วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554


แฉใบสั่งดีเอสไออุ้มทหาร โยนเสื้อแดงฆ่ากันเอง
ไทยอีนิวส์เปิดคลิป BBC ฉบับแปลไทย 
แฉใบสั่งดีเอสไออุ้มทหาร โยนเสื้อแดงฆ่ากันเอง
Thu, 2011-11-10 22:23


           เมื่อวันที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมา เว็บไทยอีนิวส์ นำเสนอรายงานเรื่อง โลกตลึงDSIแฉผ่านBBCหมดเปลือกปกปิดทหารฆ่าประชาชนปี53 ธาริตใบสั่งโยนผิดเสื้อแดงฆ่ากันเอง โดยระบุว่า มีผู้นำสารคดี Thailand - Justice Under Fire (ประเทศไทย-ความยุติธรรมที่ปลายกระบอกปืน) ออกเผยแพร่อีกครั้่งทาง Youtube อัพโหลดโดย minitau1 และมีการแปลภาษาไทยด้วย

            ทั้งนี้ สารคดีดังกล่าวสำนักข่าวบีบีซีเผยแพร่เมื่อวันที่ 7 ส.ค.2554 ที่ผ่านมา จัดทำโดย Fergal Keane , Jonathan Jones, Mark Alden มีการจำกัดการฉายเฉพาะในบางประเทศและไม่เปิดให้ดาวน์โหลดคลิปย้อนหลังในเว็บ

          "วัฒนธรรมการปกปิดความผิดและการโยนความรับผิดแบบไทย หากนายกฯ ยิ่งลักษณ์จะเอาผู้่กระทำผิดลงโทษได้ตามที่ให้สัมภาษณ์เรา ก็จะกลายเป็นกรณีแรกของประวัติศาสตร์ประเทศนี้"  BBC ระบุ

คลิปสารคดี BBC - Thailand - ความยุติธรรมปลายกระบอกปืน อัพโหลดโดย minitau1

     ไทยอีนิวส์ระบุว่า ความน่าสนใจของสารคดีชุดนี้คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้ให้สัมภาษณ์ว่า หากพบหลักฐานทหารสังหารประชาชน พวกเขาก็ต้องติดคุกโดยผู้พิพากษาจะตัดสินคดีเหล่านี้ ซึ่ง BBC ชี้ว่าหากยิ่งลักษณ์ทำตามที่พูดได้จริง มันจะเป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ ของไทยเลยทีเดียว พร้อมกับตั้งข้อสงสัยว่าจะเป็นจริงไปได้เพียงไหน เพราะประวัีติศาสตร์การเมืองไทยยุคใหม่ ไม่เคยมีการดำเนินคดีต่อกองทัพหรือผู้มีอำนาจสั่งการเลย ไม่ว่าจะในตอนเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 หรือพฤษภาทมิฬ 2535 สุดท้ายก็มีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมยกเว้นความผิดให้

          ในคราวเหตุการณ์ 10 เมษายน - 19 พฤษภาคม 2553 BBC ระบุว่า มีความพยายามจะปกปิดความผิดให้กองทัพหรือผู้มีอำนาจสั่งการ เช่นคดีสังหารผู้สื่อข่าวช่างภาพชาวอิตาลี ฟาบิโอ โปเลนจี (Fabio Polengi) ทางสำนักงานสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้แจ้งกับพี่สาวของผู้ตาย อิซา โปเลนจี (Isa Polengi) ว่าไม่มีทหารในที่เกิดเหตุขณะที่มีการยิงฟาบิโอในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553

          ขณะเดียวกันทาง BBC ได้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์นั้น 3 คน คนแรกคือ แบรด คอกซ์ (Brad Cox) ซึ่งยืนยันว่า มีกองทหารอยู่ตรงจุดนั้น อย่างน้อยที่สุดก็ 1 ชั่วโมงก่อนเข้าสลายการชุมนุม, มิเชล มาส (Michel Maas) นักข่าววิทยุเนเธอร์แลนด์ ที่ถูกยิงบาดเจ็บเวลาเดียวกับฟาบิโอ ก็ยืนยันว่า การยิงมาจากทิศทางกองทัพ ขณะที่พวกเขาหลบอยู่ กระสุนมาจากทิศทางทหารตั้งอยู่ , ผู้สื่อข่าวช่างภาพญี่ปุ่นอีกรายที่เห็นฟาบิโอถูกยิงล้มลงและเข้าไปลากตัวออกจากที่เกิดเหตุก็ระบุเช่นเดียวกัน

 
 BBC รายงานว่า แกนนำเสื้อแดงได้แนะนำให้ BBC สัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ใน DSI สองคน ให้สัมภาษณ์โดยไม่เปืดเผยชื่อ และใบหน้า (ดูในคลิป Youtube นาทีที่ 33)

             เจ้าหน้าที่ 2 คนนี้ยืนยันว่า "เราเชื่อว่าการเสียชีวิตในเหตุการณ์นั้่น เกิดขึ้นโดยการยิงของทหาร แต่หลังจากที่เรามีข้อสรุปในคดีก่อนว่า ประชาชนถูกสังหารโดยกองทัพ คดีต่อมาที่มีข้อสรุปแบบเดียวกันก็ถูกขัดขวาง DSI ถูกสั่งให้ปกปิดเรื่องกองทัพสังหารประชาชน เราถูกสั่งให้พูดว่า ในตอนนี้ยังไม่ทราบตัวผู้กระทำ แม้เราเชื่อว่า การเสีียชีวิตนั้นเกิดขึ้่นโดยการยิงของทหาร"

