วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ไม่ใช่อำนาจของทหาร

ด้วยรักและห่วงใย
ตอน “ ไม่ใช่อำนาจของทหาร ”


..........เรื่องที่ผมนำมาเป็นประเด็นแลกเปลี่ยนความเห็นในวันนี้ เป็นเรื่องของทหารที่ต้องไม่เป็นอำนาจของทหาร

.........สืบเนื่องมาจากการปรับย้ายและแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล เมื่อ ๓๐ ก.ย.๕๔ ที่ผ่านมา ผมได้รับคำถามทั้งจากบุคคลพลเรือนและเหล่าเพื่อนทหารด้วยกัน ขอให้ผมช่วยแสดงความเห็นว่า การแต่งตั้งในครั้งนี้ ซึ่งทั้งหมดเป็นการแต่งตั้งของทหารด้วยกันเองรัฐบาลไม่เกี่ยว การแต่งตั้งครั้งนี้เป็นการแต่งตั้งที่ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ เป็นธรรมกับทหารด้วยกันเองหรือไม่ และจะทำให้กองทัพเข้มแข็งเป็นปึกแผ่นจริงตามคำอวดอ้างของบางคนหรือไม่

...........ก่อนที่ผมจะตอบข้อกังขาของบรรดาท่านทั้งหลาย ( ตามความรู้และประสบการณ์ของผม ) ผมขอความกรุณาให้ท่านทบทวนด้วยรักและห่วงใยตอน “ การแต่งตั้งนายพล ” ลงวันที่ ๑๙ ก.ย.๕๔ ประมาณหน้าที่ ๒๐ และตอน “ Promotion system ” ลง ๓๑ ส.ค.๕๔ ในหน้า ๑๘ของบทความด้วยรักและห่วงใย เพื่อเป็นการปูพื้นฐานหลักการของประเทศประชาธิปไตยที่เจริญแล้ว ถ้ายากลำบากในการค้นหาท่านอาจจะไปดูที่ Copy บทความของ พล.อ.อดุล อุบล ก็ได้ครับอยู่ที่หน้า Webb Noom 11 . Com อาจจะง่ายกว่า

............ในด้วยรักและห่วงใยทั้งสองตอนนั้นได้กล่าวถึงสาระสำคัญของเหตุผล หลักการ และวิธีการ ในการแต่งตั้งนายทหารทั้งชั้นนายพลและระดับอื่น ๆ ของประเทศศีวิไลซ์แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแบ่งนายทหารชั้นนายพลออกเป็นสองระดับ ระดับใดที่ต้องแต่งตั้งด้วยฝ่ายการเมืองซึ่งเป็นรัฐบาลในการบริหารประเทศซึ่งต้องรับผิดชอบต่อความมั่นคงของประเทศ และระดับใดที่ยังคงให้ฝ่ายทหารแต่งตั้งกันเองได้อย่างอิสระ

............การแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลในครั้งนี้ส่งผลให้สังคมเริ่มตั้งคำถามกับ พรบ.การจัดส่วนราชการกลาโหม ปี ๕๑ ที่ออกโดยรัฐบาลที่เกิดจากการรัฐประหารว่าไม่มีความเหมาะสม ไม่มีความเป็นธรรมต่อการบริหารงานของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่มีอำนาจโยงยึดกับ ปชช.และไม่เป็นธรรมต่อปชช.ที่เป็นเจ้าของประเทศ สมควรที่จะต้องได้รับการแก้ไขหรือยกเลิกและออกกฎหมายใหม่ขึ้นมาทดแทน เพื่อประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดิน

..............ในขณะเดียวกันก็มีผู้ออกมาโต้แย้งแสดงความไม่เห็นด้วยในกรณีที่จะมีการยกเลิกหรือแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งคงจะเป็นกลุ่มผู้ที่เสียประโยชน์โดยอ้างเหตุผลว่า จุดประสงค์ของ พรบ. ฉบับนี้ คือต้องการให้ทหารเป็นเอกภาพ ไม่มีใครรู้จักทหารดีเท่ากับทหารด้วยกัน จึงต้องให้ทหารเข้ามาแต่งตั้งกันเองและการแต่งตั้งก็มีคณะกรรมการในการแต่งตั้งอยู่แล้ว ต้องการให้กองทัพเป็นปึกแผ่น ป้องกันนักการเมืองเข้ามาล้วงลูกในกองทัพ ผมไม่ทราบว่าพวกท่านเข้าใจอะไรกันผิดหรือเปล่า หรือจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ หรือพยายามดึงดันต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ส่วนบุคคลเหนือส่วนรวมเป็นหลัก ประกอบกับความรู้สึกแตกแยก แบ่งฝ่าย ไม่ยอมรับและไม่ยอมอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของฝ่ายการเมือง ดูถูกฝ่ายการเมืองว่าไม่มีความรู้ทางด้านทหาร และความมั่นคง ไม่รักชาติเหมือนพวกทหาร

