กระทรวงการต่างประเทศยืนยันสัมพันธ์ไทย - สหรัฐฯแน่นแฟ้น | |
นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ นายกรัฐมนตรียืนยันที่จะนำกรณีที่องค์การนาซ่าขอใช้สนามบินอู่ตะเภาเข้าหารือในที่ประชุมร่วมรัฐสภา ขณะที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศปฏิเสธข่าวลือจากฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลว่าสหรัฐอเมริกาจะลดระดับความสัมพันธ์ของไทย 30 มิถุนายน 2555 go6TV - นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศปฏิเสธการยกเลิกกำหนดการเยือนไทยของนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดยระบุว่าคงเป็นการเข้าใจผิด และเป็นการรายงานที่คลาดเคลื่อน ซึ่งการเยือนไทยของนายโอบามานั้นอยู่ระหว่างการประสานงานในช่วงเวลาที่เหมาะสม ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างไทย และสหรัฐอเมริกายังคงแน่นแฟ้นเหมือนเดิม เนื่องจากสหรัฐฯเคารพ และเข้าใจการตัดสินใจของรัฐบาล และทั้ง 2 ฝ่าย ก็มีความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือในด้านต่างๆ กันต่อไป ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าแม้องค์การนาซ่ายกเลิกการขอใช้ สนามบินอู่ตะเภาในการสำรวจชั้นบรรยากาศ แต่รัฐบาลจะนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมร่วมรัฐสภาตามมาตรา 179 เพื่อรับฟังความเห็นของ ส.ส. และ ส.ว. ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ยอมรับว่าไทยเสียประโยชน์จากการที่องค์การนาซ่ายกเลิกโครงการ พร้อมย้ำว่าฝ่ายความมั่นคงไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งกับใคร และได้เสนอข้อห่วงใยต่างๆ ไปแล้ว | |
http://redusala.blogspot.com |
ดาวน์โหลดคลิ๊ปคนเสื้อแดง
วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555
กระทรวงการต่างประเทศยืนยันสัมพันธ์ไทย - สหรัฐฯแน่นแฟ้น
"ฟังหูไว้หู"เป็นสุภาษิตที่เหมาะกับคนไทยในยุคไซเบอร์ครับ
"ฟังหูไว้หู"เป็นสุภาษิตที่เหมาะกับคนไทยในยุคไซเบอร์ครับ | |
ประชาธิปัตย์สะดุ้ง!!! "พานทองแท้" ถาม "ปลาบู่กลับชาติมาเกิด?" (29 มิถุนายน 2555 go6TV) - เมื่อช่วงดึกของวันที่ 29 มิถุนายนที่ผ่านมา นายพานทองแท้ ชินวัตร หรือ "โอ๊ค" บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟชบุ๊คส่วนตัวล่าสุด ระบุว่า "ฟังหูไว้หู"เป็นสุภาษิตที่เหมาะกับคนไทยในยุคไซเบอร์ครับ ตัวอย่างแรกคือ เหตุการณ์ "คำทำนายของเด็กชาย ปลาบู่" ใครที่จำไม่ได้ก็ตามลิ๊งค์นี้เลยครับ http://news.mthai.com/headline-news/144420.html ข่าวลือที่เกิดขึ้นในโลกไซเบอร์ก็คือ ลุงทองใบ คำสี ผู้เป็นพ่อของเด็กชายปลาบู่ ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกโดยจ่าหน้าถึง "ผู้ที่รักผืนแผ่นดินไทย ทุกท่าน" และได้ระบุว่า "เด็กชายปลาบู่ได้พูดไว้เมื่อวันที่ 23-25 มิ.