วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2554


ตาสว่าง ใครค้า ใครขาย ใครเสพ พรรคไหน ดูกันซะ
ฉาวได้อีก..ลูก สส. ปชป. ถูกจับค้ายาไอซ์
[Image: 111977369bfd4b75beaa04b1eda6efd6aae9437b.jpg]


คนนี้ค่ะ สส. ปาตี้ลิสต์ อันดับที่ 94

[Image: 111977330e0c3ab22812b37d1edeb6fb57aa6458.png]


กรี๊ดๆๆๆๆๆๆๆ นี่ไงนโยบาย ปชป. ปราบปรามยาเสพติด


[Image: 111978684fbb2703702f19266f19e06b786d3702.jpg]



ฮิ้วววววว เอาแค่ สส. ในพรรคก่อน 
ปราบปรามสะ ก่อนที่จะหันไปปราบคนอื่น

งามหน้ามั้ยล่ะ โฮะ โฮะ โฮ่ ปชป. ของเค้าเลวจริงๆ

[Image: 2i8kxn8.jpg]


5 มิ.ย.54 - ลูกชายผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ถูกตำรวจจับกุมได้ ขณะนำยาไอซ์มาส่งให้พริตตี้สาว บริเวณที่พักย่านรัชดาฯ

เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ห้วยขวาง สอบปากคำ นายสรธร ณ สงขลา ลูกชาย นายประจักษ์ชัย ณ สงขลา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และเป็นผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 94 ของพรรคประชาธิปัตย์ หลังถูกจับกุมได้ พร้อมยาไอซ์ 60 กรัม มูลค่ากว่า 2 แสนบาท ซุกซ่อนอยู่ในโมเด็มคอมพิวเตอร์ ขณะนำไปส่งให้ น.ส.ทานตะวัน อุดมธนานันท์ โมเดลลิ่งจัดหาพริตตี้ ในซิตี้โฮมคอนโดฯ ซอยรัชดาภิเษก 10 ย่านห้วยขวาง ซึ่งนายสรธรยอมรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา

ทั้งนี้ การจับกุมดังกล่าวเป็นการขยายผลการจับกุม หลังจากที่เมื่อเดือนก่อน น.ส.พิมม์ลภัล อัครเศรษฐนันท์ แฟนสาวของนายสรธรเพิ่งถูกตำรวจ สน.โชคชัย จับกุมได้พร้อมยาไอซ์และยาอี ซึ่งได้ให้การซัดทอดว่า ร่วมกับแฟนหนุ่มค้ายาเสพติดมานานกว่า 1 ปี ตำรวจจึงขยายผลและเข้าจับกุมในที่สุด - สำนักข่าวไทย


ลูกชาย สส. ภูมิใจไทยก็ไม่น้อยหน้า 
เมื่อ 2 อาทิตย์ที่แล้ว  ..

รวบลูกว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ภูมิใจไทย เสพยาไอซ์
[Image: 2ep1oad.jpg]


ตำรวจขอนแก่น รวบลูกว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคภูมิใจไทย เสพยาไอซ์ คาโต๊ะสนุกเกอร์ รับสารภาพ บิดาไม่รู้เรื่องเพราะอยู่บ้านคนละหลัง...

เมื่อเวลา 12.00 น.วันนี้ (22 พ.ค.) พ.ต.อ.พงศ์ฤทธิ์ คงศิริสมบัติ ผกก.สส.ภ.เมือง ขอนแก่น พร้อมตำรวจประจำชุดปราบปรามยาเสพติด ภ.จว.ขอนแก่น ร่วมกันจับกุมนายญาณพัฒน์ หรือ ออมชมโพธิ์ อายุ 29 ปี ที่อยู่ 1/7 ม.17 ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น ได้พร้อมยาไอซ์ บรรจุอยู่ในถึงพลาสติกใส น้ำหนัก 0.46 กรัม จำนวน 1 ถุงและค้นใต้เบาะรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า ซึ่งเป็นยานพาหนะที่นายญาณพัฒน์ ขับขี่มาแทงสนุกเกอร์

เบื้องต้นพบยาบ้าบรรจุในถุงพลาสติกใส จำนวน 52 เม็ด จับกุม นายภูว หรือ เอ็ม ศรีปัญญา อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 80 ม.1 ต.บ้านเป็ด อ.เมือง จ.ขอนแก่น โดยเบื้องต้นผู้ต้องหาได้อ้างว่าเป็นบุตรชายของ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคภูมิใจไทย ได้พร้อมยาไอซ์ บรรจุอยู่ในถึงพลาสติกใส น้ำหนัก 0.52กรัม จำนวน 1 ถุง

โดยก่อนเข้าจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจรับแจ้งจากสายลับว่า นายออมและนายเอ็ม ซึ่งมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติพ พร้อมวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งมั่วสุมกันที่โต๊ะสนุ๊กเกอร์สโมสรรถไฟขอนแก่น ซอยหนองวัด ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น จึงได้รายงานให้ผู้บังคัฐบัญาชาทราบ จากนั้นได้เดินทางไปตรวจสอบทันที เมื่อไปถึงพบนายเอ็ม นายออม และเพื่อนๆกำลังแทงสนุกเกอร์กันอยู่ จึงได้แสดงตัวขอตรวจค้น

จากการตรวจค้นพบยาไอซ์ จำนวน 1 ถุงและยาบ้าจำนวน 52 เม็ด อยู่ในตัวของนายออม ส่วนนายภูว ค้นพบยาไอซ์ ซ่อนไว้ในกระเป๋ากางเกงด้านหลังข้างขวาจำนวน 1 ถุง จึงคุมตัวไปสอบสวน โดยนายญาณพัฒน์ ให้การว่า ซื้อยาไอซ์ มาจากนายภูว ในราคา 1,100 บาท ส่วนยาบ้าซื้อมาจากนายเกิด เม็ดละ 200 บาท

ด้านนายภูว ให้การว่ายาไอซ์ เป็นของตนเอง เก็บไว้เสพ โดยซื้อมาจาก นายเก่ง ชาว อ.เมือง มุกดาหาร ในราคา 4,000 บาทและตนก็เป็นลูกชาย ของว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคภูมิใจไทยจริง สิ่งที่เกิดขึ้นพ่อไม่รู้เรื่อง เพราะตนอยู่กับครอบครัวที่ขอนแก่น ส่วนพ่ออยู่ที่ อ.น้ำพอง

ภายหลังการสอบสวนได้คุมตัวทั้งสองคน ส่งมอบให้ พ.ตท.ประเสริฐ ตุ้มฉิม พนักงานสอบสวน สภ.เมือง ขอนแก่น ดำเนินในข้อหา มียาเสพติดประเภท1 (ยาไอซ์) ไว้ในครอบครองโดยผิดกฏหมาย

ไทยรัฐออนไลน์
http://redusala.blogspot.com

มุขควาย ไอ้โล้นจัน ดัน สิริมา
โล้นจันทร์-สันติอโศกจัดฉาก "แดงเทียม"
[Image: 1198359155.jpg]

[Image: deangtiem.jpg]


กังขาสาวใหญ่สายไหม

          จากกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เดินทางไปหาเสียงที่ตลาดวงศกร ถ.สุขาภิบาล 5 เขตสายไหม กทม. ช่วงเช้าวันที่ 31 พ.ค. และมี นางสิริมา นวลแจ่ม สาวใหญ่สวมเสื้อแดงสกรีนใบหน้าน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย พร้อมแสดงตัวเป็นคนเสื้อแดง ชูป้ายประท้วงนายอภิสิทธิ์ว่า "ไร้ฝีมือ ข้าวยากหมากแพง" ทำให้ตำรวจต้องเข้าไปห้ามปราม ต่อมานาย อภิสิทธิ์เดินเข้าไปหานางสิริมาเพื่อรับฟังปัญหาจนเป็นข่าวเกรียวกราวไปทั่วประเทศนั​้น

        เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามเว็บไซต์และเว็บบอร์ดของกลุ่มคนเสื้อแดง เช่น internetfreedom.us และ thaienews.bogspot .com ได้สืบค้นข้อมูลมาตั้งข้อสังเกตอ้างว่า นางสิริมาอาจไม่ใช่คนเสื้อแดงตัวจริง เพราะจากการตรวจสอบในเว็บไซต์ http://www.prajan.com/ ของสมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ หรือ "ท่านจันทร์" แห่งสำนักสันติอโศก ซึ่งเคลื่อนไหวร่วมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชา ธิปไตยนั้น พบว่า มีชื่อนางสิริมา นวลแจ่ม เคยนิมนต์ท่านจันทร์ไปเทศน์ที่บ้านในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในซอยสายไหม 74 เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 20 ก.ย.2553  นั่้นก็คือ ยัยสิริมาคนนี้ คือสาวก สันติอโศก ที่เตี้ยมกันมาจัดฉากสร้างภาพ มุขควาย หวังดิสเครดิตคนเสื้อแดง 

"ไอ้จันทร์"รับ-เคยรู้จักจริง

ด้านท่านจันทร์ สำนักสันติอโศก ให้สัม ภาษณ์ "ข่าวสด" ว่า ยอมรับว่ารู้จักกับนางสิริมา นวลแจ่ม หญิงเสื้อแดงที่ไปชูป้ายประท้วงนายอภิสิทธิ์ขณะหาเสียงบริเวณตลาดย่านสายไหมจริง โดยก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าชื่ออะไร แต่จำหน้าได้ เพราะเป็นคนที่ติดตามฟังรายการธรรมะทางวิทยุ และมาร่วมฟังเทศนาธรรมอยู่บ่อยครั้ง