..............คราวนี้เรามาลองร่วมความเห็นด้วยกันเพื่อตอบคำถามของเหล่าบุคคลทั้งพลเรือนและทหารที่ถามผมกันนะครับ

.............ประเด็นแรก เรื่องของความถูกต้อง เหมาะสมของการปรับย้ายและแต่งตั้งนายพลครั้งนี้

............ ถ้าเรายอมรับและยึดมั่นในระบอบการปกครองแบบ ปชต. และมุ่งมั่นที่จะพัฒนาประเทศของเราให้ไปสู่ระบอบการปกครองของ ปชช. เพื่อ ปชช.และโดย ปชช. อย่างแท้จริง เราก็คงต้องพัฒนาการปกครองนั้นให้ทุกระบบ ทุกองค์กรทุกองคาพยพ เป็น ปชต.เท่านั้น จึงจะทำให้ประเทศชาติเป็นประชาธิปไตยได้ อำนาจนอกระบบเหนือ รธน.ของชาติจะต้องไม่มี ทุกส่วนทุกระบบที่เป็น Public goods จะต้องถูกควบคุมโดยรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของ ปชช.และต้องโยงยึดกับอำนาจของ ปชช. โดยผ่านรัฐบาลนั้น กิจการทหารก็เป็นส่วนหนึ่งของ Public goods

.............เมื่อกองทัพต้องโยงยึดกับอำนาจของ ปชช.โดยผ่านการควบคุมบังคับบัญชาของรัฐบาลแล้ว ผู้นำกองทัพในระดับที่กล่าวมาแล้วคือ ระดับยุทธศาสตร์ (พลโท ขึ้นไป) จึงต้องถูกคัดเลือกและแต่งตั้งโดยคณะรัฐบาลผู้บริหารประเทศ จะมามุบมิบแต่งตั้งกันเองแบบที่ผ่านมาตาม พรบ.กห.ฉบับเจ้าปัญหา จึงไม่เป็นการถูกต้องเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง ผมอยากจะถามบรรดาผู้นำเหล่าทัพอย่างนี้นะครับ พวกท่านก็คงจะเคยเป็น ผบ.พัน ผบ.กรม หรือ ผบ.พล มาบ้าง ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง สมมุติว่า ผบ.พัน. ในกองพลของท่านคนหนึ่งต้องเลื่อนขึ้นไปเป็น เสธ. กรม แล้วบรรดา ผบ.พัน.ทั้งหลาย รวมหัวประชุมกันจะเอา พ.ต. หรือ พ.ท.คนหนึ่งเป็น ผบ.พัน. แทนคนที่ย้ายไป แถมบอกว่าเรื่องนี้ควรจะเป็นพวกเขาพิจารณากันเองเพราะไม่มีใครรู้จัก รุ่น ๆ พวกเขามากกว่าตัวพวกเขาด้วยกันเอง ห้ามท่านที่เป็น ผบ.กรม หรือ ผบ.พล.ที่เป็น ผบช. พวกเขาล้วงลูกลงไปแต่งตั้ง ผบ.พัน. ตำแหน่งนั้น ท่านจะคิดอย่างไรจะยอมพวกเขาหรือไม่ ในเมื่อท่านจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบความล้มเหลวในการปฏิบัติงานของ กรม หรือ กองพล ของท่านที่มี กองพัน นั้นเป็นหน่วยหลักอยู่ด้วย