ย. 2517" ก่อนเสียชีวิต15วัน ถึงหลายๆเหตุการณ์ แต่ที่เป็นประเด็นได้แก่เรื่องที่ทำนายว่า ปลาบู่จะชนเขื่อน เอ๊ย... เขื่อนจะแตก ในวันปีใหม่ปี2555 จนตื่นตระหนกกันทั้งประเทศโดยเฉพาะจังหวัดตาก แจ้งว่ารายได้ช่วงปีใหม่หายไปร่วม4-500ล้านบาทเลยนะครับ ตัวอย่างที่2นั้น ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเป็นอย่างยิ่งที่38ปีผ่านมา ในช่วงที่คาบเกี่ยวกัน(ไม่ทราบว่าจะเรียกว่าพอดีเป๊ะเลยได้หรือเปล่า) คือในช่วงวันที่เดียวกันคือ 23-25 มิ.ย.2555ก็เกิดเหตุการณ์ ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายที่ประเมินเป็นมูลค่ามิได้ ก็คือมีการให้ข่าวว่าโครงการสำรวจภูมิอากาศขององค์การนาซ่านั้น อาจมีการจารกรรมสอดแนมของกองทัพสหรัฐฯ จนกระทั่งเป็น "ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์"ไปทั่วประเทศ ทำให้การอนุมัติโครงการฯนี้ต้องล่าช้าไปจนทำให้ ในที่สุด องค์การนาซ่าต้องยกเลิกโครงการไปเมื่อวันที่ 26มิ.ย.2555 แน่นอนครับว่าในครั้งนี้ย่อมไม่ใช่ "เด็กชายปลาบู่" ที่ออกมาทำนาย แต่บังเอิญว่าชื่อและสมญานามพ้องกัน และผู้ที่ให้สัมภาษณ์ถึงข่าวนี้ ก็ไม่ใช่ลุงทองใบ คำสี ที่เขียนถึง "ผู้ที่รักผืนแผ่นดินไทย ทุกท่าน" แต่เป็นหัวหน้าพรรค ปชป.ที่ให้เหตุผลคล้ายกับ ลุงทองใบ ในการคัดค้านตอบโต้ รมว.กห.ว่า "รักประเทศต้องยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก" ส่วนความเสียหายนั้น ก็ไม่ใช่4-500ล้าน เหมือนที่จ.ตากนะครับ ถ้าหากการสำรวจครั้งนี้สามารถ "แก้ปัญหา" หรือ "ผ่อนหนักเป็นเบา" หรือแม้แต่เพียง "แจ้งเตือนได้อย่างแม่นยำ" ในเรื่องของภัยพิบัติที่เกิดในบ้านเราถี่ขึ้นทุกวันๆได้จริง ผมว่า"โอกาสที่เราเสียไปนั้นประเมินเป็นมูลค่ามิได้ครับ" กำลังทำข้อมูลเรื่องนี้อยู่ดีๆ ทีมงานเฟสบุ๊คผมนี่ก็ช่าง ขุดคุ้ย สืบค้น กันเหลือเกินครับ โดยทีมงานได้เอาข้อความในจดหมายของลุงทองใบ ตอนหนึ่งที่ระบุว่า "เขียนถึงตรงนี้เด็ก(ชายปลาบู่)อายุเพียง 5 ขวบ 8 เดือน 15วัน บ่นว่า เขื่อนที่สร้างเสร็จแล้วยังไม่สมบูรณ์...ฯลฯ" มาคำนวณกับวันที่เด็กชายปลาบู่พูด คือวันที่23-25 มิ.ย.17 หรือว่า 38ปีที่แล้ว เมื่อหักลบ 8เดือน15วัน จะพบว่าใกล้เคียงกับวันที่10 ต.ค. ซึ่งก็ไปหามาอีกว่า ใกล้เคียงวันเกิดของโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เจ้าของสมญานาม "ปลาบู่ชนเขื่อน" ซึ่งเกิดหลังจากที่ด.ช.ปลาบู่เสียชีวิตไปเพียง 3เดือนเศษเท่านั้น อะไรมันจะช่างบังเอิญขนาดนั้นครับ ทั้งวันที่พูด, เหตุการณ์, ปี พ.