        ท่านจันทร์ ระบุต่อไปว่า ช่วงเกือบหนึ่งปีมานี้ไม่เห็นนางสิริมามาร่วมกิจกรรมกับสันติอโศกอีก อาจเป็นไปได้ว่าช่วงหลังจะหันไปเป็นแนวร่วมของคนเสื้อแดง เพราะที่ผ่านมามีคนเสื้อเหลือง หลายคนที่เปลี่ยนแนวคิดแบบนี้ การปะทะกันระหว่างนายอภิสิทธิ์และนางสิริมาแล้วจบลงด้วยดี หลายคนอาจคิดไปได้ว่าเป็นการนัดแนะกันมาก่อนหรือไม่ แต่โดยส่วนตัว เท่าที่รู้จักนางสิริมา ไม่เชื่อว่าจะเป็นการนัดแนะกันไว้ก่อน

สื่อ พธม.ปัดไม่เกี่ยว"ท่านจันทร์"

      ขณะเดียวกัน รายงานข่าวเรื่อง "เสื้อแดงโวยอภิสิทธิ์ จัดฉากแดงเทียมที่ตลาดวงศกร" ในเว็บไซต์ข่าวเครือข่ายกลุ่มพันธมิตร แจ้งว่า วันเกิดเหตุที่ตลาดวงศกร เขตสายไหม นายอภิสิทธิ์ได้เข้าไปหานางสิริมา และกล่าวว่า พร้อมจะยินดีรับฟังปัญหา มีปัญหาอะไรขอให้ว่ากัน ขณะที่นางสิริมาบอกกับนายอภิสิทธิ์ว่ามาคนเดียวและไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาก่อน พอทราบว่านายอภิสิทธิ์จะมาเลยเพิ่งเขียนป้าย ซึ่งต่อมาภาพดังกล่าวถูกสื่อมวลชนจำนวนมากเผยแพร่

       "หลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เว็บไซต์และเฟซบุ๊กในเครือข่ายกลุ่มคนเสื้อแดง ออกมาตั้งข้อสังเกตถึงเรื่องนี้ว่าอาจกลายเป็นการจัดฉาก 

         โดยได้แสดงหลักฐานเป็นเว็บไซต์ พระจันทร์ดอทคอมของสมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ หรือท่านจันทร์ ซึ่งระบุว่า นางสิริมา นวลแจ่ม เคยนิมนต์ท่านจันทร์ไปเทศน์ที่บ้านในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในซอยสายไหม 

         อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ขณะนี้ท่านจันทร์ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเวทีพันธมิตรฯ ที่จัดชุมนุมอยู่ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์โดยสิ้นเชิง หลังจากที่ไม่ขึ้นเวทีและเขียนคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ โดยมีเนื้อหาโจมตีพล.ต.จำลอง ศรีเมือง, นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ 

      เมื่อเดือนก.พ. 2554 ที่ผ่านมา และเนื่องจากปัจจุบัน พันธมิตรฯ ยกระดับการชุมนุมเป็นการเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ลาออกจากตำแหน่งนายกฯ เนื่องจากไม่สามารถปกป้องอธิปไตยจากกรณีที่ถูกฝ่ายกัมพูชารุกราน รวมทั้งได้รณรงค์ให้ประชาชนลงคะแนนในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน หรือโหวตโนในการเลือกตั้งครั้งนี้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้สนับสนุนพันธมิตรฯ ที่แท้จริงจะช่วยพรรคประชาธิปัตย์หาเสียง" เนื้อหาบางส่วนในเว็บข่าวเครือข่ายพันธมิตร ระบุ

ขอขอบคุณข่าวสดออนไลน์






จัดฉากชัดๆ ในที่สุดก็รู้ว่า นางสิริมา นวลแจ่ม ต้นสังกัด เป็นเด็กของใคร
เข้าไปดูตามนี้เลยแล้วจะเห็นหลักฐานชัดๆ

http://www.prajan.com/news.php?page=3&perpage=10  
กิจนิมนต์ท่านจันทร์

คลิ๊กเข้าไปดูตามลิงค์จะเห็นข้อความนี้
วันจันทร์ที่ 20 ก.ย. เทศน์ที่บ้านคุณ สิริมา นวลแจ่ม 

เลขที่ 99/223 ม.ศรีวิมลวิวล์ 
ซอยสายไหม 74 เวลา 14.00น. โทร.025333818

ทำเป็นเดินคุยกันเหมือนรู้จักกันมาก่อน ทำทีใส่เสื้อแดง..ภาพคุณยิ่งลักษณ์..
เพื่อดิสเครดิส เพื่อไทย...เต็มๆ !เลวสุดๆ!




http://redusala.blogspot.com

แป๊ะลิ้มเห่า ปัตย์-พท. เตรียมร่วมรัฐบาลกันเพราะเจ้านายเดียวกัน
http://www.internetfreedom.us/thread-26659.html

[Image: 877179.jpg]

           เมื่อ เวลา 21.25 น.วันที่ 4 มิ.ย. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวปราศรัยที่เวทีสะพานมัฆวานรังสรรค์ ระหว่างการชุมนุม “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” ว่า หลังจากที่ตนได้เปิดประเด็นใหม่เรื่องที่รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยมีส่วนในขบวน การขายชาติยกดินแดนให้เขมรเพื่อแลกกับผลประโยชน์ทางทะเลของบริษัทน้ำมันต่างชาติแล้ว เมื่อมาทบทวนดูพบว่ามีความเป็นไปได้สูงที่หลังเลือกตั้งแล้วพรรคประชา ธิปัตย์กับเพื่อไทยจะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลโดยอ้างว่าเพื่อสร้างความปรองดอง เพราะเจ้านายของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ที่แท้จริงคือบริษัทน้ำมัน ต่างชาติเจ้าเดียวกัน ไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจ เพราะยุทธศาสตร์ทุกวันนี้ก็มุ่งที่ผลประโยชน์ตรงนั้น และเจ้านายคนนี้สามารถที่จะบอกได้ว่า ผลประโยชน์จะแบ่งให้ทั้งประชาธิปัตย์และเพื่อไทย ทั้งน้ำมันและก๊าซ

เรื่อง การจับมือกันตั้งรัฐบาลนั้น หัวคะแนนของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่สุราษฎร์ธานีเคยพูดมาแล้วว่าหลังเลือกตั้งผู้หลักผู้ใหญ่ในแผ่นดินบอกว่า น่าจะปรองดองกัน 2 พรรคใหญ่น่าจะจับมือกันตั้งรัฐบาล เห็นได้ชัดว่าปัญหาของชาติบ้านเมืองเกิดจากพรรคการเมืองทุกพรรค และประชาธิปัตย์ก็เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศชาติไม่น้อยไปกว่าพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์จากที่ไม่มีเงิน วันนี้รวยมาก และในยุครัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์มีการเรียกเงินใต้โต๊ะสูงที่สุดในประวัติ ศาสตร์ เมื่อโดนกล่าวหาแบบนี้ก็แสดงว่าพรรคประชาธิปัตย์มีส่วนที่จะได้รับเงินใต้ โต๊ะด้วย พรรคประชาธิปัตย์เคยเน้นเรื่องความซื่อสัตย์ พักหลังๆ ไม่พูดเรื่องความซื่อสัตย์แล้ว มีนายชวน หลีกภัยคนเดียวหลงยุคออกมาพูดว่าพรรคไม่มีเงิน แต่คนในพรรคนี้ส่วนใหญ่จะแกล้งจน บางคนออกจะแตกตายเพราะแกล้งจนมานานแต่มีเงินกองไว้ตั้งเยอะไม่รู้จะใช้ยังไง

นาย สนธิกล่าวต่อว่า เมื่อพิจารณาแล้ว การโหวตโนคือการปฏิเสธการเมืองแบบนี้ มันเป็นระบอบกินชาติกินบ้านกินเมือง และโดยส่วนตัวไม่เชื่อในระบบวันแมนวันโหวต วันนี้มีน้องๆ ที่เป็นตำรวจผู้ใหญ่ในภาคเหนือลงมาพบและบอกว่าตอนนี้มีการซื้อเสียงหัวละ 1 พันบาทแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าจะชนะด้วยคะแนน 7 หมื่น ต้องใช้เงิน 70 ล้านบาท ซึ่งที่มาของ ส.ส.ที่ไม่สะอาดแบบนี้ สื่อก็ไม่ค่อยพูดถึง การเสียดินแดนก็ไม่สนใจ ทั้งที่ไม่มีเรื่องอะไรจะใหญ่กว่านี้แล้ว

ที่ นายกนก รัตน์วงศ์สกุล บอกว่า ถ้าเขมรได้ดินแดนทำไมจึงยิงจรวดใส่ไทย แสดงว่านายกนกไม่รู้เรื่องชายแดนเลย นายกนกเป็นสื่อมวลชน แต่รู้เรื่องเขมรไม่เท่าแม้กระทั่งพี่น้องที่นั่งอยู่หน้าเวทีตรงนี้ นี่ขนาดสื่อน้ำดียังเป็นอย่างนี้ แสดงว่าเป็นสื่อที่เห่อไปตามกระแสที่บอกว่าถ้าไม่ลงคะแนนแล้วคนนั้นจะมาคน นี้จะมา แค่เรื่องโหวตโนยังไม่เข้าใจ ประเทศนี้ก็ไม่มีความหมายอีกแล้ว ถ้ายังไม่เข้าใจว่าโหวตโนคือการแสดงสิทธิของประชาชนที่จะไม่ยอมรับนักการ เมืองทุกพรรคที่มีอยู่ เพราะขายชาติกันทุกพรรค

นายสนธิ กล่าวต่อว่า ตนเห็นป้ายหาเสียงของนายชุมพล ศิลปอาชา น้องชายนายบรรหาร ใช้คำขวัญว่าการเมืองต้องไม่ขัดแย้ง แสดงว่า ถ้าชาติบ้านเมืองต้องฉิบหายเพราะนักการเมือง นายชุมพลก็จะไม่ขัดแย้ง ขอให้พรรคของนายชุมพลได้คอร์รัปชั่นต่อไป ใช่หรือไม่ ป้ายหาเสียงของทุกพรรคไม่มีพรรคไหนที่เน้นการปราบปรามการทุจริต หรือทวงคืนแผ่นดินไทย หรือเอานายวีระ สมความคิดและนางราตรี พิพัฒนาไพบูลย์กลับประเทศ

