วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2558

โคทม อารียา ชี้ร่างรธน. เปลี่ยนจากสำลักคุณธรรม สู่จับประชาธิปไตยใส่กรง


Mon, 2015-08-31 16:13

เก็บประเด็นวงเสวนา “ความหวังของระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่” หลากหลายวิทยากรย้ำ มองไม่เห็นความหวัง ระบุ รธน. เป็นการรัฐประหารโดยรัฐธรรมนูญ แม้หมวดสิทธิเสรีภาพเขียนดีแต่อาจเป็นเพียง ‘ผักชีโรยหน้า’
เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2558 เว็บไซต์ prachamati.org ร่วมกับองค์กรเครือข่าย จัดงานเสวนา “ความหวังของระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่” ที่ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เพื่อสร้างความตื่นตัวให้กับสังคมต่อประเด็นต่างๆ ในร่างรัฐธรรมนูญที่ สปช. กำลังจะลงมติรับหรือไม่รับ โดยมีวิทยากรประกอบด้วย โคทม อารียา สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ปูนเทพ ศิรินุพงศ์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศราวุฒิ ประทุมราช สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน อธึกกิต แสวงสุข สื่อมวลชน ชลัท ประเทืองรัตนา นักวิชาการผู้ชำนาญการ สำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า ดำเนินรายการโดย ประทับจิต นีละไพจิตร
คลิปงานเสวนาโดยPITV
อธึกกิต แสวงสุข : รัฐธรรมนูญหอมหัวใหญ่ ปอกไปน้ำตาไหลทุกชั้น ซ้ำร้ายไม่มีประชาธิปไตยอยู่ภายใน
อธึกกิต หรือใบตองแห้ง เริ่มต้นด้วยการวิพากษ์ วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญว่า ไม่เป็นประชาธิปไตย คล้ายกับหอมหัวใหญ่ ที่ฉีดยาฆ่าแมลงอย่างเต็มที่ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้มีเพียงแต่ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ ที่จะมีวาระดำรงตำแหน่งเพียง 5 ปี เท่านั้นที่ไม่เป็นประชาธิปไตย หากแต่มีอีกหลายกลไกพิเพษ ยิ่งเมื่ออ่านรัฐธรรมนูญอย่างละเอียด หรือปอกลงไปในแต่ละชั้นของหัวหอมยิ่งน้ำตาไหล และยังเป็นพิษทุกชั้น และสุดท้ายเมื่อปอกเข้าไปถึงชั้นในสุดก็ยังไม่เจอประชาธิปไตย
อธึกกิต ระบุว่า ในมาตรา 278 มีลักษณะของการสืบทอดอำนาจ โดยระบุให้ คสช. ยังคงมีอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 แม้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประกาศใช้แล้วก็ตาม จนกว่าจะมีการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ซึ่งหมายความว่า คสช. ยังมีอำนาจเต็มอยู่ และสามารถใช้มาตรา 44 ได้ ทั้งนี้เมื่อย้อนดูแล้วไม่เคยมีรัฐธรรมนูญฉบับไหนเขียนให้อำนาจคณะรัฐประหารมากเท่านี้มากก่อน
“คือร่างแรกเราก็บอกว่ามันหนักอยู่แล้ว ถ้าพูดถึงเนื้อหา การที่มีคณะกรรมการปฏิรูปด้านต่างๆ มาคอยคุมรัฐบาล ผมถามว่าแล้วรัฐบาลมันจะทำอะไร คนที่มาจากการเลือกตั้งจะทำไร ถ้ากรรมการปฏิรูปด้านการศึกษา แผนให้ปฏิรูปการศึกษา และรัฐมนตรีศึกษาธิการจะทำอะไร ไปเปิดป้ายเปิดโรงเรียนอย่างนั้นเหรอ แค่นั้นเราก็ว่าแย่แล้ว สุดท้ายก็มีคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติขึ้นมาอีก” อธึกกิตกล่าว
อธึกกิต ตั้งข้อสังเกตถึงที่มาของคณะกรรมการยุทธศาตร์ฯ ในตำแหน่งที่นั่งของอดีตนายกรัฐมนตรี หากย้อนกลับไปดูบุคคลที่เคยดำรงตำแหน่งเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่ และไม่ได้เป็นนัการเมือง ทั้งยังไม่ได้ดำรงตำแหน่งสำคัญอื่นๆ เช่น องคมนตรี ก็จะเหลือเพียงพลเอกประยุทธ์ เท่านั้น มากไปกว่านั้น การตั้งแต่งคณะกรรมการที่มาจากมติรัฐสภาอีก 11 คน มีความเป็นไปได้ว่า คณะกรรมการ 11 คน ที่จะมาการแต่งตั้งก่อนการเลือกตั้งโดย สนช. เนื่องจากในมตรา 280 ระบุเพียงแค่ให้รอคณะกรรมการโดยตำแหน่ง คือประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภา และนายกรัฐมนตรี ไว้ก่อน นั้นหมายความว่าในส่วนที่เหลือสามรถแต่งตั้งได้ก่อน
ขณะเดียวกันรัฐธรรมนูญยังคงเปิดช่องให้มีการต่ออายุของคณะกรรมยุทธศาสตร์ฯ ได้ง่ายขึ้นไปอีก โดยมีการระบุช่องทางในการต่ออายุไว้ 2 ช่องทาง 1 คือให้ประชาชนลงประชามติ และ 2 ให้รัฐสภาลงมติ โดยช่องทางที่ 2 สามารถทำได้ง่ายกว่า
อธึกกิต กล่าวถึงกรณีการเพิ่มอำนาจให้ศาลรัฐธรรมนูญ  โดยให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจในการตีความมาตรา 7 และมีอำนาจในการควบคุมการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญว่า เป็นการปิดทาง และกีดกั้นระบอบประชาธิปไตย

