วันที่ 21 พฤษภาคม ณ เมรุหลวงพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส จะมีการเชิญโกศศพ พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์ ขึ้นวอประเทียบ จากบ้านสนามบินน้ำ ไปยังพลับพลา วัดเทพศิรินทร์
จากนั้นในเวลา 17.00 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนิน พระราชทานเพลิง
การจากไปของ เสธ.หนั่น เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในวงการเมืองไทย
งานพระราชทานเพลิง เสธ.หนั่น มีการแจกหนังสือ 2 เล่ม เล่มแรก รวมคำไว้อาลัย อีกเล่ม ชื่อเรื่อง ล้วนเป็น ผมลิขิต ชีวิตเอง เป็นเรื่องราวของเด็กบ้านนอกมาเป็นทหารม้า จากบางขวางสู่ทำเนียบรัฐบาล มีบุคคลชั้นนำ เขียนไว้อาลัย เสธ.หนั่น ได้อย่างน่าสนใจ และอาจเป็นอีกบันทึกประวัติศาสตร์ การเมืองไทย
มติชนออนไลน์ คัดเลือก คำไว้อาลัยของบางท่านมา เสนอ ณ ที่นี้
พลเอก เปรม ติณสูลานนท์
ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
เรารู้จักกันมานาน เคยรับราชการในหน่วยเดียวกันมานาน สนั่นเป็นทหารที่ดี เป็นนักการเมืองที่เก่ง สิ่งหนึ่งที่อยู่ในใจเขาเสมอ คือไม่ลืมบุญคุณของผู้ที่หยิบยื่นให้นับตั้งแต่เพื่อน ผู้บังคับบัญชา จนกระทั่งชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวเขา
ขอให้เขาได้ขึ้นสวรรค์
ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
พี่สนั่นกับผมรู้จักและมีความสัมพันธ์กันมานานนับตั้งแต่ปี 2518 และมีใกล้ชิดกันมากขึ้น นับตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมตัดสินใจเข้าสู่การเมือง จนกระทั่งเมื่อประมาณ 3 เดือน ก่อนที่พี่สนั่นจะจากไป ก็ยังได้รับประทานอาหารค่ำด้วยกันที่ลอนดอน ซึ่งวันนั้นพี่สนั่นได้บอกกับผมถึงความมุ่งมั่นที่จะกลับไปทำหน้าที่สร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองเป็นงานสุดท้าย ก่อนจะอำลาการเมือง พี่สนั่นเป็นแบบฉบับของการเล่นการเมืองที่เคารพกติกา มีน้ำใจนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ไม่เอาเป็นเอาตายกันเหมือนทุกวันนี้
ผมขอให้คุณงามความดีที่พี่สนั่นได้กระทำไว้ให้แก่บ้านเมือง รวมทั้งความปรารถนาดีที่อยากจะเห็นบ้านเมืองมีสันติสุขเกิดความปรองดองแม้กระทั่งในวาระสุดท้ายของชีวิต จงนำพาให้ดวงวิญญาณของพี่สนั่นไปสู่สุขคติในสัมปรายภพ เทอญ
นายพิชัย รัตตกุล
เหมือนกับคนทั่วไป ผมมีเพื่อนฝูงไม่น้อยที่ประกอบไปด้วย เพื่อนที่แสนดี มีน้ำใจโอบอ้อมอารี มีความจริงใจต่อเพื่อนฝูง มีความเสมอต้นเสมอปลาย ไม่เคยคิดไม่ดีต่อเพื่อน ขณะเดียวกันผมก็มีเพื่อนไม่น้อยในหลายวงการที่หาความจริงใจยาก
พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เป็นเพื่อนคนหนึ่งของผมที่มีคุณสมบัติดีดังกล่าวข้างต้นและเป็นเพื่อนที่เคยตกทุกข์ได้ยากด้วยกันมาหลายสิบปี เป็นเพื่อนรักที่มีน้ำใจแท้
เพื่อนเช่น พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ นั้นหายากอย่างยิ่ง เรารู้จัก และเริ่มสนิทสนมกันมาเสมือนพี่น้องตั้งแต่ พล.ต.สนั่น เข้ามาร่วมอุดมการณ์ทางการเมืองกับพรรคประชาธิปัตย์ ล้มลุกคลุกคลานมาด้วยกัน จน พล.ต.สนั่นได้รับเลือกตั้งให้เป็นเลขาธิการของพรรค และเป็นผู้มีความสามารถในการประสานงานต่างๆ กับพรรคการเมืองอื่นๆได้อย่างดีมาก และประสบความสำเร็จ จนทำให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ ในการจัดตั้งรัฐบาลในอดีตได้หลายครั้ง
