วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

แถลงข่าวจับผู้ต้องหาหมิ่นสถาบัน-เตรียมก่อเหตุร้าย ตร.ปัดไม่ได้จัดฉากยัน 'ขอนแก่นโมเดล' มีจริง


ตำรวจแถลงข่าวหลังรับมอบตัว 2 ผู้ต้องหา 'หมิ่นเบื้องสูง-พ.ร.บ. คอม' ขณะที่อีก 7 คนยังหลบหนี ระบุมีพฤติการณ์ก่อการร้าย ซ่องสุมกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ เพื่อสร้างสถานการณ์ให้เกิดความวุ่นวาย หมิ่นสถาบันแต่ ยังไม่ชัดว่ามีกลุ่มการเมืองขั้วเก่าอยู่เบื้องหลังหรือไม่ ปัดไม่ได้จัดฉากขึ้นมา ยืนยันว่าขอนแก่นโมเดลเป็นขบวนการที่มีอยู่จริง 
 
 
 
26 พ.ย. 2558 สำนักข่าวไทยรายงานว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคณะ แถลงหลังรับมอบตัว จ.ส.ต.ประทิน จันทร์เกศ และนายณัฐพล ณวรรณ์เล 2 ผู้ต้องหาในความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง และนำเข้าสู่คอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ ขณะที่ผู้ร่วมขบวนการอีก 7 คนยังหลบหนี ทั้งหมดมีพฤติการณ์ก่อการร้าย ซ่องสุมกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ เพื่อสร้างสถานการณ์ให้เกิดความวุ่นวาย หมิ่นสถาบัน
 
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ทหารคุมตัวจ่าสิบตำรวจประทิน จันทร์เกศ อายุ 60 ปี และนายณัฐพล ณ .วรรณ์เล  ส่งมอบให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อสอบสวนดำเนินคดีในข้อหา หมิ่นสถาบันเบื้องสูง แลนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ หลังจากเจ้าหน้าที่ทหารจับกุมตัวทั้ง 2 ได้ที่ จ.ขอนแก่น พร้อมอาวุธจำนวนมาก จากการสืบสวนพบว่าจ่าสิบตำรวจประทิน เป็นคนวางแผนในนาม “ขอนแก่นโมเดล” ส่วนนายณัฐพล ทำหน้าที่จัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ เพื่อใช้ก่อเหตุ โดยพฤติการณ์มีแนวคิดก่อการร้าย ซ่องสุมกำลังพล อาวุธ เพื่อก่อความวุ่นวาย นอกจากนี้ยังหมิ่นสถาบันเบื้องสูงด้วยการส่งข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย
 
พล.ต.อ.จักรทิพย์ และคณะแถลงยืนยันว่าขอนแก่นโมเดลเป็นขบวนการที่มีอยู่จริง เจ้าหน้าที่ไม่ได้จัดฉากขึ้นมา โดยมีการจับกุมตรวจยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ผู้ต้องหาเตรียมไว้ก่อเหตุ
 
ด้าน พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ระบุว่า คสช.ได้สืบสวนหาข่าวจนทราบว่าอาจมีการก่อเหตุจึงตรวจสอบข้อมูลหลักฐานจากทางไลน์ จนพบว่าจ่าสิบตำรวจประทินและพวกมีการวางแผนจึงเข้าค้นบ้านพักพบอาวุธที่เตรียมการไว้ ซึ่งทั้ง 2เป็นการ์ดของกลุ่มชุมนุมทางการเมืองที่ถนนอักษระ จ.นครปฐม ก่อนขยายไปสร้างเครือข่ายโมเดล ส่วนจะมีกลุ่มการเมืองขั่วเก่าสนับสนุนอยู่เบื้องหลังหรือไม่ เป็นความลับที่ต้องขยายผล ซึ่งการรวมตัวครั้งนี้ ต้องการที่จะก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง
 
นอกจากนี้ศาลทหารกรุงเทพยังอนุมัติออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการ คือนายพิษณุ พรหมสร, นายวัลลภ บุญจันทร์, นายฉัตรไชย ศรีวงษา, นายมีชัย ม่วงมนตรี, นายธนกฤต ทองเงินเพิ่ม , นายวีรชัย ชาบุญมี, และนายพาหิรัณ กองคำ ซึ่งทั้งหมดอยู่ระหว่างหลบหนี เจ้าหน้าที่มั่นใจจับกุมดำเนินคดีได้
 
