสัตย์ ไม่ทำตามนโยบายที่หาเสียงเอาไว้ ด้าน "โฆษกเพื่อไทย" ยินดี ปชป. ชนะเลือกตั้งซ่อมปทุม - อ้างประชาชนเชื่อ "ยิ่งลักษณ์" เตรียมนำ ครม. ดำหัว "เปรม" เป็นเรื่องดี-นำไปสู่ปรองดอง ส่วน "สสจ." เห็นแย้ง-ชี้ไม่ด่าเปรมก็แล้วไป แต่ไม่จำเป็นต้องไปส่งเสริมการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง


      สำนักข่าวแห่งชาติ รายงานวันนี้ (22 เม.ย.) ว่านายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ปทุมธานีเขต 5 ที่พรรคประชาธิปัตย์ชนะการเลือกตั้ง ว่า ผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ทางพรรคเพื่อไทย ขอแสดงความยินดีกับนายเกียรติศักดิ์ ส่องแสง ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ ที่ชนะการเลือกตั้ง


               ส่วนกรณีที่นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า การที่พรรคประชาธิปัตย์ชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ เป็นเพราะคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยตกนั้น มองว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์การเลือกตั้งครั้งนี้เพียงร้อยละ 30 และคะแนนที่ชนะการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ต่างกันประมาณ 3 พันคะแนน ระหว่าง 2 หมื่น 7 พันคะแนน กับ 2 หมื่น 4 พันคะแนน อย่างไรก็ตาม ในวันพรุ่งนี้ (23 เม.ย.) ทางพรรคเพื่อไทยจะประชุมสมาชิก ส.ส พรรคเพื่อไทย เพื่อกำหนดยุทธ์ศาสตร์ จุดอ่อนจุดแข็ง และปรับแนวทางการทำงาน รวมถึงการสรุปแนวทางการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย


        นอกจากนี้ โฆษกพรรคเพื่อไทย ยังกล่าวถึงการเดินทางเข้าพบ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่บ้านพักสี่เสาเทเวศน์ ในวันที่ 26 เมษายนนี้ เพื่อรดน้ำอวยพรปีใหม่ ว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปพร้อมกับคณะรัฐมนตรี ซึ่งการเข้าพบประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ครั้งนี้ ประชาชนมองว่าเป็นเรื่องที่ดีนำไปสู่บรรยากาศการปรองดอง ความสามัคคี ซึ่งถือเป็นนิมิตหมายที่ดี

โฆษกประชาธิปัตย์ชี้เพื่อไทยแพ้เพราะตระบัดสัตย์


         ขณะเดียวกัน เว็บไซต์สุทธิชัย หยุ่น รายงานความเห็นของนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่กล่าว่า การเลือกตั้งที่ปทุมธานีเมื่อวานนี้  ต้องขอขอบคุณประชาชนทุกท่านที่ให้โอกาสพรรคประชาธิปัตย์  โดยเฉพาะ ดร. เกียรติศักดิ์ ส่องแสง ซึ่งส่วนหนึ่งเพราะการทุ่มเททำงานหนักของผู้สมัคร 

         แต่ส่วนหนึ่งสะท้อนให้เห็น ว่าความล้มเหลวของรัฐบาลในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา ทำให้รัฐบาลคะแนนหายไปที่ปทุมธานี เขต 5 เพียงเขตเดียว ถึงกว่าสองหมื่นคะแนน ไม่ว่าจะเป็นการตระบัดสัตย์เรื่องค่าครองชีพ การทำให้ผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ เรื่องการทำให้เกิดมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เรื่องการทุจริตคอรรัปชั่นเงินเยียวยา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต่างหากที่รัฐบาลกลับไม่สนใจ และไม่ใช่มาต่อล้อต่อเถียงกับฝ่ายค้าน เรื่องการปฏิบัติงาน เพราะฉะนั้นขอเรียกร้อง รัฐบาลหันกลับไปให้ความสนใจ กับการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ในการลดค่าครองชีพ และทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้  นโยบาย 300 บาท และ 1.5 หมื่นบาท ขณะนี้รัฐบาลไม่ได้ปฏิบติตามที่ได้พูดไว้ตั้งแต่ต้น และไม่มีแนวโน้มที่จะไปดูแลผลกระทบที่เกิดขึ้น จากการปฏิบัตินโยบายดังกล่าว

"พะจุณณ์" เผย "เปรม" รู้แล้วยิ่งลักษณ์จะมารดน้ำ 26 เม.ย.