ผมไม่เคยเรียกขานชื่อ พล.ต.สนั่นว่าเป็น “เสธ.หนั่น” แต่เรียก พล.ต.สนั่นว่า “น้อง” ทุกคำและก็เรียกขานเช่นนี้ด้วยความจริงใจมาตลอดเวลา
ผมไม่ทราบว่า พล.ต.สนั่น มีความเหตุผลประการใดที่ภายหลัง ที่ต้องจำใจลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ เพราะขณะนั้นผมได้เกษียณตัวเองทางการเมืองไปแล้ว เมื่อคนรุ่นใหม่เข้ามาบริหารงานของพรรคประชาธิปัตย์ ผมก็ค่อยๆถอนตัวออกมา จึงไม่ทราบเหตุผลอันแท้จริง และจากการที่ผมเคารพในการตัดสินใจของเพื่อน จึงคิดว่าน่าจะเป็นการเสียมารยาท หากเซ้าซี้สอบถามถึงสาเหตุที่ทำให้ พล.ต.สนั่นต้องจากพรรคประชาธิปัตย์ไป
การที่ พล.ต.สนั่นต้องจากพรรคประชาธิปัตย์ไป ผมเห็นว่าเป็นการสูญเสียบุคลากรที่มีคุณค่ายิ่งสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ แต่ก็เป็นประโยชน์ยิ่งแก่พรรคใหม่ที่ พล.ต.สนั่น ย้ายเข้าไปและ พล.ต.สนั่นก็ทำหน้าที่ในพรรคใหม่นั้นอย่างเต็มกำลัง ในขณะเดียวกันก็รักษาความสัมพันธ์ และความรักกับสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผมและครอบครัวของผมอย่างไม่เสื่อมคลาย
ผมคิดถึง พล.ต.สนั่น ผมคิดถึงความผูกพันที่เราทั้งสองมีต่อกัน ผมรักน้องของผมคนนี้มาก และขอให้เราได้เป็นพี่น้องอย่างแท้จริง โดยสายเลือดในภพหน้า และภพต่อๆไป
นายกล้านรงค์ จันทิกอดีตเลขาธิการ คณะกรรมการ ป.ป.ช.
คุณศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ ได้มีหนังสือถึงผม ขอให้เขียนคำไว้อาลัย เพื่อรวบรวมไว้ในหนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพพลตรี สนั่น ขจรประศาสน์
ผมรู้สึกเป็นเกียรติและยินดีเขียนให้ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง
ผมรู้จัก” พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์”มาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว” พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์” ได้เมตตาให้ความรักผมเสมือนเป็นน้องชายคนหนึ่ง ผมเรียกท่านว่า “พี่หนั่น”
ผมพบกับท่านในงานพิธีและในงานสังคมต่างๆหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ราชตฤณมัยสมาคมหรือที่เราเรียกกันโดยทั่วไปว่า “สนามม้านางเลิ้ง”
เพราะที่ทำงานเดิมของผมอยู่ที่ถนนพิษณุโลกตรงข้ามทำเนียบรัฐบาลอยู่ห่างจากสนามม้านางเลิ้ง เพียงไม่เกิน ๕๐๐ เมตร
ตอนเย็นเลิกงานในวันที่ว่าง ผมและพรรคพวกจะไปไดร์กอล์ฟและสังสรรค์กันต่อที่สโมสร เนื่องจากอาหารราคาไม่แพงนัก
หลายๆครั้งผมได้พบกับ พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์ ซึ่งท่านก็จะทักทายและพูดคุยกับผมอย่างเป็นกันเอง
แต่ในปี พ.ส. 2543 พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์ ได้ประสบกับมรสุมในชีวิตอย่างใหญ่หลวงและเป็นต้นเหตุให้ พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์ ต้องหยุดพักจากชีวิตทางการเป็นนักการเมืองเป็นเวลาถึงห้าปี