อย่างไรก็ตาม สำหรับจ่าสิบตำรวจประทิน และนายณัฐพล เคยต้องคดีความมั่นคง เมื่อปี 2557 เนื่องจากมีแนวคิดต่อต้านรัฐประหาร จึงส่องสุมกำลังพล อาวุธเพื่อยึดค่ายทหาร ค่ายตำรวจ และสถานที่ราชการทันทีที่มีการปฏิวัติเกิดขึ้น จึงร่วมกันวางแผนจัดแบ่งกำลัง และถูกจับกุมได้เมื่อ วันที่ 23 พ.ค .57 และคดีอยู่ระหว่างการประกันตัว ก่อนจะมาวางแผนก่อเหตุซ้ำและมาถูกจับกุมได้ในวันนี้
 

ทูตสหรัฐฯ กังวลกฎหมายหมิ่นเบื้องสูงไทย ชี้ไม่ควรถูกจำคุกฐานแสดงความเห็นอย่างสันติ


'กลิน เดวีส์' ทูตสหรัฐประจำประเทศไทยแสดงความกังวลต่อบทระวางโทษจำคุกหนักหน่วงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ที่พิพากษาภายใต้กฎหมายหมิ่นสถาบันฯ ของประเทศ ระบุไม่มีใครควรถูกจำคุกฐานแสดงความคิดเห็นอย่างสันติ
       
เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2558 ASTV ผู้จัดการออนไลน์ อ้างรายงานตามสำนักข่าวเอเอฟพีว่า นายกลิน ที. เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย แสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้ ณ เวทีเสวนาที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศในกรุงเทพฯ ขณะที่การดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพุ่งสูงขึ้น ภายใต้ปกครองของคณะรัฐประหาร
       
“เรายังกังวลต่อบทระวางโทษที่ยาวนานอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ที่ศาลทหารไทยพิพากษาต่อพลเมืองฐานละเมิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” เดวีส์ บอกกับผู้ที่ร่วมเสวนา หลังจากแสดงความกังวลว่ากฎหมายหมิ่นประมาททางอาญานี้ถูกใช้สำหรับสกัดกั้นการโต้เถียงของสาธารณะกว้างขวางมากขึ้น
       
นายเดวีส์ ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งได้ราวๆ 9 สัปดาห์ ย้ำว่ารัฐบาลสหรัฐฯ มีความเคารพอย่างยิ่งและรู้สึกชื่นชมพระมหากษัตริย์ไทย แต่ก็อ้างถึงสิทธิการแสดงความคิดเห็นอย่างอิสรเสรี “เราเชื่อว่าไม่ควรมีใครควรถูกจำคุกต่อการแสดงมุมมองอย่างสันติ และเราสนับสนุนอย่างหนักแน่นต่อความสามารถของบุคคลหรือองค์กรอิสระใดๆ ในการค้นคว้าวิจัยและรายงานประเด็นสำคัญๆ โดยปราศจากความกลัวว่าจะถูกแก้แค้น”
       
ภายใต้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ใครก็ตามที่ถูกพิพากษาว่ามีความผิดฐานดูหมิ่น ดูถูก กล่าวหา ใส่ร้าย และทำให้พระมหากษัตริย์ พระราชินี และพระบรมวงศานุวงศ์เสื่อมเสีย มีสิทธิต้องโทษจำคุกสูงสุด 15 ปี
       
นับตั้งแต่ก่อรัฐประการเมื่อปีที่แล้ว กองทัพได้ยกระดับการตรวจตราคำกล่าวหาละเมิดสถาบันฯ มากขึ้น โดยเฉพาะในสื่อสังคมออนไลน์
       
ในเดือนสิงหาคม สหประชาชาติบอกว่ารู้สึกตกใจต่อโทษจำคุก 30 ปี และ 28 ปีต่อคนไทย 2 คน ในความผิดหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ฐานดูหมิ่นกล่าวหาสถาบันฯ บนเฟซบุ๊ก ซึ่งเป็นโทษสูงสุดเท่าที่เคยมีมา
       