       ขณะเดียวกัน มติชนออนไลน์ รายงานวันนี้ (22 เม.ย.) ว่า พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษและนายทหารคนสนิท พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี กล่าวว่า วันที่ 26 เม.ย. นี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะนำคณะรัฐมนตรี(ครม.) เดินทางที่บ้านพักสี่เสาเทเวศร์ เพื่อเข้ารดน้ำดำหัว พล.อ.เปรม เนื่องในโอกาสเทศกาลสงกรานต์หรือวันปีใหม่ไทย และ พล.อ.เปรม รับทราบเรื่องแล้ว ด้านพล.อ.พงษ์เทพ เทศประทีป เลขาธิการมูลนิธิรัฐบุรุษ กล่าวด้วยว่า การเข้าไปรดน้ำดำหัวเป็นขนบธรรมเนียมของคนที่เคารพกัน แต่น่าจะเป็นเรื่องที่ไม่เป็นทางการในการเข้าไป

"สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล" ชี้ ครม.ดำหัวเปรมคือ "ส่งเสริมการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง"


      ต่อข่าวดังกล่าว นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้แสดงความเห็นเมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. วันนี้ (22 เม.ย.) ต่อกรณีนายกรัฐมนตรีและ ครม. เตรียมเข้ารดน้ำดำหัว พล.อ.เปรม โดยนายสมศักดิ์ ได้โพสต์แสดงความในเฟซบุค ตั้งค่าการเข้าถึงสาธารณะ มีรายละเอียดดังนี้


       ตำแหน่งองคมนตรี เป็นที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ ตามรัฐธรรมนูญ ก็ไม่มีกำหนดไว้เลยให้มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงใดๆ กับคณะรัฐมาล


        อันที่จริง องคมนตรีควรไม่มีบทบาททางสาธารณะใด ๆ เลยด้วยซ้ำ เพราะถ้ามี แล้วมีปัญหาใดๆ ขึ้นมา ย่อมกระทบถึงสถาบันกษัตริย์ (อันทีจริง ทางกฎหมายต้องถือว่าองคมนตรีเป็นส่วนหนึงของสถาบันกษัตริย์)


        ตำแหน่งประธานองคมนตรี ก็ไม่ได้มีกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญว่า ต้องถือเป็นตำแหน่งพิเศษอะไร
        การที่ รัฐบาล และพรรคเพื่อไทย จะเลิกวิพากษ์วิจารณ์โจมตี พล.อ.เปรม นั้น ก็แล้วแต่


        แต่อันที่จริง ถ้าพูดในแง่ของกฎหมาย หลักทางนิติรัฐ และรัฐธรรมนูญ ก็ไม่มีความจำเป็นต้อง มีการนำคณะรัฐมนตรีไปแสดงความเคารพอะไร พล.อ. เปรม ในลักษณะทางการเช่นนี้


       

           คือต่อให้หยุดโจมตี พล.อ.เปรมแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลเชิงหลักการ เชิงกฎหมาย หรือนิติธรรม อะไร ที่ต้องให้ความสำคัญพิเศษ หรือแสดงการเคารพเป็นพิเศษต่อตัว พล.อ.เปรม