นั่นคือ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2543 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติว่า “พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์” ได้ยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินและหนี้สินกรณีเงินกู้ 45 ล้านบาทเป็นเท็จ และศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ 31/2543 วันที่ 30 สิงหาคม 2543 ชี้ขาดว่า “พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์” จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 295
ผมเองได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้เป็นผู้แทนผู้ร้องในการแถลงการณ์ตอบข้อซักถาม ซักค้านและดำเนินการอื่นๆในกระบวนการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ
ในทางส่วนตัว ผมมีความเคารพรัก “พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์” เหมือนพี่ชายดังได้กล่าวมาเบื้องต้น
แต่ในการปฏิบัติหน้าที่เราต้องแยกเรื่องส่วนตัวออกไปให้หมดเหลือแต่การปฏิบัติหน้าที่อย่างเดียว ผมต้องขอคารวะและชื่นชมสปิริตความเป็นลูกผู้ชายและนักสู้ของ “พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์”เพราะเมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีมติเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2543 “พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์”ได้ยอมรับมติของคณะกรรม ป.ป.ช. โดยในวันรุ่งขึ้นได้ลาออกจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่ทั้งหมด นั่นคือ ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและตำแหน่งในพรรคประชาธิปัตย์
“พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์” ได้ยึดหลักปฏิบัติตามกฎหมายสู้คดีกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยได้ขึ้นเบิกความและตอบข้อซักถามของผู้ร้องด้วยตนเอง พร้อมทั้งนำพยานบุคคลและเอกสารชี้ให้ศาลรัฐธรรมนูญ ได้พิจารณาอย่างเต็มที่
“พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์” ไม่ได้โกรธเคืองหรือมีจิตใจอาฆาตผมแต่อย่างใดทั้งสิ้น ทั้งในระหว่างที่สู้คดีกันและหลังจากศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยแล้ว
เมื่อพบกันในงานต่างๆ ท่านก็ยังทักทายและพูดคุยกับผมอย่างเป็นกันเองเช่นเดิม
ส่วนผมก็เข้าไปไดร์ฟกอล์ฟและทานอาหารที่สนามม้านางเลิ้งตามปกติ โดยไม่เคยได้รับการคุกคาม หรือแม้แต่จะมีอาการตอบโต้ไม่พอใจจากบุคลากรในสนามม้านางเลิ้งแต่อย่างใดทั้งสิ้น
ผมได้รับคำบอกเล่าจากผู้ใกล้ชิด “พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์” ว่าได้มีคนที่รักใคร่ท่าน ได้แสดงอาการไม่พอใจและโกรธเคืองผมในการทำหน้าที่ในศาลรัฐธรรมนูญ แต่ “พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์” ได้ห้ามปรามไว้ และบอกว่า
“กล้านรงค์” เป็นคนดี เขาทำงานตามหน้าที่ อย่าไปโกรธเคืองอะไรเลย
ผมได้พบกับท่านเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อผมไปอวยพรในงานแต่งงานของ “คุณศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์” เนื่องจากผมต้องไปราชการต่างจังหวัดไม่สามารถไปงานตามการ์ดเชิญได้
