วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2554

หมาเห่า

ผบ.ทบ.ฉุน ขอความเป็นธรรมทหาร ตำรวจ เสียชีวิตเหมือนกันไม่เห็นจะเรียกร้องอะไร

http://www.internetfreedom.us/thread-15648.html
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ก่อนเดินทางไปเยือนกองทัพสิงคโปร์อย่างเป็นทางการถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดี​พิเศษ (ดีเอสไอ) ระบุว่านักข่าวญี่ปุ่นถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาดกระสุน 7.62 มม.จนเสียชีวิต ว่า เป็นเรื่องของการพิสูจน์หลักฐาน ไม่ว่าจะเป็นกระสุนใดก็ตาม ไม่ใช่เรื่องที่ทหารจะดีใจหรือเสียใจ เพราะเป็นการเสียชีวิตของผู้สูญเสีย คือครอบครัวญาติพี่น้องของเขา เป็นเรื่องน่าเสียใจ ประเด็นสำคัญต้องพิสูจน์หาหลักฐานว่าเขาเสียชีวิตจากใคร มีใครเป็นผู้กระทำ

แต่อย่าลืมว่า ทหาร ตำรวจ ก็เสียชีวิตด้วย ซึ่งไม่มีใครพูดถึงเลย ครอบครัวทหารตำรวจก็เสียใจเหมือนกันไม่เคยออกมาเรียกร้อง หรือต้องการคำตอบว่าใครเป็นคนทำ อยากให้ความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ด้วย ทุกคนก็เสียใจทั้ง 91 ศพ และไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ฉะนั้นใครที่ทำให้เกิดขึ้นก็ต้องกลับไปแก้ไข และกลับไปสำนึก คราวหน้าก็อย่าให้เกิดขึ้นอีก

เมื่อถามว่า หากผลการพิสูจน์ออกมาว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า "เขาพิสูจน์และชี้ชัดมาหรือยังว่าเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่" เมื่อถามว่า มีความเป็นไปได้ทั้งสองฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ถ้ามีความเป็นไปได้ทั้งสองฝ่ายก็ต้องไปว่ากัน หากเกิดการจลาจลมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดใช้อาวุธ มีเจ้าหน้าที่ใช้อย่าเดียวหรือไม่ อยากให้ตอบคำถามนี้ หรือไม่มีใครเห็นเลย เห็นแต่เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธ อยากให้ตอบคำถามของตนให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาถามว่าจะให้ทำอย่างไร

กลุ่มทุกกลุ่มก็ออกมาเรียกร้องตามกระบวนการประชาธิปไตย ตามรัฐธรรมนูญ ขอถามว่ารัฐธรรมนูญมีอยู่หมวดเดียวหรือ หมวดที่เป็นสิทธิเสรีภาพ หมวดที่เขียนว่าหน้าที่ของประชาชนที่มีต่อประเทศชาติมีหรือไม่ หน้าที่ต่อสังคม ต่อครอบครัว หรือต่อคนอื่นมีหรือไม่ เพราะว่าการชุมนุมต้องไม่ไปปิดกั้น หรือกีดขวางและทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายต่อบ้านเมือง ไม่ได้ว่าใครแต่ทุกพวก คือจะทำอะไรก็ตาม อย่าให้คนส่วนใหญ่เดือดร้อน ถ้าทุกคนต้องการให้บ้านเมืองไปข้างหน้า หวังให้มีรัฐบาลที่เข้มแข็ง มีเศรษฐกิจที่ดี อยากมีเสถียรภาพ แต่ทุกคนกลับไม่ยอมกัน และพยายามเอาจุดใดที่จะได้เปรียบ หรือช่องว่างของกฎหมายมาต่อสู้กัน แล้วเมื่อไหร่จะจบ แล้วใครจะเป็นผู้ตัดสิน แล้วมาถามเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจว่าใครยิงประชาชน มันคงไม่ถูกเพราะเราเป็นคนกลาง เป็นกรรมการอยู่ตรงกลาง" ผบ.ทบ.กล่าว

เมื่อถามว่า ทหารจะอดทนได้หรือไม่หากอภิปรายในสภาถึงการชุมนุม ผบ.ทบ.กล่าวว่า ต้องอดทน ถ้าเขาจะพูดก็พูดไป ซึ่งในสภาก็มีเอกสิทธิ์อยู่ และให้สังคมเป็นผู้ตัดสิน หากคน 60 กว่าล้านคน ถ้าเชื่อไปทั้งหมดตามนั้นก็เห็นใจประเทศไทย ฉะนั้นจะเห็นว่าคนที่ออกมาพูดทุกวันนี้ก็รู้ดีว่าใคร และพูดกลับไปกลับมา ถ้าคน 60 ล้านคนเชื่อคนคนนี้พูด คิดว่าควรจะลาออกจากการเป็นคนไทยเสียดีกว่า ให้อยู่คนเดียวในโลกนี้
http://www.matichon.co.th/news_detail.ph...&subcatid=
-------------------------------------------------------------------
เหตุเพราะ ประชาชนเดือดร้อนถูกกดขี่ ไม่ได้รับความยุติธรรมและเท่าเทียม ไม่สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ต่อไป ผลคือ ออกมาชุมนุมเรียกร้องให้มองเห้นค่าของประชาชนให้เท่ากัน

เหตุเพราะ ทหารออกมาสลายการชุมนุมโดยใช้อาวุธสงครามยิงใส่ผุ้ชุมนุม ผลคือ ประชาชนผู้บริสุทธิ์ปราศจากอาวุธต้องตาย นักข่าวช่างภาพต้องตาย

เหตุเพราะ มีกลุ่มที่ไม่เห้นด้วยกับการฆ่าประชาชนออกมาต่อต้าน (ซึ่งกลุ่มคนพวกนี้มีความเชี่นวชาญในการใช้อาวุธสงคราม และใครล่ะที่มีความเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธถ้าไม่ใช่ทหารและ จนท ของรัฐ) ผลคือ ทหารบางคนตาย

เหตุเพราะ ทหารที่ตายโดยเฉพาะหัวหน้าได้รับการปูนบำเน็จอย่างงาม ผลคือ มีความพึ่งพอใจแล้วไม่จำเป็นต้องออกมาเรียกร้องอะไร

เหตุเพราะ ประชาชนที่ตายและประชาชนที่ยังไม่ตาย ยังไม่ได้รับความเป็นธรรม ผลคือ ออกมาเรียกร้องต่อไป

