ผู้ว่า สตง. ยืนยันว่า การจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ มีการใช้งบกลางราว 63 ล้านบาท พร้อมย้ำว่า สตง. มีอำนาจสอบสวน ด้าน 'ประวิตร' ลงนามตั้ง 'พล.อ.ชาญชัย' รองปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นประธานตรวจสอบบุคคลเกี่ยวข้อง ระบุหากผิดจริงส่ง ปปช. 'พรรคเพื่อไทย' ออกแถลงการณ์เรียกร้อง 'อุดมเดช-ประยุทธ์' รับผิดชอบ
27 พ.ย. 2558
Nation TV รายงานว่านายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ยืนยันว่า เงินจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ เป็นการใช้งบกลางของรัฐบาลประจำปีงบประมาณปี 2558 จำนวนราว 63 ล้านบาท และกำลังตรวจสอบว่า การใช้เงินนี้ซ้ำซ้อนกับเงินส่วนอื่นหรือไม่ พร้อมย้ำว่า เงินที่ใช้ในหน่วยงานราชการ หรือทรัพย์สินของส่วนราชการ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินสามารถเข้าตรวจสอบได้ทั้งหมด ไม่ยกเว้นเงินค่าบริจาคก่อนหน้านี้ มีความเห็นมาจากประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ คตง. ชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ที่บอกว่า ผู้เกี่ยวข้องกับการสั่งจ่ายงบกลางจำนวนนี้ คือ แผนกสั่งจ่ายงบประมาณ สำนักงานปลัดบัญชีกองทัพบก โดยสั่งจ่ายให้กรมยุทธโยธาทหารบก เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง และพบด้วยว่า มีการเบิกจ่ายเงินจากงบกลางไปแล้วกว่า 80% ส่วนที่เหลือเป็นเงินที่รับบริจาคมาจากประชาชนทั่วไปความเห็นจาก หน่วยงานตรวจสอบทั้งสองหน่วยงาน แตกต่างไปจาก คำยืนยันของฝ่ายกองทัพ ที่ย้ำว่า โครงการอุทยานราชภักดิ์ไม่ได้ใช้งบประมาณแผ่นดิน แต่ทั้งหมดมาจากเงินบริจาค จึงไม่จำเป็นต้องให้ ป.ป.ช. หรือ สตง. มาร่วมตรวจสอบ
'ประวิตร' ลงนามตั้ง 'พล.อ.ชาญชัย' รองปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นประธานตรวจสอบ
เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่าพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า ได้ลงนามเซ็นแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบอุทยานราชภักดิ์ ไปแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้ โดยมอบให้พล.อ.ชาญชัย ช้างมงคล รองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ซึ่งไม่ได้ตั้งกรอบเวลาในการทำงาน ให้คณะกรรมการดำเนินการไป ตรงไหนเป็นประเด็น ก็ตรวจสอบ ความจริงเรื่องอุทยานราชภักดิ์ มีการตรวจสอบสวนอยู่แล้ว ทั้งสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)คณะกรรมก่รป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช. )ดำเนินการอยู่แล้ว ไม่มีปัญหา
"คณะกรรมการตรวจสอบอุทยานราชภักดิ์ ที่กระทรวงกลาโหมตั้งขึ้นมา เพื่อไปดำเนินการ ดูว่า ตรงไหนมีปัญหาและ สืบหาข้อเท็จจริง และอะไรที่ทางคณะกรรมการตรวจสอบอุทยานราชภักดิ์ ของกองทัพบก ตรวจสอบแล้วมีประเด็น ก็จะดำเนินการสืบต่อ แต่เน้นเป็นบุคคล เพราะโครงการราชภักดิ์เคลียร์แล้ว ไม่มีอะไรแล้ว แต่ ตรงไหนเกี่ยวกับบุคคลจะไปดู"พล.อ.ประวิตร กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ สตง.ออกมาระบุว่า การจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์ มีการใช้งบกลาง 63 ล้านบาท พล.อ.ประวิตร กล่าวว่างบกลางมีไว้สนับสนุนทุกหน่วยงาน ตรงไหนมีปัญหาก็เอางบกลางไปใช้ได้ แต่งบกลางตรงนี้ไม่ได้เข้าอยู่ในโครงการอุทยานราชภักดิ์ หรืออาจเกี่ยวกับพื้นที่ที่จัดสร้างซึ่งเป็นพื้นที่ของกองทัพบก ทางกองทัพบกก็ดำเนินการไป ยืนยันว่าทางรัฐบาลให้งบกลางกับทุกหน่วยงาน ไม่ว่าใครจะขออะไร ไม่ใช่เฉพาะโครงการราชภักดิ์
