วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2559

'เหลือง' ฟ้อง 'ประยุทธ์-กรธ.-สนช.-กกต.' กม.ประชามติขัดนิติธรรม ร่างรธน.ทำเสี่ยงเสียดินแดน


กมลพรรณ นำเครือข่ายประชาชนปกป้องประเทศ ยื่นศาลปกครอง ฟ้อง ประยุทธ์-ครม.-กรธ.-สนช.-กกต. เหตุ ร่าง รธน.  ทำไทยสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียดินแดนและสัมปทานทรัพยากรธรรมชาติ พ.ร.บ.ประชามติขัด รธน.รัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ.2557
เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก 'Kamolpan Cheewapansri' ระบุว่า งานที่ศาลปกครองวันนี้ ฟ้องคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) คณะรัฐมนตรี (ครม) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต) เรื่องร่าง รัฐธรรมนูญ มาตรา 54. 178 ขัดรัฐธรรมนูญ และกฎหมายอาญา ม129 128. 129 และ พ.ร.บ.ประชามติ ขัดหลักนิติธรรม 
ไทยรัฐออนไลน์และมติชนออนไลน์ รายงานตรงกันว่า ที่ศาลปกครองกลาง ถนนแจ้งวัฒนะ กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี อายุ 58 ปี  พร้อมพวกรวม 17 คน เครือข่ายประชาชนปกป้องประเทศ (คปป.) ยื่นฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญและคณะกรรมการการเลือกตั้ง เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-5 กรณีคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 ร่างรัฐธรรมนูญปี 2559 เพื่อลงประชามติ โดยมีรัฐธรรมนูญมาตรา 178 ที่ไทยสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียดินแดนและสัมปทานทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงร่างมาตรา 54 ที่ขัดต่อกติกาสากลระหว่างประเทศ ประกอบกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 และ 5 ได้ผ่าน พ.ร.บ.ว่าด้วยการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559 มีหลายมาตราอาจขัดต่อประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของประเทศ ขัดต่อรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ.2557 มาตรา 1, 4, 5 และ 35(1) รวมถึงการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งหมดและผู้เกี่ยวข้องสุ่มเสี่ยง ต่อการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 119, 128 และ 129 ในเรื่องการสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียดินแดนและสูญเสียความมั่นคงของรัฐ
ผู้ฟ้องขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินและคุ้มครองชั่วคราวในประเด็น 1.ให้ผู้ถูกฟ้องที่ 1-5 ยุติกระบวนการเผยแพร่และการลงประชามติจนกว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตรา 54 ,178 และมาตราอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ก่อนนำไปลงประชามติ 2.ขอให้ศาลปกครองนำร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559 มาตรา 54, 178 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559 มาตรา 10, 13, 45(4)(5)(7), 54, 60(4)(5) และ 61 ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าขัดต่อหลักนิติธรรมและขัดต่อกติกาสากล ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 1, 3 และ 4 หรือขัดต่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 119, 128 และ 129 หรือไม่ เพื่อมิให้ประเทศสุ่มเสี่ยงต่อภัยทางความมั่นคงและเพื่อให้สมเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557
 
โดยศาลรับคำฟ้องไว้พิจารณาเพื่อมีคำสั่งต่อไป ว่าจะประทับรับฟ้องคดีไว้เพื่อมีคำพิพากษาหรือไม่ และจะต้องให้ไต่สวนฉุกเฉินตามผู้ฟ้องหรือไม่
 
กมลพรรณ กล่าวว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งหมดตรากฎหมายที่กระทบสิทธิของพวกตนในการปกป้องผลประโยชน์ชาติ และไม่ถูกต้องตามกฎหมายตามรูปแบบขั้นตอน ทำให้ผลประโยชน์จากการใช้ทรัพยากรของประเทศ ที่ประชาชนควรได้รับประโยชน์ กลับถูกโยกย้ายให้นายทุน หรือคู่สัญญาหรือต่างชาติโดยง่ายภายใน 60 วัน หรือภาระค่าใช้จ่ายที่รัฐธรรมนูญปี 2550 ได้เคยบัญญัติให้นักเรียนเรียนฟรีถึงการศึกษาขั้นพื้นฐาน กลับถูกยกเลิกเหลือแค่การศึกษาภาคบังคับถึงมัธยมปีที่ 3 พวกตนและประชาชนทั่วไปจึงเดือดร้อนและเสียหาย