ไทยเป็นพันธมิตรที่ยาวนานของสหรัฐฯ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติตกอยู่ในความตึงเครียดนับตั้งแต่เหตุรัฐประหารเมื่อปีที่แล้วที่สหรัฐฯ ออกมาประณามอย่างหนักหน่วง
       
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์อันตึงเครียดเช่นนี้ก่อความเสี่ยงต่อดุลอำนาจของสหัฐฯ ทำให้อเมริกาลังเลที่จะโดดเดี่ยวไทยซึ่งเป็นพันธมิตรเก่าแก่ในภูมิภาค และในวันพุธ (25 พ.ย.) นายเดวีส์ แม้ย้ำถึงเสียงเรียกร้องของวอชิงตันที่ขอให้ไทยคืนสู่ประชาธิปไตย แต่เน้นว่าเขาไม่อยากให้มันเป็นไปในลักษณะของการชี้นิ้วต่อว่า “ไทยจำเป็นต้องทำมันด้วยตนเอง” เขากล่าว

สตง. ยืนยัน 'อุทยานราชภักดิ์' มีการใช้งบกลาง 'ประวิตร' ตั้ง 'พล.อ.ชาญชัย' เป็น ปธ.สอบ


ผู้ว่า สตง. ยืนยันว่า การจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ มีการใช้งบกลางราว 63 ล้านบาท พร้อมย้ำว่า สตง. มีอำนาจสอบสวน ด้าน 'ประวิตร' ลงนามตั้ง 'พล.อ.ชาญชัย' รองปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นประธานตรวจสอบบุคคลเกี่ยวข้อง ระบุหากผิดจริงส่ง ปปช. 'พรรคเพื่อไทย' ออกแถลงการณ์เรียกร้อง 'อุดมเดช-ประยุทธ์' รับผิดชอบ
 
27 พ.ย. 2558 Nation TV รายงานว่านายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ยืนยันว่า เงินจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ เป็นการใช้งบกลางของรัฐบาลประจำปีงบประมาณปี 2558 จำนวนราว 63 ล้านบาท และกำลังตรวจสอบว่า การใช้เงินนี้ซ้ำซ้อนกับเงินส่วนอื่นหรือไม่ พร้อมย้ำว่า เงินที่ใช้ในหน่วยงานราชการ หรือทรัพย์สินของส่วนราชการ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินสามารถเข้าตรวจสอบได้ทั้งหมด ไม่ยกเว้นเงินค่าบริจาคก่อนหน้านี้ มีความเห็นมาจากประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ คตง. ชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ที่บอกว่า ผู้เกี่ยวข้องกับการสั่งจ่ายงบกลางจำนวนนี้ คือ แผนกสั่งจ่ายงบประมาณ สำนักงานปลัดบัญชีกองทัพบก โดยสั่งจ่ายให้กรมยุทธโยธาทหารบก เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง และพบด้วยว่า มีการเบิกจ่ายเงินจากงบกลางไปแล้วกว่า 80% ส่วนที่เหลือเป็นเงินที่รับบริจาคมาจากประชาชนทั่วไปความเห็นจาก หน่วยงานตรวจสอบทั้งสองหน่วยงาน แตกต่างไปจาก คำยืนยันของฝ่ายกองทัพ ที่ย้ำว่า โครงการอุทยานราชภักดิ์ไม่ได้ใช้งบประมาณแผ่นดิน แต่ทั้งหมดมาจากเงินบริจาค จึงไม่จำเป็นต้องให้ ป.ป.ช. หรือ สตง. มาร่วมตรวจสอบ
 
'ประวิตร' ลงนามตั้ง 'พล.อ.ชาญชัย' รองปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นประธานตรวจสอบ
 
เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่าพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า ได้ลงนามเซ็นแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบอุทยานราชภักดิ์ ไปแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้ โดยมอบให้พล.อ.ชาญชัย ช้างมงคล รองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ซึ่งไม่ได้ตั้งกรอบเวลาในการทำงาน ให้คณะกรรมการดำเนินการไป ตรงไหนเป็นประเด็น ก็ตรวจสอบ ความจริงเรื่องอุทยานราชภักดิ์ มีการตรวจสอบสวนอยู่แล้ว ทั้งสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)คณะกรรมก่รป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช. )ดำเนินการอยู่แล้ว ไม่มีปัญหา
 
