วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ตร.หัวหน้าสืบสวนคดี ‘ฮิโรยูกิ-วสันต์-ทศชัย’ เบิกความทั้ง 3 ถูกยิงจากกระสุนที่มาจากแนว จนท.

 ‘ฮิโรยูกิ-วสันต์-ทศชัย’
ไต่สวนการตาย ‘ฮิโรยูกิ-วสันต์-ทศชัย’ เหยื่อกระสุน 10 เม.ย.53 ตร.หน.ผู้รับผิดชอบสืบสวนคดี เบิกความระบุ ที่เกิดเหตุ ‘ถนนดินสอ’ ผู้เชี่ยวชาญด้านขีปนวิธีฯ ยันทิศทาง-ร่องรอยกระสุนมาจากด้านสะพานวันชาติเพียงด้านเดียว ซึ่งเป็นที่ตั้ง จนท.ขณะนั้น ชี้คลิปที่ 'อภิสิทธิ์' มอบให้ ไม่มีน้ำหนัก ไม่ตรงกับคลิปที่ ฮิโรยูกิ' บันทึกไว้ก่อนตาย ‘สุเทพ’ ขึ้นเบิกนัดหน้า 19 ธ.ค. นี้
เมื่อวันที่ 28 พ.ย.ที่ผ่านมา ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลนัดไต่สวนคดีที่พนักงานอัยการ สำนักอัยการคดีพิเศษ ฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนชันสูตรพลิกศพนายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ ชาวญี่ปุ่น ผู้ตายที่ 1 นายวสันต์ ภู่ทอง ผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ผู้ตายที่ 2 และนายทศชัย เมฆงามฟ้า ผู้ชุมนุม นปช. ผู้ตายที่ 3 ทั้งหมดถูกยิงเสียชีวิตบริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ถ.ดินสอ ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมกลุ่ม นปช. เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553
โดย พล.ต.ต.วัลลภ ประทุมเมือง ผู้บังคับการกองโยธาธิการ ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบบริหารงานสืบสวนคดีดังกล่าว ขึ้นเบิกความต่อจากนัดที่แล้ว(อ่านคำเบิกความนัดที่แล้ว) ว่า จากการสอบสวนนายไพบูลย์ น้อยเพ็ง ผู้ชุมนุม นปช. ได้มอบคลิปวิดีโอมีภาพนายฮิโรยูกิทำข่าวอยู่บริเวณหน้า ร.ร.สตรีวิทยา ขณะนั้นยังไม่มีผู้ชุมนุมเข้ามาในบริเวณดังกล่าว ก่อนเกิดเหตุระเบิดทำให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ โดยนายฮิโรยูกิยังเข้าไปบันทึกภาพเจ้าหน้าที่กำลังช่วยกันปฐมพยาบาลเจ้าหน้าที่ที่บาดเจ็บด้วย จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ถอยร่นเข้าไปบริเวณสะพานวันชาติ
พล.ต.ต.วัลลภ เบิกความต่อว่า จากการสอบสวนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งเป็นระดับผู้บังคับบัญชา ได้แก่ พล.ต.วลิต โรจนภักดี พ.อ.ธรรมนูญ วิถี และพ.อ.ชิษณุพงศ์ รอดศิริ ทั้งหมดยืนยันว่า ทำการขอคืนพื้นที่ตามขั้นตอนหลักสากลจากเบาไปหาหนัก โดยไม่ได้ใช้อาวุธและกระสุนปืนจริง นอกจากนี้ยังได้เรียกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ และ ผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) มาสอบสวน โดยทั้ง 2 คนได้มอบแผ่นซีดีและเอกสารภาพถ่ายบ่งบอกว่าน่าจะมีกองกำลังติดอาวุธปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม และทำให้ผู้ตายทั้ง 3 คนถึงแก่ความตาย ส่วน พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด อดีตโฆษก ศอฉ. มอบหลักฐานเป็นซีดีบันทึกภาพเหตุการณ์ช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.2553 และการจับกุมชายชุดดำ
พล.ต.วัลลภ เบิกความอีกว่า จากการตรวจสอบพยานหลักฐานของทั้ง 2 ฝ่าย พบว่าซีดีมีการตัดต่อสลับไปมาและไม่เรียงตามลำดับเหตุการณ์ที่แท้จริง จึงยากต่อการรับฟังข้อมูลจากวิดีทัศน์ทั้งหมด ยกเว้นแผ่นซีดีที่ได้จากกล้องของนายฮิโรยูกิที่สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นส่งมาให้พนักงานสอบสวน ซึ่งเรียงเวลาตามลำดับเหตุการณ์ที่นายฮิโรยูกิเข้าไปทำข่าว โดยมีความยาวประมาณ 5.57 นาที เริ่มตั้งแต่เวลา 15.20 น. เป็นภาพผู้ชุมนุมรวมตัวกัน แต่ไม่ทราบว่าเป็นที่ไหน ต่อมาเวลา 19.29 น. เป็นภาพเหตุการณ์การชุมนุมบริเวณแยกวิสุทธิกษัตริย์ จากนั้นเวลา 19.48 น. เป็นภาพผู้ชุมนุมกำลังแกะตัวหนอนบนทางเท้าออก
พยานเบิกความต่อว่า กระทั่งเวลา 20.44 น. เป็นภาพบริเวณหน้า ร.ร.สตรีวิทยา มีรถสายพานลำเลียงพลจอดอยู่ โดย พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม นั่งอยู่บนรถดังกล่าวด้วย เวลา 20.45 น. เป็นภาพเจ้าหน้าที่ยิงปืนขึ้นฟ้า แต่ขณะนั้นยังไม่มีภาพของผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ จากนั้นเวลา 20.46 น. เจ้าหน้าที่ใช้แก๊สน้ำตาขว้างใส่กลุ่มผู้ชุมนุม แต่ควันลอยกลับไปหาเจ้าหน้าที่ ทำให้เจ้าหน้าที่ถอยร่นเข้าไป ซึ่งตรงกับที่นายไพบูลย์ให้การไว้  ต่อมาเวลา 20.48 น. มีเสียงระเบิดครั้งแรก ถัดมาอีก 5 วินาที มีเสียงระเบิดครั้งที่สอง จากนั้นเป็นภาพเจ้าหน้าที่เข้าไปลำเลียงเจ้าหน้าที่ที่บาดเจ็บออกมาปฐมพยาบาล ก่อนที่เหตุการณ์จะสงบลงชั่วคราว
พยานเบิกความอีกว่า กระทั่งเวลา 20.51 น. มีเสียงปืนดังขึ้นนัดแรก เวลา 20.52 น. กลุ่มผู้ชุมนุมเข้ามายืนดูเจ้าหน้าที่ที่บาดเจ็บบริเวณหน้า ร.ร.สตรีวิทยา ก่อนมีเสียงปืนดังขึ้นเป็นนัดที่ 2 มีภาพเจ้าหน้าที่ทหารนอนบาดเจ็บหน้า ร.ร.กวดวิชาพัทจรีย์ โดยมีกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่งถือไม้เดินตามเข้าไป เวลา 20.53 น. มีเสียงปืนดังขึ้นเป็นนัดที่ 3 และดังต่อเนื่องจนเป็นเสียงรัว กระทั่งเวลา 20.54 น. เป็นภาพสุดท้ายที่ผู้ตายบันทึกไว้ คือภาพกลุ่มผู้ชุมนุมบริเวณหน้า ร.ร.สตรีวิทยา ฝั่งตรงข้ามร้านอาภรณ์พาณิชย์ กำลังขว้างก้อนหินไปยังกลุ่มเจ้าหน้าที่