         เช่นเดียวกับคดีการตายของผู้สื่อข่าวช่างภาพญี่ปุ่น คือนายฮิโรยูกิ มูรามูโต้ ซึ่งถูกสังหารในวันที่ 10 เมษายน 2553 ตอนแรก DSI สรุปว่า เขาถูกฆ่าโดยทหาร ซึ่งตรงกับการสอบสวนของรอยเตอร์ ซึ่งเป็นต้นสังกัดของเขา แต่แล้วในเวลาต่อมา DSI ได้เปลี่ยนแปลงรายงานว่า เขาอาจถูกฆ่าโดยฝ่ายเสื้อแดง

         "มีนโยบายให้กล่าวโทษคนเสื้อแดงในทุกกรณีเท่าที่จะเป็นไปได้ ยังมีความพยายามจะออกคำสั่งว่า หากไม่พบผู้กระทำผิดให้โยนข้อกล่าวหาไปให้ฝ่ายเสื้อแดง อธิบดี DSI เป็นผู้ออกคำสั่งนั้น"

         "มีคำสั่งว่า หากไม่สามารถหาบุคคลที่เหนี่ยวไกปืนได้ เราจะต้องสันนิษฐานว่า ฝ่ายเสื้อแดงและผู้สนับสนุนเป็นคนทำ" แต่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดี DSI ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ใดๆกับ BBC

          พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศอฉ.กล่าวปฏิเสธกับ BBC เรื่องผู้นำทหารไปพบอธิบดี DSI และสั่งว่า"อย่าเข้ามายุ่ง ต้องให้ทหารไม่มีความผิด" และปฏิเสธกรณี 6 ศพวัดปทุมฯ ว่าอาจถูกยิงมาจากข้างนอกแล้วแบกเข้ามาในวัด

          แต่ผู้สื่อข่าวต่างประเทศชาวแคนาดา มาร์ค แมคคินนอน (Mark MacKinnon) ที่อยู่ในวัดปทุมในวันที่เกิดเหตุ ยืนยันว่า หลังสลายชุมนุม คนจำนวนมากหลบเข้าไปในวัด มีทหารตามมายิง และมีคนจุดบั้งไฟขึ้น จากนั้นทหารก็ยิงมาใส่อย่างถล่มทลายแบบไม่หยุดยั้ง โดยทหารที่อยู่บนรางรถไฟฟ้าเหนือวัดปทุมฯ ทั้งที่ผู้ตายมีเครื่องหมายพยาบาล และอยู่ในวัดพุทธศาสนา เป็นเขตอภัยทาน ในกลางกรุงเทพฯ
http://redusala.blogspot.com

การจัดการท่าทีระหว่างรัฐและประชาชน
โดย ผศ. เสถียร ชาวไทย
การจัดการท่าทีระหว่างรัฐและประชาชน
โดย ผศ. เสถียร ชาวไทย

          “มนุษย์” เป็น สัตว์สังคม ตามที่ นิยาม และ เข้าใจ กัน ซึ่งที่จริง “สัตว์” ประเภทอื่นก็เป็น สัตว์สังคม เหมือนกัน ถ้ามองในแง่ของสัตว์ประเภทนั้น ๆ และคำว่า “สังคม” ควรหมายถึงการ รวมตัวกัน (อยู่ด้วยกัน) ของ คน และ สัตว์ ตั้งแต่ สองคน/ สองตัวขึ้นไป

         “พฤติกรรม” การรวมกลุ่มของสัตว์ทุกประเภท ที่ คล้ายกัน อย่างหนึ่ง คือ การแสดง “ความเป็นผู้นำ” และ “ผู้ตาม” 
  
       “มนุษย์” มี หัวหน้า (ราชา, ประธาน, ประธานาธิบดี, นายกรัฐมนตรี ฯลฯ) 


          “สัตว์”(อื่น ๆ) ก็มี “หัวหน้า” ช้าง, วัว ควาย, นก ฯลฯ มี หัวหน้า หรือ ตัวนำ เห็นได้ ช้าง จ่าฝูงพาไปทางไหน ลูกน้อง (บริวาร) ก็ไปทางนั้น “นก” บนเวหา บินมากันเป็นฝูงจะเลี้ยวลดคดเคี้ยวไปทางไหนย่อมไปตามหัวหน้านั่นแล บางทีเห็นเป็นความ อัศจรรย์ (ไม่น่าเชื่อ) ที่พวกมันบินไป ๆ รวดเร็วแล้วเลี้ยวกลับทันทีตามหัวหน้ามัน (โดยไม่ต้องอภิปราย โต้เถียง หรือตบ ต่อย ตีกัน)