ศราวุฒิ ประทุมราช : สิทธิเสรีภาพยังสับสน และไม่ครอบคลุม
ศราวุฒิ เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงเรื่อง สิทธิมนุษยชน โดยระบุว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีการเขียนสิทธิเสรีภาพที่ค่อนข้างสับสน คือมีการเขียนแยกสิทธิเสรีภาพไว้ ประกอบด้วยสิทธิเสรีภาพของบุคคล สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพของชนชาวไทย
“เวลาเรื่องพูดเรื่องสิทธิมนุษยชน ไม่ควรจะแยกว่าเป็นบุคคล หรือชนชาวไทย คือเราเป็นมนุษยต้องถือว่าคนทุกคนมีความเสมอภาคกัน มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน และไม่ควรแยกปฏิบัติด้วยความแตกต่างในเรื่องของเชื้อชาติ ภาษา ศาสนา ทีนี้พอเขียนแยกมันเลยเกิดคำถามว่า เวลาจะมีสิทธิเสรีภาพ จะคุ้มครองเฉพาะพลเมืองไทยมากกว่า คนต่างชาติที่อยู่ประเทศไทยหรือเปล่า ซึ่งอาจจะมีปัญหาในการเข้าถึงสิทธิต่างๆ ของคนต่างชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยได้” ศราวุฒิกล่าว
ศราวุฒิ มีความเห็นว่า ในหมวดเรื่องสิทธิเสรีภาพ ควรเพิ่มเรื่องการซ้อมทรมาน การลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม และบังคับสูญหาย ซึ่งในร่างรัฐธรรมนูญนี้ไม่มี