ศ. ฯลฯ ทำให้วันนี้ทั้งวันในออฟฟิตไม่เป็นอันทำอะไรมัวแต่ถกเถียงกันอยู่นั่นแหละว่า "เด็กชายปลาบู่กลับชาติมาเกิดหรือไม่" อะไรมันจะเชื่อกันไปขนาดนั้น !!!! ในรูปที่ผมแนบมานี้ เป็นบทความจาก สำนักข่าวพระพยอมครับ ท่านบอกว่า คำทำนายของ "เด็กชายปลาบู่" ฟังได้แต่ต้องพิจารณา ความเชื่อเรื่อง"ปลาบู่กลับชาติมาเกิด" รวมถึงเรื่อง "นาซ่ามาไทยเพื่อสอดแนม" นี่ก็ "ฟังได้แต่ต้องพิจารณา" เช่นเดียวกันครับ ผมถึงว่าไว้ไงครับว่า ต้องฟังหูไว้หูครับ สมัยนี้ต้องฟังหูไว้หู ทั้งนี้ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตจำนวนมากต่างสังเกตว่าในระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา ผู้บริหารและผู้มีตำแหน่งทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี จะมีปฏิกริยาต่อข้อความของนายพานทองแท้ ชินวัตร ทุกครั้ง และเมื่อไม่สามารถตอบโต้เหตุผลของนายพานทองแท้ได้ พรรคประชาธิปัตย์จะส่งผู้อื่นมาทำการตีรวนและเบี่ยงประเด็นแทน ขณะที่ผลสำรวจของเว็บไซท์ go6TV ล่าสุด ระบุว่า ประชาชนร้อยละ 90 ไม่เชื่อพรรคประชาธิปัตย์กรณีองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือ นาซา ขอใช้สนามบินอู่ตะเภา | |
http://redusala.blogspot.com |
ประชาชนตะเพิดพ้นปทุมฯ "อภิสิทธิ์" ผวาหนัก เผ่นหนีทิ้งสาวก
'แดงปทุมฯ'บุกเวทีปราศรัยปชป.
'แดงปทุมฯ'บุกเวทีปราศรัยปชป. | |
'แดงปทุมฯ'บุกเวทีปราศรัยปชป. เสื้อแดงปทุมธานี 2-3 ร้อยคน บุกเข้าป่วนเวทีปราศรัยพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่ปชป.ชูปทุมธานีเป็นโมเดลสร้างสมานฉันท์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามพรรคประชาธิปัตย์ได้จัดเวทีปราศรัยเคลื่อนที่ไปตามพื้นที่ต่างๆ และวันที่ 29 มิ.ย.นี้เวลา 18.00 น. ได้จัดงานราตรีสีฟ้าพรรคประชาธิปัตย์พบคนปทุมธานี โดยมีการจัดเลี้ยงโต๊ะจีนจำนวน 200 โต๊ะ มีประชาชนมาร่วมงานกว่า 2,000 คน ที่บริเวณสนามภายในโรงเรียนชุมชนประชาธิปัตย์วิทยาคาร ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ต่อมาเวลา 19.00 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคฯ นายกรณ์ จาติกวานิชย์ พร้อมด้วยสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ได้เดินทางมาร่วมงานและขึ้นเวที ชี้แจงกับประชาชนในเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรมและเรื่องการขอใช้สนามบินอู่ตะเภาของนาซ่า ระหว่างนั้นได้มีกลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนประมาณกว่า 200-300 คน ได้เดินทางมายังบริเวณหน้าโรงเรียนสถานที่จัดงานพร้อมทั้งใช้เครื่องขยายเสียงตะโกนขับไล่นายอภิสิทธิ์และกล่าวโจมตีด้วยถ้อยคำหยาบคาย โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบจำนวนกว่า 50 คนคอยดูแลความสงบเรียบร้อย โดยการปิดประตูรั่วโรงเรียนไม่ยอมให้กลุ่มคนเสื้อแดงเข้าไปในสถานที่จัดงาน และมีรายงานว่าได้พังประตูเข้าไปได้ อย่างไรก็ตามจนกระทั่งเวลาประมาณ 20.30 น. นายอภิสิทธิ์ และคณะได้เดินทางกลับ โดยใช้ประตูทางออกทางด้านหลังโรงเรียน ส่วนกลุ่มเสื้อแดงยังคงปักหลักกล่าวโจมตีอยู่อีกประมาณ 15 นาที ก่อนจะสลายตัวกลับไปโดยไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นแต่อย่างใด ปชป.