เข้าใจไหม เหล่


ภาพ เพียง 1 ภาพ แทนคำ บรรยายได้มากมาย

http://www.internetfreedom.us/thread-15639.html
วันนี้นั่งดูรูปเก่า ๆ ครั้งที่เราชุมนุม 

"ภาพบางภาพ แทนคำบรรยายได้นับแสนนับล้าน ^^"



[Image: 183650_1896523374058_1270827683_32291125_4494480_n.jpg]


เสื้อแดงEUจัดหมั้นหนุ่มไทย+สาวเขมรชื่นมื่นกลางปารีส ทักษิณโฟนอินยินดีสันติภาพดีกว่าสงคราม


โดย Rojana Treiling

Love not War in Paris ยกยอสันติภาพอาเซียนไทย ลาว เขมร และความสงบสุขสากล โดย โปรเฟสเซอร์สัมฤทธิ์ ที่ปรึกษาระดับสูงขององค์กร และสารวัตรรักษาพระนครปารีส สารวัตรถนอมพี่ชายใหญ่ ประสานพลังชุมนุม นปช.เสื้อแดงไทยนัดพิเศษ UDD Thai of EU ครั้งสำคัญ พร้อมจัดพิธีหมั้นระหว่างหนุ่มเสื้อแดงไทย กับสาวขะแมร์ กลางกรุงปารีส


ทัวร์นกขมิ้นแดงแจ๊ด เป็นเจ้าภาพฝ่ายหญิง คุณมนูญ มิ่งชัย ประธาน นปช.ยุโรป และสมาชิก นปช.เสื้อแดงไทยในอียูทุกผู้ร่วมใจประกอบพิธี ถ่ายทอดสด โดยทีมเทคนิค นปช.ไทยอียู ดีเจเบบี้ ดีเจย์นิว และ ทอมมี่ กับ Freelove ร่วมกันเป็นพิธีกร

-ท่ามกลางทะเลทรายแห้งแล้งสาหัสอันเต็มไปด้วยกองกระดูกของนักเดินทาง ยังผุดโอเอซีส ขึ้นได้ฉันใด
-ท่ามกลางลูกระเบิด ควันปืน การขัดแย้ง กระพือความเกลียดชังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันระหว่างสองชายแดน ด้วยมือเปื้อนเลือดของนักเผด็จการหวงอำนาจอันชั่วช้า

ประชาชนไทย - กัมพูชา ผู้เหนื่อยหน่ายสงครามการฆ่าฟันล่าล้าง กลับยกย่องเชิดชูความรักความเข้าใจซึ่งกันและกัน เหมือนกระแสประชาชนทั่วโลกของ เวลานี้ฉันนั้น

ดังนั้นวันที่ 27 Feb 2011 ที่ผ่านมา งานเริ่ม 14.00 -17.00 น. ณ สถานที่นัดชุมนุม me'troสาย2 Alexandre Dumas, 177Rue de chaRonne Paris จึงคึกคักอย่างพิเศษและอบอุ่นไปด้วยรอยยิ้มและสันติภาพ

หลังแกนนำที่มวลชนชื่นชอบปราศรัยเรื่องราวชี้แจงนโยบาย และจุดยืนของUDD thai of EU ประธานและผู้ใหญ่เริ่มประกอบพิธีหมั้นและสู่ขวัญให้โอวาทแก่คู่หมั้นสองแผ่นดิน ท่ามคนเสื้อแดงไทยในอียูและท้องถิ่นร่วมเป็นสักขีพยาน

จากนั้นได้รับโฟนอินแสดงความยินดีให้โอวาท และร่วมอวยพรคู่หมั้นหนุ่มไทย สาวพนมเปญ จาก พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร โดยย้ำส่งเสริมยกชูมิตรภาพอันเหนียวแน่นของประชาชนสองแผ่นดิน เหมือนกับที่ตนเองก็มีต่อผู้นำกัมพูชา สมเด็จฮุนเซนดุจกันมาตราบเท่าทุกวันนี้

ตามด้วยโฟนอินของแกนนำที่เพิ่งพ้นคุก ณัฏวุฒิ ใสยเกื้อ และ อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ซึ่งคุณกี้ร์ได้ร้องเพลงสดร่วมแสดงความยินดีปิดท้ายรายการอย่างชื่นมื่น

UDD Thai of EU ยืนยันต่อต้านสงคราม ส่งเสริมความรักเมตตาต่อกัน เรียกร้องให้ปล่อยผู้ถูกคุมขังละเมิดสิทธินักเรียกร้องประชาธิปไตยในคุกไทยทุกคน และย้ำเร่งเยียวยาครอบครัวผู้สูญเสียและทุพลภาพอย่างยุติธรรมและเร่งด่วนโดยเร็ว ...

(ตรวจทานการข่าวภาษาไทยโดย นัทตี้ สมาชิก UDD Thai of EU ฟินแลนด์

แล้วเมื่อความจริงปรากฏ สุรชัย ติดคุก เพราะกลอน จักรภพ


ความจริงของกลอนร้อนที่อ้างว่าสมัครเขียนก่อนตาย และสุรชัย แซ่ด่านนำไปอ่านจนติดคุกคดีหมิ่นฯ


โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
2 มีนาคม 2554

ตอนนี้มีการเผยแพร่บทกลอนที่อ้างว่าเป็น"กลอนสุดท้ายสมัคร : ไม่มีเทวดาบนฟ้า"กันแพร่หลายในหมู่มวลชนเสื้อแดง ทั้งการฟอร์เวิร์ดเมล์ ทั้งการโพสต์ตามกระดานสนทนาต่างๆ และผู้ใช้นามว่า"บรรพต"บันทึกเสียงแพร่กระจาย

ในเนื้อหาที่กระจายกันออกไปนั้นอ้างว่า บทกลอนนี้เป็นบทกลอนสุดท้ายในชีวิตของนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีก่อนตาย เขียนแล้วใส่มือให้ภริยาของท่าน มีนัยยะพาดพิงไปยังบางสถาบันในสังคมไทย แล้วชี้ว่านายสมัครเกิดอาการ"ตาสว่าง"ก่อนตาย จากนั้นนายสุรชัย แซ่ด่าน แกนนำแดงสยามนำไปอ่านที่งานเสวนานัดหนึ่งที่อิมพีเรียลลาดพร้าว เมื่อปลายปีก่อน และเป็นมูลเหตุให้ถูกจับกุมข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามมาตรา 112