ถ้าจับคำพูดเมื่อวานเรื่องผลประโยชน์ทาง ทะเลที่ทำให้ทุกรัฐบาล พรรคการเมืองทุกพรรคยังกอดเอ็มโอยู.43เอาไว้ การที่เราโหวตโนยังถือว่าน้อยไปด้วยซ้ำ ชาติบ้านเมืองตั้งแต่เราตั้งมา ไม่เคยมียุคไหนที่สะอาดบริสุทธิ์หรือมีการบริหารชาติบ้านเมืองด้วยความซื่อ สัตย์สุจริต บริหารบ้านเมืองให้ก้าวไปย่างช้าๆ และมั่นคงเท่ายุค พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกฯ

นายสนธิกล่าวอีกว่า ตนเคยพูดไว้ตั้งแต่ตอนชุมนุม 193 วันแล้วว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่มีที่พึ่งอื่นอีกต่อไปแล้วนอกจากพวกเรา วันนี้ได้พิสูจน์สัจจธรรมนั้นแล้ว พรรคเพื่อไทยเราไม่มีวันเชื่อว่าเขาจะจงรักภักดี เพราะเครือข่ายโครงสร้างพรรคเพื่อไทยคือพวกที่ต้องการล้มกษัตริย์ ไม่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรจะออกมาพูดอย่างไร ก็เป็นเรื่องโกหกพกลมทั้งสิ้น ส่วนพรรคภูมิใจไทยที่อ้างว่าตัวเองจงรักภักดี แต่คนที่อยู่เบื้องหลังพรรคนี้ก็เคยร่วมสังวาสกับพวกที่ล้มเจ้าในระบอบ ทักษิณมาแล้ว

ส่วนนายบรรหาร นักการเมืองรุ่นแย้มฝาโลง จวนจะตายอยู่แล้วยังไม่เคยแสดงอะไรให้เห็นว่าตัวเองมุ่งมั่นปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มีแต่บอกว่าพร้อมที่จะเข้าร่วมรัฐบาล มีแต่จะเข้าไปทำมาหารับประทานกับงบประมาณ ถ้าอยู่ไปจนลงโลงแล้วยังคิดได้แค่นี้ ก็ขอให้รีบไปลงโลงเร็วๆ

“แก่จน จะตายยังไม่รู้จักรักบ้านรักเมือง เคยพูดซักแอะไหมว่าแผ่นดินนี้เราต้องสู้ต้องปกป้องไม่ให้สูญเสีย นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ เคยพูดไหม เรื่องการต่อค้านคอร์รัปชั่น การปกป้องดินแดน นายสุวิทย์ คุณกิตติ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เคยออกมาพูดไหม แม้แต่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินตัวดี เคยออกมาพูดไหมเรื่องเสียดินแดนให้เขมร ไม่เคยมีใครพูด มันเห็นการเสียแผ่นดินเป็นเรื่องธรรมดา ขอให้กูเป็นรัฐบาล ได้ทำมาหากินก็พอใจแล้ว เห็นหรือยัง เพียงแค่นี้หลักฐานมันชัดเจนแล้ว”

นาย สนธิ กล่าวต่อว่า สื่อที่กระแนะกระแหนเราเรื่องโหวตโนยังมองไม่เห็นหรือ คนพวกนี้มาหาว่าเอเอสทีวีเป็นสื่อปลุกระดม เราไม่เคยปลุกระดมให้ใครไปเผาบ้านเผาเมือง แต่เราปลุกระดมให้มารักชาติรักบ้านรักเมืองกัน ถ้ามันต้องเจ๊งเพราะปลุกระดมให้รักบ้านรักเมืองก็ขอให้เจ๊งไปเถอะ อย่างน้อยเราก็เงยหน้าไม่อายฟ้าก้มหน้าไม่อายดิน เราทำงานใหญ่ เราต้องมองหลักใหญ่ อย่าไปสนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างลมที่ผายออกมาจากปากของคนพวกนี้ แต่หลักการของชาติบ้านเมืองต้องมาก่อน

“เมือง ไทยทุกวันนี้ไม่ใช่แค่ต้องปฏิรูปการเมือง ต้องปฏิวัติการเมืองด้วยซ้ำ หมดยุคของโจรห้าร้อยในสภา อย่าให้สัตว์หลงเข้าไปขี้เยี่ยวเห่าหอนในสภาอีก มันต้องมีตัวแทนของคนทุกหมู่เหล่า เข้าไปทำงานให้ประชาชน ไม่ใช่ทำงานให้นักการเมือง ที่ทุกวันนี้ไม่ได้เข้าไปยกมือเพื่อส่วนรวม แต่ยกมือเพื่อให้พวกมันเป็นนายกฯ ยกมือให้นโยบายของมันผ่าน ผมอ่านป้ายหาเสียงของพวกมันแล้วอยากจะอ๊วก มันเขียนไปแต่ทำไม่ได้ เพราะพวกมันไม่ใช่เจ้าของพรรค แต่เจ้าของพรรคจริงๆ เป็นนายทุน”นายสนธิกล่าว

*******************
http://redusala.blogspot.com

อาวุธ ′ลับ′ - อาวุธ 'ลบ'

โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร
(ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 29 พฤษภาคม 2554)



จะชอบหรือไม่ก็ตาม แต่ต้องยอมรับว่ากระแส "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" จุดติดแล้ว

การ "จุดติด" ดังกล่าว ทำให้คู่แข่งสำคัญคือประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องรีบแก้เกม เพื่อสกัดไม่ให้แรงเหวี่ยงลูกตุ้ม ส่ง "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ขึ้นไปสูงสุดในช่วงวันเลือกตั้ง

เพราะหากเป็นเช่นนั้น โอกาสจะพ่ายแพ้มีสูงยิ่ง
ที่ผ่านมาจึงได้เห็นความพยายามของคนประชาธิปัตย์ ที่จะขัดขวางในหลายรูปแบบ

แต่ก็ดูยังไม่ส่งผลสะเทือนนัก และนับวันการสกัดจะยากขึ้นเรื่อยๆ

เนื่องจากเป็นธรรมชาติ ใครหรืออะไรก็ตามเมื่ออยู่ในช่วงกระแส "ขึ้น" มักจะดูดีไปหมด การเข้าไปขัดขวางไม่ง่าย และต้องหนักแน่น แยบคาย มิฉะนั้น ผู้ที่พยายามขัดขวางจะถูกมองว่าเป็นตัวก่อกวนเสียเอง

กลายเป็นความรู้สึกลบ มากกว่าบวก

อย่างที่คนประชาธิปัตย์พยายามงัดเอา "อาวุธลับ" เรื่องครอบครัว ขึ้นมาโจมตี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทั้งเรื่องลูก สามี และไร้ทะเบียนสมรส แทนที่จะเกิดกระแสขุดคุ้ยร่วม กลับกลายเป็นกระแสลบ ถูกมองไปยุ่งเรื่องส่วนตัว และรังแกผู้หญิง
 ความเห็นใจไปอยู่ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์

ยิ่งเมื่อเธอใช้จังหวะที่ไปเปิดตัวลงเลือกตั้งอย่างเป็นทางการที่บ้านเกิด และทำบุญให้บรรพบุรุษ ด้วยการจูงมือน้องไปค์ ด.ช.ศุภเสกข์ อมรฉัตร ไปร่วมด้วย

น้องไปค์ หรือ ในภาษาอังกฤษว่า PIKE อันหมายถึง หอก ทวน หลาว ก็ได้กลายเป็น "อาวุธลับ" ที่พุ่งย้อนกลับเข้าหาพรรคประชาธิปัตย์แทน

ภาพของเด็กบริสุทธิ์ไร้เดียงสาที่ถูกลากดึงออกมาฟาดฟัน เรียกคะแนนให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มากกว่าไปตัดคะแนน

อาวุธลับของประชาธิปัตย์ กลายเป็นอาวุธลบ

และพรรคเพื่อไทยกำลังย้อนศร ด้วยการให้ "แม่-ลูก" ออกเรียกคะแนนเสียงในช่วงวันหยุด

จุดอ่อน กลายเป็นจุดแข็งหน้าตาเฉย

ตอนนี้จึงต้องจับตา "อาวุธลับ" อื่นๆ ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ซัดใส่เพื่อไทย ไม่ว่าเรื่องก่อการร้ายเผาบ้านเผาเมือง และ เรื่อง "ล้มเจ้า" จะมีชะตากรรมเดียวกับอาวุธลับน้องไปค์ หรือไม่

แต่ดูแล้วก็น่าห่วงเหมือนกัน

เพราะเรื่องก่อการร้าย ก็ทำให้นายสุเทพกลายเป็นข้อร้องเรียนต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง และถูกแจ้งความดำเนินคดี ฐานใส่ร้าย หมิ่นประมาทแล้ว

แม้นายสุเทพจะบอกว่าไม่หนักใจและดีใจที่เรื่องนี้จะได้ไปพิสูจน์ในกระบวนการยุติธรรม แต่การตกเป็นฝ่ายที่ถูกกล่าวหา ก็ทำให้การใช้ "อาวุธลับ" นี้ยากขึ้น

ส่วนเรื่อง "ล้มเจ้า"

คำแถลงของนายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่งผลสะเทือนไม่น้อย

เมื่อมีการระบุว่า พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก, อดีตโฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้ลงนาม "ยอมความ" ต่อ "ศาลอาญา" ว่า ผังล้มเจ้าของ ศอฉ. ซึ่งมีชื่อนายสุธาชัย และแกนนำ นปช.คนสำคัญๆ รวมอยู่ด้วยนั้น เป็นเพียงการดำเนินการตามความเชื่อ ปราศจากหลักฐาน

และยังยอมรับด้วยว่า บุคคลที่ถูกกล่าวหาในผังล้มเจ้าไม่ได้หมายความว่าอยู่ในขบวนการล้มเจ้า แต่สื่อนำไปขยายผลขยายความต่อเอง