ปูนเทพ ศิรินุพงศ์ : รัฐธรรมนูญฉบับหนองใน เสรีภาพเป็นเพียงผักชีโรยหน้ารัฐธรรมนูญ
ปูนเทพ มองว่า ผู้ร่างรัฐธรรมนูญไม่ได้ต้องการใช้ร่างรัฐธรรมนูญนี้เป็นรัฐธรรมนูญถาวร แต่ต้องการให้มีกลไกพิเศษในช่วงเวลา 5 ปี ต่อจากนี้ เพราะผู้ร่างมองว่าในช่วงนี้น่าจะมีเหตุการณ์สำคัญที่นำไปสู่สถานการณ์ที่ต้องควบคุมให้ได้  โดยเห็นได้ชัดเจนว่า หากร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประกาศใช้แล้ว คงไม่จำเป็นต้องทำรัฐประหารอีก เพราะมีกลไกพิเศษเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญเรียบร้อยแล้ว
ต่อหมวดเรื่องสิทธิเสรีภาพ ปูนเทพ มองว่า เป็นเพียงการเขียนมาเพื่อสร้างภาพลักษณ์ภายนอกให้กับรัฐธรรมนูญเพียงเท่านั้น  พร้อมกับตั้งฉายาให้กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ว่า “รัฐธรรมนูญฉบับหนองใน” ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่ข้างนอกดูสวย แต่ว่าภายในกลับอันตราย โดยจุดขายสำคัญซึ่งผู้ร่างรัฐธรรมนูญใช้ในการประชาสัมพันธ์ คือ บทบัญญัติในเรื่องสิทธิเสรีภาพ ซึ่งเป็นจุดขายเดียวกับที่เคยใช้มาแล้วในการรณรงค์ให้รับร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 และ ปี 2550 อย่างไรก็ตาม อยากตั้งข้อสังเกตว่า บทบัญญัติเรื่องสิทธิเสรีภาพเป็นเหมือน “ผักชีโรยหน้า” หากกลไกต่างๆ ไม่เป็นประชาธิปไตยหรือไม่มีประสิทธิภาพในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพอย่างเพียงพอ
“รัฐธรรมนูญฉบับนี้คือ การเปลี่ยนอำนาจพิเศษต่างๆ ที่อยู่นอกรัฐธรรมนูญให้เข้ามาอยู่ในรัฐธรรมนูญ ทหารก็ดี องค์กรต่างๆ ที่ล้มรัฐธรรมนูญ ที่ฉีกรัฐธรรมนูญ ได้เข้ามาอยู่ในรัฐธรรมนูญ โดยไม่ต้องพูดถึงบริบทว่ามันต้องมีหลักประชาธิปไตย ต้องเชื่อมโยงกับประชาชน ต่อไปหากรัฐธรรมนูญฉบับนี้บังคับใช้ก็ไม่จำเป็นต้องมีรัฐประหาร เราสามารถเอานายกออก เราสามารถมีผู้มีอำนาจเต็มเข้ามาใช้อำนาจต่างๆ ประกาศกฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร ออกคำสั่งต่างๆ ได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องฉีกรัฐธรรมนูญ เป็นการรัฐประหารภายใต้รัฐธรรมนูญเอง” ปูนเทพกล่าว

ชลัท ประเทืองรัตนา : การปฏิรูปในร่างรัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ต้องรองดูกันต่อไป
ชลัท เริ่มต้นด้วยการ พูดถึงด้านดีของรัฐธรรมนูญฉบับนี้คือ การยกเลิกการควบรวมคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กับผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งถึงว่าเป็นความหวังของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ต่อมาในเรื่องของปฏิรูป ชลัทมองว่า กรรมาธิการยกร่าง มีสมมติฐานว่า การปฏิรูปไม่เคยเกิดขึ้นได้จริง ในแง่ของการพลักดันให้รัฐบาลรับไปปฏิบัติ ตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา จึงทำให้มีความเชื่อว่านักการเมือง อาจจะไม่ผลักดันเรื่องการปฏิรูป ทำให้ต้องมีการเขียนบังคับเอาไว้ในรัฐธรรมนูญว่า “ต้องปฏิรูป” และ ”ต้องรักกัน”
ชลัท เห็นว่า เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปในร่างรัฐธรรมนูญล้วนเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายตั้งความหวังมายาวนานแล้ว แต่ในหลายเรื่อง ก็ต้องรอดูร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ ซึ่งจะกำหนดรายละเอียดที่ชัดเจนขึ้นต่อไป
ชลัท กล่าวต่อไปว่า คณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ จะมีอำนาจหน้าที่ในสองระดับ คือในสถานการณ์ปกติ และในสถานการณ์พิเศษ ในภาวะปกติมีอำนาจบังคับให้คณะรัฐมนตรี ต้องปฏิบัติตามเรื่องการปฏิรูปและการสร้างความปรองดอง ตามที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์เสนอ พร้อมกันนี้ยังมีอำนาจในการแต่งตั้งคณะกรรมการอิสระสร้างความปรองดอง ซึ่งร่างเดิมมีการแต่งตั้งแยกออกมาต่างหาก แต่ในร่างใหม่นี้ได้ให้อำนาจในการแต่งตั้งไว้กับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ โดยชลัท หวังว่าจะมีองค์ประกอบที่ทุกฝ่ายยอมรับ