สั่งพักงาน 2 ผช.นักบิน จากนกแอร์-แอร์เอเชีย แชทโหม่งโลกหลังพบยิ่งลักษณ์


14 มิ.ย.2559  จากกรณีเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ที่ผ่ายนมาโซเชียลมีการเผยแพร่ข้อความการสนทนาแบบกลุ่มของบุคคลที่ถูกระบุว่าเป็น "ผู้ช่วยนักบิน" สายการบินแห่งหนึ่ง โพสต์ภาพ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและคณะกำลังเดินทางกลับจาก จ.แพร่ โดยเที่ยวบินของสายการบินแห่งหนึ่ง และโพสต์ข้อความต่อมาว่า "มีเหยื่อ ออน บอร์ด หวะ" และจากนั้นมีผู้แสดงความเห็นว่า "cfit หน่อย..." ซึ่งเป็นศัพท์การบินย่อมาจาก controlled flight into terrain หมายถึงอุบัติเหตุที่เกิดกับอากาศยาน ที่บินชนผืนดิน ภูเขา หรือน้ำ หรือสิ่งกีดขวางอื่น
วันนี้ (14 มิ.ย.59) ไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่า  น.ต.อลงกต พูลสุข ผอ.สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ในฐานะหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลการปฏิบัติการของสายการบินให้เกิดความปลอดภัย เปิดเผยว่า กฎหมาย กพท. ครอบคลุมและสามารถเอาผิดได้เฉพาะกรณีข่มขู่คุกคามด้านความปลอดภัยด้านการบินที่เกิดขึ้นจากทางวาจาหรือพฤติกรรมที่แสดงออกเท่านั้น แต่กรณีดังกล่าวเป็นการคุกคามที่เกิดขึ้นจากสื่อโซเชียลมีเดีย กฎหมายยังครอบคลุมไม่ถึง รวมทั้งขณะนี้ยังไม่มีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข้อความดังกล่าว ส่วนเรื่องของจริยธรรมของตัวนักบินนั้น เป็นอำนาจหน้าที่ของแต่ละสายการบินจะต้องไปสอบสวน เอาผิดและลงโทษกันเอง กพท. มีหน้าที่ตรวจสอบและออกใบอนุญาตนักบินเท่านั้น อย่างไรก็ตาม กพท.. มีอำนาจในการว่ากล่าวตักเตือนไปยังสายการบินได้
 
“ผมโทรศัพท์ไปสอบถามฝ่ายดูแลนักบินของนกแอร์แล้ว ขอให้รายงานข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกลับมาภายใน 3-4 วัน รวมทั้งได้ส่งหนังสือไปยังสายการบินทุกสายการบิน ให้เพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลการแสดงทัศนคติและความเห็นของนักบินผ่านโซเชียลมีเดีย เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยด้านการบิน รวมทั้งให้เน้นย้ำเรื่องวินัยการบินด้วยว่าห้ามนำความเห็นส่วนตัวมาใช้ระหว่างทำการบิน” น.ต.อลงกต ระบุ
 

ยังไม่ผิดร้ายแรงถึงขั้นทำแตกตื่น

น.ต.อลงกตกล่าวว่า เบื้องต้นได้รับทราบว่านักบินคนดังกล่าวเป็นนักบินใหม่ที่ยังมีอายุน้อย ซึ่งความเป็นนักบินกว่าจะปลูกฝังให้เป็นมืออาชีพได้ก็ต้องใช้เวลาในการสร้างนาน 5-7 ปี ทั้งนี้ยอมรับ ว่าการเริ่มต้นเป็นนักบินก็อาจทำถูกบ้างผิดบ้าง แต่ทั้งหมดก็ต้องดูที่เจตนารมณ์ว่าทำไปเพื่ออะไร
 