          สำหรับ “มนุษย์” ต้องถือเป็น กรณีพิเศษ โดยเหตุที่เป็นสัตว์ประเภท มีสมอง มีความคิด สติปัญญา มากกว่าสัตว์ประเภทอื่น (ตามความเข้าใจของมนุษย์) เพราะความเป็น “สัตว์พิเศษ” นี่แหละ มนุษย์จึงมีความซับซ้อน ซ่อนเงื่อน คดเคี้ยว หลายชั้นหลายหลืบ อันเป็นที่มาแห่งปัญหาต่าง ๆ มากมาย

          “ท่าที” ต่อกันเป็น จุด สำคัญของการกระทำทั้งปวงของมนุษย์ ทั้ง ฝ่ายดี และ ฝ่ายเลว โดยที่ “ท่าที” เป็นความ รู้สึกนึกคิด (จิตใจ) อันเป็นตัวนำไปสู่การปฏิบัติต่อกัน ถ้า “ท่าทีดี” ย่อมมีแนวโน้มไปในทางปฏิบัติต่อกันด้วยดี อย่างมิตรไมตรี ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน แต่หาก ท่าทีไม่ดี ก็ยากที่จะก่อผลดี หรือเป็นไปไม่ได้เลย เพราะ “จิตใจ” สำคัญที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ไม่ว่า ใน ทางดี หรือ ทางเลว

         “รัฐ” หมายถึง อำนาจรัฐ ซึ่ง กลุ่มบุคคล เป็น ผู้ถือ และ ใช้ อำนาจนั้นตาม ระบอบ/วิธีการ ที่กำหนดและ ยอมรับ กัน ไม่ว่า ระบอบ/วิธีการใด ในการ ถือ และ ใช้ อำนาจนั้น ย่อมมี เป้าหมาย อยู่ที่ “ผลประโยชน์” ของ ประชาชน หรือ คนทั้งหลาย ของแต่ละ กลุ่ม แต่ละ เผ่าพันธุ์ แต่ละ ประเทศ ผู้ถือและใช้อำนาจรัฐ แท้ที่จริงก็คือ ประชาชน (คน) เหมือน ๆ กับคนอื่น ๆ นั่นเอง

         ใน กลุ่ม หรือ เผ่าพันธุ์ นั้น ไม่ใช่ ผู้วิเศษ หรือ เทวดา อินทร์ พรหม ที่ไหน ที่ถือว่าเป็น ผู้วิเศษ ประเสริฐ....ตาม จินตนาการ หรือความเชื่อ แล้วแต่จะกำหนดหรือเชื่อถือ ถ้าเชื่อว่า “วิเศษ” มันก็ “วิเศษ” ถ้าไม่เชื่อมันก็เป็นตรงข้าม เป็นเรื่องของใครของมัน ไม่ก้าวก่ายหรือดูถูกดูแคลนกัน

        “ท่าที” ที่ ผู้ใช้อำนาจรัฐ ที่มีต่อประชาชน และ ท่าทีของประชาชน ต่อผู้ใช้อำนาจรัฐ ถ้า ดี ต่อกันก็ก่อผลดี แต่ถ้า เลว (ไม่ดี) ต่อกันก็เกิดผลร้ายตาม ขนาดของท่าทีนั้น อาจร้ายถึงขั้น เข่นฆ่า กันอย่างเหี้ยมโหดโดยไม่สึกรู้สาต่อ มโนธรรม สำนึกที่ดีใด ๆ เลย ก็ได้ พร้อมที่จะ หัวเราะ ยินดีต่อการเข่นฆ่าแต่ละฝ่ายในท่ามกลางความรู้สึกว่า ประสบความสำเร็จ ความรู้สึกภูมิใจ โดยไร้ หิริโอตตัปปะ แบบสุด ๆ เลยก็ได้ กรณีเกิดขึ้นในโลกแทบทุกประเทศ ไม่ว่า ลิเบีย ตูนิเซีย อียิปต์หรือแม้ ประเทศไทย ไม่มีอะไรที่แตกต่างกันเลย ใน เนื้อหา (รูปแบบ อาจแตกต่างกัน)

          “อย่าแปลกใจ” ว่า ทำไม? จึงลงเอยกัน แบบนี้ (รุนแรง, ฆ่าแกง, โหดเหี้ยม...) ทั้ง ๆ ที่ ทุก ชีวิต ในกลุ่มคนพวกนั้นล้วนต้องการ ความสุข ความเจริญ ความก้าวหน้า...ของตน และ ประเทศ ตน (ใครจะปฏิเสธว่าไม่จริง)

           “อย่าแปลกใจ” เพราะในใจ มนุษย์ มี ซาตาน เหี้ยมโหดสิงแอบอิงอยู่ พร้อมที่จะ สำแดงฤทธิ์เดช ออกมาเมื่อโอกาสอำนวย ไม่ว่าคนนั้นจะอยู่ใน บทบาท อำนาจ หรือ ชนชั้นใด ถ้าคนนั้นยังเป็น ปุถุชน แม้เสแสร้งจะเป็นผู้ดีมี คุณธรรม สูงส่งอย่างไรก็ตาม

            “ท่าที” ที่ประชาชนมีต่อ “รัฐ” หรือรัฐมีต่อประชาชน จะยังคง o.k. (เข้ากันได้, ดีอยู่, เป็นมิตรกันอยู่) ตราบเท่าที่ “ผลประโยชน์” ยังร่วมกันอยู่ คือ ยังไม่ออกนอก เป้าหมาย ที่ว่า ประโยชน์ สุข ของทุก ๆ คน ในกลุ่มชน/เผ่าพันธุ์/ประเทศนั้น ๆ