"คณะกรรมการตรวจสอบอุทยานราชภักดิ์ ที่กระทรวงกลาโหมตั้งขึ้นมา เพื่อไปดำเนินการ ดูว่า ตรงไหนมีปัญหาและ สืบหาข้อเท็จจริง และอะไรที่ทางคณะกรรมการตรวจสอบอุทยานราชภักดิ์ ของกองทัพบก ตรวจสอบแล้วมีประเด็น ก็จะดำเนินการสืบต่อ แต่เน้นเป็นบุคคล เพราะโครงการราชภักดิ์เคลียร์แล้ว ไม่มีอะไรแล้ว แต่ ตรงไหนเกี่ยวกับบุคคลจะไปดู"พล.อ.ประวิตร กล่าว 
 
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ สตง.ออกมาระบุว่า การจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ มีการใช้งบกลาง 63 ล้านบาท พล.อ.ประวิตร กล่าวว่างบกลางมีไว้สนับสนุนทุกหน่วยงาน ตรงไหนมีปัญหาก็เอางบกลางไปใช้ได้ แต่งบกลางตรงนี้ไม่ได้เข้าอยู่ในโครงการอุทยานราชภักดิ์ หรืออาจเกี่ยวกับพื้นที่ที่จัดสร้างซึ่งเป็นพื้นที่ของกองทัพบก ทางกองทัพบกก็ดำเนินการไป ยืนยันว่าทางรัฐบาลให้งบกลางกับทุกหน่วยงาน ไม่ว่าใครจะขออะไร ไม่ใช่เฉพาะโครงการราชภักดิ์ 
 
เมื่อถามว่า จะตรวจสอบบุคคลถึงระดับใด พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตรงไหนที่ปัญหายังไม่รู้ ซึ่งคณะกรรมการที่ตนตั้งขึ้นมา ไม่ได้มาตรวจสอบเพื่อจะลงโทษใคร เพราะมีคณะกรรมการข้างนอกตรวจสอบอยู่แล้ว แต่คณะกรรมการชุดของกระทรวงกลาโหม ตรวจสอบเพื่อหาข้อเท็จจริงในการดำเนินการในโครงการนี้ของแต่ละบุคคล หากพบมีความผิดก็ส่งให้เจ้าหน้าที่ ปปช สตง. ดำเนินการต่อไป ส่วนจะตรวจสอบถึงใครบ้างยังไม่รู้ รอให้คณะกรรมการตรวจสอบได้ทำงานก่อน ขอให้ใจเย็นๆ ไม่ต้องเร่งรีบ และตนคิดว่าโครงการอุทธยานราชภักดิ์ ควรจะจบได้แล้ว และตนจะตอบวันนี้เป็นวันสุดท้าย ต่อไปจะไม่ตอบแล้ว 
 
เมื่อถามว่า พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ต้องมาให้ข้อมูลหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่ทราบ เดี๋ยวให้เค้าว่าไป ซึ่งยืนยันคณะกรรมการชุดของกระทรวงกลาโหม ไม่เกี่ยวกับชุดที่กองทัพบกตั้งขึ้น เป็นการตรวจสอบคนละเรื่องกัน
 
'พรรคเพื่อไทย' ออกแถลงการณ์เรียกร้อง 'อุดมเดช-ประยุทธ์' รับผิดชอบ
 
ด้านพรรคเพื่อไทย ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง โครงการอุทยานราชภักดิ์ โดยเรียกร้องให้ พลเอกอุดมเดช สีตบุตร ควรพิจารณาตัวเองด้วยการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อพลตรีสุชาติ พรมใหม่ และพันเอกคชาชาติ บุญดี  ถูกกล่าวหาว่ามีความผิดตามมาตรา 112 และ 113 ตลอดจนความผิดทางอาญาอื่นๆ พลเอกอุดมเดช จึงมีความมัวหมองอย่างยิ่งที่อาจจะถูกมองว่าเกี่ยวพันกับเรื่องต่างๆ ที่กำลังถูกกล่าวหาอยู่
 