โคทม อารียา : จากร่างสำลักคุณธรรม สู่ร่างกรงขังประชาธิปไตย
โคทม เริ่มต้นด้วยการต้นชื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกเมื่อเดือนเมษายนว่าเป็น ร่างรัฐธรรนูญฉบับสำลักคุณธรรม แต่ว่าหลังจากแก้ไขโดยคณะกรรมาธิการยกร่าง คุณธรรมที่ระบุเอาไว้ในรัฐธรรมนูญก็ลดลงไป ขณะเดียวกันเรื่อง พลเมือง ก็มีการตัดออกไป และใช้ความว่า บุคคล และชนชาวไทยแทน โดยรวมแล้วในหมวดสิทธิเสรีภาพ ถูกเขียนไว้ได้เป็นอย่างดี
ขณะที่เรื่องดีอีกประเด็นหนึ่ง โคทมเห็นว่า มาตรา 199 เรื่ององค์บริหารท้องถิ่น โดยระบุว่ารัฐจะต้องให้อิสระในการปกครองตนเองตามเจตนารมณ์ของคนในท้องถิ่น และยังเขียนไว้ด้วยว่า สามารถมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบพิเศษได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจ
อย่างไรก็ตาม โคทม ได้วิพากษ์ วิจารณ์ ร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับนี้ว่า เป็นการปกครองโดยกฎหมาย คือผู้มีอำนาจจำนวนน้อย ต้องการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการปกครอง โดยมีนัยยะว่ากฎหมายที่เขาเป็นผู้ร่าง ต้องเป็นกฎหมายที่ดี เมือดีแล้วห้ามใครมาแก้ไขปรับเปลี่ยน  
“กฏหมายประกอบรัฐธรรมนูญฉบับบวรศักดิ์ และรัฐธรรมนูญฉบับบวรศักดิ์ จะเป็นกฎหมายที่แก้ไขยากมาก โดยตัวเองก็แก้ยากอยู่แล้ว แต่ยังตั้งองครักษ์ พิทักษ์ทั้งกฏหมายรัฐธรรมนูญ และกฏหมายประกอบรัฐธรรมนูญ โดยฝากความหวังไว้กับศาลรัฐธรรมนูญ ผมเห็นว่าตรงนี้มันเป็นการล๊อคโครงสร้างเอาไว้” โคทมกล่าว
ต่อกรณีการสืบทอดอำนาจ โคทมเห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในร่างรัฐธรรมนูญสะท้อนว่า คสช. กำลังสืบทอดอำนาจผ่านกฎหมาย โดยผู้ที่ถูกริดรอนอำนาจมากที่สุดคือ นักการเมือง ซึ่งถือเป็นการริดรอนสิทธิของประชาชนในการเลือกผู้แทนให้ไปใช้อำนาจแทนตนด้วย โดยจะเห็นว่า ผู้ที่มาจากการเลือกตั้งจะถูกคานอำนาจทุกระดับ โดยวุฒิสภา และศาลรัฐธรรมนูญ
อีกกรณีที่น่าสนใจ โคทม ชี้ให้เห็นว่า การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือน ซึ่งเขียนไว้ในมาตร 196 คือระบุให้มีคณะกรรมการดำเนินการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือน ให้เป็นไปตามระบบคุณธรรม ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี แต่อยากจะให้ขยายไปรวมถึงข้าราชการทหาร และตำรวจด้วย อย่างไรก็ตามในเรื่องดังกล่าวยังมีปัญหาอยู่คือ ยังไม่มีรายละเอียดระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ หากมีการระบุว่า ให้อำนาจคณะกรรมการดำนินการแต่งตั้ง มีอำนาจในการแต่งตั้งโดยสมบูรณ์ ก็อาจจะเกิดปัญหาในกระบวนการทำงานของรัฐมนตรีได้
ในส่วนของการออกนโยบาย ในร่างรัฐธรรมนูญก็ยังมีการกำกับว่ารัฐบาลต่อดำเนินนโยบายตามที่ได้มีการระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ ทั้งจากแนวนโยบายแห่งรัฐ ยุทธศาสตร์ชาติ และแผ่นพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  โคทมมองว่า รัฐบาลที่เข้ามาก็อาจจะไม่สามารถดำเนินนโยบายตามที่หาเสียงไว้ได้อย่างอิสระ และหากไม่ทำตามแนวนโยบายที่วางไว้ก็อาจจะมีปัญหาเกิดขึ้นได้
โคทม ตั้งข้อสังเกตอีกประการหนึ่งคือในมาตรา 236 ระบุว่านายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ต้องไม่ใช้สถานะ หรือตำแหน่งทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง และต้องมีหน้าที่กำกับบุคคลในพรรค บุตรหลาน และคู่สมรส ไม่ให้กระทำการดังกล่าวด้วย หากไม่ทำตามอาจจะโดนตัดสิทธิทางการเมือง ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง และตำแหน่งอื่นๆ ตลอดไป
“นี่มันสามารถยกเข่งได้เลย คือผมเป็นรัฐมนตรี ผมสังกัดพรรคจอมปลอม(สมมติ) แล้วสมาชกชิกพรรคของผม กรรมการบริหารพรรค คนอื่นๆ ใครต่อใคร ผมจะไปสั่งอะไรเขาได้มั้ย ผมไม่แน่ใจแต่ผมต้องมีหน้าที่กำกับ ป้องกันไม่ให้บุคคลเหล่านั้นไปกระทำอะไรที่มันฉ้อฉล ถ้าทำได้ก็ดี ถ้าไม่ทำผมโดนไปด้วยหรือเปล่า และถ้าโดนไปด้วยผมจะต้องถูกถอดถอนตัดสิทธิ การดำรงตำแหน่งทางการเมืองตลอดไป OK แค่นี้ก็นักแล้วนะครับ แต่ท่านใส่อีกวลีหนึ่งคือ หรือสิทธิในการดำรงตำแหน่งอื่นตลอดไป มันตำแหน่งอะไรหว่า เป็นสามีของภรรยาผมนี่เป็นตำแหน่งหรือเปล่า อันนี้ต้องตีความกันไปอีก” โคทมกล่าว
ท้ายสุดโคมทมกล่าวว่า จากร่างรัฐธรรมนูญฉบับสำลักประชาธิปไตย เมื่อผ่านการแก้ไขโดยคณะกรรมาธิการยกร่างฯ แล้ว ได้กลายมาเป็น ร่างรัฐธรรมนูญฉบับจับประชาธิปไตยใส่กรง