.............บางคนออกมาพูดหนักไปกว่านี้อีกครับ เขาออกมาพูดว่า ทหารมีภารกิจที่จะต้องออกไปรบถ้าเกิดสงคราม เหมือนสั่งเขาไปตาย ถ้าตั้งคนไม่ได้ก็จะสั่งคนไปรบไม่ได้อะไรทำนองนั้นแหละ ถ้าคิดได้แค่นี้ก็ไม่สมควรมาอวดอ้างว่าเป็นทหารอาชีพกันแล้ว แค่ทหารธรรมดายังเป็นไม่ได้เลย กองทัพมหาอำนาจที่เขามี ปชต.เต็มรูปแบบไม่ต้องมีสัญลักษณ์อะไรมาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจและอุดมการณ์ เขาปฏิบัติการรบอย่างกล้าหาญและลงไปสู้รบแม้ในสถานการณ์ที่เห็นว่าตนเองจะต้องลงไปตายอย่างแน่นอนเขาก็จะลงไปเพราะความเป็น Real Soldier กองทัพของเขาฝึกอบรม และ Lead ทหารกันอย่างไร ไม่เห็นเขามีปัญหาต้องมาอ้างเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายต้องเป็นคนของกองทัพพิจารณากันเองเท่านั้น กองทัพพวกนี้เขาให้ระดับการเมืองแต่งตั้ง พลโทขึ้นไปทั้งนั้นแหละ ทหารในกองทัพประเทศเหล่านั้นเขาอาสามาเป็นทหารอาชีพป้องกันแผ่นดินและ ปชช.ของเขาแม้จะต้องสละชีวิตเขาก็ยอมได้ เขาไม่ได้สนใจผลที่จะเกิดต่อชีวิตของเขาจากคำสั่งของ ผบช.หรอกครับ เขารู้ว่าเขาจะต้องปฏิบัติหน้าที่ของทหารที่ดีต้องยึดมั่นใน Intent ของ ผบช. เพราะพวกเขามีความเชื่อมั่นศรัทธาที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งคือ ผบช.ของพวกเขาถูกเลือกจากรัฐบาลที่ได้รับฉันทานุมัติจาก ปชช. เจ้าของประเทศที่พวกเขากำลังปกป้องอยู่ ดังนั้น ผบช.ของพวกเขาคงต้องเป็นคนดีมีความสามารถที่ ปชช.ยอมรับให้มานำพวกเขา คำสั่งของ ผบช. เหล่านี้จะต้องผ่านการกลั่นกรองมาอย่างดีที่สุดแล้ว เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมคือ ปชช. คำสั่งเหล่านั้นมันคือพรจากสวรรค์ที่พวกเขายึดถือและปฏิบัติตามด้วยชีวิต โดยไม่ต้องมีพระเดชพระคุณ จากการแต่งตั้งหรืออำนาจในการให้บำเหน็จรางวัลเหมือนที่กำลังคิดกันอยู่หรอกครับ การยอมสละได้แม้ชีวิตมันจะต้องมาจากความเชื่อมั่นศรัทธาที่แท้จริง และความเชื่อมั่นศรัทธาที่แท้จริงมันจะมาจากการยอมรับในความดี ความรู้ ความสามารถ Leadership ไม่ได้มาจากการยอมตามเพราะอำนาจแต่งตั้งที่กล่าวมาแล้ว ถ้าผู้บังคับบัญชาคิดได้แต่เพียงว่าตนเองจะต้องมีอำนาจแต่งตั้งและปูนบำเหน็จรางวัลให้เท่านั้นจึงจะสั่งทหารไปรบได้ การคิดแบบนี้ก็เหมือนกับว่าผู้บังคับบัญชาคนนั้นกำลังใช้วิธีการของกลุ่มมาเฟียหรือผู้มีอิทธิพลในการดึงความเชื่อฟังและยอมตามจากลูกน้องด้วยการเอาประโยชน์มาล่อใจ ซึ่งมันไม่ใช่หลักการที่ถูกต้องของการบังคับบัญชากำลังทหาร ดังนั้นถ้ากองทัพของท่านถูกสร้างให้เป็นทหารอาชีพแล้วท่านไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะสั่งพวกเขาไปรบไม่ได้หรอกครับ นอกเสียจากว่าจะสั่งพวกเขาไปทำอย่างอื่นที่ไม่ถูกต้องทำนองคลองธรรมเท่านั้นเอง

.................ด้วยเหตุผลตามที่กล่าวมาแล้ว ผมจึงสรุปด้วยตัวของผมเองว่า การแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลที่ผ่านไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ เป็นการแต่งตั้งที่ไม่ถูกต้องและเหมาะสมต่อหลักการประชาธิปไตยในการปกครองประเทศครับ