พลเอกอุดมเดช ในฐานะที่เคยดำรงตำแหน่ง ผบ.ร.21 และ ผบ.ทบ. และการเป็นราชองครักษ์ จึงย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าเพื่อความสง่างาม เพื่อดำรงศักดิ์ศรีของกองทัพบกและเพื่อรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ พลเอกอุดมเดช ไม่อาจดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมได้อีกต่อไปแม้แต่น้อย
 
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและอดีต ผบ.ทบ., พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่า
 
การกระทรวงกลาโหม และอดีต ผบ.ทบ.และพลเอกอุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และอดีต ผบ.ทบ. จะต้องร่วมกันตัดสินใจ เพื่อดำรงไว้ซึ่งความจงรักภักดีของกองทัพบกที่มีต่อสถาบันอย่างหาที่สุดมิได้ให้จนได้
 
2) เมื่อปรากฏว่ามีการใช้งบกลางของรัฐบาล และรัฐบาลมีมติ ครม.มอบหมายให้กองทัพบกเป็นหน่วยงานรับผิดชอบ จึงมีความชัดเจนว่าโครงการอุทยานฯ อยู่ในความรับรู้เห็นชอบของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลมาตั้งแต่ต้น อีกทั้งยังมีข่าวภาพทางสื่อบ่งบอกว่านายกรัฐมนตรีมีความสนิทสนมกับเซียนพระผู้รับจ้าง ถึงขนาดไปแสดงความยินดีเมื่อบุคคลนั้นได้รับเลือกตั้งเป็นนายก อบต.ในขณะที่ตนเองดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. สิ่งที่นายกรัฐมนตรีแสดงออกมาโดยตลอดเกี่ยวกับโครงการอุทยานราชภักดิ์ จึงสวนทางกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น มีพฤติกรรมปกปิด ปฏิเสธความรับผิดชอบ ในฐานะที่นายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งประธานกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติของ คสช.เช่นเดียวกับรัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม
 
พรรคเพื่อไทยจึงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีรับผิดชอบกับกรณีดังกล่าว ในฐานะที่รัฐบาลมีนโยบายสำคัญที่แถลงต่อสาธารณะว่าจะปกป้องสถาบันฯ และจะป้องกันปราบปรามการทุจริต นอกจากนั้น รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งปวง จะต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อการกระทำที่เกิดขึ้น
 
3) เมื่อมีพฤติการณ์ว่ามีการทำผิดกฎหมายเกิดขึ้น มีการแสวงหาประโยชน์จากโครงการ ย่อมเป็นอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช., ส.ต.ง., ส.ต.ช., กรมสอบสวนคดีพิเศษ, ป.ป.ง.ที่จะต้องเข้ามาตรวจสอบโดยพลัน ทั้งนี้การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้มีคำสั่งให้ปลัดกระทรวงกลาโหม(พลเอกปรีชา จันทร์โอชา) แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ย่อมมีปัญหาในทางหลักการว่าจะเป็นการสอบสวนด้วยความโปร่งใส บริสุทธิ์ ยุติธรรม ปราศจากการแทรกแซงใดๆ และจะเป็นที่ยอมรับของสังคมหรือไม่ ที่ถูกต้องควรมอบหมายหน่วยงานที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบโดยตรงให้เข้ามาตรวจสอบ จึงจะมีความถูกต้องและเป็นที่ยอมรับได้มากกว่า
 
นอกจากนี้ ทางพรรคเพื่อไทยจึงเห็นเป็นความจำเป็นที่จะต้องแถลงข้อเท็จจริงต่อสาธารณะ รวมทั้งเสนอข้อเรียกร้องต่อผู้รับผิดชอบดังกล่าว คือ
 
1. ปรากฏข้อเท็จจริงกรณีนายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน(คตง.) เปิดเผยว่า เงินที่ใช้ในโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ มีส่วนหนึ่งมาจากงบกลาง จำนวน 63.57 ล้านบาท โดยผู้ที่รับผิดชอบในการสั่งจ่ายเงินคือ แผนกสั่งจ่ายงบประมาณ สำนักงานปลัดบัญชีกองทัพบก จึงเห็นได้ว่าโครงการอุทยานฯ ได้ใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งขัดแย้งกับคำชี้แจงของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่าโครงการอุทยานฯ ไม่ได้ใช้เงินงบประมาณแผ่นดินแต่อย่างใด
 