พล.ต.ต.วัลลภ เบิกความว่า จากภาพและคลิปวิดีโอ รวมถึงการสอบสวนพยานใกล้ชิดเหตุการณ์ทั้งหมด 8 คน สรุปข้อเท็จจริงได้ว่า นายฮิโรยูกิเสียชีวิตบริเวณหน้า ร.ร.สตรีวิทยา ถ.ดินสอ เวลาประมาณ 21.00 น. เนื่องจากถูกกระสุนปืนแรงสูงบริเวณหน้าอก ส่วนนายวสันต์และนายทศชัยก็เสียชีวิตจากการถูกยิงด้วยกระสุนปืนแรงสูงในบริเวณเดียวกัน เนื่องจากตรวจสอบพบดีเอ็นเอในคราบโลหิตบริเวณที่เกิดเหตุตรงกับนายวสันต์และนายทศชัย
พล.ต.ต.วัลลภ เบิกความต่อว่า ต่อมาคณะพนักงานสอบสวนจึงรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อหาว่าอาวุธปืนและลูกกระสุนปืนที่ยิงถูกผู้ตายทั้ง 3 คน มาจากทิศทางใด จากรายงานของแผนกตรวจสถานที่เกิดเหตุและแผนกตรวจร่องรอยวิถีกระสุน กองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และรายงานการตรวจร่องรอยวิถีกระสุนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) โดยทั้ง 2 หน่วยงานยืนยันตรงกันว่า พบร่องรอยวิถีกระสุนปืนในบริเวณที่เกิดเหตุ จำนวน 114 รอย ในจำนวนนี้สามารถบอกทิศทางได้ 108 รอย โดยทั้ง 2 หน่วยงาน ยืนยันสอดคล้องกันว่า วิถีกระสุนปืนมาตามแนวถ.ดินสอจากทางด้านสะพานวันชาติ มุ่งหน้าไปทางอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเพียงด้านเดียว
พยานเบิกความอีกว่า เมื่อประกอบกับคำให้การของพยานบุคคลทั้ง 8 คน ซึ่งให้การว่า ได้ยินเสียงปืนและเห็นแสงไฟมาจากด้านสะพานวันชาติ ในจำนวนนี้มีพยาน 3 ปากที่ตรวจสอบแล้วว่าอยู่ใกล้ชิดกับนายฮิโรยูกิมากที่สุดตามคำให้การจริง จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ส่วนแผ่นซีดีที่นายอภิสิทธิ์มอบให้พนักงานสอบสวน คลิปช่วงแรกเป็นเพียงแผนผังจำลองพื้นที่ประกอบคำบรรยาย โดยไม่มีภาพเหตุการณ์จริง ซึ่งเหตุการณ์ไม่ตรงกับคลิปวิดีโอที่ผู้ตายบันทึกไว้ ในคลิปยังนำภาพเหตุการณ์ระเบิดมาแสดง พร้อมระบุว่ามีชายชุดดำและเกิดเหตุระเบิด 3 ครั้ง ขณะเดียวกันก็สอดแทรกภาพนิ่งของชายชุดดำถืออาวุธปืนเข้าไปในคลิป พร้อมคำบรรยายว่า มีการยิงอาวุธปืนเอ็ม 16 อาก้า และระเบิดเอ็ม 79 แต่ในคลิปวิดีโอของนายฮิโรยูกิเกิดเหตุระเบิดเพียง 2 ครั้ง และไม่มีภาพของชายชุดดำปรากฏอยู่
พยานเบิกความต่อว่า นอกจากนี้ในคลิปดังกล่าวยังมีภาพชายคลุมหัวให้สัมภาษณ์นักข่าวว่ามีระเบิดลง 2 ลูก แต่ไม่ทราบชื่อและไม่ทราบว่าให้สัมภาษณ์บริเวณ จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่สามารถติดตามตัวชายคนดังกล่าวมาสอบปากคำได้ สำหรับคลิปดังกล่าวที่นายอภิสิทธิ์นำมามอบให้ก็ไม่ใช่ภาพบริเวณ ถ.ดินสอ และไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นเหตุการณ์บริเวณใด โดยนายอภิสิทธิ์ให้การว่า มีผู้นำแผ่นซีดีมาให้และไม่ทราบว่าใครเป็นผู้จัดทำ เมื่อไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณ ถ.ดินสอ จึงไม่สามารถนำแผ่นซีดีดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาได้ เนื่องจากไม่มีน้ำหนักและไม่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ และจากรายงานการชันสูตรบาดแผลของ พ.อ.ร่มเกล้า และเจ้าหน้าที่ทหาร รวม 5 คน ระบุว่า เสียชีวิตจากวัตถุระเบิด โดยไม่มีเจ้าหน้าที่ทหารคนใดเสียชีวิตจากการถูกอาวุธปืนยิงบริเวณหน้า ร.ร.สตรีวิทยา 
พล.ต.ต.วัลลภ เบิกความต่อว่า จากคลิปและพยานบุคคลที่สอบสวนมาทั้งหมด ไม่มีพยานหลักฐานใดที่จะชี้ชัดว่า มีการยิงกระสุนปืนจากฝั่งกลุ่มผู้ชุมนุม นอกจากนี้ ที่เกิดเหตุบริเวณถ.ดินสอมีความกว้างเพียง 9 เมตร ประกอบกับแพทย์ลงความเห็นว่า กระสุนปืนที่ถูกผู้ตายที่ 1-3 เป็นกระสุนปืนแรงสูง โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านขีปนวิธีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและดีเอสไอยืนยันว่า ทิศทางและร่องรอยกระสุนปืนมาจากด้านสะพานวันชาติเพียงด้านเดียว ประกอบกับเจ้าหน้าที่ทหารยอมรับว่า ได้เข้าครอบครองพื้นที่ปฏิบัติการทางยุทธวิธีตั้งแต่บริเวณสะพานวันชาติจนถึงบริเวณหน้า ร.ร.สตรีวิทยา เมื่อเป็นเช่นนี้ คณะพนักงานสอบสวนจึงลงมติเป็นเอกฉันท์ว่า กระสุนปืนที่ยิงถูกผู้ตายทั้ง 3 มาจากด้านสะพานวันชาติ ซึ่งเป็นแนวที่ตั้งการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ แต่ไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าใครเป็นผู้ยิง
พล.ต.ต.วัลลภ เบิกความอีกว่า คณะพนักงานสอบสวนจึงลงความเห็นว่า นายฮิโรยูกิเสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 เวลาประมาณ 21.00 น. บริเวณหน้า ร.ร.สตรีวิทยา ถ.ดินสอ ส่วนนายวสันต์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 ในเวลาก่อนหน้าที่นายฮิโรยูกิถูกยิงเล็กน้อย และนายทศชัยเสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ในเวลาหลังนายฮิโรยูกิถูกยิง โดยทั้งหมดถูกยิงด้วยกระสุนปืนจากฝั่งสะพานวันชาติ ซึ่งเป็นแนวที่ตั้งของเจ้าหน้าที่
จากนั้นทนายญาติผู้ตายให้พยานดูภาพถ่ายที่นายสุเทพมอบให้พนักงานสอบสวน โดยเป็นภาพรถตู้ที่อ้างว่ามีชายชุดดำอยู่ในรถ บริเวณแยกสี่กั๊กพระยาศรี ถ.เจริญกรุง ในเวลา 21.01 น. ซึ่งใกล้เคียงกับเวลาที่นายฮิโรยูกิถูกยิง พร้อมถามว่า จากจุดดังกล่าวห่างจากที่เกิดบริเวณหน้า ร.ร.สตรีวิทยา ประมาณเท่าใด แล้วต้องใช้เวลาประมาณเท่าไหร่ในการเดินทางจากจุดเกิดเหตุไปบริเวณดังกล่าว พยานเบิกความว่า ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 1 กิโลเมตรขึ้นไป คาดว่าต้องใช้เวลาเดินทางอย่างน้อย 30 นาที เนื่องจากจุดเกิดเหตุมีผู้ชุมนุมจำนวนมากและมีการปิดถนน จึงต้องมีการขับอ้อม