          จะว่าไปแล้ว ในประวัติศาสตร์ ก็มีแต่ พล.อ.เปรม ที่วางตัวไม่เหมาะสมกับการเป็นประธานองคมนตรี คือออกมามีบทบาทสาธารณะ และการเมือง อย่างโจ่งแจ้ง โดยไม่เกรงต่อข้อกำหนด รัฐธรรมนูญ (แสดงการฝักใฝ่พรรคการเมืองไม่ได้) และความเหมาะสม เชิงมารยาท และการปฏิบัติทางการเมือง (คนอื่นมีบทบาทแทรกแซงการเมือง ไมใช่ไม่มี แต่อย่างน้อย ยังรู้จักทำแบบหลบๆสายตาคนทั่วไป ไมใช่ทำแบบโจ่งแจ้งเช่นนี้)

       พูดง่ายๆ คือ ไม่โจมตี เปรม ก็แล้วไป แต่ไม่มีความจำเป็นใดๆ ทีต้องไปส่งเสริมการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องเช่นนี้


        หมายเหตุ: ตามรายงานข่าวนี้ ที่ "ลูกป๋า" อ้างว่า "เป็นขนบธรรมเนียมไทย" นั้น เป็นการพูดแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว "ขนบธรรมเนียม" ของการมีองคมนตรี (ตั้งแต่ 2492 เป็นต้นมา) ไม่เคยมีการให้ความสำคัญกับตำแหน่งประธานองคมนตรีในลักษณะนี้เลย และจะอ้างว่า นี่เป็นเรื่อง "ส่วนบุคคล" ก็ไม่ได้ เพราะที่จะไปกัน ไปในฐานะ คณะรัฐมนตรี ทั้งคณะ และที่ไป ก็ไมใช่เพราะ พล.อ.เปรม คือ นาย เปรม ที่ไหน"
http://redusala.blogspot.com

ประเคน "คุก 10 ปี" สุรชัย แซ่ด่าน!


        วันนี้(27 เม.ย.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์สอบคำให้การจำเลยคดีหมายเลขดำ อ. 1177/55 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ฟ้องนายสุรชัย แซ่ด่าน หรือ ด่านวิวัฒนานุสรณ์ อายุ 70 ปี แกนนำกลุ่มแดงสยาม เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาต มาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จ ราชการแทนพระองค์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
      
       คดีนี้โจทก์ฟ้องสรุปว่าระหว่างวันที่ 5 ก.พ. - 6 ก.พ. 54 เวลากลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยบังอาจกล่าวปราศรัยบนเวทีชั่วคราวด้วยถ้อยคำหมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี และองค์รัชทายาท เหตุเกิดบนเวทีปราศรัยชั่วคราวลานวัดสามัคคีธรรม ซ.ลาดพร้าว 64 แขวงและเขตวังทองหลาง กทม.
      
       โดยศาลอ่านและอธิบายคำฟ้องให้จำเลยฟังจนเป็นที่เข้าใจแล้วสอบถาม ซึ่งจำเลยแถลงให้การรับสารภาพไม่ต่อสู้คดี
      
       ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยกระทำผิดจริงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พิพากษาจำคุก 5 ปี จำเลยรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งเหลือจำคุก 2 ปี 6 เดือน โดยให้นับโทษจำเลยต่อในคดีหมิ่นเบื้องสูงของศาลอาญาอีก 3 สำนวน คดีแดง อ.503/55,504/55 และ505/ 55 ที่ศาลพิพากษาจำคุก 7 ปี 6 เดือน รวมจำคุก จำเลยไว้ทั้งสิ้น 10 ปี
http://redusala.blogspot.com

"ทักษิณ" บินลงจอดสนามบินกรุงลอนดอน เพื่อร่วมชมฟุตบอลนัดสำคัญ


(THE NATION/ASIA NEWS NETWORK) - Former Thai prime minister Thaksin Shinawatra is scheduled to return to England for the first time since 2008 to watch Monday's crucial soccer game between Manchester United and Manchester City, his legal aide Noppadon Pattama confirmed on Thursday.

British authorities shut Thaksin out in late 2008 after he was found guilty in the Ratchadaphisek land case. Before that, Thaksin had a luxurious residence in London and bought Manchester City Football Club, which he later sold to its current owners.

The United Kingdom (UK) Embassy here has kept a tight lip on the policy change towards Thaksin.