2. ปรากฏข้อเท็จจริงว่า งบประมาณที่ได้รับการจัดสรรและดำเนินการก่อสร้างมีราคาสูงผิดปกติ เช่น งานสร้างป้ายทางเข้า (ป้ายชื่อ) ใช้งบประมาณถึง 5,031,700 บาท งบประมาณสร้างอาคารรักษาความปลอดภัย 2,254,300 บาท งานก่อสร้างรั้วรอบบริเวณภายในอุทยานราชภักดิ์ ใช้งบประมาณถึง 9,343,500 บาท เป็นต้น
 
3. ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ศาลทหารได้ออกหมายจับที่ 33/2558 และ 35/2558 ลงวันที่ 9 พฤศจิกายน 2558 และที่ 47/2558 ลงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2558 ให้จับกุมดำเนินคดีกับพันเอกคชาชาติ บุญดี และพลตรีสุชาติ พรมใหม่ สำหรับพลตรีสุชาตินั้นเป็นกรรมการและเลขานุการมูลนิธิราชภักดิ์ ซึ่งมีพลเอกอุดมเดช สีตบุตร เป็นประธานมูลนิธิฯ อีกทั้งเคยทำหน้าที่นายทหารฝ่ายเสนาธิการของพลเอกอุดมเดช มาตั้งแต่ครั้งเป็นแม่ทัพกองทัพภาคที่ 1 จากนั้นได้รับการแต่งตั้งเป็น ผบ.ร.11 รอ.พล1 ซึ่งเป็นตำแหน่งทางการทหารคุมหน่วยรบที่สำคัญยิ่งของกองทัพบก และครั้นเมื่อพลเอกอุดมเดช กำลังจะเกษียณอายุ ก็ได้เลื่อนตำแหน่งให้กับพันเอกสุชาติ พรมใหม่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ อัตราพลตรี
 
สำหรับพันเอกคชาชาติ บุญดีนั้น พลเอกอุดมเดชได้แต่งตั้งให้เป็น ผบ.กรมทหารพรานที่ 36 ทภ.3 และจากนั้นได้ย้ายให้มาดำรงตำแหน่ง ผบ.ป.11 รอ.ทภ.1 ซึ่งเป็นตำแหน่งทางการทหารที่มีความสำคัญในกองทัพบกเช่นกัน และสุดท้ายเมื่อพลเอกอุดมเดชใกล้เกษียณอายุ ก็ได้ออกคำสั่งเลื่อนพันเอกคชาชาติ เป็นรองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 แต่เมื่อพลเอกธีรชัย นาควานิช มาดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ.ได้ยกเลิกคำสั่งพร้อมส่งตัวพันเอกคชาชาติ บุญดี กลับกองทัพภาคที่ 3 โดยเหตุนี้ทั้งพลตรีสุชาติ พรมใหม่และพันเอกคชาชาติ บุญดี จึงเป็นนายทหารที่มีความใกล้ชิดกับพลเอกอุดมเดช ทำหน้าที่ประหนึ่งนายทหารคนสนิท และได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่พิเศษต่างๆ มากมาย นอกเหนือจากตำแหน่งทางทหารที่ดำรงตำแหน่งอยู่ เช่น โครงการอุทยานราชภักดิ์ที่พลตรีสุชาติ ถูกแต่งตั้งให้เป็นกรรมการและเลขานุการมูลนิธิราชภักดิ์
 
"พรรคเพื่อไทยเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อสาธารณะเพิ่มเติมดังที่กล่าวมาในข้อ 1 ถึงข้อ 3 ชี้ให้เห็นว่าโครงการอุทยานฯ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของทางราชการ มีการทุจริตเกิดขึ้นอย่างชัดเจน การปฏิเสธความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชาในระดับชั้นต่างๆ โดยลำดับมา จึงเป็นความบกพร่องและไม่รับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้น"

พุทธะอิสระนำโวย ‘ไทยมิใช่ทาส’ หน้าสถานทูตสหรัฐฯ หลังทูตออกมากังวล กฎหมายหมิ่นเบื้องสูง