ทนายญาติผู้ตายถามอีกว่า จากการสอบปากคำเจ้าของบ้านในที่เกิดเหตุเป็นอย่างไรบ้าง พยานเบิกความว่า เจ้าของบ้านให้การว่าไม่เห็นเหตุการณ์ เพียงแต่ได้ยินเสียงปืนดังตั้งแต่เวลา 19.00 น. และได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้น แต่ไม่มีใครหรือมีผู้ชุมนุมปีนเข้าไปในบริเวณบ้าน วันรุ่งขึ้นสำรวจพบโลหะโค้ง 2 อัน ตกที่พื้นหน้าบ้านใกล้กับประตูบ้าน ต่อมามีเจ้าหน้าที่ 3-4 คน เข้ามาตรวจสอบและขอไป โดยแจ้งว่าน่าจะเป็นกระเดื่องนิรภัยของระเบิด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการไต่สวนเสร็จสิ้น ศาลนัดไต่สวนครั้งต่อไปเป็นวันที่ 19 ธ.ค. และ 26 ธ.ค. เวลา 09.00 น. โดยพนักงานอัยการจะนำนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ขึ้นเบิกความ

สิ้น ‘ศักดิชัย บำรุงพงศ์’ เจ้าของนามปากกา ‘เสนีย์ เสาวพงศ์’


‘ศักดิชัย บำรุงพงศ์’ เจ้าของนามปากกา ‘เสนีย์ เสาวพงศ์’ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ. 2533 ผู้เขียนนิยายเรื่อง ‘ปีศาจ’ เสียชีวิตแล้ว
29 พ.ย.2557 เมื่อเวลา 16.42 น. เฟซบุ๊ก ‘ซาร่า ปทุมรส’ บุตรของ ศักดิชัย บำรุงพงศ์ หรือนามปากกา ‘เสนีย์ เสาวพงศ์’  นักการทูต นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ และศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ. 2533 โดยซาร่าได้โพสต์ภาพประกอบข้อความระบุว่าบิดาตนเองเสียชีวิตลงแล้ว
ศักดิชัย เริ่มเป็นนักการทูตในต่างประเทศ ใช้ชีวิตอยู่ในรัสเซีย (2490-2497) อาร์เจนตินา (2498-2503) อินเดีย (2505-2508) ออสเตรีย (2511-2515) อังกฤษ (2516-2518) ได้เป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศเอธิโอเปีย เมื่อ พ.ศ. 2518 และเกษียณอายุราชการในตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศพม่า เมื่อ พ.ศ. 2521 หลังเกษียณอายุ ศักดิชัย บำรุงพงศ์ รับตำแหน่งประธานที่ปรึกษาในเครือมติชน และมีงานเขียนนวนิยาย "คนดีศรีอยุธยา" (2524) "ใต้ดาวมฤตยู" (2526) และเขียนบทความประจำในหนังสือพิมพ์และนิตยสาร ได้รับการเชิดชูเกียรติ รางวัลศรีบูรพาคนแรก ในปี พ.ศ. 2531 รางวัลศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ. 2533 และรางวัลนราธิป ประจำปี พ.ศ. 2541
ศักดิชัย บำรุงพงศ์ สมรสกับเครือพันธ์ ปทุมรส เมื่อ พ.ศ. 2496 มีบุตรธิดา 4 คน โดยเครือพันธ์ พึงเสียชีวิตไปเมื่อ ก.ค.ที่ผ่านมา
นามปากกา ‘เสนีย์ เสาวพงศ์’ เป็นที่รู้จักมากกับงานเขียนนิยายเรื่อง ปีศาจ โดยเฉพาะคำพูดเรื่อง ‘ปีศาจแห่งกาลเวลา’ ที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของสักคมกับการพยามเหนี่ยวรั้งการเปลี่ยนแปลงของสังคมนำไปสู่สิ่งที่ สาย สีมา ตัวเอกของเรื่องเรียกว่า ‘ความละเมอหวาดกลัว’ โดย สาย สีมา กล่าวต่อหน้าสมาคมของชนชั้นสูงว่า
"...สำหรับท่านที่อยู่ในปราสาทนั้นไม่จำเป็นจะต้องแตะต้อง เพราะอย่างไรก็จะต้องเสื่อมสลายไปตามเวลา ท่านไม่สามารถจะยับยั้งความเปลี่ยนแปลงแห่งกาลเวลาได้ดอก เมื่อคืนวันเวลาล่วงไป ของเก่าทั้งหลายก็นับวันจะเข้าไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ยิ่งขึ้น
ท่านเข้าใจผิดที่คิดว่าผมจะลอกคราบตัวเองขึ้นเป็นผู้ดี เพราะนับเป็นการถอยหลังกลับ เวลาได้ล่วงไปมากแล้วระหว่างโลกของท่านกับโลกของผมมันก็ห่างกันมากมายออกไปทุกที ผมเป็นปีศาจที่กาลเวลาได้สร้างขึ้นมาหลอกหลอนคนที่อยู่ในโลกเก่า ความคิดเก่า ทำให้เกิดความละเมอหวาดกลัว
และไม่มีอะไรที่จะเป็นเครื่องปลอบใจท่านเหล่านี้เท่ากับไม่มีอะไรหยุดยั้งความรุดหน้าของกาลเวลาที่จะสร้างปีศาจเหล่านี้ให้มากขึ้นทุกที ท่านคิดจะทำลายปีศาจตัวนี้ในคืนวันนี้ต่อหน้าสมาคมชั้นสูงเช่นนี้แต่ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ เพราะเขาอยู่ยงคงกะพันยิ่งกว่าอคิลลิสหรือซิกฟรีด เพราะเขาอยู่ในเกราะกำบังแห่งกาลเวลา"

สัมภาษณ์เสนีย์ โดย Bookmoby Com เมื่อปี 55
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ได้โพสต์แสดงความเสียใจต่อการเสียชีวิตของศักดิ์ชัย ด้วยดังนี้
ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ต่อการจากไปของคุณเสนีย์ เสาวพงศ์ (ศักดิ์ชัย บำรุงพงศ์) หนึ่งในนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ของไทย
เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา คุณเครือพันธ์ ปทุมรส-บำรุงพงศ์ ภรรยาคุณศักดิ์ชัย ถึงแก่กรรม ในขณะนั้น ผมอยู่ในระหว่างระหกระเหเร่ร่อน ก็ตกใจเมื่อทราบข่าว และเสียใจที่ไม่มีโอกาสได้ร่วมแสดงความไว้อาลัย
ผมและภรรยา รู้จักกับครอบครัวคุณ เสนีย์-เครือพันธ์ ผ่านทาง "จ๊ะ" ศรัญยา บำรุงพงศ์ (ภรรยาอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซียคนที่แล้ว) ซึ่งเป็นรุ่นน้องรัฐศาสตร์ (และประธานนักศึกษาคณะ) ต่อจากภรรยาผม เสียดายที่ผมไม่มีโอกาสได้พบทั้งคุณศักดิ์ชัย และคุณเครือพันธ์ ด้วยตัวเอง