              ดังนั้น ใครก็ตามที่ได้ อำนาจ รัฐแล้ว เปลี่ยนท่าทีจากเป้าหมายนี้ ซึ่งตามปกติ (ส่วนมาก) จะเกิดขึ้นเมื่อได้อำนาจรัฐ โดย เข้าใจ (สรุปเอง) ว่า ตนและ/หรือกลุ่มตนเป็นคน พิเศษ (ดี,เก่ง...) กว่าคนอื่น ๆ ที่อยู่ภายใต้อำนาจนั้น

          ความคิดว่าตนเป็นคนพิเศษนี้เอง นำไปสู่ปัญหา การจัดการ ทุกอย่างภายใต้อำนาจของตน แบบไม่ เป็นมิตร ต่อ คนทั้งหลาย ภายใต้อำนาจนั้น ซึ่งมี ความคิดเห็น แตกต่างจากตน หนักเข้า ๆ หลงรู้สึกว่า อำนาจรัฐนั้นเป็นของตนจริง ๆ

        เพราะ อำนาจรัฐ เป็นที่มาแห่งผลประโยชน์ ซึ่งสัตว์ทุกประเภทต่างดิ้นรนเพื่อผลประโยชน์ทั้งสิ้น เพราะ ผลประโยชน์ หมายถึงการมีชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งหากขาดเสียแล้ว ชีวิตก็อยู่ต่อไปไม่ได้ หรืออยู่ต่อได้แบบทนทุกข์ทรมาน ซึ่งไม่มีสัตว์ประเภทใดต้องการ มันเป็น สัญชาตญาณ (รู้เอง, เกิดเอง, ทำเอง...) โดยแท้ ที่จะดิ้นรนเพื่อมีชีวิตบนโลกใบนี้ (หรือโลกอื่นใด)

            ความที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ล้วนอยู่ใน ความคิดจิตใจ ของทุกคน ทุกเผ่าพันธุ์ ทุกชนชั้น กระนั้นก็ตาม การ จัดการ ต่อท่าทีที่ไม่ดีต่อกันก็ไม่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเกิดปัญหารุนแรงดังกล่าว เหตุเพราะ การศึกษา การอบรมบ่มเพาะ จิตสำนึกในความเป็น มนุษย์ ของกันและกันยังไม่เข้มแข็งพอที่จะ สร้าง ท่าทีที่ดี ต่อกันได้อย่าง กว้างขวาง ลึกซึ้ง

           การศึกษาในแง่ของศาสนา จึงมุ่งไปที่การ ขัดเกลาจิตใจให้ บริสุทธิ์ สะอาด มี ความรัก ความเมตตา กรุณา ต่อกัน แต่เปอร์เซ็นต์ความสำเร็จของการศึกษานี้ก็มีไม่มาก ซ้ำร้ายอาจมีการเบนเป้าหมายของการศึกษาในแง่ของศาสนาไปอีกทิศทางหนึ่ง ซึ่งตรงข้ามทั้งโดย จงใจ และ ไม่จงใจ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่มนุษย์จะต้องพยายามต่อไป ในการจัด การศึกษา ที่จะเอื้อให้เกิดการ มีท่าที ต่อกัน ของรัฐ และ ประชาชน และท่าทีของ ประชาชน ต่อรัฐ....../

“ผ.ศ. เสถียร ชาวไทย...จ.พะเยา”
http://redusala.blogspot.com

วิกฤตอุทกภัยจบง่าย แต่ประเทศจะได้ประชาธิปไตยคงจบยาก!
          วิกฤตอุทกภัย คือภัยที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ และทำให้ทรัพย์สินต่างๆของทุกครัวเรือนก็ได้รับความเสียหายกันทั่วไป และที่เลวร้ายที่สุดได้มีผู้เสียชีวิตในวิกฤตนี้เป็นจำนวนมากกว่า 500 ชีวิต นี่คือวิกฤตจากอุทกภัยหรือจากน้ำในครั้งนี้

           อย่างไรก็ตาม วิกฤตอุทกภัยครั้งนี้ก็คงจะจบในอีกไม่นาน และก็จะเข้าสู่หมวดของการฟื้นฟูความเสียหายที่ได้รับ ก็คงจะเสร็จได้ไม่นานนัก เมื่อการฟื้นฟูเสร็จ ทุกอย่างของวิกฤตอุทกภัยครั้งนี้ก็จะผ่านไป เพียงเหลือไว้ในอนาคตรัฐจะต้องวางแผนการป้องกันมิให้วิกฤตอุทกภัยเกิดขึ้นเช่นปีนี้อีก ก็เชื่อว่ารัฐบาลคงจะวางแผนในปีต่อไปจะไม่เกิดวิกฤตอุทกภัยเช่นปีนี้แน่นอน ความเชื่อดังกล่าวมีเหตุผลที่รองรับได้ก็คือ รัฐบาลชุดนี้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนจำนวนมากกว่า 15 ล้านเสียง

