วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

ยุบสภาเร็วๆก็ดีเหมือนกัน

http://proxypy31.appspot.com/u?purl=bG10aC4yODE5MS1kYWVyaHQvc3UubW9kZWVyZn
RlbnJldG5pLnd3dy8vOnB0dGg%3D%0A

เชื่อ เลยว่า ถึงนาทีนี้มีคนเห็นด้วยกับ "ปู่ชัย" นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ตั้งท่ายุส่งให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เดินหน้าล้มกระดาน ภายหลังปรากฏการณ์สภาล่มซ้ำซากติดๆกันสามวัน

ตามสาเหตุที่จับอารมณ์ของนักเลือกตั้งอาชีพสะท้อนเสียงตรงกัน

"เจ๊วา" นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ ในฐานะเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย เปรียบเทียบบรรยากาศใกล้ยุบสภา ก็เหมือนบริษัทใกล้ปิดกิจการ

พนักงานก็รู้ว่าตกงาน พวกเขาจึงไปหางานใหม่ จะมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร

นาย พิกิฏ ศรีชนะ ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อแผ่นดิน ที่จ้องย้ายสำมะโนครัวไปอยู่พรรคภูมิใจไทย ก็ฟันธง เหตุที่สภาล่มเป็นเพราะนายกฯอภิสิทธิ์ประกาศยุบสภาล่วงหน้าชัดเจน ทำให้สภากร่อย ใครจะมาสนใจงานสภา เพราะต้องลงพื้นที่หาเสียงกันหมด

ถ้ามัวแต่นั่งประชุม อาจไม่ได้กลับมาเป็น ส.ส.

แม้ แต่ "เดอะคึก" นายเทพไท เสนพงศ์ โทรโข่งประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังยอมรับว่า เหตุสภาล่มอาจมีสาเหตุจากนายกฯประกาศยุบสภา ส.ส.รู้ชะตากรรม เวลาที่เหลืออยู่ก็ไม่มีความหมาย ไม่ต่างจากคนใกล้ตายที่หมดความหวัง

สรุปเลยว่า ส.ส.ไม่มีแก่ใจทำหน้าที่ในสภา

ทั้ง หมดทั้งปวง โดยปรากฏการณ์ที่เห็นๆกันว่า อยู่ไปก็ไม่มีความหมาย อาจทำให้คิวยุบสภาเกิดเร็วกว่าที่นายอภิสิทธิ์ประกาศล็อกปฏิทินไว้ช่วง สัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม

เพราะขืนทู่ซี้ลากไป เสี่ยง "ยางแตก" ได้ทุกวินาที

ตาม โปรแกรมมีคิวสำคัญที่ต้องลุ้นพลิกคว่ำพลิกหงาย อย่างที่นายวิทยา แก้วภราดัย ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ดักคอแกมปรามล่วงหน้า ยังเชื่อว่า เหตุสภาล่มจะไม่กระทบต่อการประชุมสภาเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญที่ใช้ในการเลือกตั้ง 3 ฉบับ ซึ่งคาดว่าจะเข้าสู่วาระประชุมได้ในวันที่ 7 เมษายนนี้

เพราะพรรคเพื่อไทยต้องการให้ร่างกฎหมายดังกล่าวนั้นผ่านเช่นกัน

แต่หากไม่สามารถพิจารณาได้ในท้ายที่สุด กฎหมายได้เปิดช่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกระเบียบเพื่อจัดการเลือกตั้งได้

วน ไปวนมา มันก็เข้าล็อกที่นางสดศรี สัตยธรรม กกต. ที่ตั้งแง่ไว้แล้วว่า กกต.ไม่อยากเสี่ยงในการออกระเบียบจัดเลือกตั้ง ออกอาการแหยงๆ กลัวว่าชะตาอาจซ้ำรอยอดีต กกต.ที่โดนฟ้องฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เสี่ยงติดคุกเอาง่ายๆ

โดยเงื่อนไขกดดัน ก็ไม่มีหลักประกันว่า กกต.จะไม่ถอนสมอนาทีสุดท้าย

ปมล็อก จัดเลือกตั้งไม่ได้

เหนือ อื่นใด "ปู่ชัย" เองก็พูดแปร่งๆเป็นนัย ถ้าฝ่ายค้านและรัฐบาลเข้าใจกัน วิปต่อวิปประสานงานให้เกิดประโยชน์ต่อแผ่นดิน ไม่คิดที่จะแทงข้างหลังปัดแข้งปัดขากัน บ้านเมืองไปรอด เวลาประชุมใครจะรับไม่รับก็มีสิทธิออกเสียง ถึงจะเป็นนักการเมืองที่แท้จริง

แต่ ถ้าเล่นระบบนี้ ทำสภาล่มบ่อย บ้านเมืองไปไม่รอด สภาก็ควรให้ผู้ที่มีอำนาจดำเนินการไปซะ เลือกตั้งจากประชาชนอย่างทุกวันนี้ไม่มีประโยชน์

"ถ้าสมัยก่อนมี เหตุการณ์สภาล่มแบบนี้ ฝ่ายผู้มีอำนาจท่านก็เป่าแตรแล้ว ตนห่วงเรื่องเป่าแตรมากกว่า ถ้า ส.ส.สมัยนี้มีประสบการณ์อย่างผม ถ้าไม่อยากให้เป่าแตรต้องช่วยกันแก้ปัญหา เป่าแตร ก็มีทั้งแตรนอน แตรรบ เคยเห็นมั้ย เป่าแตรแล้วไปเลย"

"เป่าแตร" หรืออีกนัยก็ "แอ่นแอ๊น"

ยกท็อปบูตขู่ ส.ส.กันตรงๆ "ปู่ชัย" เล่นมุกตามน้ำกระแสล้มกระดาน "ไม่มีเลือกตั้ง"

และก็ให้บังเอิญเข้าเค้ากับปฏิบัติการ "เขี่ยเชื้อ" ล่อไฟ

กับ คิวที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แกนนำคนเสื้อแดง นปช. แถลงนัดชุมนุมใหญ่คนเสื้อแดง เพื่อรำลึก 1 ปีเหตุการณ์ขอคืนพื้นที่สี่แยกคอกวัว ในวันที่ 10 เมษายน

คนเสื้อ แดงจะมีเซอร์ไพรส์ใหญ่ด้วยการเชิญนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ที่ถูกออกหมายจับในคดีการเปิดเผยเอกสารทางราชการ กรณีนำคลิปการหารือเรื่องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ รวมไปถึงคลิปการเตรียมการโกงข้อสอบเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ มาเปิดใจให้ประชาชนได้ตาสว่าง

"ผมไปรอนายพสิษฐ์ จนได้รับการประกันตัวเพื่อขอให้เขามาพูดบนเวทีคนเสื้อแดง ซึ่งล่าสุดก็ได้รับคำยืนยันมาแล้วว่า วันที่ 10 เมษายน นายพสิษฐ์จะมาขึ้นเวทีแน่นอน แล้วการพูดครั้งนี้รับรองว่า จะเป็นการพูดแบบแบหัวใจให้คนไทยได้รู้ถึงพฤติกรรมของตุลาการฯ ซึ่งเมื่อได้รับทราบก็จะได้ตาสว่างว่าเกิดอะไรขึ้นในประเทศนี้"

ปั่นเดิมพันได้เสียกันซะด้วย.

ทีมข่าวการเมือง รายงาน
ไทยรัฐออนไลน์

* โดย ทีมข่าวการเมือง
* 1 เมษายน 2554, 05:03 น.
ฟ้าหญิงทรงขอความเป็นธรรมให้แก่พระเจ้าอยู่หัวกับราชินี
http://proxypy31.appspot.com/u?purl=bG10aC4xODA4OTMwMUEvMTgwODkzMDFBL2NpcG90L2
lhaHRtcmVsYWhjL2VmYWMvbW9jLnBpdG5h%0AcC53d3cvL
zpwdHRo%0A

"ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ฯ" ประทานสัมภาษณ์พิเศษรายการดัง "วู้ดดี้เกิดมาคุย" ทรงเปิดใจ “ในหลวง-ราชินี” ทรงเป็นห่วงคนไทยเรื่องสามัคคีอยากให้ทุกคนกลมเกลียวกัน อยากให้ 2 พระองค์ได้รับความยุติธรรมตามที่ท่านควรได้รับด้วย ขณะที่ “ฟ้าหญิง” ทรงเปิดตัวตนจริง ๆ ให้ประชาชนได้รับทราบ ย้ำ 15 ปีที่ผ่านมาเป็นเด็กวัดอยู่กับวัดกับหลวงตามหาบัว รับคำสั่งสอนหลวงตา ทุกครั้งให้มองย้อนกลับพิจารณาคำนินทาว่ากล่าวนั้นว่าตรงกับตัวเราหรือไม่  ถ้าเป็นจริงเราต้องแก้ไข ทรงระบุ เกิดเป็นเจ้าหญิงไม่ได้สบายอย่างที่ใครคิด ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กว่าต้องทำหน้าที่เพื่อประชาชน

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 29 มี.ค. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ประทานวโรกาสพิเศษให้สัมภาษณ์กับรายการโทรทัศน์ “วู้ดดี้เกิดมาคุย” ณ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์  ถนนวิภาวดีรังสิต โดยมี วู้ดดี้-วุฒิธร มิลินทจินดา ทำหน้าที่ในการสัมภาษณ์ ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จในชุดเสื้อกาวน์สีขาว ด้านในยังทรงชุดผู้ป่วยของโรงพยาบาลศิริราช ประทานสัมภาษณ์ว่า “อยากให้คนที่ติดตามชมรายการได้รู้จักตัวตนของฉันอย่างแท้จริง ไม่อยากให้ไปฟังข่าวลือ หรือข่าวที่พูด ๆ กันไป ณ วันนี้ คือตัวตนที่แท้จริงของฉัน ไม่มีบิดเบือน” พร้อมกันนี้ยังแนะวิธีเอาชนะปัญหาที่ผ่านมาในชีวิต 15 ปีที่ผ่านมา เป็นเด็กวัด กินนอน ทำสมาธิอยู่ในกุฏิเล็ก ๆ ที่วัด กับหลวงตามหาบัว  ทุกวันนี้ก็ยังเป็นเด็กวัด