ชูปทุมธานีเป็นโมเดลสร้างสมานฉันท์ ทั้งนี้การเปิดเวทีปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์ดังกล่าวได้เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 09.00 น. ที่ห้องอารียา โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ท ศูนย์การค้าเซียร์รังสิต ชั้น 5 ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี โดยมีนายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เดินทางมาเป็นประธานในพิธีกล่าวเปิดการประชุม-สัมมนาเชิงปฏิบัติการ “รวมพลังสมัชชา ออกแบบประเทศไทย” โครงการพรรคประชาธิปัตย์พบประชาชนภาคกลาง ครั้งที่ 3/2555 โดยมี นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดร.เกียรติศักดิ์ ส่องแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร(ส.ส)จังหวัดปทุมธานี เขต 5 ผู้อำนวยการสำนักชลประทานที่ 11 ผู้อำนวยการสำนักงานทางหลวงชนบทจังหวัดปทุมธานี ประธานหอการค้าจังหวัดปทุมธานี นายกสภาอุตสาหกรรมจังหวัดปทุมธานี นายกสมาคมการท่องเที่ยวจังหวัดปทุมธานี และสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ในจังหวัดปทุมธานีร่วม 1000 คนสนใจมาร่วมประชุมเสวนาในครั้งนี้ด้วย นายอลงกรณ์ พลบุตร ได้กล่าวเปิดงานว่า การจัดงานประชุมสัมมนาสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ในจังหวัดปทุมธานีนั้นเพื่อที่จะออกแบบนโยบายของพรรคซึ่งจะมีการปรับปรุงอยู่ตลอดเวลาทางพรรคประชาธิปัตย์จึงได้จัดประชุมสัมมนาตามจังหวัดต่างๆเพื่อนำข้อมูลมาเป็นฐานในการออกแบบพัฒนาประเทศในโอกาสต่อไป โดยการระดมสมองจากพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดปทุมธานีเนื่องจากว่าจังหวัดปทุมธานีเป็นจังหวัดปริมณฑลใกล้กรุงเทพมหานครเพราะฉะนั้นรูปแบบหรือว่าโครงสร้างพื้นฐานถนนหนทางหรือคลองต่างๆก็จะใกล้เคียงกับกรุงเทพมหานคร ซึ่งทางด้านการศึกษา ทางด้านระบบเศรษฐกิจบริบทของจังหวัดปทุมธานีมีโอกาสที่จะเจริญก้าวหน้าพัฒนาให้เป็นเขตพื้นที่เศรษฐกิจอีกเพื่อรองรับการขยายตัวของเมืองหลวง และปัจจุบันนี้กรุงเทพมหานครก็ค่อนข้างแออัดเพราะฉะนั้นจังหวัดที่อยู่รอบๆกรุงเทพมหานครก็คือจังหวัดปริมณฑลอย่างเช่นจังหวัดปทุมธานีเป็นต้น เพราะฉะนั้นวันนี้จึงมีประเด็นเสวนาขึ้นมาก็คือเรื่องประเด็นเศรษฐกิจกับการพัฒนาพื้นที่ เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงกันระหว่างกรุงเทพมหานครกับจังหวัดปทุมธานี ด้านนายอภิรักษ์ ได้กล่าวบนเวทีเสวนาว่า จังหวัดปทุมธานีถือว่าเป็นจังหวัดโมเดลในเรื่องของการสมานฉันท์เพราะคนปทุมธานีไม่แบ่งสีทุกคนชอบคนทำงานพัฒนาบ้านเมือง ดังนั้นในวันนี้จึงได้มีการจัดประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อร่วมกันระดมสมองในการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุก็คือการวางผังเมืองระหว่างอำเภอลำลูกกาจังหวัดปทุมธานีและสายไหม กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นรอยต่อ เพราะมันเป็นจุดเริ่มต้นในการแก้ไขปัญหาระยะยาว โดยเฉพาะในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคม ถนนหนทาง ไฟฟ้า ประปา รวมไปถึงระบบขนส่งมวลชน และเรื่องมาตรการในการป้องกันน้ำท่วม เพราะฉะนั้นท่าเรามีการวางระบบผังเมืองที่ดีเรารู้ว่าจะมีการพัฒนาเมืองไปตรงไหนพื้นที่ไหนเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ พื้นที่ไหนเป็นพื้นที่เส้นทางน้ำไหลพื้นที่ไหนมีระบบในเรื่องของระบบท่อระบบระบายน้ำเชื่อมโยงกับระบบประตูระบายน้ำของกรมชลประทานระบบประตูระบายน้ำของกรุงเทพมหานครแบบนี้จึงต้องมีการวางแผนร่วมกันในเรื่องของการทำงานแบบบูรณาการร่วมกัน ส่วนด้าน ดร.เกียรติศักดิ์ ส่องแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดปทุมธานี เขต 5 กล่าวว่า ด้วยกรุงเทพกับจังหวัดปทุมธานีควรที่จะเป็นพื้นที่ที่มีความพร้อมในระดับเดียวกัน และควรที่จะเป็นพื้นที่ที่มีโครงสร้างพื้นฐานต่างๆระบบเดียวกัน อย่างเช่น การขนส่งมวลชน ไม่ว่าจะเป็น รถเมล์ รถไฟฟ้า ควรที่จะเป็นเส้นทางที่เชื่อมโยง ขยายเมืองขึ้นมาเพื่อลดความแออัดเพ่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจระดับประเทศ เพราะฉะนั้นจึงมีการสัมมนาขึ้นเนี้ยมันมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนและใช้เวลานานเท่าไรอย่างไรเพื่อรองรับความเจริญเติบโตเพราะอีกไม่นาน 2-3 ปีข้างหน้านี้เราจะมีเสรีอาเซี่ยน เพราะฉะนั้นพื้นที่จังหวัดปทุมธานียังมีพื้นที่ว่างพอที่จะรองรับความเจริญเติบโตและก็รองรับการเปิดตลาดทางด้านอาเซี่ยนต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า โดยการสัมมนาจัดประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการในวันนี้ของพรรคประชาธิปัตย์นั้น ซึ่งได้แบ่งกิจกรรมเป็น 3 ช่วง คือ ในช่วงเช้าตั้งแต่เวลา 08.00 น.- 12.00 น. เป็นกิจกรรมการเสวนาวางแผนผังเมือง ช่วงที่ 2 คือ เวลา 13.00น. กิจกรรมการแบ่งกลุ่มย่อยระดมความคิดเห็น ตัวแทนกลุ่มย่อยนำเสนอความคิดเห็นต่อที่ประชุมใหญ่ จากนั้นจึงสรุปประมวลผลการประชุม และช่วงที่ 3 คือ เวลา 18.00 น.ทุกคนร่วมงาน “ราตรีฟ้า พรรคประชาธิปัตย์พบประชาชนคนปทุมธานี” ณ โรงเรียนชุมชนประชาธิปัตย์วิทยาคาร ริมคลองเทศบาลนครรังสิต ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี โดยงานจะมี นายกรณ์ จาติกวณิชย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวคำปราศรัย และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวคำปราศรัยด้วย รอง.ผบก.ปทุมฯฝึกชุดควบคุมฝูงชนเตรียมรับม็อบ ขณะเดียวกันพ.ต.อ.วัฒนา วงศ์จันทร์ รอง ผบก.