“เรื่องนี้ไม่น่าจะเข้าข่ายกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ.2558 เพราะเป็นการโพสต์ข้อความพูดคุยกันภายใน ไม่ได้มีการประกาศออกสู่สาธารณชนให้รับทราบ จึงไม่ได้ทำให้ผู้โดยสารหรือประชาชนทั่วไปเกิดอาการแตกตื่นจนส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยทางด้านการบิน ซึ่งแตกต่างกับกรณีที่เคยเกิดขึ้นกับหลายๆ สายการบิน คือกรณีที่ผู้โดยสารบนเครื่องได้พูดล้อเล่นด้วยการประกาศบนเครื่องบินว่ามีระเบิดบนเครื่อง เพราะกรณีหลังนั้นคำพูดที่ประกาศออกมาได้ทำให้เกิดความเสียหายขึ้นแล้ว เนื่องจากสร้างความตื่นตระหนกให้กับคนบนเครื่องบิน ซึ่งตามกฎหมายถือว่ามีความผิดมีบทลงโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสนบาท หรือทั้งจำและปรับ” น.ต.อลงกต กล่าว
 

นกแอร์สั่งพักงานมือโพสต์ 2 สัปดาห์

ร.ท.นรหัส พลอยใหญ่ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ สายการบินนกแอร์กล่าวถึงการสอบสวนนักบินผู้ช่วยของสายการบินนกแอร์ที่โพสต์ข้อความผ่านไลน์ในกลุ่มของนักบินที่จบการศึกษาด้านการบินในรุ่นเดียวกันว่า จากการสอบสวนพบว่านักบินผู้ช่วยคนนี้ไม่ได้มีเจตนาร้าย เป็นการโพสต์ข้อความพูดคุยกันในกลุ่มเพื่อนนักบินด้วยความคึกคะนอง แต่มีการใช้คำไม่สุภาพคือคำว่าเหยื่อ ซึ่งปกติจะต้องใช้คำว่า VVIP ขณะนี้ได้สั่งพักการบิน 1-2 สัปดาห์ น่าเห็นใจว่านักบินผู้ช่วยคนนี้เป็นนักบินเพิ่งจบใหม่ ไม่ได้มีความคิดหรือไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมือง เมื่อต้องเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ ทำให้ขณะนี้อยู่ในสภาพที่ตื่นตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
 

คนเขียน CFIT อยู่ไทยแอร์เอเชีย

ร.ท.นรหัสกล่าวว่า นักบินผู้ช่วยรายนี้ให้เหตุผลว่า มีความภูมิใจที่ได้ขับเครื่องบินที่มีอดีตนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์โดยสารมาด้วย จึงได้ขออนุญาตนักบินในเที่ยวบินดังกล่าว ถ่ายภาพคณะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ผ่านห้องนักบิน และหลังจากโพสต์ภาพและข้อความแล้วก็ได้ปิดมือถือไป ปรากฏว่ามีเพื่อนนักบินคนอื่นเข้ามาโพสต์ข้อความต่างๆ ส่วนผู้ที่โพสต์คำว่า CFIT ปรากฏว่าเป็นนักบินของสายการบินแอร์เอเชีย และหลังจากทำการบินเสร็จนักบินผู้ช่วยคนนี้ได้กลับมาโพสต์ข้อความอีกครั้งว่าได้นำเครื่องบินลงถึงที่หมายเรียบร้อยแล้ว ส่วนเรื่องการเอาผิดลงโทษนั้น เรื่องนี้ไม่ได้มีข้อกำหนดในส่วนของกฎหมายการบิน แต่เป็นเรื่องของระเบียบปฏิบัติของสายการบินนกแอร์ที่จะต้องกำกับดูแลและพิจารณาลงโทษ
 

ต้นสังกัดสั่งพักงาน–ทดสอบทัศนคติ

ด้า ธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย กล่าวหลังจากทราบเรื่องว่ามีนักบินของไทยแอร์เอเชียเป็นผู้โพสต์คำว่า CFIT ได้มีการเรียกประชุมด่วนฝ่ายนักบินและตรวจสอบพบว่าเป็นศิษย์นักบินของไทยแอร์เอเชีย คือยังไม่ได้เป็นนักบิน แต่เพิ่งเซ็นสัญญารับเป็นนักบินและอยู่ในขั้นตอนการฝึกอบรมเพียง 3 วัน กว่าจะเป็นนักบินต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยกว่า 2 ปี ขณะนี้ได้สั่งพักการอบรมและให้กลับไปเริ่มต้นในขั้นตอนการทดสอบทางด้านทัศนคติ (Attitude Test) และจะต้องดูพฤติกรรม เพราะผู้ที่จะเป็นนักบินได้จะต้องมีภาวะความเป็นผู้ใหญ่เพียงพอ หากผ่านการทดสอบก็พร้อมรับเข้ามาฝึกอบรมเพื่อเป็นนักบินต่อไปได้
 