“แม้ว่าหลวงตาฯปลงสังขารไปแล้ว มีกระแสข่าวมากมาย มีคำกล่าวว่ามากมายมันย่อมมีผลกระทบกับชีวิตคนเราแน่นอน แต่อยากให้มองย้อนกลับไปพิจารณาคำนินทาว่ากล่าวนั้นว่า ตรงกับตัวเราหรือไม่  ถ้ามันเป็นจริงเราก็ต้องปรับปรุงแก้ไขตัวเองเสียก่อน  แต่ถ้าไม่ตรงกับเรา ต้องปล่อยวางกับสิ่งเหล่านี้ทันที หลวงตาท่านสอนไว้ ตอนแรกเริ่มจะทำยากมาก  แต่ก็พยายามสงบจิตใจและนึกถึงคำสอนของหลวงตา  กำหนดลมหายใจ ทุกวันนี้สามารถทำได้อย่างสบายใจและสงบ   เรื่องในอดีตให้มันผ่านไป อนาคตคือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง อย่าไปฟุ้งซ่านคาดเดา ให้อยู่กับปัจจุบัน  อยากให้อยู่กับปัจจุบัน” สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ ทรงรับสั่ง

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ ประทานสัมภาษณ์ต่อว่า การเกิดมาเป็นลูกของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มีหน้าที่มากมาย ไม่ได้สุขสบายอย่างที่หลายคนคิดหรือนึกภาพตามจินตนาการนิทานเจ้าหญิงเจ้าชาย ชีวิตถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กว่าต้องทำหน้าที่เพื่อประชาชน ต้องทำงานตั้งแต่อายุ 14 จนถึงเรียนจบปริญญาเอก ทุกวันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ท่านยังทรงงาน  แม้ว่าจะมีอาการเจ็บป่วย เห็นท่านตรากตรำทำงานเพื่อประชาชนของท่านมาตั้งแต่เด็ก ๆ เดินทางไปในแหล่งที่ไม่มีแม้กระทั่งถนน ช่วยเหลือประชาชน เด็กยุคใหม่ไม่รู้แล้วว่าท่านทำอะไรให้บ้านเมืองบ้าง

“ใจจริงของฉัน อยากจะขอเวลาจากรายการทีวี ช่วงสั้น ๆ แค่ 5 นาที 10 นาที ฉายพระราชกรณียกิจที่ท่านทำ สงสารท่านเถอะ ท่านทุ่มเทเต็มที่ เอาใจใส่ทุกรายละเอียดทุกงานที่ทำทั้ง 2 พระองค์ ซึ่งทั้ง 2 พระองค์ทรงเป็นห่วงเรื่องความสามัคคีของคนไทย อยากให้กลมเกลียว คนไทยต้องเข้มแข็ง ชาติจะได้เจริญก้าวหน้าต่อไป ฉันอยากให้ทั้ง 2 พระองค์ได้รับความยุติธรรมตามที่ท่านควรจะได้รับ...” สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ ทรงรับสั่ง

ทั้งนี้สามารถติดตามชมประเด็นการสัมภาษณ์พิเศษ พร้อมประเด็นและมุมมองที่ตรงไปตรงมาจากส่วนลึกของพระทัยของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี รวมถึงการบอกเล่าถึงการดูแลพระอาการประชวรของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  พร้อมทั้งทรงเผยให้ชมโต๊ะทรงงานและบันทึกพิเศษที่ท่านทรงอักษรจากใจ ความเชื่อเรื่องโลกแตกในฐานะนักวิทยาศาสตร์  เรื่องสนุกอารมณ์ดีกับเรื่องสุนัขทรงเลี้ยง และสุนัขประจำตึกที่โรงพยาบาลศิริราช ได้ในรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายนนี้ เวลา 22.30 น. ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี.


ที่มา   เดลินิวส์ออนไลน์

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=38&contentID=129839




ความคิดตื้นเขินของอำมาตย์ที่มองเห็นโลกกว้างแค่กำแพงบ้าน
http://proxypy31.appspot.com/u?purl=bG10aC4xMDI5MS1kYWVyaHQvc3UubW9kZWVyZ
nRlbnJldG5pLnd3dy8vOnB0dGg%3D%0A
ถ้าย้อนหลังการเมืองการปกครองไทยไปแค่ปี 2475 ที่เป็นจุดเริมต้นของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศไทย ซึ่งเป็นไปอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ ตลอดเวลา 80 ปีที่ผ่านมา

เหตุอย่างหนึ่งที่รับรู้กันก็คือ ระบอบการเมืองเปลี่ยน แต่อำนาจลึกลับที่ทำตัวเป็น "รัฐซ้อนรัฐ" ไม่เคยเปลี่ยน


รัฐซ้อนรัฐที่ทำให้รัฐบาลจากการเลือกตั้งต้องทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องผลประโยชน์ให้อำ​นาจลึกลับพึงพอใจ ไม่เช่นนั้น กองทัพซึ่งเป็นเครื่องมืออันทรงพลังของอำนาจลึกลับก็จะจัดการคว่ำกระดานเสีย

 ความคิดที่ว่า ถ้าจะทำให้ประเทศไทยมั่นคงต้องทำให้ประเทศรอบด้านอ่อนแอ
ไทยจึงต้องทำสงครามสู้รบกับประเทศเพื่อนบ้านมาตลอด 


ในปัีจจุบันไม่สามารถทำสงครามโดยตรงได้ ก็หนุนชนกลุ่มน้อยให้ต่อสู้กับรัฐบาลกลาง (ดังกรณีหลังสุดที่ พม่าประท้วงเรื่องไทยหนุนชนกลุ่มน้อยชาวกะเหรี่ยง )

แพ้ก็โกรธแค้นฝังใจ ดังเช่น การพ่ายแพ้ให้กับพม่า ชนะก็เหยียดหยามว่านี่เคยเป็นเมืองขึ้น ก็คิดอย่างนี้ ทำอย่างนี้ และสอนกันอย่างนี้มาตลอดจนแม้ปัจจุบัน โอกาสที่จะอยู่กับเพื่อนบ้านอย่างมิตร เพื่อแสวงหาประโยชน์ร่วมกันจึงเป็นไปได้ยาก

เมื่อคิดอย่างข้างต้นกรณีเขาพระวิหารจึงยาก เพราะการสูญเสียปราสาทพระวิหาร คือ การแพ้คนที่ตัวเองเคยย่ำยีว่า "ก็แค่เมืองขึ้น" จึงโกรธฝังใจใช่หรือไม่ ? โกรธจนลืมไปว่า แนวเขตที่สร้างรั้วกั้นแล้วใครก็แตะของข้าไม่ได้ กับแนวเขตที่ไร้รั้วเพื่อให้คนสองข้างไปมาหาสู่กันได้สะดวก


โลกในปัจจุบันรับรู้แล้วว่า แนวเขตแบบหลังเอื่้อต่อความผาสุกและการกินดีอยู่ดีของคนในชาติมากกว่า

แต่ด้วยความโกรธ ด้วยสายตาที่ไม่ได้มองไกลไปกว่ารั้วบ้านของอำนาจที่ทำตัวเป็น "รัฐซ้อนรัฐ"

กูจะเอาอย่างนี้ใครจะทำไม ?

ด้วยเหตนี้ การจัดการความขัดแย้งกรณี่ปราสาทพระวิหารภายใต้แนวคิดโบราณจึงมีแต่เสียไม่มีได้ ที่พอจะได้ก็คือ หุ่นกระบอกแถวมัฆวาน ที่หากินหลอกสมุนบริวารมาได้เป็นแรมเดือน


ต้องยึดสันปันน้ำ..... ต้องยึดสันปันน้ำ.....

ถ้าเขมรย้อนกลับว่า เอาจริงหรือเปล่า ?
ถ้าเอาจริงต้องยึดสันปันน้ำตลอดเส้นเขตแดน...จะเอาไหม 
หรือจะเอาเฉพาะตรงที่กูจะได้เปรียบ ?
พลเอกเปรม และเบื้องหลังทุกคน เชิญทางนี้หน่อย

*http://proxypy31.appspot.com/u?purl=bG10aC44OTE5MS1kYWVyaHQvc3UubW9kZWVyZnRlbnJl
dG5pLnd3dy8vOnB0dGg%3D%0A

ก่อนสิ้นอายุไข แหรกตาดูก่อน และแสดงจิตสำนึกลูกผู้ชาย หรือลูกผู้หญิงออกมา ว่าพวกคุณจะรับผิดชอบต่อแผ่นดินนี้ที่เสียหาย แตกแยก เดือดร้อน พินาศ สิ้นสลายทางสังคม ที่คุณมายกย่อง ส่งทหารมายึดอำนาจและ ตั้งรัฐบาลมาร์คมานี้ โพลเขาว่าแบบนี้ ให้เป็นหลักฐาน ว่ารัฐบาลพวกคุณสอบตกหมด ไม่นับทุกสิ่งทุกอย่างทีเกิดขึ้นหลังยึดอำนาจและคุณภาพคนพวกนั้นไปรับการสนับสนุนอย่​างเป็นทางการ พวกคุณจะรับผิดชอบแผ่นดินนี้อย่างไร ดี หรือจะบอกว่า ไม่รู้เรื่อง ไม่เกี่ยว ไม่ได้ทำ
----------------------
"ดุสิตโพล" ชี้รัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ ภาพรวมสอบตกเรียบ ผ่านแค่ 3 เรื่อง คือ ข่าวสาร การศึกษา ผลงานนายกฯ
สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต จัดทำดัชนีการเมืองไทย เรื่อง "ดัชนีการเมืองไทย" ยังโงหัวไม่ขึ้น!!! ตกติดต่อกัน 3 เดือน ปรากฎว่า รัฐบาลชุดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ สอบผ่านแค่ 3 เรื่อง คือ ข่าวสาร การศึกษา ผลงานนายกฯ นอกนั้นตกหมด
โดยสำรวจจากประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 6,247 คน ระหว่างวันที่ 25-31 มี.ค. ได้บทสรุปดังนี้
ประชาชนให้คะแนนดัชนีการเมืองไทย ภาพรวมคะแนนเต็ม 10 ได้เพียง 4.21 คะแนน และถ้าจำแนกตามภูมิภาค ประชาชนให้คะแนนดัชนีการเมืองไทย โดยคะแนนเต็ม 10 ดังนี้
1.ภาคใต้ได้ 4.80
2.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้ 4.19
3.ภาคเหนือได้ 4.16
4.ภาคกลางได้ 4.10
5.กรุงเทพฯ ได้ 3.89
ส่วนผลงานรัฐบาลที่ได้คะแนนเกินครึ่งมีเพียง 3 ประเด็นเท่านั้น คือ
1.ข่าวสารที่เผยแพร่จากสื่อต่างๆให้ประชาชนได้รับรู้ 5.15
2.การจัดการศึกษาสำหรับประชาชน 5.10
3.ผลงานของนายกรัฐมนตรี 5.03
สำหรับผลงานรัฐบาลที่ได้คะแนนน้อยไม่ถึง 4 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 มีถึง 8 ประเด็นดังนี้
1.การแก้ปัญหาคอรัปชั่น 3.25
2.การแก้ปัญหาผู้มีอิทธิพล 3.27
3.การแก้ปัญหายาเสพติด 3.47
4.ราคาสินค้า 3.56
5.การปฏิบัติตนของนักการเมือง /ความสามัคคี 3.57
6.การแก้ปัญหาความยากจน 3.62
7.การแก้ปัญหาการว่างงาน 3.70
8.ความสามัคคีของคนในชาติ 3.74
http://news.voicetv.co.th/thailand/7286....um=twitter

