3 พ.ย. 2558
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า เมื่อวันที่ 21-22 ต.ค.2558 ศาลจังหวัดตราด นัดสืบพยานจำเลยคดีระเบิดเวที กปปส.ตราด สามแยกบางกระดาน ตลาดยิ่งเจริญ จ.ตราด เมื่อวันที่ 22 ก.พ.2557 คดีหมายเลขดำที่ 1213/2557 ซึ่งมีจำเลยในคดี 3 คน จำเลยที่ 1 วัชระ กระจ่างกลาง จำเลยที่ 2 สมศักดิ์ พูลสวัสดิ์ และจำเลยที่ 3 สมศักดิ์ สุนันท์ โดยการสืบพยานครั้งนี้เป็นสองวันสุดท้ายซึ่งเป็นกลุ่มพยานที่ยืนยันเรื่องสถานที่ของจำเลยทั้งสามคนในวันเกิดเหตุ หลังสืบพยานเสร็จสิ้นศาลนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 26 ม.ค. 2559
บุตรชายจำเลยเบิกความยืนยันสถานที่ในวันเกิดเหตุ
บ่ายวันที่ 21 ต.ค. นายศิลา พูลสวัสดิ์ ลูกชายของสมศักดิ์ พูลสวัสดิ์ เบิกความว่า เขาอาศัยอยู่กับสมศักดิ์และแม่ใหม่มีธุรกิจร้านข้าวต้มที่แก่งหางแมว, บ้านที่ทำสวนกล้วยอยู่ห่างจากร้านไป 5 กม.และสวนผลไม้ที่ตำบลบ่อไร่ โดยครอบครัวจะอาศัยอยู่ที่ร้านอาหารที่แก่งหางแมว ส่วนตัวเขาเองอาศัยอยู่ที่ร้านอาหารและบ้านสวนกล้วยแต่ไม่ค่อยได้ไปสวนผลไม้ที่บ่อไร่
ศิลาเล่าถึงในช่วงเวลาที่เกิดเหตุเมื่อวันที่ 22 ก.พ.2557 ว่าช่วง 6 โมงเช้า สมศักดิ์ขับรถจากจังหวัดตราดเอาอุปกรณ์สำหรับทำอาหารที่ร้านข้าวต้มมาให้ จากนั้นไปที่บ้านสวนกล้วย จนกระทั้ง 10 โมงเช้าจึงกลับมากินข้าวและอาบน้ำที่ร้านอาหาร หลังจากนั้นสมศักดิ์ก็กลับไปที่บ้านสวนกล้วยอีก พอประมาณ 2 ทุ่มก็กลับมาอาบน้ำกินข้าวที่ร้านประมาณ 3 ทุ่ม สมศักดิ์ก็เดินทางไปจังหวัดตราด
เวลาประมาณหลังเที่ยงคืนถึงตี 1 ก็มีเหตุการณ์แขกที่มาร้านข้าวต้มทะเลาะกับพนักงานของร้าน เขาจึงแจ้งให้แม่ใหม่ติดต่อสมศักดิ์เพื่อให้ทราบถึงเหตุการณ์ดังกล่าวตอนประมาณตี 1 จึงทราบว่าพ่ออยู่ที่ตำบลบ่อไร่ เวลาที่ใช้เดินทางจากบ้านที่เป็นร้านอาหารถึงสถานที่เกิดเหตุประมาณชั่วโมงกว่าๆ ถึงสองชั่วโมง รถของสมศักดิ์เป็นรถแคป 4 ประตู
ศิลาไม่เคยรู้จักกับเศก จันทรสาร ไม่เคยเห็นสมศักดิ์พาคนแปลกหน้ามาที่ร้านข้าวต้ม
อาจารย์สักเบิกความจำเลยอยู่สำนักสักฯ 2 วัน พักที่บ้านศิลาทั้ง 2 คืน
ต่อมาวันที่ 22 ต.ค. นัดสืบนายจำรัส นาคษี เป็นช่างตัดผมและรับจ้างสักยันต์และครูบาอาจารย์ทางจิตวิญญาณของนายวัชระ กระจ่างกลาง เขารู้จักกับวัชระเพราะเป็นลูกชายของช่างที่ร้าน ซึ่งวัชระก็ให้เขาสักยันต์ให้และให้เคารพ
นายจำรัสเบิกความว่าสำนักสักยันต์ของเขาจัดพิธีไหว้ครูปีละหนึ่งครั้งช่วงปลายเดือนกุมพาพันธ์ เนื่องจากเป็นช่วงที่อาจารย์ของเขากำหนดไว้จะเป็นวันเสาร์-อาทิตย์เพราะคนสามารถมาร่วมได้ โดยในปี 2557 จัดในวันเสาร์และวันอาทิตย์ที่ 22-23 ก.พ.