“หลังจากทราบเรื่องได้โทรศัพท์ถึงนางสาวยิ่งลักษณ์เพื่อชี้แจงและยอมรับว่าเป็นศิษย์นักบินของไทยแอร์เอเชียที่มีการโพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสม และไม่ได้มีเจตนาหรือเกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองใดๆ เป็นเรื่องของความคึกคะนองเท่านั้น ซึ่งนางสาวยิ่งลักษณ์ไม่ได้ติดใจเอาความ แต่ได้แนะนำว่านักบินจะต้องคำถึงเรื่องคำถึงเรื่องความปลอดภัยของผู้โดยสารทุกคนเป็นหลักไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใดก็ตาม” ธรรศพลฐ์ กล่าว

ยกฟ้องคดี 'ชายชุดดำ' ระเบิดเตรียมคาร์บอม


 
14 มิ.ย.2559 วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความจากสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิและเสรีภาพ (สกสส.) แจ้งว่าเมื่อเวลา 14.45 น. ที่ศาลอาญา ห้องพิจารณาคดีที่ 813 ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ.1940/2558 คดีระเบิดคาร์บอมที่อพาร์ทเมนต์แห่งหนึ่ง ย่านถนนรามอินทรา ระหว่างพนักงานอัยการ โจทก์ กับกิตติศักดิ์ สุ่มศรี จำเลย โดยโจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ร่วมกับพวกอีก 2 คน ร่วมกันครอบครองวัตถุระเบิด วงจรระเบิด อาวุธปืนสงครามซุกซ่อนในรถยนต์ฮอนด้าซีวิคซึ่งมีผู้แจ้งหายจอดทิ้งไว้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.โคกคราม พร้อมด้วยเจ้าหน้าเก็บกู้วัตถุระเบิด(EOD) ทราบเหตุได้รับแจ้งจากผู้หวังดี จึงเข้าตรวจค้นรถยนต์ของกลาง พบของกลางระเบิดซีโฟร์ ทีเอ็นที ดินระเบิด ระเบิดขวด ถังดับเพลิงบรรจุปุ๋ยูเรีย ประกับอาวุธปืนอาก้า ลูกกระสุนเอ็ม 79 รวมจำนวน 20 รายการ
 
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์แล้ว ทั้งพยานบุคคลที่มีผู้ดูแลอพาร์ทเมนต์ที่เคยให้การในชั้นสอบสวนและเบิกความในศาลขัดแย้งกับที่มาเบิกความในศาล และเป็นผู้มีส่วนได้เสียจึงไม่น่าเชื่อถือ ประกอบกับผลการตรวจดีเอ็นเอ และลายนิ้วมือแฝงของจำเลยเทียบกับวัตถุพยานของกลางไม่ตรงกับจำเลย จึงเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้ลงโทษจำเลยได้ พิพากษายกฟ้อง
 
วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความจำเลย กล่าวว่า กิตติศักดิ์ ถูกฟ้องคดีนี้คนเดียวภายหลังจากถูกฟ้องมาแล้วอีกหนึ่งคดีซึ่งกิตติศักดิ์ ตกเป็น 1 ในผู้ต้องหา 5 คนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น "ชายชุดดำ" ที่ก่อเหตุปะทะกับเจ้าหน้าที่ในวันที่ 10 เม.ย. 2553 ที่แยกคอกวัว ถูกจับกุมในช่วงเดือน ก.ย. 2557 โดยทหารชุดทำงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และพนักงานสอบสวนที่ตั้งขึ้นเป็นคณะทำงานพิเศษ นำตัวไปควบคุมที่ค่ายทหารหลายวัน ต่อมานำตัวมาแถลงข่าวว่า ชายชุดดำทั้ง 5 คน (ในจำนวนนี้มีหญิง 1 คน) ให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุในวันที่ 10 เม.ย. 2553 แต่หลังจากนั้นผู้ต้องหาทั้ง 5 ได้มอบหมายให้ทนายความนำหนังสือยืนยันว่าพวกเขาถูกบังคับและทำร้ายร่างกายในการสอบปากคำในสถานที่แห่งหนึ่ง และได้ขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการเพื่อพิจารณาสั่งไม่ฟ้อง อย่างไรก็ตามต่อมาอัยการได้ฟ้องชายชุดดำทั้ง 5 คน ต่อศาลอาญา ข้อหาร่วมกันมีและครอบครองงอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกมบอนุญาตได้ และข้อหาพาอาวุธไปในเมือง ร่วมกันก่อการร้าย เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.4022/2557 ซึ่งคดีชายชุดดำดังกล่าวอยู่ระหว่างการสืบพยานโจทก์ โดยที่ตัวจำเลยทั้งหมดไม่ได้รับการอนุญาติให้ประกันตัวแต่อย่างใด