------------------

ต่อมา ถ้ามีการเลือกตั้ง ถ้าพรรคปชป และพรรคร่วมรัฐบาลชนะการเลือกตั้ง แสดงว่า
1. คนไทยนี้ ควรแดรกหญ้าเป็นอาหารหลัก โง่สุดๆ
2. ไม่ต้องคิดอะไร นี้มันปิดประเทศโกงเลือกตั้ง และเชื่อว่าจะมีแบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
-----------------------------------------------------
เอาแค่ 2 ข้อนี้ ก็มีเหตุผลพอ ที่คนไทยต้องเตรียมจัดการแผ่นดินนี้ต่อไป
เราจะยอมเดิมตามกติกาพวกมัน แต่พวกเรารู้ว่าพวกมันจะโกง แบบครบวงจร
แล้วเราจะทำไง ต่อไป กระบวนการเสื้อแดงทั้งแผ่นดิน ต้องร่วมกับเป็นภารกิจ
และประกาศให้สื่อมวลชนที่เป็นของพวกมันทั้งหมด ไว้ ตีปลาหน้าไซไว้ก่อนว่า
การโกงจะเกิดขึ้นแบบใด แล้วไปเตรียมกับอย่างเป็นระบบไว้ก่อน
แน่นอน หน่วยเลือกตั้งทั้งหมด ถูกซื้อยกแผงไปแล้ว เจ้าหน้าที่จ้ดการเลือกตั้งและคุมหีบบัตรก็ของ ไอ้ห้อยหมดทั้งประเทศ
การนับคะแนน ก็สามารถทำให้เป็นบัตรเสียได้ในทันทีแค่ให้คนถือปากกาขีดกานิดหน่อยก่อนยืนให้คนขาน จุดนี้ก็ได้
จะรวมคะแนนทางคอมพิวเตอร์ นี้ก็จุดใหญ่ จุดย้ายหีบบัตร จะไม่มีการเปลี่ยนในจุดนี้แน่ะ เป็นจุดที่คนโกงจะไว้โชว์ว่าปกติ
แต่จุดอื่นๆเล็กๆ ก็สามารถทำลายฝ่ายตรงข้ามได้เยอะ เอาเป็นว่า ตรามใดที่มีเวลาที่บัตรเลือกตั้งยังอยู่ในการเก็บดูแลก่อนเปิดหีบนั้นอันตรายที่สุด แม้ตอนเปิดหีบ ก็อันตรายได้เช่นกัน
----------------------------------------------------------------------
การโกงอย่างเป็นทางการทำไปแล้ว คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ลดจำนวนส.ส.เขตลง ทำพื้นที่ให้ใหญ่ขึ้น เจาะจงลดส.ส.ภาคอิสาน เหนือลง นี้ทำไปแล้ว และไปเพิ่มกฏใหม่ที่ ส.ส.สัดส่วน พรรคใดได้ปาตี้ลีสต์มากสุด หรือจำนวนประชาชนที่เลือกพรรคมาก ได้จัดตั้งรัฐบาล นี้ก็แปลกโดยปกติพรรคที่จะได้มาก ก็ต้องเป็นพรรคที่ชนะการเลือกตั้งทั้ง ส.ส.เขต ปกติต้องเป็นพรรคเพื่อไทย อยู่แล้วและตลอดมาเป็นเป็นแบบนั้น แต่หลังแก้ไขใหม่ ทำไมพรรคปชป และพรรคร่วม มั่นใจอะไรในจุดนี้ด้วย แสดงว่าเป็นจุดที่ตรวจสอบไม่ได้ นั้นเอง มันสามารถให้ใครมานั่งกาแต่พรรคปชป และหรือภูมิใจไทยไว้ล่วงหน้าเป็นเดือนก่อนก็ได้ หรือไม่ เพราะจุดนี้ไม่ใครสนใจ ในจำนวนการเลือกพรรคมาก ไปสนใจแต่คะแนนการเลือก ส.ส.เขตมากกว่า อันนี้สำคัญ

-----------------------------------
เห็นจุดโกง ถ้ามีการเลือกตั้งเกิดขึ้นยังครับ ต้องมีการโกงทุกรูปแบบทั้งระบบทุกกระทรวงและเจ้าหน้าที่รัฐจะร่วมมือกับรัฐบาลหรือไม​่ และอาจจะใช้กฏทรราช เข้าควบคุมทางทหารอีก ในพื้นที่ไอ้มาร์คไปไม่ได้ ก็จะเป็นแผนสำรองไว้ใช้อีก
บอกให้รู้กันไว้ เมือเชื่อว่าตอนนี้ คนชั่วเลวทรามที่สุด ได้มาร่วมกันมีอำนาจแล้ว ไม่มีอะไรดีๆเกิดขึ้นจากสมองพวกมันแน่ๆ

และง่ายที่สุด ผลการบริหารประเทศของรัฐบาล ถ้าคิดแบบคนมีสมอง คิดอะไรเองได้ หมาตัวไหนจะเลือกพวกมันมาอีก
แค่นี้ ถ้าไม่โกง


เจอจดหมายสมาชิก แพร่เผาระยะสั้นอีก ผลงานไม่มี ทำชาติประชาชนทุกข์หนัก

ถามว่า มันจะให้มีการเลือกตั้งโดยสุจริต ด้วยรึ พรรคปชป
ไหน จะมีจดหมายสมาชิกพรรคออกมาเผา ณาปนกิจพรรคปชป ล่าสุด

ข้าวยากหมากแพงแบบนี้ สมมุติว่าเป็นพรรคอื่นบริหารแล้วพวกปชป เป็นฝ่ายค้าน ผมว่าถูกพรรคเอี้ยนี้ด่าไม่เหลือซาก
ดังนั้น พวกนี้มันจะกล้าเลือกตั้งรึ ถ้าไม่โกง
พม่ามีประธานาธิบดีแล้ว....ผ่างๆๆๆๆ*
*http://proxypy31.appspot.com/u?purl=bG10aC44MDI5MS1kYWVyaHQvc3UubW9kZ
WVyZnRlbnJldG5pLnd3dy8vOnB0dGg%3D%0A
ก็ทหารแปลงร่าง เท่านั้น..

[Image: 1301552057.jpg]

รัฐบาลพลเรือนชุดแรกในรอบเกือบครึ่งทศวรรษของพม่าได้เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งอย่าง​เป็นทางการแล้ว หลังจากยุบสภาพัฒนาและสันติภาพแห่งรัฐหรือ SPDC อย่างเป็นทางการ ไปเมื่อวานนี้

การยุบสภา SPDC ซึ่งเป็นคณะนายทหารที่ปกครองพม่ามายาวนานเกือบครึ่งศตวรรษภายใต้การนำของนายพล ตัน ฉ่วย พร้อมทำพิธีสาบานตนรับตำแหน่งรัฐบาลพลเรือนชุดแรกที่มาจากการเลือกตั้งตามแนวทางประช​าธิปไตยในรอบ 20 ปี เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ซึ่งเป็นประชาธิปไตยในรูปแบบของพม่า กล่าวคือเลือกตั้งโดยไม่มีนางอองซาน ซูจี และพรรคพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยเข้าร่วม ขณะที่พลเอกอาวุโส ตัน ฉ่วย วัย 78 ปีก็ยุติบทบาทด้วยการแต่งตั้งให้นายพลมิน ออง เลียง ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุด ส่วนอดีตนายกรัฐมนตรีเต็ง เส่ง ซึ่งเป็นพันธมิตรเหนียวแน่นของนายพลตัน ฉ่วย เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีของพม่าที่รัฐสภาในกรุงเนปิดอว์ เมืองหลวงของพม่า ส่วนคณะรัฐมนตรีมีทั้งหมด 30 คนส่วนใหญ่ก็เป็นพวกเกษียณหรือไม่ก็เป็นนายพลที่รับราชการยู่ใน SPDC

มีรายงานว่าทั่วพม่าเริ่มมีการเปลี่ยนสัญญลักษณ์บางอย่างตามอาคารของรัฐเพื่อแสดงให้​เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของระบบการเมืองในประเทศ ขณะที่ภาพของนายพล ตัน ฉ่วย รวมทั้งคำประกาศต่าง ๆ ก็หายไปจากหน้าแรกของหนังสือพิมพ์ New Light Of Myanmar ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ของรัฐ รวมทั้งวันกองทัพพม่าก็ถูกลดความสำคัญลง

เต็ง เส่ง ในฐานะประธานาธิบดีคนใหม่ของพม่าก็ได้แถลงต่อที่ประชุมรัฐสภาโดยกล่าวหาชาติตะวันตก ว่าพยายามระรานพม่า อย่างไรก็ตามก็เร่งเร้าให้ตะวันตกรับรองรัฐบาลใหม่ของพม่าที่มาจากการเลือกตั้งตามแน​วทางประชาธิปไตย