ผมไปพบท่านที่บ้านสนามบินน้ำ โดยให้คนที่รู้จักพาไป วันนั้นผมได้นั่งคุยกับท่านนานมากประมาณชั่วโมงเศษ เราได้คุยกันทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นจุดอ่อนในการต่อสู้คดี ที่ทำให้ท่านต้องแพ้คดี มีบางเรื่องที่ท่านได้รับฟังมาจากคำยุยงที่ไม่ถูกต้องทำให้ท่านเข้าใจผิดในคนบางคนว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังและเข้ามามีบทบาทชี้นำการวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในเรื่องของท่าน ผมได้ยืนยันกับท่านว่าบุคคลคนนั้นไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องและไม่มีบทบาทในเรื่องนี้แต่อย่างใดทั้งสิ้น การพิจารณาวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นไปโดยสุจริต ปราศจากอคติและการชี้นำใดๆ ทั้งสิ้น
พิจารณาไปตามพยานหลักฐานที่ปรากฎ ซึ่งเป็น “ข้อเท็จจริงทางคดี”
“พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์” ได้ทั้งฟังและมองหน้าผมนิ่งตลอดเวลา เมื่อผมพูดจบท่านำได้ลุกขึ้นและยื่นมือมาให้ผมจับพร้อมกับพูดว่า
“ผมเชื่อคุณ”
นั่นคือประโยคสุดท้าย และเป็นประโยคที่สำคัญที่สุด
ผมเชื่อมั่นว่าจากคำพูดของผมจะทำให้ท่านได้เข้าใจในข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง และในวันนี้ท่านได้จากไป ด้วยจิตจี่สงบ ปราศจากการค้างคาในบุคคลที่ท่านเข้าใจผิดตลอดมา
ตลอดชีวิตของ “พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์” ได้อุทิศตนทำงานหนักให้แก่ชาติบ้านเมือง ท่านเหนื่อยมามากแล้ว
บัดนี้ ท่านได้รับการพักผ่อนแล้ว
ขอให้ท่านได้นอนหลับให้สนิท อย่าได้กังวลใดๆต่อไปอีกเลย
ความอยู่รอดปลอดภัยของ “ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์” จะต้องเป็นภาระของบุคคลในชาติที่ยังมีชีวิตอยู่ ที่จะต้องยืนหยัดต่อสู้และอุทิศทั้งชีวิตและเลือดทุกหยด เพื่อปกป้องและดำรงไว้ให้อยู่ชั่วลูกชั่วหลานตลอดไป
ขอให้ดวงวิญญาณของ “พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์”หรือ “พี่หนั่น” ของผม จงประสบแต่ความสุข สงบอยู่ในสัมปรายภพด้วยเทอญ และถ้าดวงวิญญาณของ “พี่หนั่น” มีญาณวิถีใดที่สามารถรับรู้ได้ ขอได้โปรดทราบว่า ผมยังรักและระลึกถึงน้ำใจและคุณงามความดีของ “พี่หนั่น” ตลอดเวลาและตลอดไป
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ โลดแล่นบนเวทีการเมืองตั้งแต่ก่อนผมเกิด พอเติบโตมาเป็นเด็กบ้านนอกที่สนใจการเมืองก็เห็นเส้นทางชีวิตของ “เสธ.หนั่น” เต็มไปด้วยสีสันและสัจธรรม ทั้งสูง ต่ำ สุข ทุกข์ ตามแบบฉบับของคนผู้เป็นตำนาน
มีโอกาสสัมผัสกับท่านโดยตรงตอนทำหน้าที่รองโฆษกรัฐบาลยุคนายกฯ สมัคร สุนทรเวช ขณะนั้น “เสธ.หนั่น” ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ทุกครั้งที่ได้สนทนาบรรยากาศเป็นกันเอง และท่าทีเปี่ยมเมตตาปรากฏจากคนจริงท่านนี้เสมอ จนมีความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลังจากพรรคพลังประชาชนถูกยุบพร้อม 2 พรรคร่วมรัฐบาล ผมก็ไม่ได้พบกับท่านอีก เพราะเส้นทางการเมืองที่แตกต่างกัน
กลับมาพบกันอีกครั้งผมอยู่ในฐานะผู้ต้องขังในคดีการเมือง ส่วน “เสธ.หนั่น” เป็นรองนายกฯ ในรัฐบาลชุดใหม่แต่บทบาทขณะนั้นกำลังเป็นที่จับตาและวิพากษ์วิจารณ์ เพราะท่านชูธงปรองดองด้วยการประกาศเดินสายพบทุกฝ่ายที่เป็นคู่ขัดแย้งทางการเมือง ทราบจากข่าวตอนนั้นว่าท่านมีโครงการจะมาพบพวกเราในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ด้วย ผมติดตามข่าวนี้ด้วยความสนใจ แต่ก็ยังไม่แน่ใจนักว่าท่านรองนายกฯ จะฝ่ากระแสมาถึงเรือนจำได้