โดยเนื้อหากลอนที่เผยแพร่มีดังนี้
กลอนสุดท้ายสมัคร : ไม่มีเทวดาบนฟ้า

เมื่อสิ้นรักหักสวาทขาดสะบั้น
ก็สิ้นชาติขาดกันแต่เพียงนี้
ที่เคยหลงจงรักและภักดี
มาบัดนี้ไม่มีเยื่อไม่เหลือใย

เห็นกงจักรเป็นดอกบัวชั่วชีวิต
เคยหลงผิดถึงขั้นตายแทนได้
หลงตามลมชวนเชื่อทุกเมื่อไป
บัดนี้ไทยตาสว่างเห็นทางธรรม

เมื่อสิ้นรักหักสวาทขาดสะบั้น
ก็จบกันเลิกเลี้ยงชุบอุปถัมภ์
จะตอบแทนให้สาสมโสมมระยำ
ให้หลาบจำทำชั่วต้องชดใช้

ไม่มีแล้วเทวดาบนฟ้านี้
และไม่มีเหนือมนุษย์ฉุดรั้งได้
ประเทศชาติประชาชนประชาธิปไตย
คือหลักชัยไทยทั้งชาติประกาศพ่วง

เสมือนสวมพระเครื่องอันเรืองเวช
ประนมเดชมอบดวงใจให้ทุกสิ่ง
แต่องค์พระกลับเข้าช่วงชิง
จนได้รู้ความจริงอันเจ็บใจ

สิ่งที่สูงนั้นกลับต่ำจนตำเนตร
ใจสมัคร สุนทรเวชจึงหมองไหม้
เฝ้าจงรักภักดีไม่รู้คลาย
ขอกัดฟันลาตายไม่ถวายพระพร


กลอนสุดท้ายของ... สมัคร สุนทรเวช


จักรภพ-สุรชัย..กล่าวกันว่าสุรชัย แซ่ด่าน ถูกจับกุมเพราะอ่านกลอนที่อ้างว่าสมัคร สุนทรเวช แต่งขึ้นก่อนตาย แต่ความจริงกลอนนี้เป็นสำนวนของจักรภพ เพ็ญแข ผู้นำของแดงสยามอีกราย ซึ่งต่อมาถูกนำไปรวมผสมเข้ากับกลอนอีกสำนวนของผู้ใช้นามปากกาว่า"ปีกซ้าย"

ไทยอีนิวส์ขออธิบายให้เกิดความเข้าใจที่แท้จริงว่า เนื้อหากลอนข้างต้นนั้น นายสมัคร สุนทรเวช ไม่ได้เป็นคนเขียนแต่อย่างใด แต่กลอนนี้มีผู้เขียนไว้2สำนวน แล้วเกิดการนำมารวมกันกลายเป็นกลอนสำนวนเดียวดังข้างต้น ซึ่งผู้ที่อ่านกลอนแปดเป็นประจำจะเห็นได้ชัดว่า ในวรรคที่เป็นบาทสุดท้ายนั้น ไม่ได้สัมผัสกับบาทก่อนหน้านั้นเลย เพียงเท่านี้ก็ควรสงสัยแล้วว่า กลอนนี้เป็นการจับ2สำนวนมาผสมกันจึงผิดฉันทลักษณ์ของกลอนแปด

กลอนสำนวนแรกนั้นเคยเผยแพร่ในไทยอีนิวส์ตามลิ้งค์นี้
http://thaienews.blogspot.com/2010/05/blog-post_21.html โดยมีชื่อกลอนว่า
ไม่มีแล้วเทวดาบนฟ้านี้ เขียนโดยผู้ใช้นามว่า ปีกซ้าย เผยแพร่เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2553 มีเนื้อหาดังนี้

ไม่มีแล้วเทวดาบนฟ้านี้... 

เมื่อสิ้นรักหักสวาทขาดสะบั้น
ก็สิ้นชาติขาดกันแต่เพียงนี้
ที่เคยหลงจงรักและภักดี
มาบัดนี้ไม่มีเยื่อไม่เหลือไย

เห็นกงจักรเป็นดอกบัวชั่วชีวิต
เคยหลงผิดถึงขั้นตายแทนได้
หลงตามลมชวนเชื่อทุกเมื่อไป
บัดนี้ไทยตาสว่างเห็นทางธรรม

เมื่อสิ้นรักหักสวาทขาดสะบั้น
ก็จบกันเลิกเลี้ยงชุบอุปถัมภ์
จะตอบแทนให้สาสมโสมมระยำ
ให้หลาบจำกรรมชั่วต้องชดใช้!

ไม่มีแล้วเทวดาบนฟ้านี้
และไม่มีเหนือมนุษย์ฉุดรั้งได้...
ประเทศชาติประชาชนประชาธิปไตย
คือหลักชัยไทยทั้งชาติประกาศทวง


โดย ปีกซ้าย


ส่วนอีกสำนวนนั้น นายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำแดงสยาม อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรียุครัฐบาลนายสมัครเขียนเผยแพร่ครั้งแรก ในคอลัมน์ ร้อยรักอักษราเป็นอาวุธ นสพ.ไทย เรดนิวส์ ฉบับที่ 27 (ศุกร์ที่28 พ.ย.-พฤหัสบดี ที่3 ธ.ค.2552)เพื่อไว้อาลัยนายสมัคร ต่อมาเวบไซต์ประชาธิปไตย100%นำมาเผยแพร่ตามลิ้งค์http://democracy100percent.blogspot.com/2009/11/blog-post_26.html เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2552

สำนวนกลอนฉบับเต็มมีดังนี้

เรื่อง : สมัคร สุนทร เวช
โดย : จักรภพ เพ็ญแข


ณ แผ่นดินถิ่นนี้มีผู้ใหญ่
ผู้เกรียงไกรใจถึงประหนึ่งสิงห์
ตอบสังคมสมศักดิ์รักความจริง
ไม่แอบอิงมายาเป็น อาภรณ์

มากศัตรูมากมิตรชีวิตชัด
รักษาชีพด้วยสัตย์เป็นอนุสรณ์
ผ่านถนนจนคุ้มทั้งลุ่ม ดอน
ครบวงจรอย่าง ผู้ใหญ่หัวใจจริง

“สมัคร สุนทรเวช” ท่านจากลับ
ย่อมมิใช่มืดดับทุก สรรพสิ่ง
ทุก ร่องรอยตัวตนของคนจริง
ทุกครั้งนิ่งเงียบสงบพบปัญญา

ผู้แผ้วถางทางเองไม่เกรงขาม
ผู้ก้าวข้ามอุปสรรคที่ ขวางหน้า
ผู้ สร้างตัวไม่กลัวใครในนครา
ผู้จับมือมวลประชาร่วมท้าทาย