ศาลฎีกายกคำร้อง ‘ยิ่งลักษณ์’ จำนำข้าว ยันศาลมีอำนาจพิจารณาคดี


ศาลฎีกายกคำร้อง ‘ยิ่งลักษณ์’ กรณีไม่ยับยั้งจำนำข้าว ยันศาลมีอำนาจพิจารณาคดี พร้อมยกคำร้องการคัดค้านพยานของฝ่ายโจทก์ด้วย ระบุวันไต่สวนพยาน 29 ต.ค
31 ต.ค. 2558 สำนักข่าวINN รายงานว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางมายังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามที่ศาลนัดตรวจพยานหลักฐาน คดีที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ฟ้องในความผิดฐานปฎิบัติหน้าที่มิชอบ สร้างความเสียหายแก่รัฐ กรณีละเลยไม่ยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว
ซึ่งทนายจำเลยได้ยื่นคำร้อง ขอให้ศาลรอการพิจารณาคดีไว้ชั่วคราว เนื่องจากเห็นว่า คดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง โดยศาลฎีกาฯ พิจารณาแล้วเห็นว่า ศาลฎีกาฯ มีอำนาจพิจารณาคดีนี้ เนื่องจากตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 11(1) ถึง (9) ไม่มีมาตราใดที่กำหนดให้ศาลปกครอง มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญา ดังนั้น จึงไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาฯ จะต้องทำความเห็นเสนอไปยังศาลปกครอง ตามพระราชบัญญัติวินิจฉัยเขตอำนาจศาล ตามที่จำเลยร้องขอ จึงให้ยกคำร้อง 
ส่วนที่จำเลยยื่นคำร้องขอคัดค้าน บัญชีพยานโจทก์ โดยอ้างว่า โจทก์เพิ่มเติมพยานโดยไม่สุจริต ไม่เป็นธรรม ขอให้ศาลไม่รับพยานดังกล่าวเข้าสู่สำนวนนั้น องค์คณะผู้พิพากษาเห็นว่า แม้ตามกฎหมายในการไต่สวนจะให้ยึดสำนวนจาก สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เป็นหลัก แต่ศาลฎีกาฯ ก็มีอำนาจเรียกพยานไต่สวนได้ และฝ่ายจำเลย ก็สามารถนำพยานเข้าสืบเพื่อหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ จึงให้ยกคำร้อง
และ คดีนี้ฝ่ายโจทก์ ได้ส่งพยานเอกสารจำนวน 161 แฟ้ม ขณะที่ฝ่ายจำเลยส่งพยานเอกสาร 61 แฟ้ม และทั้งสองฝ่ายได้อ้างพยานบุคคลจำนวนหลายปาก และพยานเอกสารจำนวนมาก ศาลฎีกาฯ จึงให้คู่ความทั้งสองฝ่ายร่วมกันพิจารณาพยานหลักฐานและพยานบุคคลในคดี ทุกวันพุธ เวลา 09.00 น. จนกว่าจะแล้วเสร็จ และให้นัดพร้อมคู่ความทั้งสองฝ่ายเพื่อกำหนดวันไต่สวนพยาน ในวันที่ 29 ต.ค. นี้ เวลา 09.30 น.