โดยวันที่ 22 ในตอนเช้าจะถวายเพลและปลุกเสกของวัตถุมงคลในตอนเย็น พิธีของวันนี้เสร็จตอนเวลาประมาณ 2 ทุ่ม วันที่ 23 กุมภาพันธ์ ตอนเช้าไหว้ศาลเมตตาและสักบรรจุให้กับคนที่มาร่วมงาน และจากนั้นก็ครอบเศียร โดยจบพิธีการตอน 4-5 โมงเย็น นี่คือกำหนดการของพิธีการ
ซึ่งวัชระก็ทราบถึงวันจัดงานและมาถึงงานในวันที่ 22 ก.พ. ตอนประมาณบ่าย 2 โมง แต่ไม่ได้บอกว่าเดินทางมาจากที่ใด โดยอยู่ที่สำนักสักยันต์เป็นเวลา 2 วันและนอนพักที่บ้านศิลาทั้ง 2 คืน วัชระออกไปในวันที่ 24 ทนายความได้เอาภาพถ่ายในงานให้เขาดูซึ่งมีแต่ภาพของวันที่ 23 ที่มีวัชระ เพราะวันที่ 22 วัชระมาไม่ทันช่วงถวายเพล
นายศิลาเบิกความต่อว่าเขาเคยถูกพนักงานสอบสวนสอบปากคำแล้วที่สภ.เขาสมิงและที่จังหวัดชลบุรี แต่จำไม่ได้ว่าเมื่อไหร่คาดว่าประมาณต้นปี 2558 เขาถูกควบคุมตัวก่อนการสอบสวนประมาณ 1 วัน โดยมีเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจนอกเครื่องแบบจำนวน 8 นาย ก็มาจับตัวที่ร้านตัดผมและนำไปที่ชลบุรี
ที่ชลบุรีเขาถูกสอบสวนเรื่องเหตุระเบิดที่จังหวัดตราดการสอบสวนเสร็จประมาณบ่าย 3 โมง จากนั้นก็ถูกส่งไปถึงที่เขาสมิง 4 ทุ่ม รายละเอียดปรากฎตามเอกสารคำให้การของพยานในชั้นสอบสวน แต่ในคำให้การที่ระบุว่าวันที่ 22 ก.พ.เขาไปรับลูกนั้น ตอนที่เขาถูกถามถึงวันที่ 22 พ.ค.ทำอะไร แต่ในบันทึกกลับปรากฎว่าเป็นวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ส่วนวันที่ 22 พฤษภาคมเขาพาลูกไปเข้าเรียนที่โรงเรียนดุริยางคศิลป์ ทหารเรือ จากนั้นทนายความนำส่งเอกสารการชำระเงินค่าเทอมและค่าธรรมเนียมให้แก่ศาล
นายศิลาเบิกความว่าระหว่างถูกสอบสวนเขารู้สึกกลัว และเขายืนยันว่าการเบิกความในศาลวันนี้เป็นความจริง
ช่วงอัยการถามค้านอัยการถามนายศิลาเรื่องสวนยางของเขา ศิลาตอบว่าเคยมีสวนยางอยู่ข้างหลังบ้านแต่โค่นไปแล้วเมื่อช่วงต้นปี 2558 เขาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเชิญตัวไปขณะกำลังตัดผมอยู่ที่ร้าน และเขาให้การกับตำรวจในฐานะพยานส่วนรูปถ่ายตอนไปพิธีไหว้ครูที่ตำรวจนำมาให้เขาดูรูปที่ถ่ายของเมื่อราว 3 ปีก่อน ซึ่งถ่ายที่สวนยางของเขาในจังหวัดจันทบุรี อัยการได้ถามศิลาในประเด็นบันทึกคำให้การเขาตอบว่าลายมือในบันทึกเป็นของเขาแต่เขาไม่ยืนยันข้อความในบันทึกนั้น