และเป็นผู้ผิดหวังครั้งใหญ่ยิ่ง
ผู้ที่ท่านยึดว่าจริง กลับห่างหาย
ผู้ใหญ่ กลับสลับคู่เป็นผู้ร้าย
หัวใจท่านจึงสลายเพราะใจจริง

เสมือนสวมพระเครื่องอันเรืองเวทย์
ประณตเกศมอบหัวใจให้ ทุกสิ่ง
แต่ องค์พระกลับล้วงเข้าช่วงชิง
จนได้รู้ความจริงอันเจ็บใจ

สิ่งที่สูงกลับต่ำนั้น ตำเนตร
ใจ “สมัคร สุนทรเวช” จึงหม่นไหม้
นบนอบมาด้วยประชาธิปไตย
ก็สั่งให้กองทัพมากลับทาง

ยุให้คนผิดกฎหมาย ท้าทายรัฐ
ยุประชาธิปัตย์ เข้าด้านข้าง
ยุ ให้ศาลตั้งตนเป็นคนพาล
และยุผ่านสื่อมวลชนคนบริกร

นี่ล่ะหรือเสาหลักอันศักดิ์สิทธิ์
ภาพนิมิตรกลับกลอกเป็น หลอกหลอน
นึก ว่าว่านสมุนไพรแท้ใบบอน
นึกว่าจริงกลับละครย้อนดูตัว

แต่เกียรติยศแห่ง “สมัคร” จำหลักมั่น
ประชาชนทั้งนั้นท่าน รู้ทั่ว
ถึง ร่างลับดับขันธ์อย่าหวั่นกลัว
ความจริงจักปรากฎทั่วอย่ากลัวปลอม

พักเถิด ครับ...ท่านสมัคร...โปรดพักผ่อน
สิ่งที่ท่านสั่งสอนทั้งตรงอ้อม
จะนำมาปรับใช้จะไม่ยอม
ประชาธิปไตยแมวย้อมจะ ไม่เอา

ประชาชนได้เป็นใหญ่ใน “สมัคร”
เขาจึงรักแน่วแน่จนแก่เฒ่า
เผด็จการอำมาตย์ไทยเขาไม่เอา
ท่านคือเบ้าหลอมร่าง สร้างผู้นำ

กราบวิญญาณ “ท่านสมัคร” ผู้รักชาติ
ผู้สร้างมาตรฐานไว้ไม่ตกต่ำ
หนุนประชาธิปไตยธงชัยนำ
สวนระบอบใจดำผู้อำพราง

ชาว “ประชากรไทย” รวมใจหวัง
มวล “พลังประชาชน” คนสืบสร้าง
จะ สานต่อ “ท่านสมัคร” ผู้สร้างทาง
สละร่างทิ้งหัวใจให้บ้านเมือง.


ก่อนหน้าที่จะมีการนำบทกลอนสำนวนแรก(ที่เกิดจากการนำบทกลอนของปีกซ้ายกับของจักรภพมารวมกัน)เผยแพร่กระจาย และกล่าวกันว่าเป็นต้นเหตุให้สุรชัย แซ่ด่าน โดนจับกุมตามมาตรา112นั้น เคยมีการเผยแพร่บทกลอนอีกสำนวนที่อ้างกันว่าเป็นของสมัคร สุนทรเวช ดังนี้

จากใจ "สมัคร สุนทรเวช" ถึง "ฟ้า" 

เสมือนสวมพระเครื่องอันเรืองเวทย์
ประนมเดชมอบดวงใจให้ทุกสิ่ง
แต่องค์พระ กลับเข้าช่วงชิง
จนได้รู้ความจริงอันเจ็บใจ

สิ่งที่สูงกลับต่ำนั้นดำเนตร
ใจสมัครสุนทรเวชจึงหมองใหม้
เฝ้าจงรักภักดีมิรู้คลาย
ขอกัดฟันลาตาย? ไม่ถวายพระพร

นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ของประเทศไทย (ผู้ประพันธ์)
มอบให้ในอุ้งมือคุณหญิงภรรยาของท่านไว้ก่อนสิ้นใจไม่นาน



บทกลอนสำนวนนี้แพร่หลายอยู่พอสมควร รวมทั้งในเวบบอร์ดคนเหมมือนกันตามลิ้งค์ http://weareallhuman2.info/index.php?showtopic=48758 ซึ่งดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ได้ชี้ว่าไม่ใช่กลอนของสมัคร

โดยดร.สมศักดิ์เขียนว่า ถ้านี่เป็นกลอนของ สมัคร สุนทรเวช จริง ก็จะเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ทั้งในแง่ประวัติชีวิตของสมัคร และการเมืองในมุมกว้างออกไป (ความเปลี่ยนแปลงของรอยัลยิสต์คนสำคัญ)แต่ผมเกรงว่า นี่จะไม่ใชกลอนของสมัคร สุนทรเวช

(ก่อนอื่น ขอให้สังเกตว่า บรรทัดที่ 3 น่าจะคัดลอกมาผิด เพราะไม่ครบ 8 หรือ 9 พยางค์ ตามสไลต์ชองกลอนบรรทัดอื่น (ถ้าเป็นนักแต่งกลอนสมัยใหม่ กลอนแปดอาจจะมีเพียง 6-7 พยางค์ ในบางบรรทัดได้ แต่นี่ ไม่เข้ากับกลอนส่วนอื่นๆ) - ดูเรื่องนี้ข้างล่าง)

และเมื่ออ่านเนื้อหาแล้ว ผมก็ไม่คิดว่า น่าจะใช่ของสมัคร
พูดง่ายๆ แบบภาษาทีใช้กันแถวนี้คือ ผมไม่คิดว่า สมัคร จะมีอาการ "ตาสว่าง" ก่อนตาย ถึงเพียงนี้

เท่าที่ผมค้นดู ผมพบว่า อันที่จริง กลอนนี้ เป็นส่วนหนึ่งของ กลอน ของ จักรภพ เพ็ญแข ที่แต่งไว้อาลัย สมัคร
ดูตัวอย่างกลอนเต็มๆ ที่เว็บประชาธิปไตย100%
http://democracy100percent.blogspot.com/2009/11/blog-post_26.html
กลอนเต็มๆของจักรภพ นั้น ตีพิมพ์ครั้งแรก ที่ คอลัมน์ ร้อยรักอักษราเป็นอาวุธ นสพ.ไทยเรดนิวส์ ฉบับที่ 27 (ศ. 28 พ.ย.-พฤ. 3 ธ.ค. 52)