แต่เมื่อไม่กี่ปีก่อน ระหว่างที่ผมทำการวิจัยค้นคว้าเกี่ยวกับกรณีสวรรคต เพือเขียนบทความ "50 ปี การประหารชีวิตกรณีสวรรคต" ผมได้มีโอกาสโทรศัพท์พูดคุยขอข้อมูลจากคุณเครือพันธ์ ที่เป็นบุตรสาวคุณเฉลียว ปทุมรส หนึงในสามผู้บริสุทธิ์คดีสวรรคตที่ถูกทำร้ายอย่างไม่ยุติธรรม คุณเครือพันธุ์ได้ให้ความเมตตา พูดคุยให้ข้อมูลเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว เป็นพระคุณต่อผมอย่างมาก เมื่อปีที่แล้ว (2556) ผมยังได้มีโอกาสโทรศัพท์ไปหาคุณเครือพันธ์อีกครั้งหนึ่ง เพื่อพูดคุยสอบถามข้อมูลอีกบางอย่างทีนักเขียนบางท่านเสนอเกี่ยวกับกรณีสวรรคตอีก ขณะนั้นคุณเครือพันธ์ชราและสุขภาพไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ยังเมตตาพูดคุยกับผม และยังบอกด้วยว่า คุณศักดิ์ชัย ก็สุขภาพไม่ดี ชรามาก ซึงผมก็ได้แต่ฝากความเคารพและความห่วงใย
ผมไม่เคยได้พบตัว "เสนีย์ เสาวพงศ์" ตัวจริง แต่ "ปีศาจ" ของเสนีย์ เสาวพงศ์ เป็นแรงบันดาลใจอย่างสูงต่อผม และเพื่อนในรุ่นเดียวกันจำนวนมาก ตั้งแต่สมัยที่เรายังเป็นนักเรียน เป็นหนึ่งในปัจจัยที่กระตุ้นให้เราหันมาพยายามเปลี่ยนแปลงสังคม เราทุกคน และชีวิตวัฒนธรรมไทยสมัยใหม่ เป็น "หนี้" คุณศักดิ์ชัย มาจนทุกวันนี้
ด้วยความเคารพอย่างสูง
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
29 พฤศจิกายน 2557

ยกเลิกชื่อสกุลพระราชทาน "อัครพงศ์ปรีชา" ให้กลับไปใช้ชื่อสกุลเดิม

โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติเผยได้รับหนังสือยกเลิกชื่อสกุล "อัครพงศ์ปรีชา" แล้ว โดยผู้ที่เคยได้รับพระราชทานนามสกุลต้องกลับไปใช้นามสกุลเดิม
ที่มาของภาพ: สำนักข่าวไทย
29 พ.ย. 2557 - เมื่อวันที่ 28 พ.ย. กองกิจการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทำหนังสือที่ พว 0005.1/2557 เรื่อง ยกเลิกชื่อสกุลพระราชทาน “อัครพงศ์ปรีชา” เรียน ปลัดกระทรวงมหาดไทย ระบุว่า ด้วยกองกิจการในพระองค์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร ขอยกเลิกชื่อสกุลพระราชทาน "อัครพงศ์ปรีชา" โดยให้ผู้ใช้ชื่อสกุลพระราชทานนี้ในปัจจุบันกลับไปใช้ชื่อสกุลเดิม ลงชื่อ พล.อ.อ.สถิตพงษ์ สุขวิมล ราชเลขานุการในพระองค์ฯ ปฏิบัติหน้าที่ ผู้อำนวยการ กองกิจการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
ไทยรัฐออนไลน์ รายงานวันนี้ (29 พ.ย.) ว่า พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่มีประกาศหนังสือยกเลิกชื่อนามสกุล "อัครพงศ์ปรีชา" ว่า ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว ซึ่งผู้ที่เคยได้รับการพระราชทานนามสกุลดังกล่าว ก็ต้องกลับไปใช้นามสกุลเดิม คือ "เกิดอำแพง" และกระบวนการต่อไป ทางกระทรวงมหาดไทยจะต้องไปดำเนินการถอดถอนต่อไป

คำสั่งปลดยศทหาร-ให้ออกจากราชการ 'ณัฐพล-สิทธิศักดิ์-ณรงค์'


         คำสั่งหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ฯ ให้ปลดและถอดยศ พ.ต.ณัฐพล-จ.ส.อ.สิทธิศักดิ์ และคำสั่งสำนักพระราชวังไล่นายณรงค์ ออกจากราชการ หลังทั้ง 3 ถูกจับกุมในข้อกล่าวหาอ้างเบื้องสูงทวงหนี้ ร่วมกันตั้งแต่ 5 คนกักขัง หน่วงเหนี่ยว โดย ผบ.ตร. ระบุว่าขยายผลจากการจับกุม "เดอะกิ๊ก" อดีต ผบช.ก. คดีส่วยน้ำมันเถื่อน
          30 พ.ย. 2557 - เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2557 เว็บไซต์สำนักข่าวไทย เผยแพร่คำสั่งหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ เลขที่ 656/2557 เรื่อง ให้ปลดนายทหารสัญญาบัตรและถอดออกจากว่าที่ยศ และ เลขที่ 657/2557 เรื่อง ให้ปลดนายทหารประทวนและถอดออกจากยศทหาร ได้แก่  ว่าที่ พ.ต.ณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา ผู้ช่วยนายทหารธุรการ กองบังคับการสำนักงานฝ่ายเสนาธิการในพระองค์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และ จ.ส.อ.สิทธิศักดิ์ อัครพงศ์ปรีชา เสมียน กองบังคับการสำนักงานฝ่ายเสนาธิการ ในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
          โดย พ.ต.ณัฐพล ให้ออกจากราชการ โดยไม่มีเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญ พ้นราชการทหารประเภทที่ 2 และถอดออกจากว่าที่ยศทหาร เนื่องจากกระทำความผิดวินัยทหาร ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ผิดกฎหมายบ้านเมือง ส่วน จ.ส.อ.สิทธิศักดิ์ ให้ออกจากราชการ โดยไม่มีเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญ คงเป็นนายสิบกองหนุน ประเภทที่ 1 ชั้นที่ 1 สังหัด จทบ.ก.ท. และถอดออกจากยศทหาร เนื่องจากกระทำความผิดวินัยทหาร ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ผิดกฎหมายบ้านเมือง
           ขณะเดียวกันมีคำสั่งสำนักพระราชวัง ที่ 468/2557 เรื่อง ลงโทษไล่ข้าราชการออกจากราชการ ลงนามโดย นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา รองเลขาธิการพระราชวัง รักษาราชการแทน เลขาธิการพระราชวัง โดยระบุว่า นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา ข้าราชการพลเรือนในพระองค์ ตำแหน่งเจ้าพนักงานในพระองค์ ประเภททั่วไป ระดับอาวุโส เลขที่ตำแหน่ง 926 งานต่างประเทศ ฝ่ายราชเลขานุการ กองกิจการในพระองค์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร ได้รกะทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง โดยมีกรณีความผิดกล่าวคือ สำนักพระราชวังได้รับรายงานจากกองกิจการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2557 ว่านายณรงค์ ได้แอบอ้างพระนามาภิไธยของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร เพื่อหาประโยชน์ส่วนตน การกระทำดังกล่าวทำให้ไม่เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย ในการนี้ มีพระราชบัณฑูรให้ลงโทษไล่ นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชาออกจากราชการ สำนักพระราชวังพิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำของ นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา เป็นความผิดวินัยฐานกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง อันเป็นความผิดตามมาตรา 85 (4) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 จึงเห็นสมควรลงโทษไล่ออกจากราชการ