ประวิตรบอกถ้าตั้งจะไปจับเอง ทหารรื้อป้ายศูนย์ปราบโกงประชามติ จ.ลำปาง


14 มิ.ย.2559 เมื่อช่วงเที่ยงของวันนี้ มติชนออนไลน์ รายงานว่า ที่ร้านค้าซึ่งเป็นอาคารพาณิชย์ 2 ชั้น ใกล้แยกศรีชุมด้านในเทศบาลนครลำปาง พบการขึ้นป้ายไวนิล ที่ระบุข้อความของศูนย์ปราบโกงประชามติของ นปช. สร้างความสนใจให้กับชาวลำปางเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นของร้านศรีชุมชิว โดยมี ธิมลวรรณ จินากูล เป็นเจ้าของร้านและเป็นผู้ขึ้นป้ายไวนิล
 
ธิมลวรรณ เปิดเผยว่า ป้ายดังกล่าวนั้นถือว่าได้ขึ้นเป็นป้ายแรกในจังหวัด เพื่อประกาศตั้งศูนย์ปราบโกงประชามติของ จ.ลำปาง ขึ้น โดยที่ตนเองจะขอเป็นจิตอาสาชาวลำปาง ในการช่วยเหลือภาครัฐในการช่วยรณรงค์ให้ประชาชนชาวลำปางออกไปลงประชามติ เพราะทุกวันนี้เชื่อว่าชาวลำปางรู้วันออกเสียงน้อยมาก ไม่ครอบคลุมทั้งจังหวัด ตนจึงจะเป็นอีกแรงหนึ่งที่ตั้งใจจะช่วย 
 
ธิมลวรรณ กล่าวด้วยว่า ตนต้องขอขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่บอกว่า “อยากตั้งก็ตั้งไป” ในเรื่องของศูนย์ปราบโกง ซึ่งตนเองขอกราบขอบคุณที่ท่านให้ตั้งได้ เพราะคำว่าศูนย์ปราบโกงเป็นคำสรรพนาม ที่จะทำให้ประชาชนสนใจ เป็นแรงจูงใจ และให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้น เพื่อทราบถึงวันออกเสียงลงประชามติ ฉะนั้น ในข้อความที่มีการเขียนไว้ว่า “ไม่ล้ม ไม่โกง ไม่อายพม่า” ดังจะเห็นได้จาก จ.ลำปาง ที่มีแรงงานชาวพม่าอยู่มาก แต่เมื่อครั้งที่มีการเลือกตั้ง แรงงานพม่าเหล่านั้นกลับลางานกันหมดเพื่อไปเลือกตั้ง ดังนั้น จึงอยากให้ประชาชนชาวลำปาง ออกไปใช้สิทธิ์ในวันออกเสียงลงประชามติกันให้มากๆ เต็ม 100 % ทั้งจังหวัด เราก็จะไม่อายพม่า 
 

ทหารปลดและรื้อป้าย

อย่างไรก็ตาม ต่อมา เว็บไซต้บ้านเมือง รายงานว่า เจ้าหน้าที่ทหารมณฑลทหารบกที่ 32 ค่ายสุรศักดิ์มนตรี  ลำปาง  พบป้าย ไวนิลดังกล่าว และต่อมา 15.30 น พ.อ. เมธา ณ พิกุล รองเสนาธิการ มณฑลทหารบกที่ 32 ได้สั่งการให้กำลังเจ้าหน้าที่สารวัตรทหาร มณฑลทหารบกที่ 32 ค่ายสุรศักดิ์มนตรี ลำปางพร้อมตำรวจ สภ.เมืองลำปาง เข้าทำทำการปลดและรื้อป้ายผ้าไวนิลออกแล้ว  โดย ธิมลวรรณ เจ้าของร้านเป็นผู้ขึ้นป้ายดังกล่าว โดยได้ขึ้นป้ายหน้าร้านมาแล้ว 2 วัน โดย ธิมลวรรณ ซึ่งเป็นผู้ประสานงานกลุ่ม นปช.ในพื้นที่ จ.ลำปางบอกว่าหลังจากมี เจ้าหน้าที่ทหารเข้ามาปลดรื้อ ป้ายออก ตนเองก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ซึ่งการรื้อป้ายในครั้งนี้ก็ไม่มีปัญหาใดๆ
 