ขอให้สังเกตด้วยว่า ในกลอนจักรภพ ฉบับเต็มๆ บรรทัดที่ผมคาดว่า คัดลอกมาผิดนั้น คัดลอกมาผิดจริงๆ ของจริง ต้องเป็น "แต่องค์พระกลับล้วงเข้าช่วงชิง" (ครบ 8 พยางค์)

แต่ปรากฏว่า ดูเหมือนจะมีการตัดเอาเฉพาะท่อนที่ยกมาในกระทู้นี้ ไปเผยแพร่ต่อ ในลักษณะเหมือนกระทุ้นี้ คือมีการเขียนเพิ่มเติมว่า สมัคร แต่ง แล้ว "มอบให้ในอุ้งมือคุณหญิงภรรยาของท่านไว้ก่อนสิ้นใจไม่นาน"
ผมพบที่นี่ เป็นต้น (ใช้ proxy)
http://groups.google.com/group/redthai/msg/901429ac1aabff78?pli=1หรือไปอ้างกันต่ออีกหลายที่

(ขอให้ส้งเกตว่า วรรค "แต่องค์พระ กลับเข้าช่วงชิง" คัดลอกมาตกหล่น เหมือนที่กระทู้คัดลอกมา และไม่เหมือน กลอนฉบับเต็มของจักรภพ)

อาจจะเป็นไปได้ว่า สมัคร แต่งจริง และ "มอบให้ในอุ้งมือคุณหญิงภรรยา" จริง แล้ว จักรภพ ทราบเข้า จึงนำไปรวมอยู่ในกลอนที่ตัวเองแต่ไว้อาลัยสมัคร (เป็นเทคนิคทีนักกลอนบางคร้งใช้ คือ quote บางส่วนของกลอน คนอื่น เข้าไว้ในกลอนตัวเอง เช่น ถ้าผมจะแต่งกลอนถึง จิตร ผมอาจจะใส่ "เพื่อลบรอยคราบน้ำตาประชาราษฎร์..." ที่จิตร แต่ง เข้าไว้ด้วยก็ได้ แต่โดยทั่วไป เทคนิคนี้ ถ้าใช้ มักจะมี "..." (เครืองหมาย quote ชัดเจน) แต่กลอนจักรภพ ตามที่เผยแพร่ทางเวบประชาธิปไตย100%ไม่เห็นมี)

แต่โดยส่วนตัว ผมยังไม่คิดว่า น่าจะเป็นไปได้ (ที่ว่าสมัครแต่ง แล้วจักรภพไปได้มา เลยมารวมไว้ในกลอนตัวเอง)

ถ้าใครมีข้อมูลยืนยันได้ กรุณาบอก จะขอบพระคุณอย่างสูง เพราะดังที่กล่าวว่า เรื่องนี้สำคัญในแง่ประวัติชีวิตสมัคร และในแง่การเมืองของรอยัลลิสต์
*******

จากการประมวลทั้งหมดนี้ ไทยอีนิวส์ขอสรุปแบบฟันธงว่า กลอนที่กำลังแพร่กระจายเวลานี้ว่าสมัคร สุนทรเวช เป็นคนแต่ง และสุรชัย แซ่ด่าน นำไปอ่านแล้วติดคุกตามมาตรา112นั้น เป็นของที่ปลอมแปลมขึ้นจากการนำกลอน2สำนวนของปีกซ้ายกับจักรภพมารวมกัน แล้วอ้างว่าเป็นบทกลอนก่อนตายของสมัคร

เราไม่ทราบเจตนาของผู้จัดปลอมแปลงกลอนนี้ขึ้น แล้วอ้างว่าเป็นฝีมือกลอนของสมัคร แต่หากเป็นทริกเพื่อหวังผลทางการเมือง เราก็ขอแจ้งให้ทราบว่า เป็นเจตนาที่ไม่สุจริต เพราะไม่เคารพต่อผู้วายชนม์คือนายสมัคร สุนทรเวช ไม่เคารพต่อมวลชนผู้รับสาร และไม่เคารพต่อข้อเท็จจริง ไม่เคารพต่อเจ้าของผลงานที่แท้จริง เป็นการกระทำที่น่าอับอาย

แม้ว่าการกระทำดังกล่าว จะมีเจตนาหวังผลทางการเมืองบางประการ และก็บรรลุเจตนารมณ์อันซ่อนเร้นของผู้จัดทำและเผยแพร่ก็ตาม สำหรับมวลชนผู้รับสาร แม้ว่าท่านอยากเชื่อว่านี่คือกลอนสุดท้ายของนายสมัคร แต่พึงรับทราบว่า สัจธรรมนั้นไม่อาจงอกเงยมาจากความเท็จ
สุดยอดดด แย่งซื้อน้ำมันปาล์ม อนาถประเทศไทย
http://www.internetfreedom.us/thread-15681.html

"วัชระ"นำสาว นปช.จี้เร่งคดีที่อ้างถูกทหารข่มขืน

มาแล้วฮาว์ฟฟ เจาะข่าวตื้นประจำวันพุธที่ 2 มีนาคม 2554
 "อยากรู้เรื่องน้ำมันปาล์ม ถามละมุด"


http://www.internetfreedom.us/thread-15683.htmlBig Grin

ฮือฮา! "ยันตระ" โผล่ตั้งลัทธิใหม่
 http://www.internetfreedom.us/thread-15684.html
[Image: vya55.jpg]
ฮือฮา! ภาพโผล่ว่อนเน็ต อดีตพระดัง "ยันตระ" โผล่สร้างลัทธิใหม่ ไว้หนวดเคราสีขาวรุงรัง แต่ห่มจีวรสวมกางเกง เดินนำพระสงฆ์บิณฑบาตในงานบุญของคนไทย