นักวิเคราะห์ทางการเมืองมองปรากฏการณ์ในพม่าครั้งนี้ว่า ไม่น่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก และเชื่อว่า นายพล ตัน ฉ่วย จะยังคงกุมบังเหียนอำนาจอยู่เบื้องหลังและมีอิทธิพลต่อทิศทางทางการเมืองของพม่าต่อไ​ป ส่วนเรื่องการปฏิรูปทางการเมืองคาดว่า ไม่น่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ โดยเฉพาะในช่วงที่ตันฉ่วยยังมีชีวิตอยู่ ที่สำคัญเขาได้วางคนของตัวเองในตำแหน่งบริหาร,สภานิติบัญญัติรบมทั้งกองทัพเพื่อเป็น​ฐานอำนาจและป้องกันไม่ให้คนลุกขึ้นมาท้าทายอำนาจ
ที่มา ประธานาธิบดีพม่าเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่ง
แม่ ‘น้องเบิร์ด’ โวย อนุฯ คอป.สอบข้อเท็จจริง ถามปรองดองได้ไหม เรียกค่าเสียหายเท่าไร
*http://easy-net.appspot.com/u?purl=bG10aC4wOTE5MS1kYWVyaHQvc3UubW9kZ
WVyZnRlbnJldG5pLnd3dy8vOnB0dGg%3D%0A
Thu, 2011-03-31 22:13

31 มี.ค.54 นางนารี แสนประเสริฐศรี แม่ของนายมานะ แสนประเสริฐศรี หรือ ‘เบิร์ด’ อาสากู้ภัยมูลนิธิปอเต็กตึ๊งที่ถูกยิงที่ศรีษะเสียชีวิตบริเวณปากซอยงามดูพลี เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2553 ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ (31 มี.ค.) ได้รับการติดต่อให้เข้าไปให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเสียชีวิตของลูกชายคนเล็กกับอนุกรรมก​ารตรวจสอบข้อเท็จจริงบริเวณบ่อนไก่ ภายใต้คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ว่า คณะอนุกรรมการชุดดังกล่าวได้มาลงพื้นที่ชุมชนบ่อนไก่เมื่อวันที่ 25 มี.ค.ที่ผ่านมา และวันนี้ได้ติดต่อมาให้ตนเข้าไปเล่าข้อเท็จริง โดยถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น นอกจากนั้นยังสอบถามด้วยว่าจะสามารถปรองดองได้หรือไม่ สามารถคำนวณเป็นค่าเสียหายได้หรือไม่ หากคำณวนเงินเดือนปัจจุบันนับจนถึงอายุ 60 จะเป็นที่พอใจไหม ซึ่งตนปฏิเสธไปทั้งหมด

“เราบอกเราไม่พอใจ ชีวิตลูกเราทั้งคน เอาคืนไม่ได้ ชีวิตคนไม่ใช่ผักปลา จะมาพูดง่ายๆ อย่างนี้ได้ยังไง แล้วเราก็มีเพื่อนอีกเยอะแยะ อีก 91 ศพ มันไม่ใช่เราคนเดียวจะตอบได้ คนเจ็บที่นอนอยู่อีก คนติดคุกที่ไม่ได้ออกอีกล่ะ จะปรองดองได้ไหมก็ต้องไปถามพวกนี้ด้วย” นางนารีกล่าว

“เขาแค่ถาม แล้วก็จดเอาไว้ เราก็บอกว่าไปทำให้ถูกต้องก่อนแล้วค่อยมาคุย” นางนารีกล่าว

ทั้งนี้ นางนารีกล่าวถึงเหตุการณ์ในวันที่ 15 พ.ค.53 ว่า เบิร์ดได้ออกจากบ้านไปช่วยดับไฟที่ไหม้ตู้โทรศัพท์หน้าซอยงามดูพลีก่อนแล้วในช่วงบ่า​ย แล้วกลับมากินข้าว จากนั้นเมื่อทราบว่ามีคนถูกยิงได้รับบาดเจ็บก็ออกจากบ้านไปอีก เขาถูกยิงที่ศรีษะหลังจากเข้าไปช่วยเหลือคนเจ็บออกจากพื้นที่กระสุนได้ 2 คนในจำนวน 3 คน โดยขณะปฏิบัติงานนั้นมีเครื่องแบบกู้ภัย รวมถึงถือธงสัญลักษณ์กาชาดด้วย



[Image: 56500440.jpg]

สำหรับประวัติของเบิร์ดนั้น ผู้เป็นแม่เปิดเผยว่า เบิร์ดเป็นลูกชายคนเล็กในบรรดาลูก 4 คน และมีนิสัยชอบช่วยงานอาสาสมัครมาตั้งแต่ยังเล็ก อายุ 10 กว่าปีก็ไปนั่งเฝ้าดูรถดับเพลิงที่สถานีดับเพลิงใกล้บ้าน และเมื่อโตขึ้นก็มักติดตามไปช่วยงานดับเพลิงเป็นประจำ รวมทั้งงานอาสาสมัครช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจนกระทั่งเรียนหนังสือไม่จบ และออกมาทำงานรับจ้างขนของ ขายขนมปัง ขับมอเตอร์ไซด์รับจ้าง ขับแท็กซี่ ในช่วงเหตุการณ์สึนามิเบิร์ดก็ลงพื้นที่ไปเป็นอาสาสมัคร และเมื่อสอบเข้าเป็นอาสาสมัครของมูลนิธิปอเต๊กตึ๊งเต็มตัวเบิร์ดรู้สึกภูมิใจมาก

http://www.prachatai3.info/journal/2011/...nt=Twitter


แม่ "เบิร์ด-มานะ" หนุ่ม แม่ "เบิร์ด-มานะ" หนุ่มกู้ภัยป่อเต็กตึ๊งจิตอาสา วัย 25 ปี ซึ่งถูกยิงดับสยองขณะทหารเผชิญหน้าผู้ชุมนุมเสื้อแดงย่านแยกบ่อนไก่ ถ.พระราม 4 กทม. เมื่อเดือนพ.ค. ระบุลูกชายมาเข้าฝันหลายครั้งจึงจัดงานทำบุญใหญ่ให้วันนี้ พร้อมเชิญอาสาฯ ทุกคนผู้เคยเสี่ยงตายช่วยเหลือประชาชนในเหตุสลายม็อบเข้าร่วมงาน เผยตอนนี้ขาดส่งค่ารถแท็กซี่ที่ลูกชายดาวน์ออกมาขับหาเลี้ยงชีพจนรถถูกยึด ดอกเบี้ยท่วมอีกนับแสน รุ่นพี่กู้ภัยยอมรับภาพนาทีนายมานะโดนยิงเบ้าตาทะลักยังติดตาไม่หาย ทีมงานพากันท้อใจแทบไม่มีใครอยากออกปฏิบัติงาน ด้านเหยื่อปราบแยก "คอกวัว-ราชประสงค์" กว่า 10 รายบุกกรมคุ้มครองสิทธิฯ ร้องขอความเป็นธรรม เพราะเป็นแค่ประชาชนมือเปล่าธรรมดาๆ ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย ขณะที่พ่อผู้เสียชีวิตรายหนึ่งยืนยัน "สไนเปอร์" บนตึกสูงลั่นกระสุนนัดเดียวระเบิดหัวลูกกระจุย

เมื่อวันที่ 1 ก.ค. นางนารี แสนประเสริฐศรี มารดานายมานะ แสนประเสริฐศรี หรือ "เบิร์ด" อายุ 25 ปี เจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิป่อเต็ก ตึ๊ง ซึ่งถูกยิงศีรษะดับสยองภายหลังเข้าไปช่วย ผู้บาดเจ็บจากปฏิบัติการกระชับพื้นที่ของทหารในซอยงามดูพลี แยกบ่อนไก่ กทม. เมื่อคืนวันที่ 15 พ.ค. เปิดเผยว่า วันที่ 2 ก.ค.นี้ ตนและคนในครอบครัวจะจัดงานทําบุญครบรอบ 49 วันที่นายมานะเสียชีวิต โดยจะจัดเลี้ยงพระเพล พร้อมกับเรียนเชิญอาสากู้ชีพ-กู้ภัยทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่ในวันเกิดเหตุมาร่วมงานบริเวณแยกบ่อนไก่ และประสานให้นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนําแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เข้าร่วมงานด้วย

นางนารี กล่าวว่า น้องเบิร์ด บุตรชาย เดินทางไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บที่ปะทะกับทหารบริเวณบ่อนไก่ โดยออกจากบ้านไปช่วงเย็น จนกระทั่งเกิดเหตุประมาณเที่ยงคืนของวันที่ 15 พ.ค. ก่อนออกจากบ้านน้องเบิร์ดกำลังนั่งกินข้าวไข่เจียวอยู่ที่บ้านพักย่านบ่อนไก่ และมีวิทยุแจ้งเข้ามาว่าข้างนอกบ่อนไก่มีเหตุ ลูกจึงทิ้งจานข้าวแล้วรีบขี่จักรยานยนต์ออกไปทันที ถ้ารู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ตอนนั้นจะดึงมือลูกไว้ ทุกวันนี้ยังเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฝันเห็นลูกชายบ่อยครั้ง ล่าสุดมาเข้าฝันว่าตัวเองไม่มีอะไรเลย แย่งเขาไม่ทัน จึงคิดทําบุญใหญ่ให้ลูกชาย

มารดาหนุ่มกู้ภัยเหยื่อสลายม็อบ กล่าวต่อว่า ตนมีลูก 4 คน น้องเบิร์ดเป็นลูกชายคนเล็ก ทำให้มีความผูกพันมาก ที่ผ่านมาลูกชายทำงานอาสาช่วยผู้ประสบภัยตั้งแต่อายุ 13 ปี เริ่มตั้งแต่ปั่นจักรยานไปทำงานกับรุ่นพี่ ต่อมาทำงานเก็บเงินซื้อจักรยาน ยนต์ได้ก็ยังนำมาใช้เพื่อช่วยบรรเทาสาธารณภัย ก่อนเสียชีวิต น้องเบิร์ดประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่และมีรถเป็นของตัวเอง แต่ยังทำงานอาสาอยู่ เสียใจมากที่ลูกชายต้องตายระหว่างปฏิบัติหน้าที่ อย่างไรก็ตาม สําหรับรถแท็กซี่คันดังกล่าวลูกชายไปกู้เงินนอกระบบ 80,000 บาทเพื่อเป็นเงินดาวน์ ซื้อเงิน ผ่อนจากเจ้าของอู่แท็กซี่ ล่าสุด หลังจากลูกตาย รถถูกยึดและดอกเงินกู้เริ่มสูงขึ้นกว่าแสนบาท