กสท.ถก ช่อง Peace TV ช่อง Asian Major และช่อง MIX ขัดมาตรา 37 หรือไม่ จันทร์ (31 ส.ค.) นี้


30 ส.ค. 2558 นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า วันจันทร์ที่ 31 ส.ค. 2558 ที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์(กสท.) ครั้งที่ 29/2558 มีวาระการประชุมน่าจับตาได้แก่ แนวทางการกำกับดูแลการให้บริการโทรทัศน์ที่ใช้คลื่นความถี่(ระบบดิจิตอล) กรณีปรากฏข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการโฆษณาอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ผิดกฎหมาย และมีคำสั่งระงับการออกอากาศโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารเป็นการชั่วคราว กรณี ช่องLOCA ซึ่งนางสาวสุภิญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า คณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคฯ ได้เสนอ กสท. พิจารณาแนวทางการกำกับดูแลโทรทัศน์ที่ไม่ใช้คลื่นความถี่(ดาวเทียมและเคเบิ้ล) กรณีมีการโฆษณาอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ผิดกฎหมาย มาเป็นแนวทางการกำกับดูแลโทรทัศน์ที่ใช้คลื่นความถี่ หรือโทรทัศน์ระบบดิจิตอล ซึ่งกรณีคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)รายงานว่าพบการออกอากาศที่ผิดกฎหมาย ให้มีคำสั่งชี้แจงระงับการโฆษณาทันทีจนกว่าคดีจะถึงที่สุดและหากซ้ำอีกไม่ว่าจะเคยถูกดำเนินคดีแล้วหรือไม่ ให้มีคำสั่งแจ้งสถานีระงับออกอากาศชั่วคราวละไม่เกิน 30 วันจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ซึ่งหากคดีถึงที่สุดว่าผู้กระทำได้ทำความผิดจริง ให้พิจารณาส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พิจารณาความผิดตามมาตรา 37 แห่ง พรบ.ประกอบกิจารฯ 2551 หรือ มาตรา 31 แห่ง พรบ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 ประกอบกับ ประกาศ กสทช. เรื่องการกระทำที่เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคฯ พ.ศ. 2555 หากฝ่าฝืนให้ปรับทางปกครองไม่เกิน 5 ล้านบาท และอาจพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตได้
 
ส่วนวาระที่เกี่ยวข้องกับเรื่องร้องเรียนได้แก่ วาระการมีคำสั่งระงับการออกอากาศโฆษณาผลิตภัณฑ์ปุ๋ยเป็นการชั่วคราว กรณีช่อง ไบรท์ทีวี วาระเรื่องร้องเรียนที่เข้าข่ายมีเนื้อหาไม่เหมาะสม ได้แก่ กรณีเรื่องร้องเรียนช่อง Asian Major Channel และ Mix Channel กรณีการออกอากาศรายการช่อง Peace TV เพิ่มเติมอีก 4 รายการ ได้แก่ รายการแรงกล้าประชาธิปไตย วันที่ 26 ก.ค. 58 รายการคนกลางคลอง วันที่ 26 ก.ค. 58 รายการห้องข่าวเล่าเรื่องสุดสัปดาห์ วันที่ 26 ก.ค. 58 รายการเข้าใจตรงกันนะ วันที่ 27 ก.ค. 58 และรายการฟังความรอบด้าน ตอนนักศึกษากับประชาธิปไตย วันที่ 21 ก.ค. 58 โดยได้มีการเสนอยื่นคำร้องศาลปกครองสูงสุด เพื่อเป็นการประกอบพิจารณามีคำสั่งเพิกถอนทุเลาการบังคับของศาลปกครองกลาง ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งทุเลาการบังคับของศาลปกครองกลาง
 