เมื่อถามว่า จะตรวจสอบบุคคลถึงระดับใด พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตรงไหนที่ปัญหายังไม่รู้ ซึ่งคณะกรรมการที่ตนตั้งขึ้นมา ไม่ได้มาตรวจสอบเพื่อจะลงโทษใคร เพราะมีคณะกรรมการข้างนอกตรวจสอบอยู่แล้ว แต่คณะกรรมการชุดของกระทรวงกลาโหม ตรวจสอบเพื่อหาข้อเท็จจริงในการดำเนินการในโครงการนี้ของแต่ละบุคคล หากพบมีความผิดก็ส่งให้เจ้าหน้าที่ ปปช สตง. ดำเนินการต่อไป ส่วนจะตรวจสอบถึงใครบ้างยังไม่รู้ รอให้คณะกรรมการตรวจสอบได้ทำงานก่อน ขอให้ใจเย็นๆ ไม่ต้องเร่งรีบ และตนคิดว่าโครงการอุทธยานราชภักดิ์ ควรจะจบได้แล้ว และตนจะตอบวันนี้เป็นวันสุดท้าย ต่อไปจะไม่ตอบแล้ว
เมื่อถามว่า พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ต้องมาให้ข้อมูลหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่ทราบ เดี๋ยวให้เค้าว่าไป ซึ่งยืนยันคณะกรรมการชุดของกระทรวงกลาโหม ไม่เกี่ยวกับชุดที่กองทัพบกตั้งขึ้น เป็นการตรวจสอบคนละเรื่องกัน
'พรรคเพื่อไทย' ออกแถลงการณ์เรียกร้อง 'อุดมเดช-ประยุทธ์' รับผิดชอบ
ด้านพรรคเพื่อไทย ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง โครงการอุทยานราชภักดิ์ โดยเรียกร้องให้ พลเอกอุดมเดช สีตบุตร ควรพิจารณาตัวเองด้วยการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อพลตรีสุชาติ พรมใหม่ และพันเอกคชาชาติ บุญดี ถูกกล่าวหาว่ามีความผิดตามมาตรา 112 และ 113 ตลอดจนความผิดทางอาญาอื่นๆ พลเอกอุดมเดช จึงมีความมัวหมองอย่างยิ่งที่อาจจะถูกมองว่าเกี่ยวพันกับเรื่องต่างๆ ที่กำลังถูกกล่าวหาอยู่
พลเอกอุดมเดช ในฐานะที่เคยดำรงตำแหน่ง ผบ.ร.21 และ ผบ.ทบ. และการเป็นราชองครักษ์ จึงย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าเพื่อความสง่างาม เพื่อดำรงศักดิ์ศรีของกองทัพบกและเพื่อรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ พลเอกอุดมเดช ไม่อาจดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมได้อีกต่อไปแม้แต่น้อย
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและอดีต ผบ.ทบ., พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่า
การกระทรวงกลาโหม และอดีต ผบ.ทบ.และพลเอกอุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และอดีต ผบ.ทบ. จะต้องร่วมกันตัดสินใจ เพื่อดำรงไว้ซึ่งความจงรักภักดีของกองทัพบกที่มีต่อสถาบันอย่างหาที่สุดมิได้ให้จนได้
2) เมื่อปรากฏว่ามีการใช้งบกลางของรัฐบาล และรัฐบาลมีมติ ครม.มอบหมายให้กองทัพบกเป็นหน่วยงานรับผิดชอบ จึงมีความชัดเจนว่าโครงการอุทยานฯ อยู่ในความรับรู้เห็นชอบของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลมาตั้งแต่ต้น อีกทั้งยังมีข่าวภาพทางสื่อบ่งบอกว่านายกรัฐมนตรีมีความสนิทสนมกับเซียนพระผู้รับจ้าง ถึงขนาดไปแสดงความยินดีเมื่อบุคคลนั้นได้รับเลือกตั้งเป็นนายก อบต.ในขณะที่ตนเองดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. สิ่งที่นายกรัฐมนตรีแสดงออกมาโดยตลอดเกี่ยวกับโครงการอุทยานราชภักดิ์ จึงสวนทางกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น มีพฤติกรรมปกปิด ปฏิเสธความรับผิดชอบ ในฐานะที่นายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งประธานกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติของ คสช.เช่นเดียวกับรัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม
พรรคเพื่อไทยจึงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีรับผิดชอบกับกรณีดังกล่าว ในฐานะที่รัฐบาลมีนโยบายสำคัญที่แถลงต่อสาธารณะว่าจะปกป้องสถาบันฯ และจะป้องกันปราบปรามการทุจริต นอกจากนั้น รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งปวง จะต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อการกระทำที่เกิดขึ้น