The decision to allow him back, however, coincided with him getting permission to enter countries such as Germany, France, Russia and Japan.
http://redusala.blogspot.com

จากปทุมธานี ถึงพรรคเพื่อไทย
พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์: จากปทุมธานี ถึงพรรคเพื่อไทย รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
27 เมษายน   2555

ดร.พิชิต        การพ่ายแพ้ของพรรคเพื่อไทยทั้งในการเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เขต 5 ปทุมธานี และการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี (อบจ.) ได้ให้บทเรียนที่สำคัญยิ่ง


      สาเหตุเฉพาะหน้าของความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ก็คือ มวลชนคนเสี้อแดงปทุมธานีจำนวนมาก “พร้อมใจกัน” ไม่ไปลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครพรรคเพื่อไทยนั่นเอง เป็นผลให้ผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์แม้จะไม่ได้คะแนนเสียงเพิ่ม แต่ก็สามารถชนะการเลือกตั้งในที่สุด


        นัยหนึ่ง คนเสื้อแดงปทุมธานีกำลัง “สั่งสอนบทเรียนสำคัญ” ให้กับพรรคเพื่อไทยสาเหตุสำคัญคือ ปัญหาระบบของพรรคเพื่อไทยในการคัดสรรคนเพื่อลงสมัครเป็น ส.ส. ที่ยังเต็มไปด้วยระบบอุปถัมภ์และลัทธิพรรคพวก ในแต่ละเขต จะมี “เจ้าของพื้นที่” อยู่เพียงไม่กี่คนที่งุบงิบตัดสินใจกันเองว่า จะเอาญาติ พี่น้อง ลูกเมียใครลงสมัครบ้าง โดยไม่สนใจความคิดความรู้สึกของประชาชนในท้องถิ่นผลที่ได้คือ ในหลายพื้นที่ พรรคเพื่อไทยจะได้แต่ประเภท “ส.ส.หลังยาว” ที่เกาะกระแส พ.ต.ท.ทักษิณ หรือนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามา โดยแทบไม่ได้หาเสียงด้วยตนเอง ไม่มีผลงานอันใด ไม่ใส่ใจประชาชนในพี้นที่ ไม่เป็นที่พึ่งพาของประชาชนในยามเดือดร้อน เอาแต่วิ่งเต้นในพรรค คอยเดินตามรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีเพื่อตำแหน่งต่างๆ ให้ตนเองหรือพรรคพวกญาติพี่น้องในการเลือกตั้งใหญ่ 3 กรกฎาคม 2554 ประชาชนจำต้องกล้ำกลืนทั้งน้ำตา ยอมลงคะแนนให้ “ส.ส.หลังยาว” พวกนี้เข้าไปเพราะต้องการเอาชนะพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นตัวแทนเผด็จการจารีตนิยม ให้พรรคเพื่อไทยที่เป็นฝ่ายประชาธิปไตยชนะคะแนนเด็ดขาดแล้วได้จัดตั้งรัฐบาล


        แต่ในการเลือกตั้งซ่อมและเลือกตั้งองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น เป็นคนละปริบท ประชาชนสามารถตัดสินใจได้กว้างขึ้นโดยรู้ดีว่า จะไม่กระทบภาพใหญ่ระดับประเทศ พวกเขาจึงเลือก ส.ส.ตามลักษณะและคุณภาพอย่างแท้จริง ในกรณีเขต 5 ปทุมธานี ส.ส.ที่ลาออกไป คือพวกหลังยาว ซึ่งประชาชนเอือมระอาเต็มทน ส่วนผู้ที่มาลงแทน ก็ถูกคัดสรรมาจาก “เจ้าของพื้นที่” โดยไม่สนใจความคิดเห็นของประชาชน ดูถูกประชาชนว่า นี่คือพื้นที่สีแดง ต่อให้พวกตนเอา “เสาไฟฟ้า” มาลง คนเสื้อแดงก็ต้องเลือกวันยังค่ำ เพราะถึงอย่างไร มวลชนก็จะไม่หันไปเลือกพรรคประชาธิปัตย์ แต่เขาหารู้ไม่ว่า คนเสื้อแดงเป็นมวลชนที่ตื่นตัวทางประชาธิปไตยอย่างสูง ฟันฝ่ากระสุน ระเบิด และกองเลือดเพื่อประชาธิปไตยมาแล้ว มวลชนจึงคิดได้ว่า พวกเขาไม่ได้ถูกกำหนดจากพรรคเพื่อไทย แต่เป็นพวกเขาต่างหากที่กำหนดชะตากรรมของพรรค