          ทั้งนี้นายณัฐพล นายสิทธิศักดิ์ และนายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา เป็น 3 ใน 5 ผู้ต้องหาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขยายผลจากการจับกุม พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์  อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) และพวก ในคดีเรียกรับสินบน และแอบอ้างเบื้องสูง จากรายงานของสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวเมื่อวันที่ 26 พ.ย. ว่า ตำรวจได้ขยายผลการจับกุมเครือข่ายเพิ่มเติมอีก 5 คน ได้แก่ นายณัฐพล นายสิทธิศักดิ์ และนายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา นายสุทธิศักดิ์ สุทธิจิตต์ และนายชากานต์ ภาคภูมิ โดยต่อมาทั้งหมดถูกตั้งข้อหา มีความผิดหมิ่นสถาบันเบื้องสูงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ร่วมกันข่มขืนใจให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายหรือเสรีภาพ โดยมีอาวุธ ซึ่งร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป และหน่วงเหนี่ยวหรือกักขัง หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่น
        โดยเมื่อวันที่ 28 พ.ย. มีการนำตัวมาขออำนาจศาลจังหวัดพระโขนง ฝากขังผลัดแรกเป็นเวลา 12 วัน โดยถูกนำตัวไปควบคุมที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง (1)(2)
         อนึ่ง ไทยรัฐออนไลน์ รายงานด้วยว่า พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวเมื่อวันที่ 29 พ.ย. ถึงกรณีที่กองกิจการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทำหนังสือ ประกาศหนังสือยกเลิกชื่อนามสกุล "อัครพงศ์ปรีชา" ว่าทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว ซึ่งผู้ที่เคยได้รับการพระราชทานนามสกุลดังกล่าว ก็ต้องกลับไปใช้นามสกุลเดิม คือ "เกิดอำแพง" และกระบวนการต่อไป ทางกระทรวงมหาดไทยจะต้องไปดำเนินการถอดถอนต่อไป (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)
        วันเดียวกัน เจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ควบคุม พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้ต้องหาคดีส่วยน้ำมันเถื่อน จากศาลอาญา รัชดาภิเษก มาถึงเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ หลังศาลอนุญาตให้ฝากขัง และไม่อนุญาตให้ประกันตัว ตามที่พนักงานสอบสวนยื่นคัดค้านการประกันตัว

จับเพิ่ม 2 ผู้ต้องหาคดีอ้างเบื้องสูงทวงหนี้-สตช.ขอ พ.ต.ท.ทรงรักษ์ มารายงานตัว

Sun, 2014-11-30 15:52

ผช.ผบ.ตร. แถลงผลจับกุม 2 ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหารคดีอ้างเบื้องสูงทวงหนี้ และยังเร่งจับพลเรือน 1 ทหารประทวน 2 พร้อมขอให้ พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ขุนศรี รอง ผกก. 6 ป. ซึ่งขาดราชการมา 4 วันแล้ว ให้มารายงานตัวและรับการสอบปากคำ
30 พ.ย. 2557 - สำนักข่าวไทย รายงานวันนี้ว่า พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศืริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และโฆษก สตช. แถลงจับกุมนาย ชลัช โพธิราช และนายณัฐนันท์ ทานะเวช ถูกตำรวจนครบาล 5 จับกุมได้ที่บ้านพักซอยสุทธิพร ย่านดินแดง ทั้ง 2 ถูกศาลทหารออกหมายจับ ข้อหาร่วมกันหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่น โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์ โดยใช้อาวุธและร่วมการกระทำผิดตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
เหตุเกิดเมื่อ 23 มิ.ย. 57 ผู้ต้องหาทั้ง 2 คนได้ดักอุ้มนายบัณฑิต โชติวิทยะกุล นักธุรกิจ บริเวณทางเข้าคอนโดที่พักย่านบางคอแหลม  แต่ถูกตำรวจจับกุมตัวได้ก่อน จากนั้นนายบัณฑิต จึงได้เจรจากับผู้ต้องหากลุ่มนามสกุลอัครพงศ์ปรีชา ที่ร้านอาหารย่านพุทธมณฑล โดยมีนายนพพร ศุภพิพัฒน์ เป็นคนว่าจ้าง ให้นำตัวนายบัณฑิตเพื่อเจรจาขอลดหนี้ที่กู้ยืมมาลงทุนจำนวน 120 ล้านบาทให้เหลือ 20 ล้านบาท  โดยผู้ต้องหาจะได้ค่าจ้างร้อยละสิบ จากจำนวนเงินหนี้ที่ลดลง  สอบสวนทั้ง 2 ให้การรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา แต่ปฏิเสธว่าไม่ทราบมีการแอบอ้างเบื้องสูงขอเจรจาลดหนี้แต่อย่างใด
         อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ยังเร่งติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่ร่วมขบวนการอีก 3 คน คือนายวิทยา เทศขุนทด ส.อ.ณธกร ยาศรี ส.อ.ธีรพงศ์ ช่อจำปี
พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวถึง พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ขุนศรี รอง ผกก. 6 ป. ที่ขาดราชการ หลังถูกพนักงานสอบสวนชุดทำคดีอดีตผู้บัญชาการสอบสวนกลาง เรียกไปสอบปากคำแต่ถึงขณะนี้ยังติดต่อไม่ได้ เชื่อว่าเกิดความตกใจกลัว เกรงจะมีความผิด เนื่องจากมีส่วนรู้เห็นเส้นทางการจ่ายเงินให้อดีตผู้บัญชาการสอบสวนกลาง อย่างไรก็ตามได้สั่งการให้ลงประจำวันขาดราชการไปแล้ว 4 วันหากครบ 15 วันไม่มีเหตุอันควรจากการขาดราชการ ก็จะให้ออกจากราชการทันที
ส่วนกรณีถอดยศ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์  ฉายาพันธุ์ และพวก ขณะนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยังไม่มีคำสั่งตั้งกรรมการสอบสวนเรื่องนี้ คาดว่าต้องรอผลสอบสวนวินัยร้ายแรงมาประกอบถึงจะดำเนินการได้
อนึ่ง พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รักษาการ ผู้บังคับการกองปราบปราม (ผบก.ป.) ได้มีหนังสือให้ให้ข้าราชการตำรวจในสังกัด กก.2 กก.3 กก.6 และ กก.ปพ. ในสังกัดกองปราบ ให้มารายงานตัวในวันที่ 17 พ.ย. ประกอบด้วย พ.ต.ท.สิทธิเมศวรีย์ ศิวคุปต์ ครุฑรานนท์ รอง ผกก.ปพ., พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ขุนศรี รอง ผกก.6., ร.ต.อ.มนุพัศ ศรีบุญลือ รอง สว.กก.2., ร.ต.อ.นิธิพัฒน์ กังรวมบุตร รอง สว.ปพ., ร.ต.อ.ธนเสฏฐ์ คุ้มเล็กเดชาวุฒิ พงส.กก.3 และ ร.ต.อ.ธนพัฒธ์ กังรวมบุตร พงส.กก.3 โดยผู้มีรายชื่อต่างๆ ได้เข้ามารายงานตัวแล้ว เหลือ พ.ต.ท.ทรงรักษ์

คุยกับแอดมินเพจ ‘เปลี่ยนฉากหลังให้ทั่นผู้นำ’ หลังถูก ‘ประยุทธ์’ ติงผลงาน "เห็นอยู่แล้ว ทุเรศทุกฉาก"


รายงานสัมภาษณ์แอดมินเพจ ‘เปลี่ยนฉากหลังให้ทั่นผู้นำ’ ฟังเป้าหมายและความรู้สึกของพวกเขาหลัง  ‘พล.อ.ประยุทธ์’ ติติงผลงานกลับมา รวมถึงความเห็นต่อกระแสเบื่อรายการคืนความสุขฯ วิเคราะห์ 'ฉากหลัง' ที่แท้จริงและคอมเมนท์ฉากใหม่ เป็นต้น
ในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กบุคคลสำคัญไม่ว่าจะวงการไหน แม้แต่วงการการเมืองมักถูกนำมาล้อเลียนในรูปแบบ ‘มีม(meme)’  ที่เป็น คำพูด วิธีการพูดการแสดงออก โดยเฉพาะภาพอิริยาบถแปลกตาที่ถูกนำไปตัดต่อล้อเลียน เลียนแบบ แล้วแพร่กระจายต่อๆ กันผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก เช่น ภาพของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, ทักษิณ ชินวัตร, สุเทพ เทือกสุบรรณ รวมไปถึงกรณีที่เป็นกระแสอย่างมากเมื่อปลายปีที่แล้วคือภาพของ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม ในขณะนั้น ซึ่งแต่งกายเสื้อยืดกางเกงขาสั้น ถือถุงกับข้าว เดินเข้าวัด เป็นภาพที่ดูแปลกตาสำหรับบุคลสำคัญทางการเมือง จนนำมาสู่การแต่งภาพล้อเลียนในรูปแบบต่างๆ โดยมีเพจ ‘ชัชชาติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี’ เป็นผู้คอยรวบรวมและปล่อยของ
นอกจากเป็นการล้อเลียนผ่านภาพตัดต่อแล้ว ยังมีการล้อเลียนด้วยการแต่งตัวในชุดดังกล่าวเลียนแบบ เรียกว่า 'คอสเพลย์ชัชชาติ' อีกด้วย
ตัวอย่างมีมชัชชาติ
และที่สำคัญ ชัชชาติ เองก็ร่วมเล่นด้วยกับกระแสล้อเลียนดังกล่าว โดยเมื่อวันที่ 11 ม.ค.57 ได้โพสต์มีมดังกล่าวพร้อมดาวบนตัวและข้อความ “เตรียมพร้อมรับมือ หากปิดกรุงเทพ..” 
ภาพที่ชัชชาติโพสต์เมื่อวันที่ 11 ม.ค.57
หากมาดูกระแสในปัจจุบัน คงหนีไม่พ้นเพจที่มีชื่อว่า ‘เปลี่ยนฉากหลังให้ทั่นผู้นำ’ ที่ปัจจุบันมียอดผู้กดไลค์เพจกว่า 50,000 ไลค์แล้ว ทั้งที่พึ่งตั้งเพจเมื่อวันที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมานี่เอง หลังจากที่มีเสียงสะท้อนจากประชาชนว่าเบื่อ ‘รายการคืนความสุขให้คนในชาติ’ จนวันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ ได้ปรารภกับคณะทำงานและชี้ไปที่ฉากหลังพร้อมกับกล่าวว่า  อยากให้เปลี่ยนรูปแบบโดยเอาภาพอื่นมาใส่บ้าง ต้องการปรับเปลี่ยนให้ฉากหลังเป็นที่น่าดึงดูดและน่าสนใจกว่าเดิม 
เมื่อความดังกล่าวถูกเผยแพร่เป็นข่าว เพจ ‘เปลี่ยนฉากหลังให้ทั่นผู้นำ’ จึงถูกตั้งขึ้นพร้อมได้ประกาศรับอาสารวบรวมไอเดียในโซเชียลเนตเวิร์กเพื่อเสนอเป็นฉากหลังใหม่ของรายการดังกล่าว โดยอำนวยความสะดวกด้วยการเตรียมภาพมีม พล.อ.ประยุทธ์ ไว้ให้เป็นนายแบบเพื่อใช้ทดสอบกับฉากหลังใหม่ในแบบต่างๆ ด้วย จนมีผู้ส่งเข้าร่วมจำนวนหลายฉากจนเป็นกระแสแชร์ต่อกันมากมา
วันที่ 28 พ.ย.ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ได้แสดงความเห็นต่อผลงานของเพจนี้ว่า "เห็นอยู่แล้ว ทุเรศทุกฉาก" ส่งผลให้เพจนี้เกิดอาการน้อยใจพร้อมโพสต์ตัดพ้อนายกฯ ว่า “จะต้องทำยังไงแบบไหนที่เธอจะรัก น้อยใจแล้วน้ะ” และคืนวันเดียวกันในรายการคืนความสุขฯ พล.อ.ประยุทธ์ ก็มาพร้อมฉากใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีฉากที่เพจนี้นำเสนอแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ‘ประชาไท’ ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ ‘ คิด’ แอดมินเพจนี้ เพื่อสอบถามถึงความรู้สึกที่เขามีหลัง พล.อ.ประยุทธ์ คอมเมนท์ผลงานพวกเขา รวมถึงวัตถุประสงค์และกระบวนการทำงาน ความเห็นต่อกระแสคนที่เบื่อรายการคืนความสุขฯ มุมมองต่อปรากฏการล้อเลียนหรือมีมในโซเชียลเน็ตเวิร์ก แถมด้วยวิเคราะห์ 'ฉากหลัง' ที่แท้จริงของ พล.อ.ประยุทธ์ และคอมเมนท์ฉากใหม่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เป็นต้น
000000
ประชาไท : เป้าหมายของเพจทำมาเพื่ออะไร?