นปช.ร้องประวิตร ยันตั้งศูนย์ปราบโกง ไม่ใช่ภัยความมั่นคง-ไม่ขัดรธน.

วันเดียวกัน มติชนออนไลน์ รายงานด้วยว่า ที่หน้ากระทรวงกลาโหม จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. และแกนนำนปช.คนอื่นเดินทางไปยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถึงกรณีการสั่งปิดศูนย์ปราบโกงประชามติ โดยมี น.อ.ปัญญา ไทยภักดี หัวหน้าศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์กระทรวงกลาโหม เป็นตัวแทนมารับหนังสือ
 
จตุพร กล่าวว่า ตนมายื่นหนังสือเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงถึงพล.อ.ประวิตรว่าศูนย์ปราบโกงประชามติไม่ได้มีความขัดแย้ง แต่เป็นองค์กรของประชาชนที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบการทำประชามติ เพราะที่ผ่านมามีองค์กรคู่ขนานในการตรวจสอบการทุจริตของภาคประชาชน เช่นองค์กรของ พล.อ.สายหยุด เกิดผล หรือเครือข่ายต่อต้านการคอรัปชั่นของ ประมนต์ สุธีวงศ์ ซึ่งไม่เห็นมีใครว่าจะสร้างความขัดแย้งเลย และไม่ได้แตกต่างจากองค์กรของนปช. แม้ว่าพล.อ.ประวิตร เป็นพี่ใหญ่ของบูรพาพยัคฆ์ แต่ตอนนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นรัฏฐาธิปัตย์ อีกทั้งเป็นผู้บังคับบัญชาของพล.อ.ประวิตร ก็ได้ระบุว่าสามารถตั้งได้ ดังนั้นตนขอชี้แจงไปยังพล.อ.ประวิตร คำสั่งของท่านขัดกับรัฏฐาธิปัตย์
 
จตุพร กล่าวต่อว่า ศูนย์ของเราไม่เป็นภัยคุกคามของชาติ แต่เป็นเครื่องการันตีว่าการทำประชามติมีการทุจริตหรือไม่ จึงขอร้องให้เปิดใจกว้างว่าควรเปิดโอกาสให้มีการตรวจสอบ ถ้าไม่มีการโกงก็ไม่ต้องเดือดร้อน และไม่มีปัญหากับคสช. ทั้งนี้ขอร้องว่าพล.อ.ประวิตรอย่าทำให้เป็นน้ำผึ้งหยดเดียว และสร้างความกดดันให้กับทหารในพื้นที่ แล้วไปกดดันประชาชน ซึ่งคิดว่าไม่เป็นผลดีเลย อย่างไรก็ตามพวกตนจะทำหนังสือไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้บัญชาการมณฑลทหารบกต่างๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าการดำเนินการของพวกตนมีความลับ อีกทั้งจะส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้วย
 

หากไม่คิดโกงประชามติแล้วเดือดร้อนทำไม

จตุพร ยังกล่าวผ่าน กล่าวในรายการมองไกล  ซึ่งเฟซบุ๊กแฟนเพจ 'Jatuporn Prompan - จตุพร พรหมพันธุ์' โดย จตุพร กล่าวว่า พวกตนตั้งศูนย์ปราบโกงขึ้นมา ไม่ต้องการสร้างความขัดแย้งกับใคร แต่กลับประหลาดใจกับท่าทีสั่งห้ามของพล.อ.ประวิตร ว่า มีอะไรอยู่ในใจหรือไม่ โดยการทำประชามติเป็นเรื่องใหญ่กว่าการได้รัฐบาลภายหลังการทำประชามติเสียอีก เพราะถ้าเกิดการโกงเท่ากับเป็นการปล้นสิทธิ์ประชาชน เพื่อไปรับรองความชอบธรรมในการปล้นทรัพย์ของแผ่นดินเมื่อได้เป็นรัฐบาล
 