.................ประเด็นต่อมาเรื่องของความเป็นธรรมและความเป็นปึกแผ่นของการแต่งตั้งในครั้งนี้ ก็แทบจะไม่ต้องคิดในเมื่อมันไม่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว ความเป็นธรรมและความเป็นปึกแผ่นมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ทหารมักจะสำคัญตนผิดคิดว่าตนเองสำคัญกว่าส่วนอื่นๆ ตนเองเป็นส่วนนำของประเทศนี้ คิดว่าตนเองเก่งกว่า? มีความรักชาติมากกว่า? ซื่อสัตย์สุจริตมากกว่า? ดูหมิ่นดูแคลน พวกอื่น ๆ โดยเฉพาะนักการเมืองว่าเป็นคนไม่ดีเข้ามากอบโกยเอาจากประเทศชาติ ไม่มีทางที่ ปชต.จะเจริญได้ในประเทศนี้ ความคิดแบบนี้แหละครับที่มันเป็นแรงผลักดันให้เกิด พรบ.กห.ฉบับเจ้าปัญหาขึ้นเพื่อกีดกันความเป็นธรรมที่จะเข้ามาสู่กองทัพจาก ปชช. เป็นการป้องกันพวกอื่น ๆ เพื่อให้ทหารด้วยกันเล่นการเมืองกันในกองทัพได้อย่างเต็มที่ แต่งตั้งกันเองด้วยระบบอุปถัมภ์เต็มรูปแบบ ดังจะเห็นได้จาก ผบ.พล.ในทภ.๑ทั้งหมด ในการแต่งตั้งครั้งนี้มาจากคนของกองพลเดียวใช่หรือไม่ ผมอยากจะทราบว่า ตนของกองพลอื่น ๆ เขาไม่มีความรู้ ไม่มีความสามารถ ไม่มีผลงานบ้างเลยหรือ หรือว่าสิ่งพวกนี้มันถูกบดบังด้วยปัจจัยของความต้องการ ความจงรักภักดี( Loyalty ) ต่อตัวท่านเองและความร่วมหัวจมท้ายในการปฏิบัติตามคำสั่งในทุกกรณีโดยไม่ต้องคำนึงถึงความถูกต้อง จนมองไม่เห็น

............การออกมาอ้างว่าการแต่งตั้งทหารมีคระกรรมการ ( Board ) ในการแต่งตั้งทุกระดับแสดงถึงความเป็นธรรมอย่างเพียงพอแล้ว คำว่า บอร์ด ของกองทัพบกไทยมันไม่ได้แตกต่างไปจากตัวแทนของ ผบช.ที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อสร้างความแนบเนียนในการแต่งตั้งให้เป็นไปตามความต้องการของ ผบช. เสมือนว่าได้กระทำด้วยความเป็นธรรมแล้ว เรื่องแค่นี้มันหลอกผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ได้หรอกครับมันมีแต่จะสร้างและคงความแตกแยกอยู่ตลอดไป ความเป็นปึกแผ่นจึงเกิดขึ้นไม่ได้ ด้วยการแต่งตั้งระบบนี้ครับ

..........ผลจากการแต่งตั้งเช่นนี้มันไม่ต้องคอยดูว่าเกิดสงครามแล้วจะเป็นอย่างไร ไม่ต้องคอยนานและเสี่ยงต่อการเกิดความเสียหายขนาดนั้น เพราะมันได้แสดงให้เห็นแล้วใน ๓ จชต. ถึงแม้จะมีปัจจัยอื่น ๆ เป็นสาเหตุผสมอยู่ด้วย แต่ปัจจัยเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายในกองทัพทุกระดับได้ส่งผลของมันให้เห็นถึงประสิทธิภาพและผลงานของกองทัพใน ๓ จชต.ว่าตกต่ำขนาดไหน