          ดังนั้นรัฐบาลชุดนี้คงจะต้องยึดหลักการให้ความสำคัญในการดูแลทุกข์สุขของประขาชนเป็นศูนย์กลาง คงไม่เป็นเช่นรัฐบาลที่มาโดยมิชอบคือ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่ได้เป็นรัฐบาลอันเนื่องจากใช้อำนาจของกองทัพหรืออำนาจนอกระบบที่เรียกว่ามือที่มองไม่เห็น รัฐบาลประเภทนี้จะไม่สนใจในความทุกข์สุขของประชาชน จะยึดเอาหลักการที่จะต้องปกป้องคุ้มครองประโยชน์คนของพวกตน (ซึ่งมีการเรียกกันว่าอำมาตยาธิปไตย) เท่านั้นประชาชนเป็นเพียงผู้รับใช้ จะทุกข์สุขอย่างไรก็ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม

           เหตุการณ์เช่นนี้ได้เกิดให้เห็นในหลายเหตุการณ์ แม้ในปี 2552-2553 และถึงกลางปี 2554 เหตุการณ์ที่ร้ายแรงและเลวร้ายที่สุด ที่รัฐบาลที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยในโลกนี้ไม่กระทำเช่นนี้ โดยเด็ดขาด เหตุการณ์นี้ก็คือ การใช้ทหารปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนกลางเมืองหลวง เสียชีวิต 91 ศพ บาดเจ็บมากกว่า 2,000 คน เหตุการณ์เช่นนี้จะมีก็แต่รัฐบาลเผด็จการ หรือรัฐบาลที่รับใช้คณะบุคคลกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดเท่านั้น หรือเรียกว่ารัฐบาลอำมาตยาธิปไตย สั่งฆ่าประชาชนโดยไม่ผิดกฎหมาย เป็นเหตุการณ์สดๆร้อนๆคนทั้งประเทศ และคนทั้งโลกต่างก็รับทราบกันโดยทั่วไป

           ครั้นเมื่อมีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ฝ่ายอำมาตยาธิปไตยคาดการณ์ว่า พรรคของตนเและพรรคร่วมจะได้รับการเลือกตั้งจะต้องได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง แต่การคาดการณ์ของพวกอำมาตยาธิปไตย ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ กลับกลายเป็นว่าพรรคที่เชิดชูประชาธิปไตยเป็นหลัก ได้รับการเลือกตั้งเกินครึ่งไปถึง 15 เสียงนั้นก็คือพรรคเพื่อไทย (จำนวนเสียงในสภา 500 เสียง)

           การที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งเกินกว่าครึ่ง และมีความชอบธรรมได้บริหารประเทศต่อจากรัฐบาลอำมาตยาธิปไตย ด้วยเสียงของประชาชนโดยแท้ ทั้งที่เป็นฝ่ายที่ต้องเผชิญกับอำนาจรัฐคือ กลไกของรัฐตกอยู่ภายใต้คำสั่งของพรรคฝ่ายอำมาตยาธิปไตย ทุกองค์กร และอำนาจทางการเงินก็มีจำนวนมากมหาศาล มีการแจกเงินให้กับผู้ใช้สิทธิ์ทุกระยะเสมือนว่าผู้จ่ายพิมพ์ธนบัตรได้เองอย่างนั้นแหละ แต่จะเป็นอิทธิพลอะไรก็ตาม ก็ไม่อาจจะเปลี่ยนให้ผู้ใช้สิทธิ์ที่มุ่งมั่นต้อการประชาธิไตยเคลิบเคลิ้มหรือเกรงกลัวอำนาจอิทธิพลใดๆ ผลการเลือกตั้งจึงออกมาเป็นว่าพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น จึงเรียกได้ว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคของประชาชนที่แท้จริง

           แม้ว่าพรรคเพื่อไทยจะได้เป็นรัฐบาลมีอำนาจการบริหารราชการได้จริง แต่ท่านอย่าได้เชื่อว่าฝ่ายอำมาตยาธิปไตยจะยอมพ่ายแพ้นะครับ เพราะทุกวันนี้พวกเขาก็พยายามทุกวิถีทางที่จะล้มรัฐบาลของประชาชนคือ พรรคเพื่อไทยให้ได้ เพียงรอเวลาที่เหมาะสมและมีเหตุผลที่สร้างขึ้นเอง อันเป็นข้ออ้างได้เท่านั้น (วิกฤตอุทกภัยก็อาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งของพวกอำมาตย์ก็ได้ไม่แน่)
                ด้วยเหตุที่กล่าวมาแล้ว พี่น้องประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจ โดยเฉพาะท่านที่ใช้สิทธิ์เลือกพรรคเพื่อไทย ท่านคือเจ้าของพรรคเพื่อไทยนะครับ พวกเราต้องช่วยกันระแวดระวังภัยต่างๆที่จะเกิดขึ้นกับพรรคเพื่อไทย จากการกระทำของเหล่าอำมาตยาธิปไตย เราต้องเป็นกำแพงสกัดกั้นมิให้พรรคอำมาตย์ทำลายพรรคเพื่อไทยของเราได้โดยเด็ดขาด ถ้าเขาทำลายพรรคของพวกเราได้ วันนั้นอำมาตยาธิปไตยจะครองเมือง มหาวิบัติจะมาทุกทิศทาง ประชาชนจะตกอยู่ภายใต้อำนาจที่กดขี่ข่มเหงทำร้ายพวกเราซึ่งเป็นประชาชนทุกวิถีทาง วันนั้นพวกเราไม่เพียงอยู่ติดดินเท่านั้น อาจจะจมอยู่ใต้ดิน จะแสดงความคิดเห็นหรือแสดงอะไรซึ่งเป็นสิทธิ์เสรีภาพก็ไม่อาจทำได้ พวกเราคือประชาชนจะตกอยู่ภายใต้อำนาจนอกระบบไปอีกนานไม่ทราบว่าจะนานเท่าไร?