         บทเรียนสำคัญคือ พรรคเพื่อไทยจะต้องปฏิรูปกระบวนการคัดสรรตัวบุคคลลงสมัครรับเลือกตั้ง ลดเลิกระบบอุปถัมภ์และลัทธิพรรคพวก ให้ประชาชนระดับฐานรากเข้ามามีส่วนโดยตรงในการเสนอชื่อและคัดสรรผู้สมัคร สร้างให้พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคมวลชนอย่างแท้จริง ค่อยๆ ลดความเป็นพรรคเถ้าแก่ใหญ่ แน่นอนว่า สิ่งนี้จะต้องเผชิญกับแรงต่อต้านอย่างหนักจากกลุ่มก๊วนต่าง ๆ ในพรรค แต่นี่คือปัจจัยชี้ขาดข้อเดียวว่า พรรคเพื่อไทยจะเป็นพรรคการเมืองเชิงสถาบันในระยะยาวต่อไปได้หรือไม่เมื่อพ้นยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรแล้ว


         พรรคเพื่อไทยแม้จะชนะเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรในระดับชาติ แต่กลับล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในระดับท้องถิ่น คือพ่ายแพ้การเลือกตั้งองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นในเกือบทุกท้องที่ โดยมี อบจ. ปทุมธานี เป็นกรณีล่าสุด การเมืองระดับชาติกับการเมืองระดับท้องถิ่นนั้น มีลักษณะเนื้อหาที่แตกต่างกันโดยพื้นฐาน จะเอาวิธีการของการเลือกตั้งระดับชาติไปใช้กับการเลือกตั้งท้องถิ่นไม่ได้ คือไม่สามารถชูภาพ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือนางสาวยิ่งลักษณ์แล้วชนะเลือกตั้ง


         การเมืองท้องถิ่นเป็นเรื่องผลประโยชน์โดยตรงของคนพื้นที่และการพัฒนาท้องถิ่น ประชาชนจึงต้องการคนพื้นที่ที่ทำงานทุ่มเทให้กับการพัฒนาท้องถิ่นอย่างแท้จริง ไม่ได้ต้องการคนที่เป็น “เพื่อไทย” หรือ “เสื้อแดง” การเมืองระดับชาติแทบไม่มีผล ระบบการคัดสรรคนของพรรคเพื่อไทยจึงใช้ไม่ได้กับการเมืองท้องถิ่นอีกเช่นกัน เพราะไปตัดสินกันที่ความสัมพันธ์โยงใยกับ “เจ้าของพื้นที่” เป็นหลัก โดยมีผลงานและความสัมพันธ์กับประชาชนในท้องถิ่นเป็นประเด็นรอง

        บทเรียนจากกรณี อบจ.ปทุมธานีจึงเป็นเรื่องของความเข้าใจต่อการเมืองท้องถิ่น ซึ่งแบบวิธีคิด วิธีการทำงาน การหาเสียง การจัดตั้งเครือข่ายและสร้างผลงานในท้องถิ่น เป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยจะต้องเรียนรู้ หัวใจสำคัญจึงยังคงอยู่ที่ระบบการคัดสรรคนของพรรคเพื่อไทยอีกนั่นเอง