............ผมเห็นใจรัฐบาลที่จะต้องเข้ามาแก้ไขในเรื่องนี้แต่ต้องกระทำ เพราะถ้ารัฐบาลไม่แตะต้องเรื่องนี้ด้วยสาเหตุแห่งการกลัวรัฐประหาร กลัวความสั่นคลอนของตนเอง อ้างเหตุแห่งการปรองดองภายในชาติ ถ้าพวกท่านคิดได้แบบนี้ก็เท่ากับท่านกำลังทำลายกองทัพของประเทศที่ท่านกำลังรับผิดชอบ การปรับปรุงพัฒนากองทัพให้เจริญก้าวหน้า มีประสิทธิภาพมีความเข็มแข็งนั้นเป็นหน้าที่และอยู่ในความรับผิดชอบของพวกท่านที่จะทำได้ ลำพังตัวทหารนั้นไม่สามารถกระทำได้เพราะมันมีการสมประโยชน์กันอยู่ในกลุ่มผู้ที่ครองอำนาจ กองทัพของประเทศที่เจริญแล้วเขามีความเป็นปึกแผ่น มีขีดความสามารถสูงสามารถอาละวาดไปได้ทั่วโลก ก็เพราะกำลังพลในกองทัพเหล่านั้น มีความเชื่อมั่นศรัทธาในประเทศชาติ มีความรู้สึกมั่นคงในอาชีพ เกียรติยศและศักดิ์ศรี ด้วยรู้สึกถึงความเป็นธรรมที่พวกเขาได้รับในการรับราชการอยู่ในกองทัพ ความเป็นธรรมที่พวกเขาได้รับ มีผลต่อ ขวัญกำลังใจ และการเสียสละมากกว่าเงินเดือน และผลตอบแทนอย่างอื่น ๆ ครับ

.............. สำหรับ พรบ. กห.เจ้าปัญหานั้นไม่ต้องไปให้หน่วยงานใดตีความว่าถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ให้เสียเวลาหรอกครับ อย่างไรเสียมันก็ต้องถูกแก้ไขตามเหตุผลแห่งความถูกต้องเหมาะสมและเป็นธรรม เพื่อประสิทธิภาพของกองทัพตามระบอบประชาธิปไตยและเพื่อความเป็นธรรมของสังคม ที่ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ต้องการ เพราะโดยแท้จริงแล้วทหารในกองทัพก็คือ ลูกหลานของประชาชนที่มาอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของผู้นำกองทัพ เพียงชั่วคราวเท่านั้น เราจะต้องทำให้พวกเขาผูกพันกับ ปชช.มากกว่าสิ่งใดๆ

อดุล อุบล
พลเอก , ทหารราบ
๖ ต.ค.๕๔

ด้วยรักและห่วงใย

ด้วยรักและห่วงใย
ตอน การแต่งตั้งนายพล


.........ขณะนี้เป็นวันที่ ๑๙ ของเดือนกันยายน ของปี ซึ่งควรจะเป็นเวลาที่จะต้องมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลประจำครึ่งแรกของปีงบประมาณ ๒๕๕๕ ออกมาแล้ว แต่ก็ยังครับผมไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ได้แต่ติดตามข่าวจากทางสื่อ TV. และหน้าหนังสือพิมพ์ที่เขาวิจารณ์กันให้แซดไปหมด ถึงความไม่ชอบธรรมในการจะพิจารณาแต่งตั้ง Key man ของแต่ละเหล่าทัพ บก.กองทัพไทย และปลัดกระทรวงกลาโหม อันเนื่องมาจาก พรบ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๕๑ บังคับเอาไว้

........ก่อนที่จะว่ากันในรายละเอียด ผมขอถามท่านผู้อ่านทุกท่านสักคำถามหนึ่งว่า “ ท่านคิดว่าท่านต้องการให้ประเทศนี้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ ? ” ถ้าคำตอบของท่านว่า ไม่ใช่ ก็อย่าเสียเวลาอ่านเรื่องนี้ต่อไปเลย ถ้าคำตอบเป็นว่า ใช่แล้ว ก็มาช่วยกันแสดงความเห็นเพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้หวังดีต่อประเทศชาติที่เขาจะช่วยกันหาทางแก้ไขต่อไป

..........ผมขออนุญาตชี้ประเด็นสำคัญ ๆ ที่ควรแก้ไขไปทีละเรื่องก็แล้วกันนะครับ

..........ประเด็นแรก เรื่อง พรบ.จัดระเบียบราชการ กระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๕๑

..........พรบ.นี้ควรจะยกเลิกเนื่องจากกูรูทางด้านกฎหมาย และหลายส่วนออกมาให้ข้อมูลที่เป็นความจริงต่อสังคมว่า พรบ.ฉบับนี้ผ่านการพิจารณาโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่แต่งตั้งโดย คมช. ที่ไม่เป็นไปตามครรลองของ ปชต. นอกจากนี้ในการประชุมเพื่อผ่านกฎหมายฉบับนี้ สมาชิก สนช.ที่เข้าประชุมมีจำนวนแค่ ๘๕ คน ซึ่งไม่ครบองค์ประชุม ทำให้ พรบ.ฉบับนี้เป็นโมฆะตามหลักการของการผ่านกฎหมายออกมาใช้บังคับ ปชช.ในชาติของรัฐสภา

