การหลีกเลี่ยงความรับผิดของรัฐไทยไม่ใช่สิ่งที่น่ายินดี
ผมอยากจะหยิบยกประเด็นที่น่าสนใจในบทความล่าสุดของหนังสือพิมพ์ The Nation ซึ่งวิพากษ์วิจารณ์ทีมงานของเราที่เตรียมยื่นรายงานต่อศาลอาญาระหว่างประเทศในนามของคนเสื้อแดง และเหยื่อความรุนแรงทางการเมืองในเดือนเมษายนและพฤษภาคม ปี 2553 ประเด็นแรกที่สังเกตเห็นได้ชัดคือผู้เขียนไม่ได้อ่านรายงานเบื้องต้นที่ยื่นต่อศาลอาญาระหว่งประเทศของเรา ที่ตีพิมพ์ทั้งในภาษาอังกฤษและภาษาไทยเลย เพราะคำถามที่ผู้เขียนหยิบยกขึ้นมานั้น ล้วนมีคำตอบอยู่ในรายงานดังกล่าว ประเด็นที่สองคือ เป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง แต่ไม่น่าแปลกใจ คือ ผู้เขียนดูเหมือนจะ “ยินดี” กับรัฐไม่ต้องรับผิดต่อการกระทำของตนของครั้งแล้วครั้งเล่า แทนที่จะประณาม
วิกฤตทางการเมืองของประเทศไทยถูกบิดเบือนอย่างมาก แม้แต่ผู้สังเกตการณ์ก็ต้องสูญเสียความเข้าใจอย่างง่ายๆว่าอะไรคืออาชญากรรม และที่แย่ที่สุดคือ คุณค่าของชีวิตมนุษย์ นอกจากบทความของ The Nation จะพยายามปฏิเสธความรับผิดของรัฐในการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว ยังกล่าวอย่างเป็นนัยว่าการที่กองทัพไทยฆ่าพลเรือนโดยไม่ต้องรับผิดนั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ เพราะเคยเกิดขึ้นมาแล้ว อาทิเช่น พฤติกรรมที่รัฐปฏิบัติต่อการเสียชีวิตของนักข่าวที่ไม่ฝักฝ่ายกับกลุ่มการเมืองใด ภาพการเสียชีวิตของนายฮิโร มูรามูโต ซึ่งถูกถ่ายไว้โดยกล้องวงจรปิด แต่รัฐบาลกลับไม่ยอมนำมาเปิดเผย หรือครอบครัวของนายฟาปิโอ โปเลงกีก็ยังถูกรัฐบาลหัวรั้นดูหมิ่นและถากถาง พร้อมทั้งยังไม่ให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเสียชีวิตของนายฟาปิโอ
เป็นเรื่องยากที่จะยกตัวอย่างของประเทศอื่นในโลกปัจจุบัน ที่ประชาชนราว 90 รายถูกสังหารอย่างเลือดเย็นใจกลางเมืองหลวง ในขณะที่รัฐบาลไม่กล่าวถึงหรือนำเสนอรายงานเพื่อหาคนรับผิดเลยแม้แต่คนเดียว ซ้ำสื่อมวลชนหัวอ่อนยังชื่นชมกับการละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาล เหตุการณ์ที่มีความคล้ายคลึงกันที่สุดในตอนนี้คือเหตุการณ์ล่าสุดในประเทศตูนีเซีย ซึ่งรัฐได้ใช้ทหารสังหารผู้ประท้วงราว 78ราย ส่งผลทำให้ประธานาบดีเบน อาลีต้องลาออก และหนีออกนอกประเทศเพื่อไปลี้ภัยในประเทศซาอุดิอาระเบีย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยนั้นต่างกัน เพราะนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์กำลังเตรียมตัวที่จะขโมยการเลือกตั้งที่ไม่เป็นอิสระและไม่ยุติธรรมครั้งต่อไป
สิ่งที่แยกคำร้องของเราต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ และรายการตัวอย่างเหตุการณ์รุนแรงอย่างคร่าวๆของบทความ The Nation คือเราจัดหมวดหมู่และนำเสนอหลักฐานอย่างระมัดระวัง
ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ เหตุการณ์ในเดือนเมษายนและพฤษภาคม ปี 2553 นั้นมีส่วนคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสี่ทศวรรษที่ผ่านมา โดยเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516, 6 ตุลาคม 2519 และพฤษภาทมิฬ ปี 2535 ไม่มีบุคคลใดรับผิดในการเสียชีวิตของผู้ชุมนุมหลายราย ไม่มีผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการร์สังหารหมู่ในปี 2514 ถูกสอบสวนหรือดำเนินคดี ในขณะที่อาชญากรรมในเหตุการณ์ในปี 2519 และ 2535 ถูกเปลี่ยนจากดำให้เป็นขาว และมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ผู้เกี่ยวข้อง เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์เหล่านี้ คงไม่มีผู้ที่สติดีคนใดจะคาดหวังการสอบสวนที่เป็นธรรมและสมบูรณ์จากเหตุการณ์สังหารประชาชนครั้งล่าสุดในประเทศไทย เป็นเรื่องโชคร้ายที่มีบุคคลบางคนในประเทศไทยอยากให้ระบบการหลีกเลี่ยงความรับผิดของรัฐคงอยู่ โดยที่พวกเขาไม่คิดว่าจะเป็นสิ่งที่ทำลายระบบกฎหมายและสังคมอย่างมาก เราไม่คาดหวังจะลบล้างระบบดังกล่าวและหาผู้รับผิดชอบเพียงชั่วคืนห แต่เราเลือกที่จะเริ่มกระบวนการที่ยาวนานนี้ขึ้น
บทความ The Nation ได้เปิดหัวข้ออภิปรายว่าคนเสื้อแดงจะได้รับ “ชัยชนะ” ในศาลอาญาระหว่างประเทศหรือไม่ แต่สิ่งง่ายๆที่พวกเขาไม่นึกถึงคือ การยื่นฟ้องในครั้งนี้เป็นการแสดงข้อเท็จและหลักฐานการสังหารต่อประชาชนและต่อประชาคมโลกเป็นครั้งแรก และนั้นคือชัยชนะ การนำเสนอบทคัดย่อทางกฎหมายที่ครอบคลุม และการทำงานหลายพันชั่วโมงเพื่อร่างคำร้องนี้ คนเสื้อแดงได้แสดงความรับผิดชอบที่มีต่อคนไทยทั้งหมด มากกว่ารัฐบาลทหารที่พยายามปกปิดอาชญากรรม
การหลีกเลี่ยงความรับผิดของรัฐไทยไม่ใช่สิ่งที่น่ายินดี
ผมอยากจะหยิบยกประเด็นที่น่าสนใจในบทความล่าสุดของหนังสือพิมพ์ The Nation ซึ่งวิพากษ์วิจารณ์ทีมงานของเราที่เตรียมยื่นรายงานต่อศาลอาญาระหว่างประเทศในนามของคนเสื้อแดง และเหยื่อความรุนแรงทางการเมืองในเดือนเมษายนและพฤษภาคม ปี 2553 ประเด็นแรกที่สังเกตเห็นได้ชัดคือผู้เขียนไม่ได้อ่านรายงานเบื้องต้นที่ยื่นต่อศาลอาญาระหว่งประเทศของเรา ที่ตีพิมพ์ทั้งในภาษาอังกฤษและภาษาไทยเลย เพราะคำถามที่ผู้เขียนหยิบยกขึ้นมานั้น ล้วนมีคำตอบอยู่ในรายงานดังกล่าว ประเด็นที่สองคือ เป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง แต่ไม่น่าแปลกใจ คือ ผู้เขียนดูเหมือนจะ “ยินดี” กับรัฐไม่ต้องรับผิดต่อการกระทำของตนของครั้งแล้วครั้งเล่า แทนที่จะประณาม
วิกฤตทางการเมืองของประเทศไทยถูกบิดเบือนอย่างมาก แม้แต่ผู้สังเกตการณ์ก็ต้องสูญเสียความเข้าใจอย่างง่ายๆว่าอะไรคืออาชญากรรม และที่แย่ที่สุดคือ คุณค่าของชีวิตมนุษย์ นอกจากบทความของ The Nation จะพยายามปฏิเสธความรับผิดของรัฐในการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว ยังกล่าวอย่างเป็นนัยว่าการที่กองทัพไทยฆ่าพลเรือนโดยไม่ต้องรับผิดนั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ เพราะเคยเกิดขึ้นมาแล้ว อาทิเช่น พฤติกรรมที่รัฐปฏิบัติต่อการเสียชีวิตของนักข่าวที่ไม่ฝักฝ่ายกับกลุ่มการเมืองใด ภาพการเสียชีวิตของนายฮิโร มูรามูโต ซึ่งถูกถ่ายไว้โดยกล้องวงจรปิด แต่รัฐบาลกลับไม่ยอมนำมาเปิดเผย หรือครอบครัวของนายฟาปิโอ โปเลงกีก็ยังถูกรัฐบาลหัวรั้นดูหมิ่นและถากถาง พร้อมทั้งยังไม่ให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเสียชีวิตของนายฟาปิโอ
เป็นเรื่องยากที่จะยกตัวอย่างของประเทศอื่นในโลกปัจจุบัน ที่ประชาชนราว 90 รายถูกสังหารอย่างเลือดเย็นใจกลางเมืองหลวง ในขณะที่รัฐบาลไม่กล่าวถึงหรือนำเสนอรายงานเพื่อหาคนรับผิดเลยแม้แต่คนเดียว ซ้ำสื่อมวลชนหัวอ่อนยังชื่นชมกับการละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาล เหตุการณ์ที่มีความคล้ายคลึงกันที่สุดในตอนนี้คือเหตุการณ์ล่าสุดในประเทศตูนีเซีย ซึ่งรัฐได้ใช้ทหารสังหารผู้ประท้วงราว 78ราย ส่งผลทำให้ประธานาบดีเบน อาลีต้องลาออก และหนีออกนอกประเทศเพื่อไปลี้ภัยในประเทศซาอุดิอาระเบีย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยนั้นต่างกัน เพราะนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์กำลังเตรียมตัวที่จะขโมยการเลือกตั้งที่ไม่เป็นอิสระและไม่ยุติธรรมครั้งต่อไป
สิ่งที่แยกคำร้องของเราต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ และรายการตัวอย่างเหตุการณ์รุนแรงอย่างคร่าวๆของบทความ The Nation คือเราจัดหมวดหมู่และนำเสนอหลักฐานอย่างระมัดระวังซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ เหตุการณ์ในเดือนเมษายนและพฤษภาคม ปี 2553 นั้นมีส่วนคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสี่ทศวรรษที่ผ่านมา โดยเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2514, 6 ตุลาคม 2519 และพฤษภาทมิฬ ปี 2535 ไม่มีบุคคลใดรับผิดในการเสียชีวิตของผู้ชุมนุมหลายราย ไม่มีผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการร์สังหารหมู่ในปี 2514 ถูกสอบสวนหรือดำเนินคดี ในขณะที่อาชญากรรมในเหตุการณ์ในปี 2519 และ 2535 ถูกเปลี่ยนจากดำให้เป็นขาว และมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ผู้เกี่ยวข้อง เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์เหล่านี้ คงไม่มีผู้ที่สติดีคนใดจะคาดหวังการสอบสวนที่เป็นธรรมและสมบูรณ์จากเหตุการณ์สังหารประชาชนครั้งล่าสุดในประเทศไทย เป็นเรื่องโชคร้ายที่มีบุคคลบางคนในประเทศไทยอยากให้ระบบการหลีกเลี่ยงความรับผิดของรัฐคงอยู่ โดยที่พวกเขาไม่คิดว่าจะเป็นสิ่งที่ทำลายระบบกฎหมายและสังคมอย่างมาก เราไม่คาดหวังจะลบล้างระบบดังกล่าวและหาผู้รับผิดชอบเพียงชั่วคืนห แต่เราเลือกที่จะเริ่มกระบวนการที่ยาวนานนี้ขึ้น
วิกฤตทางการเมืองของประเทศไทยถูกบิดเบือนอย่างมาก แม้แต่ผู้สังเกตการณ์ก็ต้องสูญเสียความเข้าใจอย่างง่ายๆว่าอะไรคืออาชญากรรม และที่แย่ที่สุดคือ คุณค่าของชีวิตมนุษย์ นอกจากบทความของ The Nation จะพยายามปฏิเสธความรับผิดของรัฐในการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว ยังกล่าวอย่างเป็นนัยว่าการที่กองทัพไทยฆ่าพลเรือนโดยไม่ต้องรับผิดนั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ เพราะเคยเกิดขึ้นมาแล้ว อาทิเช่น พฤติกรรมที่รัฐปฏิบัติต่อการเสียชีวิตของนักข่าวที่ไม่ฝักฝ่ายกับกลุ่มการเมืองใด ภาพการเสียชีวิตของนายฮิโร มูรามูโต ซึ่งถูกถ่ายไว้โดยกล้องวงจรปิด แต่รัฐบาลกลับไม่ยอมนำมาเปิดเผย หรือครอบครัวของนายฟาปิโอ โปเลงกีก็ยังถูกรัฐบาลหัวรั้นดูหมิ่นและถากถาง พร้อมทั้งยังไม่ให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเสียชีวิตของนายฟาปิโอ
เป็นเรื่องยากที่จะยกตัวอย่างของประเทศอื่นในโลกปัจจุบัน ที่ประชาชนราว 90 รายถูกสังหารอย่างเลือดเย็นใจกลางเมืองหลวง ในขณะที่รัฐบาลไม่กล่าวถึงหรือนำเสนอรายงานเพื่อหาคนรับผิดเลยแม้แต่คนเดียว ซ้ำสื่อมวลชนหัวอ่อนยังชื่นชมกับการละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาล เหตุการณ์ที่มีความคล้ายคลึงกันที่สุดในตอนนี้คือเหตุการณ์ล่าสุดในประเทศตูนีเซีย ซึ่งรัฐได้ใช้ทหารสังหารผู้ประท้วงราว 78ราย ส่งผลทำให้ประธานาบดีเบน อาลีต้องลาออก และหนีออกนอกประเทศเพื่อไปลี้ภัยในประเทศซาอุดิอาระเบีย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยนั้นต่างกัน เพราะนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์กำลังเตรียมตัวที่จะขโมยการเลือกตั้งที่ไม่เป็นอิสระและไม่ยุติธรรมครั้งต่อไป
สิ่งที่แยกคำร้องของเราต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ และรายการตัวอย่างเหตุการณ์รุนแรงอย่างคร่าวๆของบทความ The Nation คือเราจัดหมวดหมู่และนำเสนอหลักฐานอย่างระมัดระวังซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ เหตุการณ์ในเดือนเมษายนและพฤษภาคม ปี 2553 นั้นมีส่วนคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสี่ทศวรรษที่ผ่านมา โดยเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2514, 6 ตุลาคม 2519 และพฤษภาทมิฬ ปี 2535 ไม่มีบุคคลใดรับผิดในการเสียชีวิตของผู้ชุมนุมหลายราย ไม่มีผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการร์สังหารหมู่ในปี 2514 ถูกสอบสวนหรือดำเนินคดี ในขณะที่อาชญากรรมในเหตุการณ์ในปี 2519 และ 2535 ถูกเปลี่ยนจากดำให้เป็นขาว และมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ผู้เกี่ยวข้อง เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์เหล่านี้ คงไม่มีผู้ที่สติดีคนใดจะคาดหวังการสอบสวนที่เป็นธรรมและสมบูรณ์จากเหตุการณ์สังหารประชาชนครั้งล่าสุดในประเทศไทย เป็นเรื่องโชคร้ายที่มีบุคคลบางคนในประเทศไทยอยากให้ระบบการหลีกเลี่ยงความรับผิดของรัฐคงอยู่ โดยที่พวกเขาไม่คิดว่าจะเป็นสิ่งที่ทำลายระบบกฎหมายและสังคมอย่างมาก เราไม่คาดหวังจะลบล้างระบบดังกล่าวและหาผู้รับผิดชอบเพียงชั่วคืนห แต่เราเลือกที่จะเริ่มกระบวนการที่ยาวนานนี้ขึ้น
บทความ The Nation ได้เปิดหัวข้ออภิปรายว่าคนเสื้อแดงจะได้รับ “ชัยชนะ” ในศาลอาญาระหว่างประเทศหรือไม่ แต่สิ่งง่ายๆที่พวกเขาไม่นึกถึงคือ การยื่นฟ้องในครั้งนี้เป็นการแสดงข้อเท็จและหลักฐานการสังหารต่อประชาชนและต่อประชาคมโลกเป็นครั้งแรก และนั้นคือชัยชนะ การนำเสนอบทคัดย่อทางกฎหมายที่ครอบคลุม และการทำงานหลายพันชั่วโมงเพื่อร่างคำร้องนี้ คนเสื้อแดงได้แสดงความรับผิดชอบที่มีต่อคนไทยทั้งหมด มากกว่ารัฐบาลทหารที่พยายามปกปิดอาชญากรรม