‘ คิด’ แอดมินเพจ ‘เปลี่ยนฉากหลังให้ทั่นผู้นำ’ : เพื่อสนองนโยบายทั่นผู้นำ (‘ทั่น’ ตามคำเรียกของแอดมิน)ครับ (หัวเราะ) ขอเล่าแบบยาวๆ หน่อยละกัน ขอเล่าตั้งแต่ที่มาก่อนมีเพจนี้ละกันครับ ที่มาเพจนี้เกิดจากส่วนตัวแอดมินเองเป็นคนชอบ create อะไรเล่นๆ ฮาๆ ลงในเฟซบุ๊กตัวเองอยู่เรื่อยๆ บวกกับไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร
เฟซบุ๊กตัวเองก็เลยมีอะไรตลกๆ เกรียนๆ สลับกับพวกข่าวหรือบทความต่างๆ เกี่ยวกับการเมือง คือ เอาง่ายๆ พวกข่าวที่คนเห็นด้วยกับรัฐประหารมักจะไม่แชร์กันน่ะครับ แล้วก็มีสัญลักษณ์ต้านรัฐประหารบ้าง อย่างเช่นชู 3 นิ้ว กระดาษเปล่า A4 แอดมินเคยถ่ายรูปโปรไฟล์คู่กับหนังสือประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัยของ คริส เบเกอร์ แล้วก็เหน็บไม้บรรทัดให้ยื่นออกมา 3 นิ้ว แต่ตอนนั้นไม่มีคนทักอะไร ไม่ได้เป็นกระแสอะไรด้วย เพิ่งมาเห็นตอนหลังๆ ที่มีมีมรูปชูตลับเมตรยื่นออกมา 3 นิ้ว ก็ตลกดี สงสัยตอนนั้นคนยังไม่เก็ท นึกว่าเล่นล้ำลึกไป
ฉาก hunger games mockingjay
ทีนี้พอวันที่ 25 พ.ย. ที่ผ่านมา แอดมินไปเจอข่าวที่ว่าทั่นผู้นำอยากให้เปลี่ยนฉากหลังรายการคืนความสุขให้คนในชาติ เพื่อไม่ให้ประชาชนเบื่อ แอดมินก็เลยรู้สึกประหลาดใจ
เช็ด!(อุทาน) ทั่นคิดอย่างงั้นจริงๆ เหรอครับ ก็เลยเปลี่ยนฉากหลังเก็บไว้เล่นๆ แล้วก็กะว่าค่อยๆ ทยอยโพสต์ลงเพจไปเรื่อยๆ เอาไว้ดูกันเองขำๆ ในกลุ่มเพื่อน ก็ไม่คิดว่าจะ viral ได้ขนาดนี้เหมือนกันครับ
พอมาคิดดูทีหลังก็รู้สึกโอเคนะ ดูเป็นเครื่องมือที่เป็นของอยู่ตรงกลาง เข้าถึงได้จากทุกกลุ่มคน กลุ่มหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร รู้สึกว่าผิดธรรมชาติ รู้สึกงงว่าคนเบื่อกันเพราะฉากหลังเนี่ยนะ ก็เลยจัดให้เป็นการล้อเลียนเล็กน้อย 555, กลุ่มสองเป็นคนที่มาร่วมสนุกด้วยเฉยๆ รู้สึกว่าน่าเล่นดี, กลุ่มสามเป็นคนที่เห็นด้วยกับรัฐประหารก็มีนะ แอดมินสังเกตจาก friends ในเฟซที่มากดไลค์กัน แล้วก็พวกรูปโปรไฟล์, กลุ่มสี่เป็นอื่นๆ ละกัน นอกเหนือจากสามกลุ่มแรกก็เอามาไว้กลุ่มนี้ นึกไม่ออกละ (หัวเราะ) สังเกตดูส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่เข้ามาเอาฮาแหละครับ (หัวเราะ)
บางคนจริงจังหน่อยอาจจะมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ถ้าจะมองว่าเพื่อต้านรัฐประหาร ผมว่าเป็นการต้านรัฐประหารที่สันติวิธีมากๆ วิธีหนึ่งเลยนะ เป็นการแสดงความคิดตัวเองผ่านสัญลักษณ์ ไม่มี hate speech ไม่มีการด่าทอทะเลาะวิวาทอะไร อาจจะมีคำหยาบๆ บ้างก็เป็นภาษาปากขำๆ โดยรวมแล้วชาวเพจให้ความร่วมมือตรงนี้ดี โดยที่แอดมินไม่ได้พูดอะไรไว้ก่อนเลยด้วยซ้ำ คงเป็นเพราะคอนเซปต์ตอนแรกเน้นเอาฮา บรรยากาศเลยไม่ตึงเครียด ก็ดีครับที่มีพื้นที่ที่ทำอะไรพูดอะไรแบบไม่ตึงเครียดแบบนี้ให้พวกเราบ้าง
ฉากที่ล้อมาจากรายการของลีน่า จัง
หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ ติติงผลงานมาว่า "ทุเรศทุกอัน" นั้นทำให้ทีมงานรู้สึกท้อไหม? เพราะเห็นไปแสดงความเห็นชี้แจงในเพจ วิวาทะ V2’  จึงอยากถามว่าคิดแบบนั้นจริงๆ หรือเพียงแค่ประชด?
ไม่ท้อเลยครับ (หัวเราะ) รู้สึกดีใจซะอีก เรื่องนี้จะถึงทั่นผู้นำได้นี่ ใกล้ชิดประชาชนจริงๆ แหม่
ที่แสดงความเห็นไว้เพราะตอนแรกคิดว่าจะตอบรับกับข่าวนี้ยังไงดีให้ดูเกรียนๆ ดูมีอะไร ก็เลยมาคิดหาข้อดีออกมา คิดว่าคำว่าทุเรศนี่แปลเป็นความหมายดีๆ ได้มั้ยนะ ก็เลยลองค้นดู จริงๆ คำว่า ทุร- นี่ค้นไม่เจอ เจอแต่คำว่า  ทร- แปลว่า ชั่ว, ยาก, ลําบาก, น้อย, ไม่มี. คำว่า อีศ แปลว่า ผู้เป็นใหญ่. เราก็เลย แถ เอ้ย! เราก็เลย ลากเข้าความ ให้เป็นความยากลำบากที่ยิ่งใหญ่ได้
มีคนบอกว่าการประชดที่เหนือชั้นคือไม่รู้ว่าประชดอยู่ครับ (หัวเราะ)
หวังว่าจะชนะใจท่านผู้นำแล้วมีเลือกเอาฉากสักฉากไปใช้บ้างไหม?
แอบลุ้นเหมือนกันนะ ลองหยั่งความคิดชาวเพจอยู่ครั้งนึงว่าถ้าเกิดรายการฉากใหม่จริงๆ แบบไหนน่าจะใกล้เคียงและออกอากาศได้จริงมากสุด แต่ก็มีไอเดียดอกกล้วยไม้มาแค่อันเดียว ก็เลยลองทำให้ดู เสียดายนะ ธรรมชาติดี ออกจะสวยครับแหม่
ฉากดอกกล้วยไม้
กระบวนการทำงานทำอย่างไร ตัดต่อเองเลยหรือไม่? ทำคนเดียวหรือเป็นทีมงาน?