ทำให้ "หลักฐานเอกสาร" ที่เป็นเนื้อเป็นหนังเกี่ยวกับการล้มเจ้า "เบาโหวง" ไปในทันที

รวมทั้งเกิดคำถามต่อ ศอฉ. ที่ทรงอำนาจที่สุดในตอนเกิดม็อบแดง ว่า ไฉนจึงใช้"ข้อมูล" ที่ไม่ยืนยันข้อเท็จจริง มากล่าวหาคนอื่นในความผิดร้ายแรงเช่นนี้

แล้วกรณี "ล้มเจ้า" อื่นๆ จะเป็นไปในทำนองนี้หรือไม่


คำถามและข้อสงสัยเหล่านี้ จึงทำให้ "อาวุธลับ" ที่หวังจะใช้ขยี้ฝ่ายตรงข้าม กลายเป็น "อาวุธลบ"

ซึ่งก็คงต้องรีบทบทวน "การใช้" ด่วน

มิเช่นนั้นแทนที่จะได้คะแนนกลับเสียคะแนนแทน
http://redusala.blogspot.com

ข้อสังเกตบางประการต่อคำสารภาพเรื่องแผงผังล้มเจ้า

4 มิถุนายน 2554

นิติราษฎร์ ฉบับที่ ๒๓ (สาวตรี สุขศรี)
ข้อสังเกตบางประการต่อคำสารภาพเรื่องแผงผังล้มเจ้า
ที่มา นิติราษฎร์

สัปดาห์ที่ผ่านมามีปรากฎการณ์น่าสนใจกำเนิดขึ้น ต้นต่อมาจากคำรับสารภาพของ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก (อดีตโฆษก ศอฉ.) หรือ “เสธ.ไก่อู” ซึ่งกล่าวต่อศาลไว้ทำนองว่า “แผนผังล้มเจ้า” นั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงเรื่องที่ศอฉ. คิดขึ้นเองแบบทันทีทันใดโดยยังไม่มีข้อยืนยันว่ารายชื่อที่อยู่ในแผนผังคือ คนที่คิด "ล้มเจ้า" หรือ "ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์" จริง ๆ1 คำสารภาพนี้ได้มีการกล่าวโทษไปยังบทบาทและการทำหน้าที่ของ "สื่อมวลชน" ด้วยที่นำแผนผังฯ ไป "ขยายความ" ต่อกันเองจนก่อให้เกิดความเข้าใจผิด พร้อมกันนั้นก็แสดงความเชื่อมั่นต่อการใช้ "ดุลพินิจและวิจารณญาณ" ของสังคมและประชาชนไทยว่าคงจะสามารถพิจารณาเองได้ว่าผังล้มเจ้าของ ศอฉ. นั้นหมายความอย่างไรกันแน่ จากปรากฎการณ์ดังกล่าว มีเรื่องที่ควรตั้งเป็นข้อสังเกต และข้อน่านำไปปฏิบัติหลายประการดังนี้...
๑. สังคมที่ร้องหาคนดี โดยไม่มีคำตำหนิต่อผู้กล่าวความเท็จ
"ประการที่สอง ในช่วงเวลานั้น มีข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอินเตอร์เน็ตกล่าวหาในลักษณะทำนองว่า ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ซึ่งเป็นราชเลขาธิการในพระองค์ของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ โทรศัพท์มาสั่งการศอฉ อยู่ตลอดเวลา ให้ดำเนินการนานับประการกับกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งข้อเท็จจริงมิได้เป็นเช่น ซึ่งหมายความว่ามีความพยายามยามเป็นความจริง ศอฉ ก็มีความจำเป็นที่ต้องชี้แจงข้อมูลข่าวสารให้สังคมได้รับทราบความจริงเป็น เช่นไร" – คำให้การช่วงหนึ่งของพอ. สรรเสริญฯ
คำชี้แจงของอดีตโฆษกศอฉ. ในประเด็นเรื่องความพยายามในการช่วยแก้ข้อกล่าวหาที่อาจไม่เป็นความจริง และน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อ "ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์" นั้น อันที่จริงต้องถือเป็นเรื่องถูกต้องดีแล้ว หากศอฉ. จะแสดงความเป็นสุภาพบุรุษหาทางชี้แจง เพื่อปกป้องบุคคลที่อาจได้รับความเสียหายในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่เกี่ยวพันกับการกระทำ หรืออำนาจหน้าที่ของหน่วยงานตนเอง และจะยิ่งถูกต้องที่สุด ถ้าความเป็นสุภาพบุรุษของศอฉ.เยี่ยงนี้เกิดขึ้นกับทุก ๆ คนไม่ว่าผู้นั้นจะมียศฐาเป็น "ท่านผู้หญิง" หรือว่าเป็นเพียง "สามัญชนคนธรรมดา"
อย่างไรก็ตาม สังคมไทยไม่ควรยอมรับได้เลยหากคำชี้แจงเพื่อปกป้องบุคคลคนหนึ่ง กลับกลายเป็นการกล่าวหา หรือ "เสมือนกล่าวหา" บุคคลอีกคนหรืออีกกลุ่มหนึ่งซึ่งไม่ได้ตั้งอยู่บน "มูลความจริง" เพราะนั่นย่อมทำให้บุคคลอื่น ๆ เหล่านั้นอาจได้รับความเสียหาย หรือได้รับผลกระทบอันไม่พึงประสงค์เช่นเดียวกันกับท่านผู้หญิงฯ เราย่อมไม่อาจให้อภัยได้ เมื่อพบว่า "ความจำเป็นที่ต้องชี้แจงข้อมูลข่าวสารให้สังคมได้รับทราบว่าความจริงเป็นเช่นไร" อันเป็นคำชี้แจงของอดีตโฆษกศอฉ. นั้น กลับไม่ใช่การชี้แจงข้อมูลข่าวสารที่เป็น “ความจริง” เพื่ออธิบายให้สังคม “ทราบความจริง” แต่กลายเป็นการกล่าว “ความไม่จริง” เรื่องหนึ่ง เพื่ออธิบาย “ความไม่จริง” อีกเรื่องหนึ่ง คำถามก็คือ เช่นนี้แล้วเมื่อไหร่กันที่สังคมไทยจะได้รับทราบ "ความจริง"
อนึ่ง ไม่ว่าในความเป็นจริงจะมีขบวนการล้มล้างสถาบันฯ อยู่หรือไม่ หรือใครจะเป็นผู้คิดล้มล้าง แต่นั่นย่อมไม่ใช่ประเด็น หรือข้อแก้ตัวให้กับการกล่าวหาบุคคลใด ๆ โดยขาด "ข้อเท็จจริง" ที่จะมายืนยันความผิดที่ผู้ถูกใส่ความจนอาจได้รับโทษ หรือถูกเกลียดชังจากสังคม ฉะนั้น ศอฉ. จึงต้องมีความรับผิดชอบบางประการต่อเรื่องนี้ (ดังจะได้กล่าวถึงต่อไป) ในขณะที่คนอื่นใดที่เพิกเฉยต่อการกระทำของศอฉ. โดยยกข้ออ้างทำนองว่า "แผงผังอาจไม่จริง แต่ก็ใช่ว่าขบวนการล้มเจ้าจะไม่มีอยู่จริง" ควรต้องนับว่าเป็นผู้บกพร่องทางตรรก วิจารณญาณ และออกจะไร้สติสัมปชัญญะอยู่มาก