.........ยิ่งไปกว่านั้น พรบ.ฉบับนี้มีหลักการและเหตุผลที่แท้จริงไม่เป็นไปตามปรัชญาของการปกครองแบบประชาธิปไตย เพราะรัฐบาลในขณะนั้นมาจากการแต่งตั้ง ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ไม่ได้มีความโยงยึดกับอำนาจของประชาชน และยังต้องการแยกกองทัพออกจากการควบคุมของประชาชนผ่านรัฐบาลโดยเด็ดขาด เนื่องจากมีความคิดว่านักการเมืองที่เลือกตั้งมาจากประชาชนไม่มีความรู้ความสามารถและไม่มีความดีพอที่จะควบคุมกองทัพดังนั้นจะต้องให้ฝ่ายกองทัพว่ากันเองในทุกเรื่องแม้แต่นโยบายทางทหาร รวมไปถึงการแต่งตั้งผู้นำกองทัพกันเองโดยทหารระดับสูงไม่กี่คนเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดหลักการของประเทศประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์แบบ

........อย่าลืมว่าประเทศชาติก็เหมือนร่างกาย ประเทศชาติจะเป็นประชาธิปไตยได้ก็ด้วยทุกองคาพยพที่ประกอบกันเป็นประเทศนี้ ต้องเป็นประชาธิปไตยตามแบบของมัน ทุกส่วน ถ้าร่างกายของเราสมบูรณ์หมดทุกส่วน แต่มีเฉพาะขาซ้ายหรือแขนขวาที่กำลังเน่าแฟะอยู่ เราจะสรุปเอาได้ว่าร่างกายของเรากำลังสมบูรณ์แข็งแรงและกำลังเจริญเติบโตจะได้ไหม

.........ประเด็นต่อมา เป็นเรื่องของการแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล ซึ่งก็รวมถึง ผบ.ทหารสูงสุด ผบ.เหล่าทัพ และปลัดกระทรวง กห. ที่กำลังแต่งตั้งไม่ได้อยู่ทุกวันนี้ อันเนื่องมาจากผลประโยชน์ของบุคคลและกลุ่มบุคคลโดยเฉพาะกลุ่มผู้นำทหารเป็นหลัก ไม่ใช่ผลประโยชน์ของชาติเป็นหลักแต่ประการใด

.........ทำไม่ผมถึงกล้าพูดออกมาอย่างนี้ ก็ท่านลองสดับตรับฟังข่าวสารดูสิครับว่า มันมีเหตุผลอะไร ความจำเป็นอะไร ที่บรรดาผู้นำเหล่าทัพและผบ.ทหารสูงสุดจะต้องไปเสนอชื่อคนเป็นปลัด กห. มันเป็นหน่วยงานของตัวเองหรือก็เปล่า แล้วยังไม่มีมารยาทกันอีกด้วยแบบนี้มันก้าวก่ายงานของคนอื่นเขาหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ผลประโยชน์ของตนและกลุ่มพวกของตนที่ต้องมองกันไปถึงอีก ๑-๒ ปีข้างหน้าเป็นอย่างน้อยพวกเขาจะทำกันแบบนี้หรือ

..........การตั้งคณะกรรมการพิจารณาตัวบุคคลขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายทหารชั้นนายพลทุกระดับ โดยใช้ปลัด กห.,ผบ.ทหารสูงสุด และผบ.เหล่าทัพ เป็นหลัก ซึ่งเป็นทหารประจำการ ( ข้าราชการประจำ )ทั้งสิ้นมีเพียงฝ่ายการเมืองแค่ ๒ คน คือ รมว.กห.และ รมช.กห.เท่านั้นไม่ต้องพูดถึงการรวมหัวกันโหวตลงคะแนนหรอกครับ เอาแค่หลักความเป็นธรรมก็ไม่ได้แล้ว ผบ.เหล่าทัพพวกนี้ รวมถึงผบ.ทหารสูงสุดและ ปลัด กห. ไม่ควรจะมีสิทธิ์พิจารณาตำแหน่งในระดับของตนเอง ควรจะเป็นหน้าที่และสิทธิความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชาเหนือตนเท่านั้นที่จะพิจารณาตำแหน่งระดับนี้ นั่นคือฝ่ายการเมืองครับ