ด้านนายกฤษณา ศรีสดชุ่ม เจ้าหน้าที่อาสาสมัครกู้ภัยมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง รุ่นพี่ที่ร่วมงานอาสากู้ภัยกับนายมานะ ระบุว่า วันเกิดเหตุ นาย มานะเข้าไปช่วยคนถูกยิงที่ซอยงามดูพลี มีผู้บาดเจ็บ 3 คน ซึ่งเจ้าหน้าที่เข้าไปช่วยออกมาแล้วสองคน นายมานะพยายามหมอบคลานเข้าไปช่วยผู้บาดเจ็บคนที่สามและชูธงกาชาดขึ้นเพื่อแสดงตน แต่กลับถูกยิงเข้าคิ้วข้างขวาดวงตาทะลักออกจากเบ้าเสียชีวิตคาที่ จนถึงวันนี้ภาพนายมานะยังติดตามาตลอด ทีมกู้ภัยที่ตนดูแลอยู่นั้นแทบไม่มีใครอยากออกไปทํางานช่วยเหลือใครเพราะท้อ บางวันเหลือแค่ 2 คน เพราะเห็นเพื่อนกู้ภัยโดนยิงอย่างนั้นจึงพากันท้อหมด ส่วนงานทําบุญนายมานะจะเชิญผู้ที่เคยติดอยู่ในเหตุการณ์วัดปทุมวนาราม ช่วงคืนวันที่ 19 พ.ค. มาร่วมงานเลี้ยงพระเพลและร่วมไว้ อาลัยตรงจุดที่นายมานะเสียชีวิต

เวลา 14.00 น. วันเดียวกัน ที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม มีกลุ่มผู้เสียหายที่ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุศอฉ. ส่งทหารสลายผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง บริเวณแยกคอกวัวและราชประสงค์ กว่า 10 ราย เข้ายื่นเรื่องร้องขอความเป็นธรรม พร้อมขอค่าชดเชยเยียวยาในฐานะผู้เสียหายคดีอาญา โดยมีนางสุวณา สุวรรณจูฑะ อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิฯ เป็นผู้รับเรื่อง พร้อมกับซักถามข้อมูลรายละเอียดต่างๆ จากผู้เสียหายเพื่อนำเข้าที่ประชุมพิจารณาค่าตอบแทนและค่าชดเชย

นายสำราญ วางาม อายุ 50 ปี บิดานายสวาท วางาม อายุ 28 ปี ชาวจ.สุรินทร์ ที่ถูก สไนเปอร์ยิงเจาะหัวดับคาแยกคอกวัว เมื่อวันที่ 10 เม.ย. เปิดเผยว่า นายสวาทประกอบอาชีพลูกจ้างร้านเฟอร์นิเจอร์ในกรุงเทพฯ วันเกิดเหตุ ตนกับนายสวาทและลูกชายคนเล็กเดินทางไปยังแยกคอกวัว เวลาประมาณ 18.00 น. เมื่อไปถึงเริ่มเกิดการปะทะระหว่างผู้ชุมนุมกับทหาร นอกจากนั้น ฝ่ายเจ้าหน้าที่ยังโปรยแก๊สน้ำตาลงจากเฮลิคอปเตอร์ใส่ประชาชน และบางส่วนถูกยิงด้วยกระสุนยาง ต่อมา เวลา 1 ทุ่มเศษ จู่ๆ นายสวาทก็ล้มทั้งยืนจนเสียชีวิต ทราบภายหลังว่ามีคนซุ่มยิงอยู่บนที่สูง และยิงเพียงนัดเดียว ทำให้ศีรษะของลูกแตกกระจายตามที่ปรากฏเป็นข่าวก่อนหน้านี้

นายสำราญ เล่านาทีสูญเสียบุตรชาย ซึ่งเป็นกำลังหลักของครอบครัว ด้วยว่า หลังนายสวาทโดนยิง ตนกับลูกชายคนเล็กพยายามคลานหนีออกจากจุดเกิดเหตุ แต่ลูกชายคนเล็กกลับถูกยิงใส่ เคราะห์ดีกระสุนถูกหัวเข็มขัดจึงปลอดภัย ช่วงนั้นเหตุการณ์ชุลมุนมาก มีการปาระเบิด กระทั่งมีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต

"การเดินทางมาครั้งนี้เพื่อมาขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลในการเยียวยาความเสียหายในฐานะ​ผู้ได้รับผลกระทบ รัฐควรแสดงความรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะประชาชนไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย และไม่มีอาวุธ" นายสำราญ กล่าว พร้อมกับแสดงภาพสภาพศพนายสวาทหัวกะโหลกยุบหายไปทั้งแถบ

ด้านผู้ร้องเรียนอีกราย นางสุวิมล ฟุ้งกลิ่นจันทร์ อายุ 48 ปี มารดานายเทิดศักดิ์ ฟุ้งกลิ่นจันทร์ ที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 เม.ย. บริเวณแยกคอกวัวเช่นกัน เผยว่า วันนี้เดินทางมายื่นเอกสารต่อกรมคุ้มครองสิทธิฯ เพื่อขอความช่วยเหลือด้านการเงิน ในวันเกิดเหตุตนและลูกชายไปร่วมชุมนุมด้วยกัน แต่ตนอยู่แยกราชประ สงค์ ลูกอยู่แยกคอกวัว ช่วงตีหนึ่งในคืนนั้น ตนทราบข่าวว่าลูกถูกยิงอาการสาหัส นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลราชวิถี เมื่อไปเยี่ยมลูกพบว่าอาการโคม่า หายใจรวยริน ขอย้ำว่าที่ไปชุมนุมเพื่อเรียกร้องความถูกต้อง

น.ส.ศิริพร เมืองศรีนุ่น ทนายความกลุ่มผู้ได้รับความเสียหาย ให้สัมภาษณ์ว่า นำผู้เสียหายเหล่านี้มาร้องต่อกรมคุ้มครองสิทธิฯ เพื่อให้ความช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงิน เพราะผู้บาดเจ็บบางรายเป็นหัวหน้าครอบครัว เมื่อเสียชีวิตจึงทำให้ญาติๆ เดือดร้อนอย่างหนัก ปัจจุบันยังมีผู้เดือดร้อนอีกนับพันคนรอความช่วยเหลือจากรัฐบาล ที่ผ่านมาตนได้พาบางส่วนไปยื่นเรื่องต่อหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักพระราชวัง บ้านราชวิถี รวมถึงพรรคเพื่อไทยและได้รับความช่วยเหลือมาบ้างแล้ว


วันที่ลงข่าว 2 ก.ค 2553 http://www.news.thai2ads.com/contentnew-news-367*
เปรมกันทั่วหน้า! ปรับเงินเดือนพรึบ! ขรก. ทหาร ศาล อัยการ นักการเมือง ผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ
http://easy-net.appspot.com/u?purl=bG10aC4xOTE5MS1kYWVyaHQvc3UubW9kZWVyZ
nRlbnJldG5pLnd3dy8vOnB0dGg%3D%0A


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 31 มีนาคม 2554 ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ พระราชกฤษฎีกาที่ว่าด้วยการปรับขึ้นอัตราเงินเดือน รวม 8 ฉบับ โดยจะมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายในวันที่ 1 เมษายน 2554

พระราชกฤษฎีกา ทั้ง 8 ฉบับ ประกอบด้วย
1.พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ฉบับที่ 14 ) พ.ศ. 2554
2. พระราชกฤษฎีกาการปรับอัตราเงินเดือนของข้าราชการ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2554
3.พระราชกฤษฎีกาการปรับเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนสามัญ พ.ศ. 2554
4.พระราชกฤษฎีกาการปรับอัตราเงินเดือนของข้าราชการทหาร ทหารกองประจำการ และนักเรียนในสังกัดกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2554
5.พระราชกฤษฎีกาการปรับอัตราเงินเดือนของข้าราชการตุลาการและดะโต๊ะยุติธรรม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554
6.พระราชกฤษฎีกาการปรับอัตราเงินเดือนของข้าราชการอัยการ พ.ศ. 2554
7.พระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของสมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และกรรมาธิการ (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2554
8.พระราชกฤษฎีกาการปรับอัตราเงินเดือนของตุลาการศาลปกครอง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554

ทั้งนี้ หลักการและเหตุผล ของพระราชกฤษฎีกาการปรับอัตราเงินเดือนของข้าราชการ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2554 ระบุว่า เนื่องจากบัญชีอัตราเงินเดือนของข้าราชการในปัจจุบันได้บังคับใช้มาเป็นเวลานาน ไม่เหมาะสมกับภาวะทางเศรษฐกิจและค่าครองชีพ ที่เพิ่มสูงขึ้นมาก สมควรปรับอัตราเงินเดือนของข้าราชการให้เหมาะสมยิ่งขึ้น โดยปรับเพิ่มในอัตราร้อยละห้า เท่ากันทุกอัตราสำหรับข้าราชการทุกประเภท

ตามบัญชีเงินเดือนข้าราชการพลเรือน สูงสุด (อันดับ บ.11 ) รับเงินเดือนเท่ากับ 69,810 บาท ต่ำสุด (อันดับ ท.1) รับเงินเดือน 4,870 บาท ขณะที่เงินเดือนของนายกรัฐมนตรี เท่ากับ 75,590 บาท รองนายกรัฐมนตรี 74,420 บาท รัฐมนตรี 73,240 บาท
(เปิดบัญชีเงินเดือนโดยละเอียด http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/P.../022/7.PDF )


สำหรับ บัญชี อัตราเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งข้าราชการตุลาการ 

ประธานศาลฎีกา 
รับเงินเดือน 75,590 บาท 
และเงินประจำตำแหน่ง 50,000 บาท 


ส่วน ผู้ช่วย ผู้พิพากษา 
ได้รับเดือนละ 18,950 บาท
(เปิดดูบัญชีเงินเดือนตุลาการ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/P...022/15.PDF )

ขณะที่ บัญชีเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มของสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

ประธานสภาผู้แทนราษฎร 

เงินเดือน 75,590 บาท 
เงินประจำตำแหน่ง 50,000 บาท

ประธานวุฒิสภา 

เงินเดือน 74,420 บาท 
เงินประจำตำแหน่ง 45,500 บาท

รองประธานสภาผู้แทนราษฎร 

เงินเดือน 73,240 บาท 
เงินประจำตำแหน่ง 42,500 บาท

รองประธานวุฒิสภา 

เงินเดือน 73,240 บาท 
เงินประจำตำแหน่ง 42,500 บาท

ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร 

เงินเดือน 73,240 บาท 
เงินประจำตำแหน่ง 42,500 บาท

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 

เงินเดือน 71,230 บาท 
เงินประจำตำแหน่ง 42,330 บาท

สมาชิกวุฒิสภา 

เงินเดือน 71,230 บาท 
เงินประจำตำแหน่ง 42,330บาท


ก่อนหน้านี้ เมื่อ วันที่ 30 มีนาคม 2554 ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ พระราชบัญญัติ เงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่งข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ. 2554

พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ( 31 มีนาคม 2554)
บัญชีเงินเดือนครูใหม่ที่น่าสนใจ ขั้นสูง รับ 66,480 บาท ขณะที่ครูผู้ช่วย ขั้นต่ำชั่วคราว รับ 7,940 บาท

ขณะที่ บัญชีอัตราเงินวิทยฐานะ ครูเชี่ยวชาญพิเศษ 15,600 บาท ครูเชี่ยวชาญ 9,900 บาท ครูชำนาญการพิเศษ 5,600 บาท และครูชำนาญการ 3,500 บาท

นอกจากข้าราชการครูฯ ส่วนใหญ่จะได้รับการปรับเงินเดือน 8% ตาม พ.ร.บ.เงินเดือน เงินวิทยฐานะฯ ในวันที่ 31 มีนาคมนี้แล้ว ยังจะได้ปรับเงินเดือนอี ก 5% ตามมติ ครม.ที่ให้ปรับโครงสร้างเงินเดือนของข้าราชการทุกประเภทตามดัชนีค่าครองชีพ รวมแล้วจะทำให้ข้าราชการครูฯ ส่วนใหญ่ได้ปรับเงินเดือนรวมประมาณ 13%
(เปิด บัญชีเงินเดือน โดยละเอียดที่ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/P.../021/1.PDF )


Image has been scaled down 20% (640x421). Click this bar to view original image (800x526). Click image to open in new window.
[Image: 13015749371301575142l.jpg]



Image has been scaled down 20% (640x432). Click this bar to view original image (800x539). Click image to open in new window.
[Image: 13015749371301575149l.jpg]



Image has been scaled down 20% (640x429). Click this bar to view original image (800x536). Click image to open in new window.
[Image: 13015749371301575159l.jpg]

เงินเดือนก็ขึ้นแล้ว แต่สภาล่มเป็นวันที่ 3

ที่มา http://www.matichon.co.th/news_detail.ph...d&subcatid*
เขมรห้ามนำเข้าสินค้าไทย-ปธ.สภาเขมรเมินตอบช่วย2คนไทย

http://easy-net.appspot.com/u?purl=bG10aC42ODE5MS1kYWVyaHQvc3UubW9kZWVyZnR

lbnJldG5pLnd3dy8vOnB0dGg%3D%0A
ส.ว.ปัตตานี เผยไร้คำตอบจากปธ.สภาเขมร ประสาน"ฮุนเซน" รักษาพยาบาล"วีระ-ราตรี" สื่อเขมรเผยด่านช่องสะงำห้ามนำเข้าสินค้าไทย เขมรขาดดุลกว่า10เท่า

 นายวรวิทย์ บารู ส.ว.ปัตตานี ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา เปิดเผยว่าหลังจากตนทำหนังสือถึงประธานสภาแห่งชาติกัมพูชา(สมเด็จฯ เจีย ซิม) เพื่อขอให้ประสานไปยังรัฐบาลกัมพูชาเพื่อให้ความช่วยเหลือดูแลรักษาพยาบาลให้นายวีระ​ สมความคิด และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ซึ่งมีปัญหาด้านสุขภาพระหว่างถูกขังอยู่ในเรือนจำเปร็ย ซอ กรุงพนมเปญ เมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา

โดยขณะนี้ ยังไม่มีหนังสือแจ้งความคืบหน้าในเรื่องดังกล่าวมา ทั้งนี้ ตนได้ประสานเป็นการภายในกับ ส.ว.ของกัมพูชา เพื่อขอให้ประสานงานเรื่องดังกล่าวต่อไปโดยเร็ว

เขมรสั่งห้ามสินค้าเข้ามาจำหน่าย ช่องสะงำ

แหล่งข่าวตามแนวชายแดนเปิดเผย หนังสือพิมพ์รัศมีกัมพูชา(เรียะซะเม็ยกัมปุเจีย) รายงานข่าวกรณีนายเนด ดารา หัวหน้าด่านตรวจจุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ อ.อัลลองเวง จ.อุดอร์เมียเจ็ย(อุดรมีชัย) ติดฝั่งไทย อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ โดยทางจังหวัดอุดรมีชัย มีมติปิดด่านห้ามสินค้าพื้นบ้านของกัมพูชา เช่น อาหาร ของป่า เข้าไปจำหน่ายในประเทศไทยที่จุดผ่านแดนช่องสะงำ นับตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคมเป็นต้นไป และห้ามสินค้าทุกประเภทจากไทยเข้ากัมพูชาเช่นกัน

สื่อฉบับเดียวกันรายงานอีกว่า กรณีดังกล่าวเกิดหลังจากไทยเข้มงวดต่อสินค้าประเภทอาหารและของป่าของชาวกัมพูชาที่ส่​งขายประเทศไทยผ่านจุดนี้ โดยกล่าวหาสินค้าไม่มีมาตรฐาน เกิดผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน นอกจากนี้ ยังกำหนดให้จ่ายเงินราวร้อยละ 30 ของราคาสินค้า ซึ่งไม่ใช่ภาษีศุลกากรแต่อย่างใด

"การขูดรีดมีมาเกือบ 2 เดือนแล้ว และไทยยังห้ามส่งออกวัสดุก่อสร้างมาขายกัมพูชาอีกด้วย ทั้งหิน ทราย โดยให้เหตุผลว่า กัมพูชาจะนำมาสร้างถนน สร้างค่ายทหาร และหลุมหลบภัยตามแนวชายแดน ฝ่ายกัมพูชาจึงตัดสินใจห้ามการส่งออกสินค้ากัมพูชาเข้าไทย และสินค้าจากไทยมากัมพูชาด้วย แต่ด่านดังคงเปิดตามปกติ"

รัศมีกัมพูชา ยังรายงานข้อมูลการค้าระหว่างกัมพูชา-ไทย พ.ศ.2552 ว่า กัมพูชาส่งออกสินค้าไปประเทศไทย รวมมูลค่า 80.84 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะเดียวกัน นำเข้าสินค้าจากไทยมูลค่า 1,631.52 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พ.ศ.2553 กัมพูชาส่งออกไปประเทศไทย มูลค่า 214.52 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้าจากไทยมูลค่า 2,320.77 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

http://www.bangkokbiznews.com/home/detai...คนไทย.html

แบบว่าสงสัย รถแบบนี้ เรียกรถอะไร แล้วมันขนอะไรมา เอามาทำใม
http://easy-net.appspot.com/u?purl=bG10aC42OTE5MS1kYWVyaHQvc3UubW9kZWVyZnRlbnJldG5pLnd3
dy8vOnB0dGg%3D%0A

[Image: q3h55.jpg] [Image: dnv11.jpg] [Image: inh22.jpg] [Image: 4b733.jpg] [Image: 9c8p2.jpg] [Image: tsth1.jpg]

ติดตามดาวโหลดคลิ๊ปต่างๆได้ที่นี่
http://speedhorse.blogsite.org/thread.php?fid=2
และที่นี่
http://www.thaivoice.org/board/index.php?board=1.0
ซื้อหวยบนดิน ถูกหวยต้องโดนภาษี
ซิ้อหวยใต้ดิน ก็เสียภาษีเถื่อนให้พรรคการเมือง
http://easy-net.appspot.com/u?purl=bG10aC43OTE5MS1kYWVyaHQvc3UubW9kZWVyZ
nRlbnJldG5pLnd3dy8vOnB0dGg%3D%0A

"ยี่ปั๊ว-ซาปั๊ว-คนถูกรางวัล"อ่วม! เตรียมจ่ายภาษีย้อนหลัง พิษ"หวยบนดิน"ไม่จ่ายมีหมายติดหน้าบ้าน


เมื่อวันที่ 31 มีนาคม ว่า ขณะนี้มีเจ้าหน้าที่จากกรมสรรพากรยื่นหนังสือให้บรรดายี่ปั๊ว ซาปั๊ว ที่เคยขายสลากเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว (หวยบนดิน) ตั้งแต่สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ให้ไปยื่นแบบเสียภาษีย้อนหลัง โดยบางรายถูกเรียกเก็บภาษีกว่า 30,000 บาท และเมื่อครั้งแรกที่ได้รับแจ้งนั้น ยังไม่ได้ไปชำระ จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจนำหมายมาติดที่บ้านของผู้ค้าส่งเหล่านั้นให้ไปชำระภาษี ด้วย ไม่เช่นนั้นจะถูกเก็บภาษีพร้อมค่าปรับด้วย


แหล่งข่าวจากกรมสรรพากรกล่าวยืนยันว่า กรมสรรพากรได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกไปแจ้งให้บรรดายี่ปั๊ว ซาปั๊วที่เคยขายหวยบนดินไปแจ้งยื่นแบบปรับปรุงการชำระภาษีเพิ่มเติมจริง เนื่องจากมีคำสั่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินคดีทุจริตหวยบนดินว่าผิดกฎหมาย และต้องเสียภาษีที่เกิดขึ้นจากการจำหน่ายสลากแบบเลขท้าย 2 และ 3 ตัว ทั้งภาษีหัก ณ ที่จ่ายและภาษีมูลค่าเพิ่ม ทำให้กรมสรรพากรต้องเก็บภาษีย้อนหลัง ทั้งในส่วนของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ผู้ที่ถูกรางวัลและยี่ปั๊ว ซาปั๊ว ที่ขายหวยบนดิน หากกรมไม่ปฏิบัติตามจะมีความผิดตามมาตรา 157 กรณีละเว้นการปฏิบัติหน้าที่


ทั้งนี้ ในส่วนของสำนักงานสลากฯนั้น กรมได้เรียกเก็บภาษีย้อนหลังไปแล้ว ส่วนผู้ที่ถูกรางวัลนั้น ได้เริ่มจากผู้ที่ถูกรางวัลแจ๊คพ็อต ที่ได้เงินมากกว่า 1 ล้านบาทขึ้นไปก่อน จากนั้นก็ไล่ดูจากต้นขั้วของหวยบนดินที่ผู้ถูกรางวัลว่าซื้อจากยี่ปั๊ว ซาปั๊วรายใด จึงจะไปเก็บเงินภาษีย้อนหลังต่อไป ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นรายย่อยและรายกลางกระจายทั่วประเทศตามลักษณะการขาย