นับเป็นเรื่องน่าสนใจเช่นกัน เมื่อปรากฎการณ์นี้มาพร้อมกับความเงียบงันโดยพร้อมเพรียงกันของผู้คนทั้งที่ มีอาวุโส และไม่มีอาวุโสทั้งหลาย ที่มักคร่ำครวญหาผู้มีศีลธรรมความดีงามให้เข้าสู่อำนาจและทำตนเป็นแบบอย่าง เป็นหลักเป็นฐานกับบ้านเมือง เขาเหล่านี้ทำเหมือนกับว่า "การไม่กล่าวคำ เท็จ การไม่พูดจาส่อเสียด หรือการไม่นำเสนอข้อมูลที่อาจก่อให้เกิดความไม่สงบ เกิดความแตกแยกในหมู่ประชาชน รวมทั้งการกล่าวคำที่อาจทำให้บุคคลอื่นได้รับความเสียหาย" เหล่านี้ ไม่ได้เป็นข้อหนึ่งที่ผู้มีธรรมควรยึดถือปฏิบัติ หรือเป็นหมุดหมายหนึ่งของคุณลักษณะแห่งการเป็น "คนดีมีศีลธรรม" บุคคลเหล่านี้ คือ คนที่พร้อมยกมือสนับสนุนให้จำกัดจัดการเสรีภาพของสามัญชนอย่างถึงที่สุด หากคำพูดของมันผู้นั้นทำท่าว่าจะก่อความเสียหายให้แก่อภิสิทธิ์ชน แต่กลับหดมือซุกกระเป๋าเมื่ออภิสิทธิ์ชนเป็นคนทำให้สามัญชนต้องเสื่อมเสีย
ฤาคำว่า "ศีลธรรมและความดีงาม" ของประเทศนี้ไม่ได้รวมถึงการ "ห้ามกล่าวความเท็จ"
๒. บทบาทของสื่อกระแสหลัก
น่าสนใจอย่างยิ่ง เมื่อสังคมไทยต้องพบว่า ณ เวลาที่ศอฉ. แถลงข่าวต่าง ๆ ในช่วงของการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน สื่อกระแสหลักทุกช่องต่างทำ จ้องทำ หรือต้องทำข่าวเพื่อนำเสนอต่อประชาชนทุกหมู่เหล่า ซึ่งนอกเหนือจากการถ่ายทอดสดการแถลงข่าว (อันเป็นเสมือนหน้าที่ของสื่อเหล่านั้น) แล้ว ยังมีการสรุปความและนำเสนอในช่วงเวลาข่าวเช้าบ่ายเย็นอีกด้วย แต่การณ์กลับปรากฏว่าสื่อกระแสหลักทุกช่อง สื่อหนังสือพิมพ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อ้างว่าอยู่เคียงข้างประชาชน ต่างพร้อมใจกันเพิกเฉย และไม่ทำข่าวการสารภาพของโฆษกศอฉ. ว่าแท้ที่จริงแล้ว “แผนผังล้มเจ้า” (ที่สำนักข่าวตนเคยนำไปขยายความเอง ตามคำซัดทอดของพ.อ.สรรเสริญ) นั้น ศอฉ. มิได้พูดหรือมิได้ตั้งใจให้หมายความว่าคนซึ่งมีรายชื่อในผังนั้นมีพฤติกรรม หรือมีความคิดที่จะล้มล้างสถาบันฯ จริง ๆ คงมีเพียงสื่อทางเลือก หรือสื่อกระแสรองเพียงไม่กี่สำนักเท่านั้นที่เขียนข่าวถึง
ไม่ว่าการ “ขยายความต่อ” จะเกิดขึ้นจากสาเหตุใด หรือจากความสมัครใจหรือไม่ แต่เมื่อปรากฎว่าสิ่งที่นำไปขยายความนั้นไม่เป็นข้อความจริง หรืออย่างน้อยที่สุดมันอาจทำให้ผู้คนในสังคมเข้าใจผิดพลาดคลาดเคลื่อนจาก ความเป็นจริง จนอาจทำให้บุคคลอื่นได้รับความเสียหาย คำถามก็คือ ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้บ้างหรือไม่ การทำข่าวนำเสนอ “ความจริง” เพื่อแก้ไข “ความไม่จริง” หรือแก้ไข "ความบิดเบือน" ที่ตนเคยเสนอออกไปในอดีต มิได้เป็นสิ่งที่ควรทำ หรือเป็นมาตรฐานขั้นต่ำของการทำหน้าที่ของ “สื่อไทย” ฉะนั้นหรอกหรือ
ฤาว่าผู้มีรายชื่อในแผนผังกำมะลอฉบับนี้ และได้รับความเสียหายจากการเสนอข่าวของสื่อเหล่านี้ ควรต้องดำเนินการฟ้องร้องสื่อจริง ๆ ตามคำแนะนำของ พ.อ. สรรเสริญ เพื่อสร้างบรรทัดฐานแก่สังคม พร้อม ๆ กับเรียกร้องจรรยาบรรณจากสื่อ
๓. โปรดใช้วิจารณญาณแบบไทย ๆ
"...แต่หลังจากนั้นมีสื่อมวลชนนำเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านี้ไปขยายผล ขยายความ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อผู้ที่เกี่ยวข้องในแผนผังดังกล่าว ทำให้ได้รับความเสียหายจากมุมมองของสังคม เพราะเป็นเรื่องที่สังคมจะต้องตัดสิน ส่วนผู้ที่ได้รับความเสียหายที่เกิดขึ้นจะฟ้องร้องกับผู้ที่นำไปขยายความใน ทางที่ผิดจากเจตนารมณ์ของศอฉ ก็สุดแล้วแต่บุคคลเหล่านั้นจะพิจารณา...“ – คำให้การช่วงหนึ่งของพอ. สรรเสริญฯ
เดือนเมษายนถึงกรกฎาคม ปี พ.ศ. 2553 สถานีวิทยุชุมชนถูกปิดจำนวน 26 แห่ง ในพื้นที่ 9 จังหวัด ถูกยุติการออกอากาศจำนวน 6 แห่ง ปรากฏชื่อในข่ายมีความผิด 84 แห่ง ในพื้นที่ 12 จังหวัด2 ราวเดือนเมษายนปี 2554 วิทยุชุมชนเสื้อแดง 13 แห่งถูกปิด หรือให้ยุติการออกอากาศ ในพื้นที่กรุงเทพฯ และเขตปริมณฑน3 จากการสำรวจสถิติการปิดกั้นเว็บไซท์ตั้งแต่ปี 2550 ถึง กลางปี 2553 มีเว็บเพจถูกคำสั่งศาลปิดกั้นการเข้าถึงอย่างเป็นทางการทั้งสิ้น 74, 686 ยูอาร์แอล เลขหมายยูอาร์แอลดังกล่าวมีจำนวนเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดจากหลักพันเป็นหลัก หมื่นในช่วงปี 2552 และเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวในปี 25534 ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการชุมนุม และมีเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมือง
ข้อเท็จจริงเบื้องต้น คือ สื่อต่าง ๆ ที่ถูกปิดกั้นช่องทางการเข้าถึงเหล่านี้ นอกจากฝ่ายรัฐบาล หรือหน่วยงานที่ปิดกั้นแล้ว ไม่มีใครมีโอกาสได้รับรู้เลยว่าเนื้อหาที่เผยแพร่อันเป็นสาเหตุของการถูกปิด กั้นนั้นเป็นอย่างไร หรือขัดต่อกฎหมายอย่างไร สื่อที่ถูกปิดกั้นบางสื่อนำเสนอเรื่องราวที่หลากหลาย มีทั้งที่อาจเข้าข่ายเป็นความผิดได้ และเรื่องทั่ว ๆ ไปที่ไม่น่าจะเป็นความผิด (เพราะเนื้อหาในลักษณะเดียวกันสามารถนำเสนอได้ในสื่ออื่น ๆ ที่ไม่ถูกปิดกั้น) แต่ด้วยเหตุผลบางประการ "สื่อเหล่านั้น" ก็กลับถูกปิดกั้นช่องทางการเข้าถึงทั้งหมดแบบไม่เลือกเนื้อหา จำนวนตัวเลขยูอาร์แอลที่ถูกปิดกั้นโดยคำสั่งศาลจากผลการสำรวจดังกล่าว ยังมิได้นับรวมเว็บเพจอีกจำนวนมหาศาลที่ถูกปิดกั้นโดยคำสั่งของศอฉ. ซึ่งไม่ได้ขอคำสั่งศาลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 (มาตรา 20) แต่ใช้อำนาจตามพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และข้อเท็จจริงเบื้องต้นอีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ ที่ผ่านมาแม้สื่อจำนวนมากจะโดนปิดกั้นไปแล้ว (ปัจจุบันหลายแห่งยังถูกปิดกั้นต่อไป แม้จะยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ไปแล้วก็ตาม) หรือห้ามไม่ให้ดำเนินการ หรือเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อประชาชน แต่กลับมีผู้ที่ต้องรับผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เป็นเจ้าของสื่อเหล่านั้นถูกฟ้องร้อง หรือถูกศาลพิพากษาว่าเผยแพร่สิ่งที่เป็นความผิดตามกฎหมายจริง ๆ ในจำนวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนสื่อที่ถูกปิดกั้นไป จึงนำมาซึ่งข้อสงสัยว่าตกลงแล้ว "เนื้อหา" ที่ถูกปิดกั้นนั้นเป็นความผิด หรือว่าไม่ผิด
ตัวเลขสถิติ (ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ) รวมทั้งรูปแบบ และวิธีการในการปิดกั้นสื่อเหล่านี้ อย่างน้อยที่สุดสามารถสะท้อนได้ว่า ที่ผ่านมาฝ่ายรัฐไม่ได้ต้องการให้ประชาชนรับสื่อโดยใช้วิจารณญาณส่วนบุคคลใน การตัดสินความน่าเชื่อถือของเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เกี่ยวกับการเมืองการปกครอง รัฐหาได้พยายามเปิดพื้นที่ หรือให้โอกาสในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารสำหรับทุก ๆ ฝ่ายไม่ ทั้งที่ข้อมูลที่หลากหลายเหล่านั้นมีความสำคัญยิ่งที่จะทำให้การคิด วิเคราะห์เปรียบเทียบเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งของประชาชน และสังคมเป็นไปได้อย่างถูกต้อง หรือไม่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน และด้วยสถานการณ์การไล่ล่าสื่อที่เห็นต่างจากฝ่ายรัฐดัวกล่าวมา ประกอบกับพฤติกรรมดูถูกหรือไม่ไว้วางใจสติปัญญาของประชาชนไทยของภาครัฐ จึงนับเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจยิ่งว่า เมื่อมาถึงกรณี “แผนผังล้มเจ้า” แล้ว พ.อ. สรรเสริญ กลับร้องหาและเชื่อมั่นอย่างมากในวิจารณญาณของผู้คนในสังคม
ต่อปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ประเด็นคงมิใช่เรื่องที่ผู้เขียนอยากตัดพ้อ หรือประชดประชันการใช้อำนาจรัฐแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ประเด็นสำคัญที่อยากชี้ชวนให้ตั้งคำถามดัง ๆ ก็คือ ในท้ายที่สุดแล้ว ประชาชนคนไทยมีโอกาสเข้าถึง หรือได้รับข้อมูลข่าวสารอย่าง “ครบถ้วนรอบด้าน” จากทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมเสมอหน้ากันหรือไม่ อย่างไร เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจหรือใช้วิจารณญาณต่อเรื่อง "แผนผังล้มเจ้า" (รวมทั้งเรื่องอื่น ๆ ในช่วงความวุ่นวายทางการเมืองที่ผ่านมาด้วยว่าฝ่ายใดผิดถูก) หากพิจารณาให้ดี ๆ เราจะเห็นถึงความย้อนแย้งในเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน เพราะในขณะที่ ศอฉ. เรียกร้องการตัดสินใจจากสังคมโดยวิเคราะห์จากข้อมูลอื่น ๆ ที่มีอยู่ แต่ปรากฎว่าในช่วงเวลานั้น รัฐ ศอฉ. และสื่อที่เห็นด้วยกับรัฐ แทบจะเป็นฝ่ายเดียวที่มีพื้นที่ในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารต่อประชาชนได้อย่าง เต็มที่
เช่นนี้แล้ว ศอฉ. จะต้องแปลกใจด้วยหรือ หรืออันที่จริงแล้วศอฉ. ควรคาดหมายได้อยู่แล้วด้วยซ้ำไปว่า ด้วยการใช้ “วิจารณญาณแบบไทย ๆ” ผลลัพธ์ที่ออกมาต่อกรณีแผนผังล้มเจ้าของตนและพวกจะมีรูปร่างหน้าตาเป็น อย่างไร
๕. ว่าด้วยความรับผิดชอบในทางกฎหมาย