วันนี้ (2 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองบรรณาธิการเดลินิวส์ ได้รับฟอร์เวิร์ดเมล์ (ส่งต่อ) เกี่ยวกับนายวินัย ละอองสุวรรณ หรือ อดีตพระยันตระ อมรโรภิกขุ (พระวินัย อมโร) ที่แต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์และมีการทำกิจวัตรคล้ายพระสงฆ์ รวม 3 รูป โดยรูปทั้งหมดไม่ทราบวันและเวลาในการบันทึกไว้ ทราบเพียงว่าเป็นภาพในงานหนึ่ง ในชุมนุมของคนไทยหรืออาจจะเป็นวัดไทยวัดใดวัดหนึ่ง ในเมืองเอสคอนดิโด้ แซนดิเอโก้ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีการจัดกิจกรรมทำบุญตักบาตรพระภิกษุ โดยนายวินัย หรือ อดีตพระยันตระ แต่งกายที่แปลกออกไปจากพระสงฆ์ไทย มีการไว้หนวดไว้ผมยาว สวมผ้าคลุมสีคล้ายจีวรแต่สวมกางเกงทับอีกชั้น แล้วนำพระภิกษุออกบิณฑบาต โดยมีคนสนิทเป็นชาวต่างชาติเดินประกบอยู่ตลอดเวลา และประชาชนคาดเป็นคนไทยนั่งคุกเข่าอยู่ตลอดเส้นทางที่เดิน ทั้งนี้ยังมีภาพที่นายวินัย หรือ อดีตพระยันตระ นั่งอยู่ในบริเวณพิธีที่มีการตกแต่งคล้ายที่นั่งพระสงฆ์ หรืออาจจะเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม หรือวัดใดวัดหนึ่ง โดยนั่งอยู่ด้านบน ซึ่งมีอาสนะ ตาลปัตร และเครื่องบริขารของพระสงฆ์วางอยู่ แล้วมีพระภิกษุรูปหนึ่ง นั่งคุกเข่าอยู่ด้านล่าง ซึ่งเมื่อดูภาพทั้งหมดแล้วรู้สึกถึงความไม่เหมาะสมที่นายวินัย หรืออดีตพระยันตระ ยังปฏิบัติตนเช่นนี้ เพราะมีความพยายามที่จะสร้างลัทธิใหม่หรือนิกายทางพระพุทธศาสนาใหม่ขึ้นมา ทั้งๆที่มหาเถรสมาคมมีมติให้พ้นจากพระภิกษุแล้ว จากกรณีเรื่องฟ้องร้องหลายคดีตั้งแต่ปี 2537-2541 หรือประมาณ 17 ปีที่แล้ว

นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) กล่าวถึงกรณีนายวินัย หรืออดีตพระยันตระ แต่งกายคล้ายพระสงฆ์ ถือบาตรรับอาหารจากประชาชน โดยไว้หนวดเคราและผมยาวในประเทศสหรัฐอเมริกา ว่า ตนได้รับทราบข้อมูลว่า ขณะนี้อดีตพระยันตระ ได้ไปจัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนายังประเทศสหรัฐฯ แล้วนำพระสงฆ์ออกบิณฑบาตจากพุทธศาสนิกชนในประเทศสหรัฐฯ ซึ่งเรื่องนี้ตนจะประสานไปยัง พระเทพกิตติโสภณ วัดวชิรธรรมปทีป นครนิวยอร์ค สหรัฐฯ ประธานสมัชชาสงฆ์ไทยในประเทศสหรัฐฯาว่า ท่านทราบเรื่องดังกล่าวหรือไม่ เนื่องจากกฎหมายของคณะสงฆ์ไทยไม่สามารถที่จะไปดำเนินการกับอดีตพระยันตระได้ แต่จะประสานให้พระที่มีอำนาจในพื้นที่ช่วยดูแล

สำหรับนายวินัย หรือ อดีตพระยันตระ เป็นชาวนครศรีธรรมราช เป็นพระสงฆ์นักปฏิบัติธรรมชื่อดังที่มีผู้เคารพศรัทธามากของเมืองไทยและต่าง ประเทศ ในช่วงแรกปฏิบัติตนเป็นนักพรตฤๅษีอยู่หลายปีจนเป็นที่รู้จักกว้างขวาง ต่อมาได้อุปสมบทเป็นพระสงฆ์ในธรรมยุติกนิกายเมื่อวันที่ 6 พ.ค.2517 ณ พัทธสีมาวัดรัตนาราม อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช และมักใช้คำแทนตัวว่า พระยันตระ ซึ่งแปลว่าผู้ไกลจากกิเลส เมื่อบวชแล้วเป็นที่รู้จักดีทำให้มีผู้ศรัทธาบวชเพื่อเข้าเป็นลูกศิษย์มาก มาย นอกจากนี้ยังมีผู้ศรัทธาสร้างสำนักวัดถวายหลายแห่ง โดยทุกวัดที่สร้างในสำนักท่านจะใช้คำว่า "สุญญตาราม" ประกอบด้วยเสมอ สำนักที่เป็นที่รู้จักดีคือ วัดป่าสุญญตาราม กาญจนบุรี และยังมีสำนักวัดป่าสุญญตารามในต่างประเทศอีกหลายแห่ง เช่นที่ วัดป่าสุญญตาราม เมืองบันดานูน รัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย เป็นต้น

อย่างไรก็ดีในปี 2537 ได้ถูกฟ้องร้องหลายข้อหาและถูกตั้งอธิกรณ์ว่าล่วงละเมิดเมถุนธรรมปาราชิกา บัติ อันเป็นหนึ่งในจตุตถปาราชิกาบัติที่ทำให้ขาดจากความเป็นพระภิกษุตามพระวินัย บัญญัติ โดยมีการต่อสู้ด้วยพยานหลักฐานมากมายตามสื่อต่าง ๆ จนในที่สุดท่านได้ถูกมติมหาเถรสมาคมพิจารณาอธิกรณ์ปรับให้ท่านพ้นจากความ เป็นพระภิกษุ เพราะพิจารณาได้ความว่าท่านต้องอาบัติหนักดังที่ถูกฟ้องร้อง แต่นายวินัย หรือ อดีตพระยันตระ ไม่ยอมรับมติสงฆ์ดังกล่าว ด้วยการปฏิญาณตนว่ายังเป็นพระภิกษุและเปลี่ยนสีจีวรเป็นสีเขียว ทำให้ถูกสื่อขนานนามว่า จิ้งเขียว, สมียันดะ, ยันดะ เป็นต้น