"เจ้าหน้าที่กรมสรรพากรที่ออกไปเรียกเก็บภาษีหวยบนดินย้อนหลังนั้น จะไม่เรียกเก็บภาษี ณ จุดที่เกิดเหตุ แต่จะแจ้งให้ยี่ปั๊ว ซาปั๊ว หรือผู้ที่ถูกรางวัล ไปยื่นแบบชำระภาษีเพิ่มเติมที่กรมสรรพากร หรือที่ศาลากลางจังหวัดแต่ละแห่งที่อาศัยอยู่ จากนั้นจะให้ไปชำระภาษีที่สำนักงานสรรพากรเขตนั้นๆ ต่อไป และจะแจ้งให้ไปยื่นเสียภาษีย้อนหลัง 3 ครั้ง แต่หากเกิน 3 ครั้ง กรมสรรพากรจะออกจดหมายแจ้งประเมิน ซึ่งจะไม่มีการอุทธรณ์ ฎีกา และต้องเสียภาษีพร้อมเบี้ยปรับ 2 เท่าด้วย" แหล่งข่าวกล่าว

http://www.matichon.co.th/news_detail.ph...&subcatid=
อ้างว่าเศรษฐกิจดี เก็บภาษีทะลุเป้า มันอย่างนี้นี่เอง
เลื่อนอีก1เดือนตัดสินคดีพธม.จี้บังคับรถเมล์ 

ศาลเลื่อนตัดสินคดีแนวร่วมพันธมิตรฯ 6 คน พกพาอาวุธยึดรถเมล์สาย 53 ให้วิ่งออกนอกเส้นทางไปที่ทำเนียบรัฐบาลซึ่งเป็นสถานที่ชุมนุมเมื่อปี 2551 เนื่องจากจำเลยไม่มาศาล 1 คน อ้างป่วยต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล นัดฟังคำตัดสินใหม่วันที่ 29 เม.ย.

วันที่ 29 มี.ค. 2554 ที่ห้องพิจารณาคดี 703 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.1701/2552 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ฟ้องนายธีรเดช วรรณา, นายชัยวัฒน์ ทับทอง, นายธานี อาจสว่าง, นายสมชาย ทองเกียรติ, นายพงษ์พันธ์ กาจันทร์ และนายสมชัย หงสา แนวร่วมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เป็นจำเลยที่ 1-6 ฐานกระทำผิด พ.ร.บ.อาวุธปืน, ข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมกระทำการหรือไม่กระทำการใด, หน่วงเหนี่ยวกักขัง, มีและใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490, ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309, 310, 371 และ พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 มาตรา 4, 6, 22, 23

ตามฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2551 จำเลยทั้ง 6 คน พกอาวุธหลายชนิด เช่น ระเบิดปิงปอง, ท่อน้ำเป็นเหล็กกลมตัดปลายแหลมยาว, ไม้กระบองท่อนกลม, หนังสติ๊ก, มีดคัตเตอร์ ขึ้นไปบนรถเมล์สาย 53 วิ่งเส้นทางเทเวศร์-รอบเมือง ขู่บังคับพนักงานขับรถและพนักงานเก็บค่าโดยสารให้นำรถไปส่งบริเวณที่ชุมนุม เวทีปราศรัยของกลุ่มพันธมิตรฯที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งอยู่นอกเส้นทางเดินรถ

อย่างไรก็ตาม ทนายจำเลยได้แถลงต่อศาลขอเลื่อนฟังการตัดสินคดีออกไปก่อน เนื่องจากนายธานี อาจสว่าง จำเลยที่ 3 อยู่ระหว่างพักรักษาจากอาการโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงที่โรงพยาบาลพระ นั่งเกล้า

ศาลพิเคราะห์แล้ว กรณีมีเหตุสมควร จึงเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาเป็นวันที่ 29 เม.ย. 2554
ยิ่งอยู่ยาวยิ่งสร้างวิกฤติ

ปัญหา สำคัญของประเทศที่ยังคาราคาซัง การรับรองข้อตกลงคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) จำนวน 3 ฉบับ เจอโรคเลื่อนมีพิรุธชอบกล

เรื่องนี้ไม่มีอะไรมาก เดิมทีรัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะต้องการจะสร้างสัมพันธภาพกับฮุน เซน นายกฯกัมพูชา เพื่อเอาชนะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แค่นั้น ก็เลยส่งรองนายกฯสุเทพ เทือกสุบรรณไปเจรจากับรัฐบาลกัมพูชา จะทั้งที่กัมพูชาหรือที่ฮ่องกงตามข่าวก็อีกเรื่อง แต่สิ่งที่คุณสุเทพรับปากเอาไว้ ทั้งที่คุณสุวิทย์ คุณกิตติไปลงนามรับรองแผนการพัฒนาเขาพระวิหารของกัมพูชาเอาไว้ เป็นเงื่อนไขที่ต่อเนื่องมาจากเอ็มโอยู 43 ลงนามกันไว้ตั้งแต่สมัยที่ประชาธิปัตย์มาเป็นรัฐบาล ตามความต้องการของรัฐบาลกัมพูชา

แต่เผอิญว่า กองทัพไม่เห็นด้วย พันธมิตรไม่เห็นด้วย ไม่ยอมเสียดินแดนและอธิปไตยเด็ดขาด สุดท้ายรัฐบาลก็เลยกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะผ่านความเห็นชอบเจบีซีก็ไม่ได้ จะไม่ลงความเห็นก็ไม่ได้ กัมพูชารอทวงสัญญาอยู่ ทำให้การประชุมเจบีซีที่ประเทศอินโดนีเซียเลื่อนออกไปด้วยอย่างไม่มีกำหนด

ท้าย ที่สุด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ออกมาประกาศจุดยืนของกองทัพ ถ้าจะมีการประชุมเจบีซีก็ต้องประชุมกันในประเทศไทยนี่แหละ ไม่ต้องไปพึ่งประเทศที่สาม คิดดูแล้วกัน กษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ แล้ว สุเทพ เทือกสุบรรณ จะทำอย่างไร จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

ทางออกให้ ศิริโชค โสภา ไปยื่นตีความไว้ที่ศาลรัฐธรรมนูญ

ดัง นั้น เชื่อได้ว่า ปัญหาน้ำผึ้งหยดเดียว จะขยายความขัดแย้งขึ้นเรื่อยๆ ผลกระทบตกอยู่ที่รัฐบาลจะผ่าทางตันอย่างไร จะเป็นโรคเลื่อนบ่อยๆคงไม่สง่างาม และสุดท้ายก็น่าจะถึงทางตันจริงๆ

คง จะเป็นที่มาของ ข่าวว่า รัฐบาลเชื่อหมอดู ตัดสินใจยุบสภาตามฤกษ์งามยามดีคือวันที่ 27 เม.ย. ซึ่งกฎหมายลูกเสร็จเรียบร้อยแล้ว กกต.ก็ไม่มีข้ออ้างในการกดดันที่จะลาออกจากตำแหน่ง เพราะ ทุกอย่างพร้อม ทั้งกฎหมายและงบประมาณ ต้องจัดการเลือกตั้งให้เรียบร้อย

เพราะความพยายามที่จะบิดเบือนในการแก้ไขปัญหาของประเทศไม่อยู่ในครรลองคลองธรรม เชือกเลยมารัดคอตัวเอง

ดิ้นอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุด คิดจะล้างไพ่ใช้วิธียุบสภาให้สิ้นเรื่องสิ้นราว

วิธี การเอาตัวรอดของรัฐบาลก็เหลืออยู่ทางเดียวจริงๆ ไปตายเอาดาบหน้า ไปลุ้นเอาในสนามเลือกตั้ง ดีกว่าไม่มีสนามเลือกตั้งให้ต่อลมหายใจ ขืนรอให้อำนาจพิเศษมาชี้เป็นชี้ตาย คราวนี้ ประชาธิปัตย์รวมทั้งพรรคการเมืองอื่นๆคงตกงานไปนานกว่าเมื่อปี 2549 อาจไม่มีโอกาสที่จะกลับมาเป็นรัฐบาลด้วยซ้ำ

ภายใต้แผนบันไดสี่ขั้น หมากตัวไหนหมดความสำคัญจะถูกเขี่ยตกกระดาน สร้างหมากตัวใหม่ขึ้นมาเดินต่อไปและเวลานี้หมากตัวใหม่ก็ถูกกำหนดไว้เรียบ ร้อยแล้ว

จึงเป็นการดิ้นครั้งสุดท้ายของประชาธิปัตย์.


"หมัดเหล็ก"
ภาพยนตร์กับการเป็นอนุสาวรีย์ทางความคิด: 
กรณีภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