จตุพร กล่าวย้ำว่า หากไม่คิดโกงประชามติแล้วเดือดร้อนกับตั้งศูนย์ปราบโกงทำไม และใครจะมาขัดแย้งกับศูนย์ ถ้าไม่โกงแล้ว สิ่งที่ได้ คือ สามารถปิดปากพวกตนอย่างสนิทเลย รวมทั้งผลประชามติออกมาไม่มีโกงเลย การมีศูนย์จึงเท่ากับการันตีให้ฝ่ายผู้มีอำนาจและประเทศได้อย่างดียิ่ง ส่วนพวกตนไม่มีน้ำหน้าไปชี้หน้าใครได้ แต่การตั้งศูนย์ขึ้นมา กลับมีคนเดือดร้อนกันมากมาย ทั้งที่มีการทำงานเปิดกว้าง ได้เชิญเจ้าหน้าที่ทั้งฝ่ายความมั่นคง หน่วยงานของรัฐทั้งหมดในต่างจังหวัดมาร่วมงานกัน จึงขออย่าได้ระแวงว่า ศูนย์ปราบโกงจะเป็นศูนย์ขับไล่ คสช.
 
จตุพร กล่าวว่า เมื่อทุกฝ่ายมีใจเป็นกลางกันแล้ว ควรยอมรับการตั้งศูนย์กันได้ เพราะจะทำให้เกิดการระวังว่า ถ้าใครคิดจะโกง ต้องระมัดระวังการใช้อำนาจให้มาก และที่สำคัญ ตนไม่คิดเลยว่า รัฐบาลประกาศเป็นพวกมือใจสะอาด กลับมารังเกลียดศูนย์ปราบโกง ส่วนพวกเดียวกันตั้งองค์กรเครือข่ายปราบทุจริต ทั้งที่มีประวัติมั่วหมอง แต่ตั้งได้ ไม่วิจารณ์กันเลย
 

ยกพม่าจัดเลือกตั้ง เชิญต่างชาติมาดู เพื่อความยุติธรรม

ส่วนการเชิญชวนนานาชาติมาสังเกตการณ์ศูนย์ปราบโกงนั้น จตุพร กล่าวว่า จะเกิดประโยชน์กับการพัฒนาประเทศอย่างมาก ถ้าการทำประชามติไม่มีโกง เป็นที่ยอมรับของต่างชาติ เท่ากับเป็นการเริ่มต้นสร้างกลไกประชาธิปไตยให้น่าเชื่อถือ สิ่งที่เป็นปัญหาในทางเศรษฐกิจจะผ่อนคลายลง ซึงประเทศพม่าจัดเลือกตั้ง เชิญต่างชาติมาดู เกิดความยุติธรรมนั้น ต่างชาติเชื่อมั่น จึงเลิกคว่ำบาตร การพัฒนาประทศเริ่มรุดหน้า ส่วนผู้นำไทยนั้น ถ้าไม่แคร์ต่างชาติ หรือสหประชาชาติแล้ว ควรไปลาออกจากสมาชิกเสีย
 

ประวิตรค้านตั้ง ระบุตั้งแล้วจะไปจับเอง 

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ รายงานความเห็นของ ด้าน พล.อ.ประวิตร ต่อกรณีมาตรการทางกฎหมายที่จะดำเนินกับ นปช. ที่ยังยืนยันจะเปิดศูนย์ปราบโกงประชามตินั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ขณะนี้มีมาตรการทางกฎหมายอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง ก่อนหน้านี้ตนได้ขอร้องแล้วว่าอย่าเปิด ก็ไม่จบสักที หากตั้งมาแล้วทำให้เกิดความขัดแย้งเดือดร้อน ตนก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ยืนยันจะไม่ใช้มาตรา 44 เพื่อปิดศูนย์ปราบโกงฯ ตามที่กลุ่มนปช.ท้าทายมา เนื่องจากมีกฎหมายอื่นบังคับใช้อยู่แล้ว
 