ในเวลาเดียวกันนั้นนางจันทิมา มายะรังษี ซึ่งเป็นสีกาใกล้ชิดนายวินัย ได้พาด.ญ.กระต่าย ซึ่งอ้างว่าเป็นลูกสาวมาแสดงตัวพร้อมกับนำภาพถ่ายการใช้ชีวิตเยี่ยงสามี ภรรยากับนายวินัยมาเปิดเผย ต่อมาช่วงเดือนม.ค.2538 นางจันทิมา เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายวินัย หรืออดีตพระยันตระ ให้ยอมรับด.ญ.กระต่าย เป็นลูก และมีการท้าให้ตรวจดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ถึงความเป็นพ่อลูกกัน แต่ยังไม่ได้ดำเนินการใดๆเนื่องจากเทคโนโลยีไม่ทันสมัยเท่าปัจจุบันนี้ นายวินัยได้ลักลอบทำหนังสือเดินทางปลอมหลบหนีออกจากประเทศไทยไปอยู่ในสหรัฐ อเมริกา และได้รับสถานะผู้ลี้ภัยทางการเมืองในสหรัฐฯจนถึงปัจจุบัน โดยมีข่าวความเคลื่อนไหวในวงแคบ ๆ กับกลุ่มลูกศิษย์ที่ยังให้ความนับถืออยู่และมีความพยายามจะตั้งเป็นลัทธิ หรือนิกายทางศาสนาใหม่ขึ้นด้วย.
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/...tID=124547
เพื่อไทย มีหลักฐานนายกฯ ได้ประโยชน์
จากการถือสัญชาติอังกฤษ Asia Update TV

http://www.internetfreedom.us/thread-15689.html
ที่นี่ความจริง 1-3-54 Asia Update TV







สมชาย ปรีชาศิลปกุล: สองสัญชาติของผู้ดี

สมชาย ปรีชาศิลปกุล

หลักการในการให้สัญชาติแก่บุคคลธรรมดาในการเกิดโดยทั่วไปในประเทศต่างๆ จะวางอยู่บนหลักการเรื่องหลักดินแดนและหลักสืบสายโลหิต

หลักดินแดน (jus soli) จะเป็นการให้สัญชาติแก่บุคคลที่ถือกำเนิดขึ้นมาในดินแดนของรัฐ โดยถือว่าบุคคลที่เกิดในดินแดนของรัฐใดก็ควรจะต้องมีความเกี่ยวพันกับรัฐนั้น จึงสมควรที่จะสามารถถือสัญชาติของรัฐในห้วงเวลาที่เกิด รัฐส่วนใหญ่มักให้สัญชาติของตนแก่บุคคลภายใต้เงื่อนไขว่าต้องไม่เป็นผู้อพยพเข้าเมือ​งอย่างผิดกฎหมาย

หลักสืบสายโลหิต (jus sanguinis) จะเป็นการให้สัญชาติแก่บุคคลที่บิดามารดาถือสัญชาติของรัฐ กรณีนี้ถือว่าสัญชาติจะส่งผ่านจากบิดามารดาไปยังผู้เป็นบุตร หากบิดามารดาเป็นผู้ถือสัญชาติของรัฐใดเมื่อมีบุตรขึ้นมา ผู้เป็นบุตรก็ควรที่จะได้รับสัญชาติของบิดามารดาเพื่อสามารถเข้าถึงสิทธิในฐานะพลเมื​องเช่นเดียวกับบิดามารดา หลักสืบสายโลหิตจะให้สัญชาติโดยพิจารณาจากสัญชาติของบิดามารดาเป็นหลักแม้จะไม่ได้ถื​อกำเนิดขึ้นภายในดินแดนแห่งรัฐที่บิดามารดาถือสัญชาติก็ตาม

หากพิจารณาจากหลักการดังกล่าว สภาวะของการมีสองสัญชาติจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้วงเวลาปัจจุบั​น การแต่งงานระหว่างผู้คนที่ถือสัญชาติต่างกันและหากรัฐทั้งสองนั้นยินยอมให้สัญชาติตา​มหลักสืบสายโลหิตแก่บุตรที่เกิดจากบุคคลซึ่งถือสัญชาติของตน เช่น ก. สัญชาติ X แต่งงานกับ ข. สัญชาติ Y และโดยที่รัฐ X, Y ต่างก็ให้สัญชาติด้วยหลักสืบสายโลหิต บุตรก็ย่อมถือสัญชาติทั้งของรัฐ Xและ Y

หรือในกรณีที่บุคคลซึ่งเข้าเมืองไปในรัฐต่างๆ อย่างถูกกฎหมายและรัฐนั้นก็ให้สัญชาติตามหลักดินแดนแก่บุตรที่ถือกำเนิดขึ้น เด็กที่เกิดขึ้นมาในรัฐนั้นนอกจากจะได้สัญชาติของรัฐที่ตนเองเกิดแล้วก็ยังมีสิทธิที​่จะได้สัญชาติตามบิดามารดาจากหลักสืบสายโลหิตเพิ่มเติมอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณาเรื่องสัญชาติของบุคคลมักปรากฏความไม่เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องสัญชาติของบ​ุคคลธรรมดาเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง ดังที่ในปัจจุบันก็มีความเข้าใจอันคลาดเคลื่อนบางประการปรากฏอยู่ ดังต่อไปนี้

ประการแรก การมีสัญชาติมากกว่าหนึ่งสัญชาติเป็นสิ่งที่ไม่ได้ “ผิดปกติ” และสามารถเกิดขึ้นได้อย่างกว้างขวางในห้วงเวลาที่มีการข้ามรัฐอย่างกว้างขวางทั้งโดย​สามัญชนและชนชั้นนำ คนสัญชาติไทยเป็นจำนวนมากที่ได้ทำมาหากินและตั้งถิ่นฐานจนกระทั่งได้รับสิทธิการอยู่​อาศัยในสหรัฐอเมริกา บุตรที่เกิดมาก็ได้สัญชาติทั้งของไทยและของสหรัฐอเมริกา

ส่วนใหญ่คนที่ได้สัญชาติในลักษณะนี้มักต้องการตั้งรกรากในดินแดนอีกแห่งซึ่งมักต้องแ​สดงออกให้เห็นด้วยระยะเวลาที่ยาวนานกระทั่งสามารถเข้าเงื่อนไขเบื้องต้นที่จะทำให้ได​้สิทธิในการอาศัยและสัญชาติของรัฐนั้น ซึ่งก็สามารถสืบต่อมายังบุตรของตน และเนื่องจากกฎหมายไทยในเรื่องสัญชาติไทยไม่ได้บังคับให้บุคคลต้องมีสัญชาติไทยเพียง​อย่างเดียวโดยห้ามถือสัญชาติอื่น บุคคลจึงถือสัญชาติไทยและสัญชาติอื่นควบคู่กันไปได้

บรรดาลูกท่านหลานเธอจำนวนมากที่ไปบิดามารดาไปคลอดในต่างประเทศก็ด้วยความคาดหวังว่าจ​ะทำให้ลูกของตนสามารถมีอีกสัญชาติหนึ่งนอกไปจากสัญชาติไทยมิใช่หรือ

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าอับอายต่อการยอมรับว่าตนเองจะมีสัญชาติมากกว่าหนึ่งสัญชาติ เฉพาะอย่างยิ่งการได้สัญชาติอันเป็นผลมาจากการเกิดเพราะเป็นผลที่สืบเนื่องมาจากการก​ระทำของบิดามารดา มิใช่เป็นการกระทำของตนแต่อย่างใด