วาระอื่นน่าสนใจติดตาม ได้แก่ การพิจารณาร่างประกาศ กสทช. เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการจัดเก็บเงินรายปีเข้ากองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะในกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ วาระ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์การจัดสรรเงินกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ เพื่อประโยชน์สาธารณะประจำปี 2558 (กทปส.) และวาระการขยายขอบเขตการให้บริการโครงข่ายกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ของ บ.ทีซี บรอดคาสติ้ง จำกัด ประสงค์ยื่นขอขยายขอบเขตการให้บริการโทรทัศน์ในระบบไอพีทีวี (IPTV)
 
“นอกจากนี้ยังมีวาระเตรียมการสู้คดีที่ กสทช. ถูกกลุ่มผู้ประกอบการเคเบิลท้องถิ่นฟ้องเรื่องการบังคับให้เคเบิลต้องบริการส่งฟรีทีวีดิจิตอลด้วย ศาลปกครองนัดให้ถ้อยคำเช้าวันอังคารที่ 1 ก.ย.นี้ .... ส่วนคดีที่ 5 ช่องดิจิตอลฟ้อง กสทช. ศาลปกครองนัดพร้อมสองฝ่ายวันจันทร์ที่ 31 ส.ค.นี้ช่วงบ่าย หลังการประชุมบอร์ด คาดว่า กสท. คงไปศาลกันครบทุกท่าน เพราะคดีนี้เป็นคดีใหญ่ ที่ต้องรับผิดชอบร่วมกันในการชี้แจงต่อศาล และวาระอื่นๆ ซึ่งติดตามผลการประชุมทั้งหมดวันจันทร์นี้” สุภิญญา กล่าว

พบภาพ 'เสื้อกั๊กใส่ระเบิด' โผล่ใน ‘คสช.-โฆษก ตร.’ แถลงทีวีพูลเอง


เมื่อวันที่ 29 ส.ค.2558 เวลา 21.18 น. เฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘ทีมงานโฆษก ตร.’ และเพจ ‘โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ’ ของ พล.ต.ท.ดร.ประวุฒิ ถาวรศิริ โพสต์เตือนว่า “ตามที่ปรากฏภาพในสื่อออนไลน์ ว่าพบเสื้อกั๊กสำหรับบรรจุระเบิด อยู่ภายในห้องพักของชายชาวต่างชาติที่เกี่ยวข้องกับเหตุวางระเบิดแยกราชประสงค์นั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ภาพดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดในครั้งนี้ และไม่ได้มาจากทางราชการ ขอให้ผู้ที่นำภาพนั้นมาเผยแพร่ ขอให้หยุดการกระทำเพราะอาจทำให้เกิดความวิตกกังวลให้กับสังคมได้ ซึ่งอาจจะเป็นความผิด ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ”
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ภาพ ‘เสื้อกั๊กสำหรับบรรจุระเบิด’ นอกจากปรากฏสื่อออนไลน์แล้ว ยังปรากฏอยู่ภาพประกอบการแถลงของ พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อม พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะโฆษก สตช. แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ ถึงกรณีการจับกุมดังกล่าว จากวิดีโอคลิปด้านล่างนาทีที่ 3.22

คสช. แจงภาพออกอากาศ แถลงผ่านทีวีวานนี้มี4ภาพ ที่เหลือโยนสื่ออินเสิร์ทเอง
ล่าสุดวันนี้(30 ส.ค.58) มติชนออนไลน์และแนวหน้า รายงาน คำชี้แจงของศูนย์ติดตามสถานการณ์คสช. โดย พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคสช. ต่อกรณีภาพที่มีการเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียขณะนี้ โดยระบุว่า ตามที่มีการเผยแพร่ภาพข่าวต่างๆใน social media อย่างแพร่หลายในขณะนี้ ศูนย์ติดตามสถานการณ์ คสช. ขอแจ้งว่า ภาพทางการในการแถลงการณ์ร่วมของโฆษก สตช. และ โฆษก คสช. เมื่อวานนี้นั้น (29 ส.ค.58) มีเพียง 4 ภาพ (ตามภาพ) นอกเหนือจากนี้เป็นภาพที่ทางสื่อมวลชน insert ภาพเองทั้งสิ้น
จึงเรียนมาเพื่อทราบ และขอความร่วมมือประชาชนทุกท่านระมัดระวังสำหรับการวิจารณ์และเผยแพร่ หลีกเลี่ยงการนำไปเชื่อมโยงต่อประเด็นใดประเด็นหนึ่ง ที่อาจส่งผลกระทบทางลบต่อประเทศชาติ