             วันนี้เราได้รัฐบาลที่มาจากเสียงของประชาชน แต่รัฐบาลของเราก็ทำงานไม่ง่ายนัก จะต้องคอยระมัดระวังอำนาจนอกระบบหรือมือที่มองไม่เห็น ไม่ทราบว่าจะยื่นมือมาตบรัฐบาลของเราเมื่อไร ลำบากมากครับสำหรับรัฐบาลในขณะนี้ มีหลายเรื่องที่รัฐบาลจะต้องทำทันที ก็ยังทำไม่ได้เพราะอำนาจนอกระบบคอยส่งเสียงออกมาขู่ไว้เสมอๆ และในขณะที่ส่งเสียงขู่ ก็มีเสียงออกมาเรียกร้องเพื่อเอาคนของตนเองเข้ามาร่วมโดยแทรกเข้ามาทำหน้าที่กับฝ่ายรัฐบาล และรัฐบาลก็อยู่ในภาวะจำเป็นไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ก็จำเป็นแต่งตั้งคนของอำมาตยาธิปไตยเข้ามามีตำแหน่งหน้าที่ในรัฐบาล เพื่อประคับประคองให้พรรคของประชาชนนี้ดำรงอยู่ได้จนกว่าจะครบวาระ หรือสร้างประชาธิปไตยให้แก่ประเทศไทยได้อย่างถาวรตลอดไป

            จากการที่เราต้องผ่อนปรนให้คนของฝ่ายอำมาตยาธิปไตยเข้ามาดำรงตำแหน่งในรัฐนี้ เนื่องจากว่ากลไกของรัฐทยังอยู่ในอำนาจของอำมาตยาธิปไตย ยังไม่ได้รับการแก้ไขจากรัฐบาลก็เพราะมีเหตุอุทกภัย รัฐบาลก็เลยสารวนอยู่กับการแก้ปัญหาวิกฤตอุทกภัยที่ดำรงอยู่ ก็คงจะต้องให้ปัญหาวิกฤตอุทกภัยจบเสียก่อน และวันนั้นก็คงจะมีเวลาที่จะดำเนินการจัดการแก้ปัญหาในเรื่องกลไกของรัฐที่รัฐบาลยังควบคุมไม่ได้ให้เสร็จเด็ดขาด วันนั้นอำนาจที่แท้จริงที่ของประชาชนมากกว่า 15 ล้านเสียงที่มอบให้พรรคเพื่อไทย ก็จะมีอำนาจคือใช้อำนาจที่ประชาชนได้มอบให้บริหารประเทศให้เป็นไปตามนโยบายที่นำเสนอไว้แก่ประชาชนได้โดยสมบูรณ์ และจะสร้างประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นอย่างถาวรให้แก่ประเทศนี้ต่อไปโดยประชาชนจะมีหลักประกันตามระบอบประชาธิปไตยคือ

1. หลักเสรีภาพ (Liberty) ซึ่งประกอบด้วยสิทธิหน้าที่ อิสรภาพ และ สมภาพ จะต้องอยู่ร่วมกัน
2. หลักความเสมอภาค (Equality) คือความเท่าเทียมกันในฐานะเป็นพลเมืองของรัฐ
3. หลักเหตุผล (Rationality) การตัดสินความขัดแย้งด้วยเหตุผล ใช้กฎหมายบนพื้นฐานของ
    นิติธรรม
4. การตัดสินโดยเสียงข้างมาก (Majority) เสียงข้างน้อยได้รับการคุ้มครอง (Majorityrule and
    minority right)
5. การผลัดเปลี่ยนกันหมุนเวียนดำรงตำแหน่ง(Rotation) ไม่ผูกขาดแต่คนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแต่เพียงผู้เดียว

         ดังนั้น ถ้าเป็นประชาธิปไตยมีองค์ประกอบครบทั้ง 5 ข้อ ก็จะเป็นประชาธิปไตยตามหลักการใช้ประชาธิปไตยดังที่พระพุทธเจ้าทรงนิยม เช่น ธรรมาธิปไตยคือหลักการเป็นใหญ่ มิใช่อัตตาธิปไตย เอาตนเป็นใหญ่ หรือโลกาธิปไตย เอาโลกหรือพวกเป็นใหญ่ เหล่าอำมาตย์ครับ ท่านหยุดเถิด ให้ประชาชนเขาปกครองกันเองที่เรียกว่าประชาธิปไตยหรือธรรมาธิปไตย ซึ่งเป็นอำนาจของประชาชนโดยแท้ ถึงวันนั้นประเทศชาติก็จะพบกับความเจริญรุ่งเรือง