27 พ.ย. 2558 มติชนออนไลน์ รายงานว่า พระพุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม และพล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร นำประชาชน มาแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ที่หน้า สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับท่าทีของนายกลิน ที. เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นในลักษณะก้าวก่ายกิจการภายในของประเทศไทย
โดย พระพุทธะอิสระ ได้เผยแพร่จดหมายจากใจประชาชนคนไทย ถึงเอกอัครราชทูตอเมริกา ประจำประเทศไทย ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)’ โดยระบุว่า จากพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่สถานทูต ตลอดจนเอกอัครราชทูตแต่ละคนที่เข้ามาทำหน้าที่ในแผ่นดินไทย พยายามเข้ามามีบทบาท แทรกแซง ชี้นำ วิพากษ์วิจารณ์ ต่อกิจการภายในของประเทศไทยในทุกเรื่อง ไม่เว้นแม้แต่เรื่องการออกกฎหมายที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย
“หนำซ้ำยังออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง ไร้มารยาท ผิดปกติวิสัยมิตรที่ดีจะพึงมีต่อกัน ขาดการให้เกียรติ ไม่ยอมรับในความต่าง ดูถูกศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์และเหยียบย่ำอารยะธรรมของบรรพบุรุษไทย” พระพุทธะอิสระ  ระบุในจดหมาย
นอกจากนี้จดหมายยังระบุด้วยว่า พวกตนคนไทยมีความรู้สึกว่านี่ไม่ใช่พฤติกรรมของมหามิตรที่ดีที่กระทำต่อกัน แต่กลับทำประหนึ่งว่าประเทศไทยเป็นทาส เป็นเมืองขึ้นของสหรัฐ จะจิกหัวตำหนิติด่าตามความพอใจ โดยไม่เกรงใจ ไม่ให้เกียรติ ไม่ยอมรับในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ที่มีของชนชาติไทย
ประเทศสหรัฐโดยเอกอัครราชทูตและเจ้าหน้าที่ทูตประจำประเทศไทยพยายามจะใช้มาตรฐานของตนเองมาเปรียบเทียบกับประเทศไทย และมีเจตนาที่จะกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามที่สหรัฐมุ่งหวัง ทั้งที่ไม่มีสิทธิ ไม่มีอำนาจ ไม่สมควร
“ท่านทูตสหรัฐต้องไม่ลืมว่าแผ่นดินไทย คนไทย มิได้เป็นทาสหรือเมืองขึ้นของสหรัฐ ประเทศสหรัฐไม่มีอำนาจมาบงการ แทรกแซง ชี้นำ หรือล้มล้างกฎหมายของแผ่นดินไทย โดยเฉพาะกฎหมายที่ว่าด้วยการคุ้มครองสถาบันหลักของชาติ ซึ่งพวกเราถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของความร่วมแรงรวมใจและความมั่นคงของชาติ” พระพุทธะอิสระ  ระบุในจดหมาย
สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์ ที่คนไทยทุกคนพร้อมที่จะอุทิศชีวิตเพื่อปกป้อง หากประเทศสหรัฐโดยสถานทูตมีความจริงใจที่จะดำรงรักษาเอาไว้ซึ่งความสงบสุขของชาติไทยและรักษาบรรยากาศของมิตรประเทศที่ดี ก็ควรจะเรียนรู้แล้วทำความเข้าใจว่า ชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์คือจิตวิญญาณของคนไทย จะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้
การที่นายกลิน ที. เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลไทยอย่างรุนแรงทั้งที่เหยียบยืนอยู่ในแผ่นดินไทย ถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติมิตรประเทศ ผิดมารยาทของทูตที่ดีอันควรกระทำ อีกทั้งยังมาวิพากษ์วิจารณ์กฎหมายที่ปกป้องพระมหากษัตริย์ ผู้ซึ่งทรงเป็นประมุขของประเทศ ยิ่งเป็นการมิบังควร เป็นการเหยียดหยามทำลายจิตใจและศักดิ์ศรีของประเทศไทย