       แต่ยังมีเหตุผลสำคัญอีกข้อหนึ่งที่ทำให้พรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้การเลือกตั้งที่ปทุมธานี และเป็นเหตุผลที่ทั้งแกนนำพรรคเพื่อไทยและแกนนำ นปช.ปฏิเสธเสียงแข็งและไม่ยอมพูดถึง นั่นคือ นโยบายปรองดองของพรรคเพื่อไทยและท่าทีของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมุ่งประนีประนอมกับฝ่ายเผด็จการจารีตนิยมโดยไม่คำนึงถึงหลักการความยุติธรรม  เป็นการ “หย่าศึก” “ลืมอดีตทุกอย่าง” “ยกโทษให้ทุกฝ่ายทุกคน” บนกองเลือดและความเจ็บช้ำของมวลชนคนเสื้อแดง


        คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เสียมเรียบ ที่บอกให้ แม่น้องเกด (นางพะเยาว์ อัคฮาค มารดานางสาวกมลเกด อัคฮาค พยาบาลอาสาที่ถูกทหารพลแม่นปืนฆ่าอย่างโหดเหี้ยมขณะปฏิบัติหน้าที่ในวัดปทุมวนาราม) และญาติผู้เสียชีวิตควร “เสียสละ” “เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม” นั้น เป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจคนเสื้อแดงอย่างสาหัส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับญาติพี่น้องของคนที่ตาย บาดเจ็บ พิการ และติดคุกถึงทุกวันนี้ เป็นนัยว่า เขาเหล่านี้ไม่รู้จัก “เสียสละ” ที่ไม่เห็นด้วยกับ “การปรองดอง” ของพรรคเพื่อไทย


        พรรคเพื่อไทยอย่าได้คิดว่า “ให้เงินเยียวยาไปคนละหลายแสนหรือหลายล้าน แล้วจบกัน” จะต้องเข้าใจว่า การที่คนเหล่านี้ก้าวออกมาต่อสู้ ฝ่ากระสุน ระเบิด และความตาย เสียชีวิตและอวัยวะ สูญทรัพย์สิน เงินทอง อาชีพการงาน ต่อเนื่องมาหลายปีนั้น ไม่ใช่เพียงแค่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้าน แต่จุดหมายหลักคือ เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง ส่วนเรื่องอื่น ๆ เป็นผลพลอยได้ เขาเหล่านี้แหละที่ “เสียสละเพื่อส่วนรวมอย่างแท้จริงมาตลอดหลายปี” สิ่งที่พวกเขาเรียกร้องในวันนี้ไม่ใช่การล้างแค้น พวกเขาต้องการแค่ “ความยุติธรรม” เท่านั้น และก็ไม่มีใครหน้าไหนมีสิทธิ์มาบอกให้พวกเขา “เสียสละ” เพิ่มขึ้นอีก ยิ่งไม่มีสิทธิ์มาบอกพวกเขาว่า “ให้นึกถึงส่วนรวม”


        การปฏิเสธความจริงข้อนี้คือ “การทรยศ” ต่อการเสียสละอันใหญ่หลวงของพวกเขา ถึงวันนี้ พรรคเพื่อไทยและแกนนำยังไม่เข้าใจอยู่อีกหรือ?


      เรื่อง “การปรองดอง” ที่ไร้หลักการและไม่ยุติธรรมนี้แหละคือความคับแค้นใจอย่างแท้จริงในหัวใจของคนเสื้อแดงทั่วประเทศ พวกเขารู้สึกว่า “ถูกหักหลัง” นี่จะเป็นเครื่องชี้ชะตากรรมหนึ่งเดียวของพรรคเพื่อไทยกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรว่า จะยังคงได้รับการอุ้มชูและคุ้มครองจากประชาชนผู้รักประชาธิปไตยต่อไปหรือไม่


       หากปราศจากมวลชนคนเสื้อแดงแล้ว อย่าว่าแต่จะชนะเลือกตั้งเลย แม้แต่ตัวพรรคเพื่อไทยและ พ.ต.ท.ทักษิณเอง ก็ไม่อาจอยู่รอดได้แม้แต่วันเดียวในกรงเล็บของเผด็จการจารีตนิยม!

ข้อมูลที่มา : เวบไซท์ประชาไท
http://redusala.blogspot.com