ไม่ ว่าเสธไก่อู ศอฉ. หรือคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จะยอมรับหรือไม่ก็ตาม แต่ย่อมปฏิเสธได้ยากว่า "แผนผังล้มเจ้า" มีหน้าที่ "ทางการเมือง" ประการสำคัญ (ดังที่เกษียร เตชะพีระ เคยกล่าวไว้แล้ว5) เพราะนอกจากผังดังกล่าวจะกลายเป็นเอกสารชิ้นหนึ่งที่ถูกอ้างอิงโดย DSI ในการดำเนินการกับกลุ่มบุคคลแล้ว อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังเคยใช้ผังนี้เพื่อเป็นเครื่องมือในการอ้างอิงความชอบธรรมสำหรับการกระทำ ของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำรุนแรงต่อคนไทยด้วยกัน ในฐานะองค์กรผู้ปกป้องสถาบันฯ สำคัญของชาติ ทั้งนี้ รายชื่อบุคคลหรือองค์กรที่ปรากฎอยู่ในแผนผังจำนวนหนึ่งคือชื่อของแกนนำนปช. ผู้ที่ถูกศาลพิพากษาลงโทษว่ามีความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯ แล้ว ผู้ที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาหรือกำลังอยู่ในระหว่างดำเนินคดี รวมทั้งผู้ที่อาจยังไม่ถูกตั้งข้อหาใด ๆ แต่ถูกประณามจากฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
ด้วยพลังการทำลายล้างของ "แผนผังล้มเจ้า" ไม่ว่าจะเป็นการสลายการชุมนุมจนมีประชาชนบาดเจ็บและล้มตายจำนวนมากถึงสองครั้งสองครา การสร้างความรู้สึกเกลียดชังให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน ตำรวจ ทหาร การดำเนินคดีกับบุคคลฝ่ายต่าง ๆ โดยมีประเด็นที่เกี่ยวพันกับการล้มล้างสถาบันฯ ส่งผลให้บุคคลจำนวนไม่น้อยถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพโดยไม่ได้รับสิทธิในการ ประกันตัว หมายรวมกระทั่งความไม่พอใจต่อสถาบันฯ ที่เริ่มแผ่ขยายไปในหมู่ประชาชนมากขึ้นอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน เราจึงไม่อาจเพิกเฉย หรือไม่ตั้งคำถามใด ๆ ต่อเรื่องนี้ได้เลย และกลุ่มบุคคลผู้เต้าแผนผังฯ จะสามารถลอยตัวเหนือปัญหา โยนภาระให้ฝ่ายต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดายแบบที่เป็นอยู่กระนั้นหรือ หากวิเคราะห์จากพฤติการณ์และเจตนาแล้ว การกระทำของศอฉ. และพวก จึงน่าจะเข้าข่ายเป็นความผิดตามบทบัญญัติของกฎหมายฉบับต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ เป็นอย่างน้อย
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 326, 328กล่าวสรุปให้สั้นและง่ายสำหรับบทบัญญัติทั้ง 3 มาตรานี้ได้ว่า มาตรา 157 คือบทที่ว่าด้วย "ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ" กล่าวคือ เจ้าพนักงานของรัฐใช้อำนาจหน้าที่ของตนไปในทางมิชอบก็ดี ไปในทางทุจริตก็ดี เพียงเพื่อใส่ร้าย กลั่นแกล้ง หรือก่อให้เกิดความเสียหายในทางใดทางหนึ่งแก่ผู้หนึ่งผู้ใดก็ดี เจ้าพนักงานของรัฐเหล่านั้นจะต้องมีความรับผิดทางอาญา เช่นนี้แล้วเมื่อ ศอฉ. รู้ทั้งรู้ว่ารายชื่อที่ตนนำมาจับโยงใยไปมาในเอกสาร แล้วตั้งชื่อเอกสารว่า "แผนผังเครือข่ายล้มเจ้า" เป็นเรื่องที่ยังไม่มีมูล หรือยังไม่มีข้อยืนยันได้ว่าคนเหล่านั้นคิดล้มล้างสถาบันฯ จริงๆ แต่ยังนำมาแถลงให้เป็นข่าวใหญ่ครึกโครม แจกจ่ายเอกสารแก่สื่อมวลชน จึงย่อมมีลักษณะเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ไปในทางที่มิชอบ มุ่งแต่จะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดแก่สังคม และทำให้บุคคลในแผนผังฯ ได้รับความเสียหาย
นอกจากนี้ การกระทำดังกล่าวยังเข้าข่ายเป็นการ "ใส่ความ" ตาม มาตรา 326 คือ การกล่าวร้ายต่อบุคคลอื่นใดกับบุคคลที่สาม ในประการที่ "น่าจะ"ทำให้บุคคลที่ถูกใส่ความนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ซึ่งเป็นความผิดในฐานหมิ่นประมาท บทบัญญัตินี้มีความน่าสนใจอยู่มากตรงที่ ผู้ถูกใส่ความสามารถร้องขอความเป็นธรรมจากศาลได้แม้จะไม่ปรากฎ "ความเสียหาย" ที่เป็นรูปธรรมขึ้นจริงก็ตาม เพราะกฎหมายใช้คำว่า "น่าจะ" เท่านั้น จากกรณีนี้ ย่อมชัดเจนว่าประเทศไทยและสังคมยังคงอ่อนไหวกับเรื่องราวใด ๆ ที่เกี่ยวพันกับสถาบันพระมหากษัตริย์ (พิจารณาได้จากสถานการณ์เชียร์และต้านมาตรา 112) ดังนั้น ไม่ว่าในความเป็นจริงบุคคลต่าง ๆ ที่มีรายชื่ออยู่ในแผนผังฯ จะได้รับความเสียหายหรือถูกใครเกลียดชังจริงหรือไม่ แต่คำว่า "ล้มเจ้า" นี้ห้วงยามปัจจุบันย่อมเป็นถ้อยที่ "น่าจะ" ทำให้บุคคลที่เกี่ยวข้องเสียหาย หรือถูกเกลียดชังได้ทั้งสิ้น อนึ่ง พฤติการณ์ในการ "ใส่ความ" ดังกล่าว ได้ปรากฎชัดเจนว่า ศอฉ. กระทำด้วยการแถลงต่อ "สื่อ" หรือด้วยการ "โฆษณา" ดังนั้นจึงอาจต้องรับโทษหนักขึ้นตามมาตรา 328 (หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา)
อย่างไรก็ตาม จากคำรับสารภาพของพ.อ. สรรเสริญ ที่ว่า
"ข้าฯได้รับมอบหมายให้นำเอกสารเหล่านั้นไปแจก แก่สื่อมวลชน ซึ่งเอกสารที่ไปแจกนั้นมิได้หมายความว่าผู้ที่มีชื่อในเอกสารเป็นผู้ เกี่ยวข้องในฐานะอยู่ในขบวนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เป็นความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ในลักษณะต่างๆ ซึ่งให้สังคมพิจารณาและวินิจฉัยเอาเอง....ซึ่งมิได้แถลงเลยว่า บุคคลทั้งปวงเหล่านั้นมีความสัมพันธ์ในฐานะที่เป็นผู้อยู่ในขบวนการ และมิได้ให้หมายความเช่นนั้น แต่หลังจากนั้นมีสื่อมวลชนนำเรื่องราวต่างๆเหล่านี้ไปขยายผล ขยายความ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อผู้ที่เกี่ยวข้องในแผนผังดังกล่าว ทำให้ได้รับความเสียหายจากมุมมองของสังคม...“
ผู้เขียนจึงเห็นควรต้องอธิบายถึงบททีว่าด้วย "เจตนา" ในทางอาญาโดยสังเขปไว้เสียด้วย ทั้งนี้เพื่อชี้ให้เห็นว่า ศอฉ.ไม่อาจหลุดพ้นจากความรับผิดได้ด้วยคำแก้เกี้ยวง่าย ๆ ดังกล่าว
ในทางกฎหมายอาญานั้น "เจตนา" ในการก ระทำความผิด อันถือเป็นองค์ประกอบ (ภายใน) สำคัญที่จะตัดสินได้ว่าผู้กระทำต้องรับผิดชอบในการกระทำของตนหรือไม่นั้น มิได้มีแค่เพียง "เจตนาประสงค์ต่อผล" เท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงเจตนาอีกประเภทหนึ่ง ที่ผู้กระทำสามารถ "คาดหมาย" หรือ "เล็งเห็น" ผลเสียหายจากการกระทำของตนด้วย หรือที่เรียกว่า"เจตนาเล็งเห็นผล" ยกตัวอย่างเช่น
นาย ก ยิงปืนไปที่ นาย ข เพราะต้องการฆ่านาย ข ให้ตาย ปรากฎว่านาย ข ตายจริง เช่นนี้ย่อมชัดเจนว่า นาย ก มีเจตนาที่ประสงค์ต่อผล คือ ความตายของนาย ข นาย ก ต้องรับผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาประสงค์ต่อผล
แต่ในอีกกรณีหนึ่ง นาย ก ยิงปืนไปในฝูงชน โดยมีความประสงค์แค่ต้องการ "ข่มขู่" ไม่ได้อยากให้ใครตาย แต่ในความเป็นจริงการยิงปืนไปเช่นนั้น นาย ก ย่อมสามารถคาดหมาย หรือเล็งเห็นผลได้ว่าต้องมีหรืออาจมีใครตาย ปรากฎว่า นาย ข ซึ่งยืนอยู่ในฝูงชนนั้นตายจริง ๆ จากลูกกระสุนของนาย ก เช่นนี้ นาย ก จะโบ้ยใบ้ว่าตนเองไม่ได้เจตนาให้นาย ข ตาย หรืออย่างมากก็แค่ประมาทเลินเล่อ (ซึ่งมีโทษน้อยกว่าเจตนา) มิได้ ในทางกฎหมายอาญานั้น นาย ก ต้องรับผิด ฐานฆ่า นาย ข ตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล
เมื่อนำตัวอย่างดังกล่าวมาพิจารณากับกรณี "แผนผังล้มเจ้า" จะเห็นได้ว่า ด้วยห้วงยามแห่งการแถลงข่าว ด้วยความที่เป็นประเด็นอ่อนไหวอย่างมากสำหรับประเทศไทย ด้วยรายชื่อที่เกี่ยวข้อง (คนที่โดนพิพากษาว่าหมิ่นแล้ว โดนข้อหา แกนนำนปช.) ด้วยข้อมูลอื่นที่ศอฉ. และฝ่ายรัฐโหมเสนอต่อประชาชนก่อนหน้า ซึ่งแวดล้อมแผนผังฯ อยู่ เช่นนี้ แม้ศอฉ. ไม่ได้กล่าวถ้อยคำด้วยตนเองตรงๆ ชัดๆ ว่า "เอกสารที่ไปแจกนั้น หมายความว่าผู้ที่มีชื่อในเอกสารเป็นผู้คิดล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์"ก็ย่อมเป็นกรณีที่ศอฉ. สามารถเล็งเห็นผลได้ว่า สื่อและสังคมจะเข้าใจไปเช่นนั้น และเมื่อมีข้อเท็จจริงปรากฎในหลาย ๆ กรณีว่าได้เกิดความเข้าใจไปเช่นนั้นจริง ๆ ศอฉ. ย่อมมิอาจปฏิเสธความรับชอบของตนได้โดยอาศัยหลักการในเรื่อง "เจตนาเล็งเห็นผล" นี้เอง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420 และ 4237 สำหรับคนที่มีรายชื่อในแผนผังฯ และความเสียหายได้เกิดขึ้นจริงจนอาจพิสูจน์ได้อย่างเป็นรูปธรรมถึง "ค่า" แห่งความเสียหายนั้น น่าจะสามารถเรียกร้องค่าเสียหายในทางแพ่งได้อีกด้วย ทั้งนี้ โดยอาศัยมาตรา 420 และมาตรา 423 ในหมวดทีว่าด้วยเรื่องละเมิดโดยทั่วไป และการหมิ่นประมาทในทางแพ่ง เพราะจากคำรับสารภาพของพ.อ. สรรเสริญ เองย่อมชัดเจนแล้วว่าเป็นการ "กล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง" 