พระพุทธะอิสระ  ระบุในจดหมายอีกว่า พวกตนจึงต้องพากันมาร้องตะโกนบอกกับท่านทูตว่า อย่าเสียมารยาท ประเทศไทยมิใช่ทาสหรือเป็นเมืองขึ้นของสหรัฐที่คิดจะทำอะไรก็ได้ อย่ามาทำลายความเป็นมิตรประเทศด้วยการเข้าจุ้นจ้านแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทยอีกเลย อย่าพยายามใช้มาตรฐานของตนมาครอบงำข่มขู่บังคับให้ประเทศไทย คนไทย ต้องเปลี่ยนไปตามประเทศสหรัฐ ถ้าคุณทำก็เท่ากับคุณกำลังทำลายจิตวิญญาณของคนไทย พวกตนไม่ยินยอมแน่นอน
“หากคิดจะเป็นมิตรประเทศที่ดีต่อกันก็ควรจะยอมรับความต่างและให้เกียรติซึ่งกันและกัน และช่วยกันสร้างบรรยากาศของความร่วมมือ เพื่อให้มิตรประเทศอยู่ร่วมกันได้อย่างจริงใจ สันติ เจริญรุ่งเรือง” พระพุทธะอิสระ  ระบุตอนท้ายของจดหมาย
ทูตสหรัฐฯ กังวลกฎหมายหมิ่นเบื้องสูงไทย ชี้ไม่ควรถูกจำคุกฐานแสดงความเห็นอย่างสันติ
โดยเมื่อวันที่ 26 พ.ย. ที่ผ่านมา นายกลิน ที. เดวีส์  ได้แสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้ ณ เวทีเสวนาที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศในกรุงเทพฯ ขณะที่การดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพุ่งสูงขึ้น ภายใต้ปกครองของคณะรัฐประหาร โดยนายกลิน ที. เดวีส์  เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งได้ราวๆ 9 สัปดาห์ ย้ำว่ารัฐบาลสหรัฐฯ มีความเคารพอย่างยิ่งและรู้สึกชื่นชมพระมหากษัตริย์ไทย แต่ก็อ้างถึงสิทธิการแสดงความคิดเห็นอย่างอิสรเสรี “เราเชื่อว่าไม่ควรมีใครควรถูกจำคุกต่อการแสดงมุมมองอย่างสันติ และเราสนับสนุนอย่างหนักแน่นต่อความสามารถของบุคคลหรือองค์กรอิสระใดๆ ในการค้นคว้าวิจัยและรายงานประเด็นสำคัญๆ โดยปราศจากความกลัวว่าจะถูกแก้แค้น” (อ่านรายละเอียด)
พัฒนาการการเพิ่มโทษของ ม.112
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า การเพิ่มโทษในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นี้ ถูกแก้ไขหลังเหตุการณ์ล้อมปราบนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวันที่ 6 ต.ค. 2519 จากนั้นมีการรัฐประหารและต่อมาได้ออกคำสั่งให้แก้ไขประมวลกฎหมายดังกล่าวเป็นเพื่อเพิ่มโทษและมีการกำหนดโทษขั้นต่ำดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ว่า “มาตรา 112 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี”
โดยที่ก่อนหน้านั้นมีโทษที่ต่ำกว่าที่เป็นอยู่ ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีพระราชกำหนดลักษณะหมิ่นประมาทด้วยการพูดหรือเขียนถ้อยคำเท็จออกโฆษณาการ รศ. 118 มาตรา 4 ซึ่งระบุโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับเป็นเงินไม่เกิน 1,500 บาท หรือทั้งจำและปรับ ต่อมาได้มีการจัดทำประมวลกฎหมายอาญาขึ้น ชื่อ "กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127" มาตรา 98 ระบุโทษไม่เกิน 7 ปี (ไม่มีอัตราโทษขั้นต่ำ) และปรับไม่เกิน 5,000 บาทด้วย หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในปี 2500 ได้จัดทำประมวลกฎหมายขึ้นใหม่ ชื่อ "ประมวลกฎหมายอาญา" ในมาตรา 112 กำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี (ไม่มีโทษปรับ) และล่าสุดที่มีการแก้ภายหลังเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519 จนกระทั่งมีการกำหนดโทษขั้นต่ำและเพิ่มโทษดังที่เป็นอยู่