อัยการได้ถามจำรัสประเด็นที่เขาพาลูกไปสมัครเรียนโดยเขาตอบว่า ขณะลูกชายนี้เรียนอยู่ที่โรงเรียนดุริยางคศิลป์ ทหารเรือ โดยสอบเข้าเรียนตั้งแต่วันที่18 เม.ย.2557 และชำระค่าใช้จ่ายกับทางโรงเรียนเมื่อวันที่ 28 เม.ย. และพาลูกชายเข้าเรียนในวันที่ 22พ.ค. แต่มีเพียงแค่ใบเสร็จยืนยันเท่านั้น ซึ่งทนายได้ถามติงในประเด็นนี้โดยศิลาได้ตอบว่ายืนยัน มีการส่งมอบตัวจริง แต่ทางโรงเรียนไม่มีการทำหลักฐานยืนยันให้
ส่วนในประเด็นภาพถ่ายที่ศิลาให้การถึงในชั้นสอบสวน ภาพถ่ายที่ตำรวจให้เขาดูเป็นภาพที่ถ่ายตอนที่เขาไปไหว้ครูที่จันทบุรีและมีวัชระอยู่ในภาพด้วย และเขายืนยันว่าคำให้การในส่วนนี้ที่อยู่ในบันทึกคำให้การนั้นถูกต้องแล้ว
พยานปากต่อมาคือนายแพร พันธ์พรม เขาเล่าว่าเคยรู้จักกับวัชระตั้งแต่สมัยเด็กตอนเรียนชั้นประถมศึกษา เนื่องจากบ้านอยู่ใกล้กัน 1 กิโลเมตร และรู้จักกับพ่อแม่ของวัชระแต่รู้แค่ชื่อเล่นไม่รู้จักชื่อจริง แต่วัชระก็ไม่ได้อยู่บ้านหลังเก่านี้ตั้งแต่จบชั้นประถมและวัชระก็ได้ขายบ้านของพ่อแม่ไปแล้ว
ในวันที่ 26 พฤษภาคม 2557 แพรได้รับโทรศัพท์จากนางบุญมีจ้างให้เขามาเก็บเงาะ พอมาถึงสวนเวลา 7 โมงเช้า เขาก็เข้าไปในสวนไม่ได้เพราะทหารกั้นไม่ให้เข้าสวน เขารออยู่จนประมาณ 8 โมงเช้าก็ยังไม่ได้เข้า และไม่ได้เจอนางบุญมีเลย เขาจึงกลับบ้าน แต่ในวันรุ่งขึ้นเขาก็กลับมาอีกครั้งแต่เขาก็ไม่รับอนุญาตจากทหารให้เข้าไปได้และทหารได้ยึดสวนเอาไว้ 60 วัน ระหว่างนี้นายก อบจ.ได้เข้ามาเก็บเงาะในสวน
นางบุญมีโทรศัพท์หาให้ไปช่วยดูแลสุนัขที่บ้าน แต่เขาไม่เคยเจอวัชระที่บ้านของนางบุญมี
นางสาวสนิสา กระจ่างกลาง เธอเป็นผู้ที่อาศัยอยู่กับวัชระที่จังหวัดระยองในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เธอเล่าว่าเมื่อวันที่ 22ก.พ.2557 ประมาณช่วงเย็นไปแล้วขณะเธอเลี้ยงลูกสาวที่กำลังไม่สบายอยู่ที่บ้าน วัชระก็เข้ามาที่บ้านไม่ได้บอกว่ามาจากไหน วัชระแค่เข้ามาที่บ้านอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงถามหาชุดขาวเพราะจะเอาไปไหว้ครูเท่านั้น ที่จำได้ก็เพราะว่ารุ่งขึ้นเธอพาลูกสาวไปรักษาที่โรงพยาบาล แต่หลังจากวันที่ 24 กุมภาพันธ์ก็ไม่ได้เจอวัชระ
ภายหลังสืบพยานปากสุดท้ายเสร็จสิ้นศาลได้กระบวนพิจารณาว่าศาลอนุญาตให้ทนายความจำเลยทำแถลงการณ์ปิดคดีเป็นลายลักษณ์อักษรส่งต่อศาลภายใน 20 วัน และนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 26 มกราคม 2559 เวลา 9.00 น. โดยศาลให้เหตุผลที่ทำคำพิพากษาล่าช้าเพราะมีคดีที่ต้องพิพากษาติดพันหลายคดีและต้องส่งร่างคำพิพากษาไปให้สำนักงานศาลอุทธรณ์ ภาค 2 ตรวจ ตามระเบียบ ทางทนายจำเลยได้ขอคัดถ่ายคำเบิกความพยาน แต่ศาลอ้างว่าไม่สามารถให้ได้เนื่องจากศาลต้องใช้ในการทำคำพิพากษา