พระราชบัญญัติว่าด้วยกากระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (2) สำหรับ ประเด็นนี้ ผู้เขียนไม่แน่ใจว่า ที่ผ่านมาได้เคยมีการนำเอกสาร หรือแผนผังดังกล่าวไปเผยแพร่ หรือนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยหน่วยงานของศอฉ. หรือหน่วยงานของรัฐบาลเองด้วยหรือไม่ แต่หากมีการกระทำดังกล่าวเกิดขึ้น กรณีเช่นนี้ย่อมมีโอกาสเข้าข่ายเป็นความผิดตาม มาตรา 14(2) ได้เช่นกัน ซึ่งบัญญัติว่า "ผู้ ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ...(2) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน..."ปฏิเสธได้ยากว่าข้อหา "ล้มเจ้า" ซึ่งเป็นถ้อยคำที่ถูกประดิษฐ์คิดค้นขึ้นโดยฝ่ายรัฐ (ไม่มีฐานความผิดนี้ปรากฎอยู่ที่ใดในกฎหมาย) เป็นคำกล่าวหาที่ค่อนข้างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการกล่าวหานี้เกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์ความวุ่นวาย ทางการเมือง หรือช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่ประเทศไทยกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปไม่ทางใดก็ทาง หนึ่ง เกิดกระแสการคัดง้างกันระหว่างฝ่ายนิยมเจ้าและไม่นิยมเจ้าอยู่เนือง ๆ ในขณะที่ประชาชนโดยทั่วไปเองก็เริ่มรู้สึกหวาดกลัว และไม่มั่นคงในสเถียรภาพ เมื่อจู่ ๆ หน่วยงานของรัฐ (โดย ศอฉ.) เป็นผู้ลุกขึ้นมาปั้นแต่งว่ามีขบวนการล้มเจ้าอยู่จริง โดยทำทีชี้ชัดได้ว่ามีใครในขบวนการนี้บ้างย่อมต้องก่อให้เกิด "ความตื่นตระหนกแก่ประชาชน" ได้เป็นธรรมดา
สำหรับคำถามที่ว่า แผนผังล้มเจ้ากำมะลอฉบับนี้ สามารถใช้เป็นพยานหลักฐานชี้ได้เลยหรือไม่ว่า ฝ่ายรัฐกระทำผิดกฎหมายในการสั่งให้ทหารสลายการชุมนุมจนมีผู้คนบาดเจ็บล้มตาย หรือใช้เพื่อการสั่งให้จับกุมหน่วงเหนี่ยวกักขังบุคคลอื่นไว้โดยมิชอบ โดยความเห็นของผู้เขียน เห็นว่า ณ ปัจจุบัน โดยตัวของเอกสารเอง คงไม่สามารถใช้เป็นพยานหลักฐานเพื่อชี้ชัด ๆ เช่นนั้นได้ เว้นแต่มีเอกสาร "คำสั่ง" ชิ้นอื่นใดมาประกอบว่าการสั่งการให้มีการสลายการชุมนุม หรือการดำเนินการต่าง ๆ เหล่านั้นเกิดขึ้นโดยอาศัยแผนผังฯ นี้เป็น "ข้อหา" หลักหรือข้อหาพื้นฐาน ไม่ใช่ข้อหาอื่นใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อหาการ "ก่อการร้าย" ที่รัฐบาลมักกล่าวถึงเสมอๆ หากในที่สุดแล้วข้อเท็จจริงยังมีแค่เพียงว่า ศอฉ. หรือฝ่ายรัฐ ใช้แผนผังฯ นี้ เพื่อเป็นเครื่องมือในการ "กล่อมเกลา" หรือ "ชักจูง" ให้ตำรวจทหารผู้ปฏิบัติการ ปฏิบัติการได้อย่างเต็มที่เพราะรู้สึกว่าตนกำลังกระทำใน "สิ่งที่ถูกต้อง" หรือกำลัง "กำจัดอริราชศัตรู" การดำรงอยู่ของแผนผังฯ นี้ คงเป็นได้แต่เพียงเอกสาร "โฆษณาชวนเชื่อ" (Propaganda) ของฝ่ายรัฐ หรือฝ่ายนิยมเจ้าเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ย่อมเป็นที่ชัดเจนว่า พฤติกรรมการสร้างเรื่อง แต่งผังฯ รวมทั้งการแถลงข่าวแบบเล็งเห็นผลในความเสียหายที่อาจมีต่อบุคคลอื่นได้ดัง กล่าวไปแล้วนั้น ย่อมใช้เป็น "หลักฐานประกอบ" ในประเด็นชั่งน้ำหนักความน่าเชื่อถือของคำพูด และการกระทำในช่วงที่ผ่านมาของฝ่ายรัฐได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่รัฐมีข้อพิพาทกับประชาชน, ปัญหาการยัดเยียดข้อกล่าวหา, การบิดเบือนคลิปภาพ เสียง หรือวีดิโอ, การกระพือข่าวการพบอาวุธหนักในที่เกิดเหตุ ฯลฯ เพราะคำสารภาพโดยศอฉ. ครั้งนี้ย่อมเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่จะทำให้ประชาชนเกิดความสงสัยได้ว่า การให้ข่าวก็ดี การปฏิบัติหน้าที่ในด้านต่าง ๆ ก็ดีของฝ่ายรัฐที่ผ่าน ๆ ตั้งอยู่บนความโปร่งใส มีมูลเหตุที่ไม่สุจริต มีเป้าหมายอื่นใดแอบแฝง หรือได้ทำไปเพื่อความสงบสุข หรือเพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยรวมอย่างแท้จริง หรือไม่
สุดท้ายอาจกล่าวได้ว่า ถ้าสื่อไทยมีจรรยาบรรณกว่านี้อีกนิด ถ้าคนไทยเปิดตากว้างกว่านี้อีกหน่อย และถ้าสังคมไทยจะมีวุฒิภาวะกว่านี้อีกเพียงเล็กน้อย กรณีแผนผังล้มเจ้ากำมะลอของศอฉ. ก็น่าจะพอมีคุณูปการได้บ้าง อย่างน้อยที่สุดก็ในฐานะที่เป็นเครื่องเตือนสติคนไทยว่า อย่างมงายหลงเชื่อถ้อยแถลงของฝ่ายรัฐไปเสียทุกเรื่อง.
---------------------------------------------
เชิงอรรถ
1) ดูข่าวนี้ รวมทั้งเอกสารกระบวนการพิจารณาในชั้นศาล ได้จากสำนักข่าวประชาไทhttp://www.prachatai3.info/journal/2011/05/34974
2) ข้อมูลจากรายงานผลการ ศึกษา "การจับกุมดำเนินคดีและปิดสถานีวิทยุชุมชน ภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน (7 เมษายน – 7 กรกฎาคม 2553) โดย โครงการเฝ้าระวังการแทรกแซงวิทยุชุมชน (Community Radio Watch) ดำเนินการโดย คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.) สนับสนุนโดย มูลนิธิไฮริค เบิลล์
3) ดูข่าวนี้ได้จาก "ปิดวิทยุชุมชนแดงหมิ่น หนุนทหารป้องสถาบัน" จากสำนักข่าวผู้จัดการออนไลน์http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000051458
4) ผลการวิจัย "สถานการณ์การควบคุม และปิดกั้นสื่อออนไลน์ด้วยการอ้างกฎหมายและแนวนโยบายแห่งรัฐไทย" สนับสนุนโดย มูลนิธิไฮน์ริค เบิลล์; http://www.enlightened-jurists.com/directory/134
5) อ่านบทความเกษียร เตชะพีระ "หน้าที่ทางการเมืองของแผนฟังเครือข่ายล้มเจ้า" ที่ http://www.siamintelligence.com/politics-function-of-anti-monarchy-chart/
6) มาตรา 157 "ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาทหรือ ทั้งจำทั้งปรับ"
มาตรา 326 "ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะ ทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือ ปรับไม่เกินสองหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ"
มาตรา 328 "ถ้าความผิดฐานหมิ่นประมาทได้กระทำโดยการโฆษณา ด้วยเอกสาร ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนตร์ ภาพหรือตัวอักษรที่ ทำให้ปรากฏด้วยวิธีใด ๆ แผ่นเสียง หรือสิ่งบันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือบันทึกอักษร กระทำโดยการกระจายเสียง หรือการกระจายภาพ หรือโดยกระทำการป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น ผู้กระทำต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินสองปีและปรับไม่เกินสองแสนบาท"
7) มาตรา 420 "ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่น โดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่า ผู้นั้นทำละเมิด จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น"