อีกครั้งหนึ่งที่ประสบการณ์ชีวิตผมต้องบันทึกว่า คนจริงเมื่อพูดได้ก็ต้องทำได้ “เสธ.หนั่น” ในชุดเสื้อแขนสั้นสีม่อฮ่อม กางเกงขายาวสีน้ำตาลอ่อน เดินช้าๆมาหาพวกเราซึ่งถูกเรียกตัวให้มารออยู่ก่อนถึงในเรือนจำ การทักทายโอภาปราศรัยเป็นไปตามมารยาท แล้วท่านก็ประกาศเจตนารมณ์สร้างความปรองดองพร้อมถามความเห็น เหล่าผู้ต้องขังทั้งหลายขานรับตามเนื้อข่าวที่ปรากฏในเวลานั้น
ผ่านวาระสำคัญ “เสธ.หนั่น” บอกพวกเราว่าเอามะขามหวานติดมือมาฝากด้วย พร้อมกระซิบกับผมว่า คืนก่อนมานี่ฝันเห็นเพื่อนรัก พ.อ.(พิเศษ) อาคม ใสสะอาด ลุงผู้ล่วงลับของภรรยาผมมาหาถึงบ้าน ท่านบอกสะดุ้งตื่นแล้วคิดอยู่ในใจว่า สงสัยพี่อาคมจะมาบอกให้ไปช่วยหลานเขย ผมยกมือไหว้ขอบคุณด้วยความซาบซึ้งในเมตตาและมิตรภาพระหว่างเพื่อนของผู้อาวุโส
หลังท่านกลับผมเอามะขามหวานของฝากแบ่งพรรคพวกแล้วแยกย้ายกลับแดนขัง ถึงแดน 4 ก็จัดแจงแบ่งมะขามหวานกินกับผู้คุมและเพื่อนผู้ต้องขัง เม็ดมะขามก็ขออนุญาตผู้คุมฝังไว้ในกระถางต้นไม้ของป้อมหลังแดน เวลาผ่านไปภารกิจปรองดองของ “เสธ.หนั่น” ยังกระท่อนกระแท่นแต่มะขามหวานในกระถางแดน 4 กลับโตวันโตคืน ผู้คุมคนหนึ่งมาเห็นเข้าก็เอ่ยปากขอไปปลูกในสวนที่ราชบุรี ผมตอบรับด้วยความยินดีพร้อมตั้งชื่อให้เสร็จสรรพว่า “มะขามหวานพันธุ์ปรองดอง” เข้าใจว่าคงเติบโตงอกงามรอความปรองดองอย่างแท้จริงตามความฝันของผู้เป็นเจ้าของจนถึงวันนี้
ระหว่างประสานงานกันก่อนได้รับการประกันตัว “เสธ.หนั่น” ฝากคำชวนมาบอกพวกเราว่า ออกไปแล้วมาเยี่ยมเยือนกันที่บ้านบ้าง ผมฝากคำตอบรับว่าวันแรกที่ออกไปจะมุ่งหน้าไปบ้านท่านทันที เป็นที่มาของการเยือนบ้านสนามบินน้ำครั้งแรกในชีวิตของผม พร้อมพี่น้องร่วมชะตากรรม เพื่อขอบคุณในความพยายามอย่างจริงใจที่จะหยิบยื่นอิสรภาพให้พวกเรา
หลังจากนั้น ผมแวะเวียนไปบ้านสนามบินน้ำอีกหลายครั้ง บางทีก็ฝากข้าวปลาอาหารผลไม้ประดามีให้ท่านและครอบครัว ทราบดีว่าท่านมีเหลือพอ แต่ผมเห็นว่านี่เป็นการแสดงออกหนึ่งว่าผมกับเพื่อนยังระลึกถึงหัวใจของท่านตลอดมา
“เสธ.หนั่น” เป็นคอไวน์ระดับอาจารย์ แต่ช่วงเวลาที่ผมเป็นแขกที่บ้านท่าน คำแนะนำของแพทย์ให้งดดื่มมีผลปฏิบัติแล้ว แต่ พล.ต.สนั่น ก็คือ พล.ต.สนั่น ท่านสั่งพนักงานเอาแก้วไวน์มา 2 ใบ แล้วเปิดไวน์อย่างดีมารอไว้ รินไวน์ตามกรรมวิธีให้ผมแล้วรินน้ำอัดลม (โค้ก) ในแก้วตัวเอง จากนั้นก็เชื้อเชิญผมดื่ม บอกว่าสีมันคล้ายๆกัน สำหรับผมนี่เป็นแบบฉบับของคนมากมิตรมากน้ำใจและไม่เคยสงสัยเลยว่าทำไมคนชื่อ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ถึงได้ยืนหยัดอยู่กลางวงน้ำมิตรแม้จนชีวิตหาไม่
เวลาไม่นานนักที่ได้สัมผัสถือได้ว่า “เสธ.หนั่น” เป็นครูคนสำคัญท่านหนึ่งทางการเมือง แท้เวทีนี้จะไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร แต่ถ้าหัวใจคนเราแน่นอน ความถาวรแห่งมิตรภาพย่อมถูกสถาปนาขึ้นได้ ผมมั่นใจว่า พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ คือหนึ่งในจำนวนคนประเภทนั้น
ขอแสดงความอาลัยและเสียใจต่อครอบครัวขจรประศาสน์ ที่ประสบความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ขอแสดงความอาลัยต่อหนึ่งตำนานการเมืองไทยผู้จากไปหลังจากฝากสีสันแพรวพราวไว้บนเส้นทาง ขอคารวะต่อความปรารถนาดีที่มีต่อผมและครอบครัว ตลอดจนพี่น้องผู้ร่วมอุดมการณ์ตลอดมา