ประการที่สอง การไม่ได้ใช้สิทธิในสัญชาติของบุคคลใดๆ ก็ตามจะไม่ได้เป็นผลให้บุคคลนั้นสิ้นสิทธิความเป็นสัญชาติไปโดยปริยาย

ดังเช่นหากมีคนสัญชาติไทยอพยพไปตั้งรกรากในประเทศอื่นเป็นระยะเวลายาวนาน และไม่ได้กลับมายังประเทศไทยอีกเลยทั้งไม่เคยใช้สิทธิในฐานะของคนสัญชาติไทยทั้งด้าน​การศึกษา การเดินทาง การรักษาพยาบาล เป็นต้น การไม่ใช้สิทธิในฐานะของพลเมืองที่ถือสัญชาติไทยไม่ได้มีความหมายว่าบุคคลดังกล่าวจะ​สละสัญชาติไปในทางพฤตินัย บุคคลดังกล่าวก็ยังคงมีสัญชาติไทยต่อไปตลอดชีวิต

การจะสละสัญชาติจึงต้องดำเนินไปด้วยวิธีการที่ชัดเจน รัฐไม่มีอำนาจเพิกถอนสัญชาติของบุคคลด้วยหลักการที่ว่าบุคคลนั้นไม่ใช่สิทธิในสัญชาต​ิของตนมาเป็นระยะเวลานาน

ประการที่สาม ที่ผ่านมาหลายๆ ปัญหามักถูกอธิบายด้วยการผูกติดอยู่กับเงื่อนไขเรื่องสองสัญชาติ กรณีความรุนแรงที่ภาคใต้ก็มีคำอธิบายชุดหนึ่งออกมาว่าสาเหตุที่ไม่อาจดำเนินการกับผู​้กระทำความผิดได้ก็เพราะบุคคลเหล่านั้นถือสองสัญชาติ เมื่อกระทำความผิดในดินแดนของรัฐไทยก็จะหลบเลี่ยงความผิดไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เพราะฉะนั้น จึงควรจะต้องดำเนินการกับบุคคลที่มีสองสัญชาติหรือหลายสัญชาติด้วยการให้บุคคลนั้นเล​ือกถือสัญชาติแห่งใดเพียงแห่งเดียว

แนวความคิดเช่นนี้ผูกติดความจงรักภักดีของบุคคลให้ขึ้นอยู่กับการถือสัญชาติเพียงแห่​งเดียวว่าจะทำให้สามารถกรองบุคคลผู้ไม่จงรักภักดีออกไปได้ (รวมถึงบุคคลที่ไม่สามารถเข้าถึงสัญชาติไทยได้) แต่เมื่อเกิดปัญหาเรื่องสองสัญชาติกับชนชั้นนำของสังคมไทยกลับไม่ปรากฏว่ามีการกล่าว​หาเรื่องความไม่จงรักภักดีกับชนชั้นแต่อย่างใด

แน่นอนว่าการถือสัญชาติของบุคคลไม่ได้มีความหมายถึงความจงรักภักดีที่จะมีต่อสังคมแห​่งใดแห่งหนึ่งได้อย่างแท้จริง แต่ในสังคมไทยนั้นในการพิจารณาเรื่องสัญชาติสำหรับสามัญชนจะมีความหมายแตกต่างไปอย่า​งสำคัญกับชนชั้นนำ สามัญชนควรมีเพียงหนึ่งเดียวเพราะหากมีหลายสัญชาติจะแสดงซึ่งความไม่ภักดี แต่สำหรับชนชั้นนำการมีหลายสัญชาติกลับเป็นเรื่องปกติที่สะท้อนให้เห็นถึง “อภิสิทธิ์” มากกว่าบุคคลธรรมดาทั่วไป

ดังนั้น ในทางนิตินัยการถือหลายสัญชาติมิได้เป็นการกระทำที่เป็นความผิดต่อกฎหมายไทย ในแง่มุมทางสังคม สำหรับบุคคลสองสัญชาติในหมู่ผู้ดีเป็นสัญลักษณ์ที่ทำให้เห็นถึงความต่างไปจากสามัญชน​ เพราะมีคนจำนวนเพียงหยิบมือเดียวในสังคมแห่งนี้ที่จะสามารถือสัญชาติของบรรดาอารยะปร​ะเทศ รวมถึงการได้รับการศึกษาแบบที่เป็นผู้ดีจากตะวันตก มีสามัญชนในยุคปัจจุบันจำนวนเท่าไหร่ที่สามารถจะถือสองสัญชาติในลักษณะนี้ได้บ้าง

เดาได้เลยว่าในบรรดาชนชั้นนำไทยจำนวนไม่น้อยก็ล้วนแล้วแต่น่าจะมีสัญชาติมากกว่าสัญช​าติไทยเพียงอย่างเดียว

ด้วยเงื่อนไขทางสังคมเศรษฐกิจที่แตกต่างกันเป็นอย่างมาก วิธีการเดียวสำหรับสามัญชนที่จะทำให้บุตรของตนสามารถถือสัญชาติของประเทศอื่นได้ก็ด้​วยการหาผัวฝรั่ง แต่สองสัญชาติของสามัญชนกับสองสัญชาติของผู้ดีก็ยังมีความแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน

แม้ลูกจะอาจได้สัญชาติอังกฤษตามผัวแต่ก็ยังคงต้องให้ ด.ช. บักเคน ฟาร์เมอร์สัน เรียนที่โรงเรียนห้วยกระโทกวิทยาเหมือนเดิม ไม่มีโอกาสจะได้ไปเรียนที่ออกซ์เฟิร์ดเหมือนบรรดาอภิสิทธิชนทั้งหลายอย่างแน่นอน

เผยแพร่ครั้งแรกในคอลัมน์กฎเมืองกฎหมาย หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

http://prachatai3.info/journal/2011/03/33360
คุยกับ นัฐวุฒิ 1 2 3 










ข้อคิดเกี่ยวกับการรณรงค์ยกเลิก ม.112_
"ผมย้ำแต่ต้นว่า ผมสนับสนุนเต็มที่ การรณรงค์ให้ยกเลิก ม.112."(อ.สมศัก)
http://www.internetfreedom.us/thread-15703.html


[Image: 1_resize.jpg]
[Image: 02_resize.jpg]

Angryกูบ้าแล้วโ้ว้ยย อย่าห้ามกูAngry