มาตรา 423 "ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลาย ซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่น ก็ดีหรือเป็นที่เสียหายแก่ทางทำมาหาได้ หรือทางเจริญของเขาโดยประการอื่นก็ดี ท่านว่าผู้นั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เขาเพื่อ ความเสียหายอย่างใดๆ อันเกิดแต่การนั้น แม้ทั้งเมื่อตนมิได้รู้ว่าข้อความนั้นไม่จริง แต่หากควรจะรู้ได้...."



เจาะลึกข้อมูลเรื่องเว็บ “ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง”

มื่อลองค้นหาข้อมูล “เชิงลึก” ในเว็บ “ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง” เรื่องกฏหมาย 112 ซึ่งเป็นปัญหายักษ์ใหญ่ในไทย หรือข้อมูลเกี่ยวกับการฆ่าประชาชนมือเปล่าที่ราชประสงค์และผ่านฟ้า หรือข้อมูลเรื่องงบลับของทหาร หรือการโกงกินในโครงการหลวง หรือการโกหกของ ศอฉ. หรือการโกงกินของนักการเมืองประชาธิปัตย์ท่านจะไม่พบอะไรทั้งสิ้น แต่ปรากฏว่ามีการ “เปิดโปง” เรื่อง คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

โดย ใจ อึ๊งภากรณ์
29 พฤษภาคม 2554

วันนี้ สุชาดา จักรพิสุทธิ์ อดีตบรรณาธิการบริหารนิตยสาร สารคดี และกรรมการบริหารสำนักข่าวประชาธรรม ประกาศเปิดตัวเว็บไซท์ “ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง” ซึ่งอ้างตัวเป็น “อีกทางเลือกข่าวเชิงลึก” สำหรับคนไทย และเน้นการเปิดโปงคอรรับชั่น

แต่ก่อนที่ท่านจะหลงคิดว่าอันนี้เป็นเวH[ทางเลือกจริงๆ กรุณาพิจารณา “ข้อมูลเชิงลึก” ดังต่อไปนี้

1. “ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง” ได้รับเงินทุนทั้งหมดจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐบาลไทย ที่ได้ทุนจากการเก็บภาษีของรัฐไทย เอ็นจีโอไทยชอบขอเงินจากองค์กรนี้

2. เมื่อลองค้นหาข้อมูล “เชิงลึก” ในเว็บ “ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง” เรื่องกฏหมาย 112 ซึ่งเป็นปัญหายักษ์ใหญ่ในไทย หรือข้อมูลเกี่ยวกับการฆ่าประชาชนมือเปล่าที่ราชประสงค์และผ่านฟ้า หรือข้อมูลเรื่องงบลับของทหาร หรือการโกงกินในโครงการหลวง หรือการโกหกของ ศอฉ. หรือการโกงกินของนักการเมืองประชาธิปัตย์ ท่านจะไม่พบอะไรทั้งสิ้น แต่ปรากฏว่ามีการ “เปิดโปง” เรื่อง คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

3. ในเว็บ “ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง” มีลิงค์สู่เวH[แนวร่วม เช่น กกต. สำนักงานปราบปรามการคอร์รับชั่น สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย องค์กรนักข่าวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ฯลฯ ซึ่งในยุคนี้แต่ละองค์กรมีกลิ่นอายของความเป็นเหลือง

4. องค์กรหนึ่งที่ “ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง” ลิงค์ด้วยที่น่าสนใจมากคือ โครงการศูนย์ติดตามประชาธิปไตยไทย (Thailand Democracy Watch) ของคณะรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่มี ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา เป็นผู้ก่อตั้ง

ท่านคงจำ ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา ได้ เขาเป็น “สลิ่ม” ที่อ้างตัวเป็นกลาง ที่ไปจัดงานชูป้ายวิจารณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดงที่สวนลุมพีนี และจุฬาฯ เป็นมหาวิทยาลัยที่นำหนังสือ A Coup for the Rich ของผมไปให้ตำรวจ เพื่อสืบสวนคดี 112

5. อีกองค์กรที่ “ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง” ลิงค์ด้วยคือ SIU (Siam Intelligence Unit) ซึ่งร่วมกับ ศ.ดร.จรัส สุวรรณมาลา (มาอีกแล้ว!!) ในการก่อตั้ง “เครือข่ายข้อมูลการเมืองไทย” ซึ่งมี คณะกรรมการกำกับทิศทาง ที่ประกอบไปด้วยคนอย่าง วีระ สมความคิด (พันธมิตรฯที่พยายามก่อสงครามกับประเทศเขมร) นพ.มงคล ณ สงขลา(อดีตรัฐมนตรีในรัฐบาลเผด็จการทหารของ คมช.) และ เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง คนทำสื่อฝ่ายเสื้อเหลือง

สรุปแล้ว “ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง” ดูเหมือนเป็นสื่อของอำมาตย์ในคราบของเอ็นจีโอ ที่เปิดตัวในยุคหาเสียงเลือกตั้ง
****
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:

-สัมภาษณ์ "สุชาดา" ผอ.สำนักข่าวเจาะแห่งใหม่ ทะลวงข้อมูลคอรัปชั่น
http://redusala.blogspot.com

Thaksin from a distance
THAILAND'S POLITICS

Thaksin from a distance

FOR those who pay more attention to English football than Thai politics, Thaksin Shinawatra might be best known as the former owner of Manchester City Football Club. He ran the club for one season, splashed out on new players, then sold it in 2008 to the ruling family in Abu Dhabi—who promptly pumped it full of petrodollars. Their payoff came this past season with an FA Cup victory, the club's first trophy in decades, and third place in the Premier League.



Mr Thaksin, a telecoms tycoon 
turned politician, is rich. But the sheiks of Abu Dhabi are richer. He jokes that they do not have merely deep pockets, they have many pockets. It certainly takes serious dosh to run a top European club. Mr Thaksin insists that he is no longer in that league, if he ever was. His legal troubles in Thailand have not helped: the country's supreme court last year seized $1.3 billion of his frozen assets.


Now Mr Thaksin has his eye back on a less-than-beautiful game: Thai politics. He is banking on a political party headed by his younger sister to win elections on July 3rd and score another blow to the Thai establishment that tried and failed to bury his career. At his luxury villa in Dubai, Mr Thaksin receives a constant flow of visitors, including your correspondent, who joined him recently for tea and conversation.
Mr Thaksin is upbeat about the election. He predicts that his Pheu Thai party could win 270 out of 500 seats in parliament and form the next government. Opinion polls suggest that no one party will cross the threshold for single-party rule; the winner will have to form a coalition. But it is clear that Pheu Thai poses a stiff challenge to the Democrat Party led by the prime minister, Abhisit Vejjajiva, who was installed with support from the army.  
Ever since Mr Abhisit called elections last month, Thais have been speculating as to whether the establishment might pull the plug on the whole process, in order to stop Mr Thaksin's party from taking power. The ultra-nationalist (and anti-Thaksin) yellow shirts have urged a suspension of democracy under a royalist government. Asked by reporters about coup plots, hawkish army generals serve up boilerplate denials—just as they did before ousting Mr Thaksin in 2006. 
Mr Thaksin seems untroubled by such chatter. Elections will go ahead, he insists, and cheaters beware. "If you rig the elections, then the people know," he warns. He wants Pheu Thai to invite smaller parties into a coalition, even if the party's numbers were sufficient to support a single-party government. They would be the "ferns" in a flower arrangement to make it more beautiful, he says.
For Thailand's royalist generals, a victory for Mr Thaksin's allies is a queasy prospect. Their red-shirt supporters have vowed to punish those who ordered and carried out last year's crackdown on their protests. Pheu Thai also wants to amend the current constitution, which was drafted under military rule. If there were any doubt about the ties between the party and the man in Dubai, consider one of its campaign slogans: "Thaksin Thinks, Pheu Thai Acts".
And that is not all. Pheu Thai has pledged that it would bring Mr Thaksin home. He recently told supporters that he would return in November 2011, and this remains his goal. "When I say something, I mean it," he said. For now, though, he is a fugitive from Thai justice. He travels on a passport not from Thailand but from Montenegro. A two-year jail term passed in absentia for corruption awaits him in Thailand.  
So the party has proposed an amnesty for participants in Thailand's recent political struggle, including, no doubt, their spiritual leader, Mr Thaksin. "If you really want to reconcile, you have to forget the past and look ahead for the future," he says.
Easier said than done. The former prime minister is loved and loathed by roughly equal proportions of the electorate. Reconciliation is a hard sell in the zero-sum game of Thai politics. Even harder, perhaps, than turning Manchester City into the champions of the Premier League. 
http://redusala.blogspot.com