ส่วนที่นปช.มายื่นหนังสือถึงตนเพื่อไม่ให้ปิดศูนย์ปราบโกงฯนั้น ตนยังไม่เห็นแต่คงมีเจ้าหน้าที่รับดำเนินการ ส่วนที่กลุ่มนปช.ระบุว่า หากได้ตั้งศูนย์ปราบโกงฯแล้ว จะไม่เคลื่อนไหวต่อต้านหรือตั้งเวทีคู่ขนานแต่จะร่วมมือป้องกันปราบโกงนั้น ตนมองว่าไม่จำเป็นเพราะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นก็ต้องไปยุบหน่วยงานเหล่านั้นทั้งหมด แล้วตั้งศูนย์ปราบโกงฯนี้แทน ส่วนข้อกังวลที่ระบุว่าหากไม่ให้ตั้งศูนย์ปราบโกงฯ แสดงว่ารัฐบาลจ้องจะโกงประชามตินั้น พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ถามว่าใครจะไปโกงได้
 
ต่อกรณีถามว่าจะดีกว่าหรือไม่ หากยอมให้ นปช.เปิดศูนย์ปราบโกงฯ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจให้ทุกภาคส่วนร่วมตรวจสอบการทำประชามติ พล.อ.ประวิตร กล่าวอีกว่า ไม่เอา เขามีหน่วยงานตรวจสอบอยู่ ขอให้ไปร่วมมือกับ กกต. ไม่เห็นจะเสียหาย เพราะกกต.ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งกกต.ก็รับผิดชอบไป ทุกอย่างทำได้อยู่แล้ว 
 
ส่วนที่มีการจัดตั้งศูนย์ปราบโกงฯ ที่จ.ลำปาง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่มี ไม่ให้ตั้ง แต่หากตั้งไปแล้ว ก็ตั้งไป เดี๋ยวตนจะไปจับ ทำไม่ได้ ไม่ให้ตั้งหมดตำรวจ ทหารเขาดูแลในส่วนภูมิภาคอยู่ ไม่ต้องห่วง ยืนยันตนสามารถดูแลสถานการณ์ได้ไปจนกว่าจะถึงวันลงประชามติ ขอให้ประชาชนเชื่อว่ารัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะร่วมมือกันที่จะทำให้บ้านเมืองสงบ ไม่ให้เกิดความขัดแย้งโดยจะใช้กฎหมายปกติดูแล
 

อนุพงษ์ ชี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ถามเงินทุนจากที่ใด 

คมชัดลึกออนไลน์รายงานความเห็นของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ต่อกรณีที่ นปช. เริ่มมีการจัดตั้งศูนย์ปราบโกงประชามติที่ จ.ลำปาง ด้วย โดย พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ในของแง่กฎหมายนั้นทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ดูอยู่ ซึ่งค่อนข้างมีความล่อแหลม เพราะการจัดตั้งศูนย์ใช้เงินทุนจากที่ใด อีกทั้งการดำเนินการนั้นก็เสี่ยงความผิดตามคำสั่ง คสช. ที่มีอยู่ เช่นการรวมตัวกันเกิน 5 คนอาจเป็นปัญหาได้
 
ในส่วนของความเหมาะสมนั้น คนจะทำอะไรลักษณะนี้ ต้องมีความเป็นกลาง แต่นี่ผู้ก่อตั้งศูนย์ปราบโกงฯนั้น กล่าวได้ชัดว่าไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งขณะที่การลงประชามติสามารถออกได้สองทาง คือเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ดังนั้นการให้คนที่มีความเห็นทางใดทางหนึ่งมาดำเนินการจึงไม่เหมาะสม และที่สำคัญส่วนตัวมองว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ เพราะหากมีการตั้งศูนย์ดังกล่าวแล้ว หากผลประชามติออกมาว่าร่างรัฐธรรมนูญผ่าน อาจมีการระบุว่ามีการโกง แล้วนำไปเป็นเงื่อนไขทางการเมือง แต่หากไม่ผ่านก็จะนำไปเป็นผลประโยชน์ทางการเมืองเช่นกัน ซึ่งไม่เป็นผลดีและผลประโยชน์ต่อประเทศชาติ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องเข้าไปดูแล ที่สำคัญสุด ไม่ว่าผลประชามติออกมาอย่างไรต้องเคารพเสียงของประชาชน ส่วนการตั้งศูนย์ปราบโกงฯ ตามจังหวัด ตนก็ไม่ได้กำชับอะไรพิเศษไปยังผู้ว่าฯ เพราะคสช.ดูแลความสงบทั้งหมดอยู่แล้ว