3) เมื่อมีพฤติการณ์ว่ามีการทำผิดกฎหมายเกิดขึ้น มีการแสวงหาประโยชน์จากโครงการ ย่อมเป็นอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช., ส.ต.ง., ส.ต.ช., กรมสอบสวนคดีพิเศษ, ป.ป.ง.ที่จะต้องเข้ามาตรวจสอบโดยพลัน ทั้งนี้การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้มีคำสั่งให้ปลัดกระทรวงกลาโหม(พลเอกปรีชา จันทร์โอชา) แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ย่อมมีปัญหาในทางหลักการว่าจะเป็นการสอบสวนด้วยความโปร่งใส บริสุทธิ์ ยุติธรรม ปราศจากการแทรกแซงใดๆ และจะเป็นที่ยอมรับของสังคมหรือไม่ ที่ถูกต้องควรมอบหมายหน่วยงานที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบโดยตรงให้เข้ามาตรวจสอบ จึงจะมีความถูกต้องและเป็นที่ยอมรับได้มากกว่า
นอกจากนี้ ทางพรรคเพื่อไทยจึงเห็นเป็นความจำเป็นที่จะต้องแถลงข้อเท็จจริงต่อสาธารณะ รวมทั้งเสนอข้อเรียกร้องต่อผู้รับผิดชอบดังกล่าว คือ
1. ปรากฏข้อเท็จจริงกรณีนายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน(คตง.) เปิดเผยว่า เงินที่ใช้ในโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ มีส่วนหนึ่งมาจากงบกลาง จำนวน 63.57 ล้านบาท โดยผู้ที่รับผิดชอบในการสั่งจ่ายเงินคือ แผนกสั่งจ่ายงบประมาณ สำนักงานปลัดบัญชีกองทัพบก จึงเห็นได้ว่าโครงการอุทยานฯ ได้ใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งขัดแย้งกับคำชี้แจงของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่าโครงการอุทยานฯ ไม่ได้ใช้เงินงบประมาณแผ่นดินแต่อย่างใด
2. ปรากฏข้อเท็จจริงว่า งบประมาณที่ได้รับการจัดสรรและดำเนินการก่อสร้างมีราคาสูงผิดปกติ เช่น งานสร้างป้ายทางเข้า (ป้ายชื่อ) ใช้งบประมาณถึง 5,031,700 บาท งบประมาณสร้างอาคารรักษาความปลอดภัย 2,254,300 บาท งานก่อสร้างรั้วรอบบริเวณภายในอุทยานราชภักดิ์ ใช้งบประมาณถึง 9,343,500 บาท เป็นต้น
3. ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ศาลทหารได้ออกหมายจับที่ 33/2558 และ 35/2558 ลงวันที่ 9 พฤศจิกายน 2558 และที่ 47/2558 ลงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2558 ให้จับกุมดำเนินคดีกับพันเอกคชาชาติ บุญดี และพลตรีสุชาติ พรมใหม่ สำหรับพลตรีสุชาตินั้นเป็นกรรมการและเลขานุการมูลนิธิราชภักดิ์ ซึ่งมีพลเอกอุดมเดช สีตบุตร เป็นประธานมูลนิธิฯ อีกทั้งเคยทำหน้าที่นายทหารฝ่ายเสนาธิการของพลเอกอุดมเดช มาตั้งแต่ครั้งเป็นแม่ทัพกองทัพภาคที่ 1 จากนั้นได้รับการแต่งตั้งเป็น ผบ.ร.11 รอ.พล1 ซึ่งเป็นตำแหน่งทางการทหารคุมหน่วยรบที่สำคัญยิ่งของกองทัพบก และครั้นเมื่อพลเอกอุดมเดช กำลังจะเกษียณอายุ ก็ได้เลื่อนตำแหน่งให้กับพันเอกสุชาติ พรมใหม่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ อัตราพลตรี
สำหรับพันเอกคชาชาติ บุญดีนั้น พลเอกอุดมเดชได้แต่งตั้งให้เป็น ผบ.กรมทหารพรานที่ 36 ทภ.3 และจากนั้นได้ย้ายให้มาดำรงตำแหน่ง ผบ.ป.11 รอ.ทภ.1 ซึ่งเป็นตำแหน่งทางการทหารที่มีความสำคัญในกองทัพบกเช่นกัน และสุดท้ายเมื่อพลเอกอุดมเดชใกล้เกษียณอายุ ก็ได้ออกคำสั่งเลื่อนพันเอกคชาชาติ เป็นรองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 แต่เมื่อพลเอกธีรชัย นาควานิช มาดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ.ได้ยกเลิกคำสั่งพร้อมส่งตัวพันเอกคชาชาติ บุญดี กลับกองทัพภาคที่ 3 โดยเหตุนี้ทั้งพลตรีสุชาติ พรมใหม่และพันเอกคชาชาติ บุญดี จึงเป็นนายทหารที่มีความใกล้ชิดกับพลเอกอุดมเดช ทำหน้าที่ประหนึ่งนายทหารคนสนิท และได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่พิเศษต่างๆ มากมาย นอกเหนือจากตำแหน่งทางทหารที่ดำรงตำแหน่งอยู่ เช่น โครงการอุทยานราชภักดิ์ที่พลตรีสุชาติ ถูกแต่งตั้งให้เป็นกรรมการและเลขานุการมูลนิธิราชภักดิ์
"พรรคเพื่อไทยเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อสาธารณะเพิ่มเติมดังที่กล่าวมาในข้อ 1 ถึงข้อ 3 ชี้ให้เห็นว่าโครงการอุทยานฯ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของทางราชการ มีการทุจริตเกิดขึ้นอย่างชัดเจน การปฏิเสธความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชาในระดับชั้นต่างๆ โดยลำดับมา จึงเป็นความบกพร่องและไม่รับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้น"