เมื่อพี่น้องลูมิแยร์สร้างกล้องบันทึกภาพยนตร์เครื่องแรกขึ้นในโลก หน้าที่ของมันในขณะนั้นไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อความบันเทิงแต่เป็นการเลือกเก็บบันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ภาพยนตร์ที่มีบทกำกับการแสดงเกิดหลังจากนั้นเป็นเวลาพอสมควร และหลังจากนั้นดูเหมือนว่าเมื่อเราพูดถึงคำว่า "ภาพยนตร์" การรับรู้ขั้นต้นของเราคือภาพยนต์ที่มีบทกำกับในการแสดงอย่างเช่นปรากฏในปัจจุบัน
อ.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ เคยตั้งคำถามในข้อสอบปลายภาคสำหรับนักเรียนภาควิชาประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่งถึงภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ว่าเราควรมองภาพยนตร์เรื่องนี้ในบทบาทของอะไร? ผมจึงขอคัดย่อจากความทรงจำคร่าวๆ มาเรียบเรียง โดยผมมีความคิดเห็นดังนี้
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการสร้างหน้าที่ใหม่ของภาพยนตร์(อย่างน้อยก็สำหรับประเทศไทย)นั่นก็คือ เป็นการ "สร้างอนุสาวรีย์" ทางความคิดให้เป็นมรดกของคนรุ่นต่อๆ ไป
เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้ ข้อจำกัดอย่างหนึ่งของภาพยนตร์อิงประวัติศาตร์โดยเฉพาะในตะวันออกก็คือส่วนใหญ่เป็นการบอกเล่าแบบมุขปาฐะ ซึ่งไม่มีความชัดเจนเพราะไม่มีการจดบันทึกโดยละเอียด ถึงแม้จะมีการค้นคว้าและเก็บข้อมูลแต่ส่วนใหญ่ก็จะมีเพียงเค้าโครงเรื่องใหญ่ๆ ที่มีความเป็น Epic อยู่ค่อนข้างสูง[1]
ปัญหาก็คือสิ่งเหล่านี้ได้เข้ามาเติมเต็มจินตนาการที่ขาดหายสำหรับแบบเรียนประวัติศาสตร์ในการศึกษาภาคบังคับที่ยังคงเว้าแหว่งด้วยการกล่าวถึงเหตุการณ์ต่างๆ โดยหยาบๆ และนำไปออกข้อสอบเพื่อทดสอบความจำในชั้นเรียน
ถึงแม้ทีมงานจะมีการ "ออกตัว" ว่าเรื่องนี้มีการดัดแปลงจากเค้าโครงเรื่องและมีการค้นคว้าข้อมูลมาเป็นอย่างดี แต่ผู้รับสารย่อมได้รับการเติมเต็มตัวอักษรที่หายไประหว่างบรรทัดจากภาพที่ปรากฏบนหน้าจอ
แน่นอนที่สุด อย่างน้อยภาพของพระนเรศวรที่คนรุ่นที่พ้นวัยศึกษาในรั้วสถาบันจะมีอยู่ในหัวก็คือภาพของผู้ชายหน้าไทย ใส่เสื้อผ้าสีดำและมีหมวกและเหล่าพลทหารที่ออกรบโดยมีโล่และผ้าประเจียดป้องกันตัว (หากคิดไม่ออกให้กลับไปหาธนบัตรชนิด 100 บาทรุ่นเก่า) ซึ่งเป็นภาพอนุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรทรงช้าง ที่ตั้งอยู่ ณ อำเภอดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี ที่ๆ เชื่อว่าเป็นจุดทำสงครามยุทธหัตถี
แต่เมื่อมีภาพยนตร์เรื่องนี้เกิดขึ้น ภาพของพระนเรศวรในความรับรู้ของคนส่วนใหญ่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีโอกาสได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ภาพของพันโท วันชนะ สวัสดี ในบทพระนเรศวรทรงเกราะแบบยุโรป และประทับปืนแนบบ่าจากการโปรโมทผ่านสื่อต่างกลับเข้ามาแทนที่ และแย่งชิงการเป็นความรับรู้หลักของสังคมไปเสียแล้ว
เฉกเช่นเดียวกันกับเมื่อเราคิดถึงสมเด็จพระสุริโยทัย (ไม่ใช่ "สุริโยไท" ผมเคยถามเพื่อนที่จบโรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย ถึงเรื่องนี้เธอเคยเล่าว่าพอภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉาย หลายๆ คนบอกว่าชื่อโรงเรียนของเธอสะกดผิด ทั้งที่โรงเรียนของเธอมีอายุเก่าแก่กว่าภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว) ภาพแรกที่คุณคิดถึงในจินตนาการย่อมเป็นภาพของหม่อมหลวง ปิยาภัสร์ ภิรมย์ภักดี ในผมทรงกระทุ่ม จากความเชื่อเดิมที่ว่าผู้หญิงไทยไว้ผมยาว
ในกรณีระดับโลกที่ฮือฮาก็จากภาพยนตร์เรื่อง "Braveheart” เมื่อ Mel Gibson ผู้สวมบทวีรบุรุษชาวสก็อตต์นาม William Wallace ได้ถูกขอให้เป็นแบบในการจัดทำอนุสาวรีย์ของวีรบุรุษคนดังกล่าว
การเติมเต็มข้อความที่หายไปในหนังสือด้วยภาพจากภาพยนตร์นั้น ไม่น่าสนใจเท่ากับ "ข้อความ" และอุดมการณ์ที่ถูกแทรกและเติมเข้ามาระหว่างบรรทัดของบทภาพยนตร์
สิ่งที่น่าสนใจนั้นก็คือ "อนุสาวรีย์ที่ไม่สามารถจับต้องได้" นั้นทรงพลังกว่าอนุสาวรีย์ที่เป็นสถานที่ให้นักท่องเที่ยวไปยืนถ่ายรูปเพื่อความบันเทิง เพราะมันเป็นการสถาปนาอำนาจนำทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่ถูกฝังหัวมาโดยที่ผู้รับสารไม่รู้ตัวผ่านการบอกเล่าของตัวละครโดยทางตรงและทางอ้อม
ข้อสังเกตที่น่าขบขันก็คือทำไมเราสามารถเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนับร้อยๆ ปีที่ผ่านไปได้อย่างเป็นรูปเป็นร่างผ่านการศึกษาวิจัยของทีมสร้างภาพยนตร์ แต่เหตุการณ์ที่ผ่านไปไม่นานอย่าง 14 ตุลา 16 หรือ 6 ตุลา 19 ที่ยังคงมีพยานปากสำคัญในเหตุการณ์ดังกล่าวจำนวนมากกลับไม่ถูกเลือกที่จะนำมาถ่ายทอด[2] สิ่งที่น่าสนใจก็คือเราไม่ค่อยจะมีภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ร่วมสมัย โดยเฉพาะหลังจากยุค 2475 ถ้าหากเราคิดถึงหนังพีเรียด เรามักจะมองย้อนกลับไปช่วงก่อนกรุงรัตนโกสินทร์ หรือส่วนมากก็แค่อาศัยช่วงเวลาเป็นฉากหลังในการดำเนินเรื่องราว และส่วนใหญ่หนังประวัติศาสตร์ของไทยยังคงติดอยู่กับกรอบคิดของประวัติศาสตร์แบบ "ราชาชาตินิยม" ที่น่าสนใจคือภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนผ่านของประวัติศาสตร์ของไทยกลับไม่เคยมีการสร้างขึ้นอย่างจริงจัง
หนำซ้ำอนุสาวรีย์ที่เป็นตัวแทนของการต่อสู้เรียกร้องของประชาชน ยังถูกเตะถ่วงจนเวลาล่วงเลยเกือบ 30 ปีกว่าที่จะมีการสร้างขึ้น สิ่งเหล่านี้กำลังบอกอะไรเราอยู่ หากอนุสาวรีย์เป็นการบ่งบอกถึงความสำคัญของบันทึกประวัติศาสตร์ของชาติ ทำไมเรื่องเหล่านี้จึงถูกดึงไว้ทั้งที่เป็นประวัติศาสตร์ร่วมสมัยและเป็นการต่อสู้ของ "ประชาชน"ไทย เพื่อประชาธิปไตยอันเป็นหลักสูงสุดของประเทศ หรือว่าจริงๆ แล้วเรามิได้ปกครองกันด้วยระบอบประชาธิปไตย? หรือว่าเรื่องราวเหล่านี้มันเป็นเสี้ยนหนามแทงตำใครหรือไม่?[3]
เพราะอนุสาวรีย์นั้นถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองมาในทุกยุคทุกสมัยในการถ่ายทอด "มรดกทางความคิด" ของผู้มีอำนาจยุคต่างๆ เรามีวีรชนบ้านบางระจันในยุคที่ผู้นำต้องการให้เรามีความสามัคคี เรามีศาลพันท้ายนรสิงห์เพื่อเชิดชูความศักดิ์สิทธิ์ของนิติรัฐ[4] แล้วปัจจุบันใครเป็นผู้นำทางการเมืองของประเทศไทยที่ต้องการจะถ่ายทอดความคิดผ่านอนุสาวรีย์ในโลกเสมือนแห่งนี้?
คำถามที่สำคัญก็คือ ภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่เข้าฉายในช่วงเวลานี้กำลังจะบอก "ข้อความ" อะไรกับเรา? ผู้กำกับต้องการจะสื่อสารระหว่างบบรรทัดอะไรกับเรา? "ผู้อำนวยการสร้าง" ต้องการอยากให้เรามีทัศนคติแบบใด? หากเรามองให้ลึกๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้จะไม่ใช่ภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์ธรรมดา แต่มันกำลังจะกลายเป็นอนุสาวรีย์ทางความคิดความเชื่อที่พยายามจะสร้างมายาคติแบบใหม่ให้กับสังคม โดยเฉพาะคนที่เข้าไปดูและไม่ตั้งคำถามและเชื่อทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนหน้าจอ
ถ้าคุณอยากรู้ ติดตามได้ทุกโรงภาพยนตร์ใกล้บ้านคุณ....



เชิงอรรถ
[1] (ในกรณีภาพยนตร์เรื่องนี้คือ การทำยุทธหัตถี ,การหลั่งน้ำสิโณธก และการชนไก่)
[2] (ที่จริงมีอยู่ 2 เรื่องคือ 14 ตุลา สงครามประชาชน ซึ่งที่จริงแล้วดัดแปลงจากหนังสือ "คนล่าจันทร์" ของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ซึ่งเป็นมุมมองของเสกสรรค์ต่อเหตุการณ์ต่างๆ และ "ฟ้าใสหัวใจชื่นบาน" ที่จงใจล้อเลียนกลุ่มนักศึกษาที่เข้าป่าในช่วงหลัง 6 ตุลา 19 ให้ลดความน่าเชื่อถือเรื่องอุดมการณ์ และบริษัทอำนวยการสร้างเป็นของทายาทคนหนึ่งของผู้บัญชาการทหารเรือของคณะ คมช. ฐิติพันธุ์ เกยานนท์ บุตรชายของ พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์)
[3] กรณีดังกล่าวเคยเกิดขึ้นกับ ศ.ดร.ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งจากภาพยนตร์สารคดี 100 ปีชาตกาลปรีดี พนมยงค์นั้น มีการกล่าวว่าสาเหตุที่ท่านไม่สามารถกลับเมืองไทยได้จวบจนเสียชีวิตนั้น เพราะว่าผู้ปกครองและผู้มีอิทธิพลของประเทศเกรงกลัวท่าน เห็นได้จากความพยายามลบเลือนความทรงจำเกี่ยวกับท่านจากสังคมไทย แม้กระทั่งในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ของท่านเอง ชื่อถนนประดิษฐ์มนูญธรรม ซอยปรีดี พนมยงค์ หรือสถาบันปรีดี นั้นถูกตั้งขึ้นหลังจากการอสัญกรรมของท่าน
[4] (ทั้งสองเรื่องที่กล่าวถึงถูกจัดทำเป็นภาพยนตร์แล้ว โดยเรื่องพันท้ายนรสิงห์กำลังจะถูกทำเป็นละครทางช่อง 3 โดยมีคุณหญิงหม่อมกมลา ยุคล ณ อยุธยา ภรรยาของท่ายมุ้ย ควบคุมงานสร้าง และบทประพันธ์โดย พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภานุพันธ์ ยุคล)