.........ที่ผมพูดอย่างนี้ผมใช้หลักของการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่ทุกอำนาจจะต้องมาจาก ปชช. หรือโยงยึดกับอำนาจของ ปชช. คณะรัฐบาลและตัวนายกรัฐมนตรีนั้นมาจากฉันทานุมัติของ ปชช.ส่วนใหญ่ในประเทศ จึงมีอำนาจอันชอบธรรมอย่างยิ่งที่จะดำเนินการปกครองประเทศให้เป็นไปตามที่ได้ให้สัญญาประชาคมเอาไว้ รวมทั้งการแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงทุกหมู่เหล่าที่เป็นผู้ที่รับนโยบายโดยตรงจากรัฐบาลมาปฏิบัติให้เกิดมรรคผลเป็นรูปธรรม 

.........ในทางทหารนั้น ประเทศที่เจริญแล้ว และเป็นประชาธิปไตยเขาจะแบ่งการแต่งตั้งทหารออกเป็น ๒ ระดับ คือ ระดับที่กองทัพว่ากันเองและอีกระดับหนึ่งเป็นระดับที่ ฝ่ายการเมืองต้องเป็นผู้แต่งตั้งเท่านั้น เช่นในประเทศมหาอำนาจที่สำคัญของโลกที่กองทัพของเขาสามารถอาละวาดไปได้ทั่วโลก การแต่งตั้งนายทหารระดับชั้นยศพลโท ขึ้นไป ทุกเหล่าทัพ ( ผมหมายถึงทั้งประเทศ ) จะถูกเลือกและแต่งตั้งโดยฝ่ายการเมืองเท่านั้น ระดับพลตรีลงไป จะเป็นเรื่องของแต่ละเหล่าทัพจะพิจารณากันเอง ที่เป็นดังนี้เพราะ นายทหารระดับพลโทขึ้นไปนั้น จะทำงานในระดับยุทธศาสตร์หรือถ้าจะเป็นระดับยุทธการก็จะเป็น Strategic man ในระดับยุทธการ ดังนั้นพวกนี้จะรับ directive จากฝ่ายการเมืองโดยตรงมาปฎิบัติงาน และขณะเดียวกันก็จะเป็นผู้ที่ให้คำแนะนำหรือข้อเสนอแนะแก่ฝ่ายการเมืองในเรื่องปัญหาด้านการทหารและความมั่นคงต่าง ๆ ด้วยเหตุนี้เองจึงมีความจำเป็นต้องทำงานเข้าขากัน ความเป็นทีมเดียวกันจึงสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเมื่อพรรคฝ่ายตรงข้ามขึ้นมาปกครองประเทศก็จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำกองทัพกันขนานใหญ่ถ้าฝ่ายที่ขึ้นมาใหม่เห็นว่าไม่เหมาะสม ไม่ต้องมีความผิดหรือข้อหาการปราบปราม ปชช. เหมือนของเราหรอกครับ และทหารของประเทศเหล่านั้น เขาก็ไม่ว่ากัน เพราะทุกคนเข้าใจว่านี่คือระบอบประชาธิปไตย ที่ ปชช.เป็นใหญ่ที่สุดในชาติ

........ตามที่กล่าวมาแล้ว การที่มีผู้ออกมาวิจารณ์ว่า “ รมว.กห.ขณะนี้ไม่มีน้ำยา แม้แต่จะโยกย้ายจ่าสักคนหนึ่งก็คงจะทำไม่ได้ ” ผมว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วละครับ และถ้าถึงแม้ว่าจะมีน้ำอิ๊วสามารถย้ายจ่าได้ก็ไม่สมควรทำหรอกครับ เพราะมันเป็นหน้าที่ของระดับอื่น ๆ เขาทำ ระดับ รมว.กห.มันต้องย้าย ผบ.เหล่าทัพและระดับ พลโท ขึ้นไปนั่นแหละครับ มันจึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม

.......ประเด็นสุดท้าย ที่ผมจะขอกล่าวถึงก็คือ นายกรัฐมนตรีจะต้องอยู่ในสายการบังคับบัญชาของกองทัพ เนื่องจากเป็นหัวหน้ารัฐบาล ผู้รับผิดชอบต่อความเจริญก้าวหน้า ความล้มเหลวและความมั่นคงของประเทศนี้ ดังนั้นนายกรัฐมนตรี จะต้องเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกองทัพ จะต้องเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่สิทธิ และความรับผิดชอบโดยตรงในการแต่งตั้งนายทหารโดยเฉพาะนายทหารชั้นนายพลตามที่ผมกล่าวไว้แล้ว ไม่ใช่แค่ รมว.กห.หรือบรรดา ผบ.เหล่าทัพว่ากันเองอย่างที่เป็นอยู่ตาม พรบ.ของ คมช.

........ผมอยากจะถามว่า ถ้ากองทัพของประเทศนี้รบแพ้ในสงครามที่ประกาศโดยประเทศไทย ฝ่ายใดจะต้องรับผิดชอบกันบ้าง ผมว่าไม่พ้น หน.รัฐบาลที่จะต้องขึ้นศาลทั้งภายในและภายนอกประเทศเป็นคนแรก แล้วแบบนี้จะให้กลุ่มทหารเขาแต่งตั้งคนกันเองเพื่อผลประโยชน์ของพวกกันเองอยู่อีกหรือ ทำไมไม่ให้เป็นอำนาจของฝ่ายการเมืองซึ่งต้องตัดสินเลือกและแต่งตั้งบุคคลเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมและประเทศชาติที่พวกท่านรับผิดชอบอยู่เป็นหลักล่ะครับ

.........ประเทศประชาธิปไตยนั้นการควบคุมและการใช้กำลังทหาร ซึ่งเป็นลูกหลานของ ปชช.ในชาตินั้นเป็นอำนาจและหน้าที่ของรัฐบาลซึ่งมาจากการเลือกตั้งของ ปชช. หน.รัฐบาลซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการบริหารประเทศจะต้องเป็น ผบ.สูงสุดของกองทัพ คำสั่งและนโยบายทางทหารของผู้นำรัฐบาลเป็นคำสั่งอันชอบธรรมที่ทหารจะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดดั่งบัญชาจากสวรรค์ เพราะมันเป็นคำสั่งและนโยบายที่มาจาก ปชช.ส่วนใหญ่ของประเทศต้องการตามนั้นผ่านรัฐบาลที่โยงยึดอยู่กับ ปชช. นี่คือการปกครองที่ ปชช.เป็นใหญ่ที่เรียกว่า Absolutely Civilian Control

.......ดังนั้นไอ้ที่คิดการใหญ่อะไรกันอยู่น่ะเลิกเสียเถิดครับ เพื่อเห็นแก่ความสงบของประเทศนี้ หันไปดูภายนอกกองทัพเสียบ้างว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าจะดึงดันกับ ปชช. เขาพูดกันถึง Libya Model ให้ทั่วไป ไม่เข้าใจสัญญาณกันบ้างหรือครับว่า ปชช.เจ้าของประเทศเขาต้องการอะไร รัฐบาลก็เช่นเดียวกัน ถ้าท่านไม่สามารถควบคุมและใช้กำลังทหารตามแบบชาติปชต.ได้ก็ไม่ควรยืดอกเป็นรัฐบาลอยู่ให้เป็นที่ผิดหวังของ ปชช. ที่เลือกพวกท่านเข้ามาอย่างท่วมท้น เพราะท่านไม่มีขีดความสามารถที่จะจัดการกับปัญหาเล็ก ๆ เช่นนี้ได้ แล้วท่านจะไปจัดการกับปัญหาใหญ่ ๆ ระหว่างประเทศในเรื่องความมั่นคงได้อย่างไร

........กฎหมายเขียนโดยคนก็ต้องแก้ได้ด้วยคนเช่นเดียวกันครับ อะไรที่ไม่ถูกต้องก็คงต้องถูกแก้ไขให้ถูกต้องครับ ถ้าพวกท่านทำในสิ่งที่ถูกต้อง และนำความเป็นธรรมมาสู่ประชาชนและประเทศชาติ ผมก็คิดว่าประชาชนเขาก็คงพร้อมที่จะป้องกันรัฐบาลที่พวกเขาเลือกเข้ามาเช่นเดียวกันครับ

อดุล อุบล
พลเอก , ทหารราบ
๑๙ ก.ย. ๕๔