         ประชาชนจะมีความสุขสมบูรณ์กันถ้วนทั่ว เพราะเขาจะได้ใช้อำนาจที่เขามีนำพาชีวิตพวกเขาให้เป็นตามเจตนาหรือวัตถุประสงค์ยังไงครับ อย่าต้องทำให้การสร้างประชาธิปไตยนี้เป็นเรื่องที่ยุ่งยาก สร้างความลำบากให้แก่ประชาชน ต้องเรียกร้องกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะประชาชนจะไม่หยุดการเรียกร้องเพื่อให้ได้ประชาธิปไตยที่ถาวรแก่ประเทศนี้โดยเด็ดขาด ดังนั้นเพื่อให้การเรียกร้องของประชาชนได้ประชาธิปไตยอย่างถาวร โดยไม่เป็นภาระและความยุ่งยากแก่ประชาชนอีกต่อไปขอให้พวกท่านมอบอำนาจซึ่งเป็นอำนาจของประชาชนอยู่แล้วคืนให้พวกเขาเถิดครับและวันนั้นเรื่องนี้ก็จะจบทันที

***หมายเหตุ : สมภาพ หมายความว่า ทั้งสองฝ่ายต่างดำเนินเข้าหาจุดที่เสมอกันนี้คือ งดเว้นจากกรรมที่ชั่วร้าย ซึ่งต่างก็ไม่ชอบให้มาทำแก่ตนด้วยกัน และดำเนินไปทางกรรมที่ดีที่เกื้อกูลกัน ที่ต่างก็ชอบจะให้ใครมาทำแก่ตนด้วยกัน
http://redusala.blogspot.com

เม็กซิโกช๊อค รมว.มหาดไทย ฮ.ตก พร้อมคณะ เสียชีวิต 8 ศพ

              รมว.มหาดไทยมือปราบแก๊งค้ายาเสพติด เสียชีวิตจากเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ ซุปเปอร์พูม่าโหม่งโลก พร้อม รมช.มหาดไทย และคณะรวม 8 ศพ ถือเป็นรมว.มหาดไทยคนที่ 2 ในรอบ 3 ปีของเม็กซิโก ที่ตายเพราะเครื่องบินตก   “ประธานาธิบดีคาลเดรอน” แถลงข่าวยืนยันเป็นอุบัติเหตุ...

           รายงานข่าวโดยสำนักข่าวต่างประเทศเมื่อวันที่ 12 พ.ย.2554 ระบุว่า รัฐบาลเม็กซิโกได้ประสบความสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์ซุปเปอร์ พูม่า ซึ่งบินขึ้นจากฐานทัพในกรุงเม็กซิโก ซิตี้ ประสบอุบัติเหตุตกที่ไหล่เขาในเขตชาลโก ทางตะวันออกเฉียงใต้ กรุงเม็กซิโก ซิตี้ เมื่อวันศุกร์ที่ 11 พ.ย.ที่ผ่านมา ทำให้ผู้ที่อยู่บนเฮลิคอปเตอร์ เสียชีวิตทั้งหมด 8 ศพ รวมทั้งนายฟรานซิสโก เบลค โมรา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย วัย 45 ปี นายเฟลิเป ซาโมรา คาสโตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ฝ่ายสิทธิมนุษยชน นายโฮเซ อัลเฟรโด การ์เซีย เมดินา หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายสื่อมวลชนของกระทรวงมหาดไทย ไปจนถึงนักบินและลูกเรือ โดยคณะของนายโมรากำลังเดินทางไปพบกับคณะอัยการ ที่เมืองคูเออร์นาวากา ในรัฐโมเรลอส แต่เฮลิคอปเตอร์ หายไปจากจอเรดาร์หลังขึ้นบินไม่นานนัก เพราะเผชิญสภาพอากาศเลวร้ายและมีหมอกหนาจัด

             ประธานาธิบดีเฟลิเป คาลเดรอน ซึ่งเป็นเพื่อนรักกับนายโมรา ได้แถลงข่าวด้วยความเศร้าโศกว่าเฮลิคอปเตอร์  ลำดังกล่าวน่าจะตกเพราะอุบัติเหตุจากสภาพอากาศเลวร้าย แม้จะมีข้อสงสัยว่าอาจเกิดจากฝีมือแก๊งอาชญากรหรือแก๊งค้ายาเสพติด แต่สาเหตุที่แท้จริงอยู่ในระหว่างการสอบสวน โดยรัฐบาลเม็กซิโกได้ขอให้ผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐฯและฝรั่งเศสเข้ามาช่วย สอบสวน นายคาลเด-รอนยังยกเลิกการเดินทางไปร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศความ ร่วมมือทางเศรษฐกิจแห่งเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ที่เมืองฮอนโนลูลู รัฐฮาวายของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ โดยพิธีศพของนายโมราจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 12 พ.ย.นี้

             ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายโมรา หรือ “เบลค” มีความสำคัญอันดับ 2 รองจากประธานาธิบดีเฟลิเปคาลเดรอน และเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยคนที่ 2 ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางอากาศ หลังจากนายฮวน คามิโล มูริโน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายโฮเซ ลูอิส ซานติอาโก วาสคอนเซลอส อัยการนักปราบปรามยาเสพติดชื่อดัง เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบิน “เลียร์เจ็ต” ตกลงบนถนนในย่านธุรกิจในกรุงเม็กซิโก ซิตี้ เมื่อปี 2551 หรือ 3 ปีก่อน ทำให้คนบนเครื่องทั้ง 9 คน และผู้อยู่บนพื้นดิน 6 คน เสียชีวิตรวม 15 ศพ

             แม้ทางการระบุว่าสาเหตุเกิดจากความผิดพลาดของนักบิน แต่หลายคนยากจะทำใจให้เชื่อได้ว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในรัฐบาลเดียวกันถึง 2 คน จะเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางอากาศ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าทั้งคู่ตกเป็นเหยื่อการก่อวินาศกรรม ของแก๊งอาชญากรหรือแก๊งค้ายาเสพติด ที่อาละวาดอย่างหนักในเม็กซิโกหรือไม่

              อย่างไรก็ตาม ผู้นำนานาชาติต่างส่งสารแสดงความเสียใจในโศกนาฏกรรมครั้งนี้ โดยประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ ได้โทรศัพท์สายด่วนถึงประธานาธิบดีเฟลิเป คาลเดรอน แสดงความเศร้าเสียใจอย่างสุดซึ้ง และบอกว่าสหรัฐฯพร้อมจะยืนเคียงข้างเม็กซิโก

*****************************************************
ตะลึง! เฮลิคอปเตอร์เม็กซิโกตก 
รมว.มหาดไทย พร้อมคณะ นักบิน เสียชีวิตยกลำ รวม 8 ศพ

             วันที่ 12 พ.ย. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเม็กซิโกซิตี้ ประเทศเม็กซิโก ว่า เกิดอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตก ชานเมืองหลวงเม็กซิโก เมื่อวันศุกร์ เป็นเหตุให้ นายฟรานซิสโก เบลค โมรา รัฐมนตรีมหาดไทยเม็กซิโก พร้อมคณะ รวมทั้งนักบิน และลูกเรือ เสียชีวิตรวม 8 ศพ นับเป็นรัฐมนตรีมหาดไทยรายที่ 2 ของรัฐบาลประธานาธิบดีเฟลิเป คัลเดรอน ที่เสียชีวิตจากเครื่องบินตก หลังจาก นายฮวน คามิโล มูริโน ซึ่งเครื่องบินเล็กตกบนถนน ในกรุงเม็กซิโกซิตี้ เมื่อปี 2551 เสียชีวิตพร้อมกับคนอื่น ๆ บนเครื่อง รวม 16 ศพ

             นายโมรา วัย 45 ปี นับเป็นรัฐมนตรีคนสำคัญของรัฐบาลเม็กซิโกชุดปัจจุบัน ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำในการปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด และการทุจริตคอร์รัปชันในประเทศ

             นายอเลฮานโดร โซตา โฆษกรัฐบาลเม็กซิโก เผยว่า เหตุเกิดขณะนายโมรา และคณะเดินทางจากกรุงเม็กซิโกซิตี้ไปยังเมืองกูเอร์นาวากา รัฐมอเรโลส ที่อยู่ติดกัน เพื่อประชุมงานกับคณะอัยการท้องถิ่น การค้นหาเริ่มต้นขึ้นเมื่อมีรายงานว่า เฮลิคอปเตอร์หายจากจอเรดาร์ และขาดการติดต่อกับศูนย์ควบคุม ภาพจากรายการข่าวทีวีในเวลาต่อมาแสดงให้เห็นซากพังยับบนภูเขา และเฮลิคอปเตอร์อีกหลายลำจอดอยู่บริเวณใกล้เคียง

           รายงานระบุว่า ผู้เสียชีวิตรายอื่น ๆ รวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย 3 คน หนึ่งในจำนวนนี้คือ รัฐมนตรีช่วยฝ่ายกิจการกฎหมายและสิทธิมนุษยชน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ประธานาธิบดีเฟลิเป คัลเดรอน ตัดสินใจงดเดินทางไปร่วมการประชุมสุดยอดกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) ที่เมืองฮอนโนลูลู รัฐฮาวายของสหรัฐอเมริกา ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 12-13 พ.ย.

           โมรา อดีตเป็นทนายความจากเมืองชานแดนทิฮัวนา เล่นการเมืองเป็น ส.ส. สังกัดพรรคเนชั่นแนล ปาร์ตี้ (พีเอเอ็น) ของคัลเดรอน เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทยเมื่อวันที่ 14 ก.ค.2553 การเสียชีวิตของโมราเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังครบรอบ 3 ปี อุบัติเหตุเครื่องบินตกที่คร่าชีวิตนายมูริโน รัฐมนตรีมหาดไทยคนก่อน และคณะ เมื่อวันที่ 4 พ.ย.2551 โดยเมื่อวันที่ 4 พ.ย.ที่ผ่านมา ยังได้โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ส่วนตัว แสดงความไว้อาลัยต่อการสุญเสียมูริโน และยกย่องการทำคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติ.
http://redusala.blogspot.com