ตอนแรกแอดมินตัดต่อเองคนเดียว ตอนนั้นมีทำฉากแบ็กกราวด์ Windows XP เพราะดูเป็นเอกลักษณ์ดี เห็นปุ๊บคนรู้ปั๊บ แล้วก็มาคิด caption(คำบรรยายใต้ภาพ) ให้ดูมีอะไร ก็เลยเขียนเป็นข่าวประมาณว่าทั่นผู้นำต้องการให้วิชาคอมพิวเตอร์ของทุกโรงเรียนเปลี่ยนฉากหลังเป็นทั่นผู้นำ เพื่อตอบสนองค่านิยม 12 ประการ อะไรประมาณนั้น
พอมัน viral ขึ้นมาก็เลยมีทีมงานครับ แอดมินเป็น ‘พี่คัตหลั่ง’ ซึ่งได้ชื่อนี้จากทำเพจนี้แหละครับ (หัวเราะ) ‘พี่โต๊ะ’ และ ‘น้องเอินเอิร์น’  ซึ่งพี่คัตจะเป็นแอดมินหลักๆ คอยดูความเคลื่อนไหว ดูรูปที่ส่งเข้ามา เลือกรูป คิด caption หาข่าวที่น่าเอามาประกอบกับรูปได้
รูปไหนไม่เก็ทก็ให้พี่โต๊ะดู พี่โต๊ะเป็นคนที่ดูหนังดูการ์ตูนเยอะมากๆๆๆ เลยพอช่วยบอกได้ว่าฉากเป็นรูปเกี่ยวกับอะไร เอามาเล่นอะไรได้บ้าง น้องเอินเอิร์นจะช่วยสกรีน ดูบางครั้ง แล้วก็ช่วยดูรายการจริงๆ ว่ามีอะไร อย่างเมื่อวันศุกร์ พี่คัตกับพี่โต๊ะเองก็ทำงานกะบ่ายถึงดึก ไม่มีเวลามาดูรายการจริงได้ก็ฝากน้องเอินเอิร์นดูฉากหลังให้ ก็สวยดีครับ (หัวเราะ)
คิดว่าที่มีกระแสคนเบื่อรายการคืนความสุขนั้นมาจาก ฉากหลังจริงๆ หรือ?
ก็อาจจะมีส่วนนะครับ ดูอย่างวันศุกร์ที่ผ่านมา คนน่าจะดูรายการเยอะขึ้น เพราะอยากรู้ว่าฉากหลังเปลี่ยนใหม่จะเป็นยังไง จะคิดให้ใช่ ก็คิดได้ครับ (หัวเราะ)
มองปรากฏการล้อเลียนหรือมีมในโซเชียลเน็ตเวิร์กว่าอย่างไร เพราะดูเหมือนคนถูกล้อมีปฏิกิริยาต่างกัน เช่น ชัชชาติ นั้นเล่นด้วยที่มีคนเอาภาพไปล้อ แต่เหมือน พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่ค่อยเอาด้วยหรือไม่?
จริงๆ ทั่นผู้นำน่าจะชอบนะครับ ทั่นคงปากแข็งไปอย่างนั้น ไปเปิดคลิปข่าวดูดีๆ ตอนท่านตอบเสร็จดูมียิ้มมุมปากเล็กน้อยนะ เนาะๆๆ
ส่วนเรื่องปรากฏการณ์ล้อเลียนนี่ก็เป็นเรื่องปกตินะ มีได้อยู่แล้ว ตอนคุณยิ่งลักษณ์หรือคุณทักษิณเป็นนายกฯ ก็มีการทำรูปล้อเลียนกัน
ตอนคุณสุเทพ คุณอภิสิทธิ์ก็มี นักการเมืองคนอื่นๆ ก็มีอยู่ คุณประยุทธ์ (ซึ่งตอนนี้ทั่นคือนักการเมืองแล้วเหมือนกัน) จะมีด้วยก็ไม่ได้แปลกอะไร เป็นปรากฏการณ์ปกติในทางการเมือง
"จริงๆ ตั้งใจใช้คำว่านักการเมืองกับคุณประยุทธ์ด้วยความหมายว่า ถึงท่านจะบอกว่าเข้ามาแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของนักการเมือง แต่ตอนนี้ท่านก็เป็นนักการเมืองแล้วเหมือนกัน เราควรจะมีทัศนคติที่เป็นกลางกับคำว่านักการเมือง คือมีทั้งส่วนที่ดีและไม่ดีในแต่ละคน ไม่มีใครดีหรือแย่ไปหมดหรอกครับ การเมืองเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับทุกคน หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องถูกวิพากษ์ วิเคราะห์ แสดงความคิดเห็นกันอยู่แล้ว เป็นปรากฏการณ์ปกติ เข้ามาแล้วก็ต้องอยู่กับมันให้ได้" คิด กล่าว
ในฐานที่เป็นคนพยายามเสนอ "ฉากหลัง" ให้ พล.อ.ประยุทธ์ คิดว่าฉากหลังในมุมมองของแอดมินเพจของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่แท้จริงคืออะไรกันแน่?
ถ้าถามว่าฉากหลังที่เป็นฉากจริงๆ แอดมินคิดว่าเปลี่ยนเป็นฉากอะไรก็ได้ครับ แต่อย่าเปลี่ยนแค่ฉากหลังอย่างเดียว น่าจะเปลี่ยนอย่างอื่นด้วย
แต่ถ้าจะใช้ฉากหน้าฉากเดิมจริงๆ แล้วอยากนำเสนอให้คนสนใจก็มีวิธีอื่นๆ อีกเยอะอ่ะครับ ลองฟังความเห็นทีมงานดูจริงๆ หรือยัง
ถ้าทำงานทำรายการที่นำเสนอให้คนหมู่มากแบบนี้ยิ่งต้องสำรวจความต้องการของผู้ชม ต้องฟังทีมงานต้องระดมสมองกันเยอะๆ ครับ
ฉาก The Voice เสนอโดยเพจ 'สมวารีพักตร์'
ฉากอันไหนที่ทางแอดมินประทับใจสุด?
ฉากที่เห็นแล้วขำพุ่งเลยเป็นรูปฉากหลังเดิม แต่ฉากหน้าเป็นพี่โน้ส อุดม ขำแบบที่ชาวเน็ตเรียกว่า “ผมนี้ลั่นเลย” (หัวเราะ) เห็นแล้วรู้สึกเลยว่า บางทีที่รายการน่าเบื่ออาจจะไม่ได้เป็นที่ฉากหลังนะครับ

ทีมงานคิดอย่างไรกับฉากใหม่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา?
ส่วนฉากใหม่นี่เอาจริงผมว่าดูดีขึ้นนะ คือเป็นฉากเหมือนผ้าม่านห้องรับแขก มีแจกันดอกไม้ แล้วก็นั่งคุย ดูแล้วรู้สึกไม่เกร็ง ดูผ่อนคลายลงเหมือนกัน เหมือนคนที่ไปทำงานมาแล้วก็กลับบ้านเชิญแขกมาแล้วคุยกันว่าไปทำอะไรมา เป็นยังไงบ้าง เอาง่ายๆ คือดูรับแขกมากขึ้น ก็สวยดีครับ ส่วนที่บอกในเพจคือแอบล้อเลียนอยู่เหมือนกัน ที่บอกว่า "เห็นอยู่แล้ว ทุเรศทุกฉาก" โอเคครับทั่นผู้นำ ทั่นมีของของทั่น ทั่นว่าดีผมก็ว่าดีครับผม เหมาะสมครับทั่น
ฉากใหม่รายการคืนความสุขฯ เมื่อวันศุกร์ที่ 28 พ.ย.ที่ผ่านมา
อยากฝากอะไรถึง พล.อ.ประยุทธ์ กลับไปบ้าง ในฐานะที่ท่านเห็นผลงานคุณแล้ว?
จริงๆ มีผลงานของชาวเพจ(แฟนเพจ)จำนวนมาก แอดมินเลยขอถามคำถามนี้กับชาวเพจด้วยละกัน แล้วก็ได้คำตอบที่คัดมาบางส่วนดังนี้
"เรารักและหวังดีต่อท่านจริงๆ เห็นท่านกับคณะเครียดๆ กลัวไอเดียพวกท่านไม่แล่น เราเลยลิงโลดเลย "
"เปลี่ยนตามนี้เลยครับท่าน จะได้ไม่เบื่อ"