ปทุมธานี ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี จำนวน 500 นาย ร่วมฝึกซ้อมทบทวน การสาธิต การปฏิบัติงาน การเคลื่อนย้ายกำลังพลไปยังจุดที่ผู้ชุมนุมบุกรุกเข้าไปภายในสถานที่ราชการ หรือ สถานที่หวงห้าม ก่อนจัดกำลังตั้งแถวจับเข็มขัดเดี่ยวมือเปล่า ซึ่งจะใช้ในกรณีที่กลุ่มผู้ชุมนุมไม่มีอาวุธ แต่หากสถานการณ์เริ่มมีความรุนแรงขึ้น ก็จะนำโล่มาเป็นเกราะป้องกัน นำรถปราบจลาจลเข้าทำการฉีดน้ำในแรงดันระดับปานกลางใส่กลุ่มผู้ชุมนุม เพื่อควบคุมสถานการณ์ แต่หากยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ จะทำการยิงกระสุนยางใส่บริเวณลำตัวของผู้ชุมนุม ซึ่งถือว่าเป็นจุดแข็งและไม่ทำให้เกิดอันตราย ขณะเดียวกัน หากสถานการณ์เริ่มยืดเยื้อและมีความรุนแรงขึ้น ทางเจ้าหน้าที่จะทำการควบคุมโดยการใช้แก๊สน้ำตา ซึ่งขั้นตอนของการใช้แก๊สน้ำตานั้น จะนำมาใช้ก็ต่อเมื่อมีความจำเป็นเท่านั้น พ.ต.อ.วัฒนา วงศ์จันทร์ รอง ผบก.ปทุมธานี กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการฝึกครั้งนี้เพื่อทบทวนในการปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งช่วงหลังนี้ได้เกิดเหตุการณ์ในการปิดถนนบ่อยครั้งมากและได้มีเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่ละโรงพักยังไม่มีความพร้อมเท่าที่ควรจึงจำเป็นจะต้องทบทวนในการฝึกใหม่พร้อมเตรียมรับสถานการณ์ได้ทันทีซึ่งต่อไปในพื้นที่จังหวัดปทุมธานีหรือใกล้เคียงมีการปิดถนนก็จะจัดส่งชุดควบคุมฝูงชนเข้าทำการสลายได้เลย (หมายเหตุ :ที่มา http://www.youtube.com/watch?v=JjVTqn0MgJY ) | |
http://redusala.blogspot.com |
“ส.ส.ร.40” ชน “ศาลรธน.” ชี้เป็นตัวการก่อวิกฤติรอบใหม่
“ส.ส.ร.40” ชน “ศาลรธน.” ชี้เป็นตัวการก่อวิกฤติรอบใหม่ | |
“ส.ส.ร.40” ชน “ศาลรธน.” ชี้เป็นตัวการก่อวิกฤติรอบใหม่ วันที่ 27 มิ.ย. ที่รัฐสภา กลุ่มสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 40 (ส.ส.ร.40) ประมาณ 20 คน นำโดย นายคณิน บุญสุวรรณ พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ นายวุฒิพงศ์ ฉายแสง นลฯ ได้หารือร่วมกันถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคแรก พร้อมกับมีคำสั่งให้รัฐสภาชะลอการลงมติในวาระสามของร่างรัฐธรรมนูญแห่งราช อาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย จากนั้นกลุ่มส.ส.ร.40 ออกจดหมายเปิดผนึกในนามของกลุ่มส.ส.ร.40 โดยนายคณิน กล่าวว่า เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญปี 50 ส่วนใหญ่ลอกมาจากรัฐธรรมนูญปี 40 โดยเฉพาะมาตรา 68 ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาขณะนี้ ก็ลอกมาจากมาตรา 63 ของปี40 เพียงแต่มีการเพิ่มเติมบทลงโทษไว้ในวรรคสี่ คือยุบพรรคและตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี ถือเป็นการจงใจเบี่ยงเบนเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญปี 40 ในการสัมมนาภายหลังการจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2543 ได้กำหนดกรอบปฏิบัติของศาลรัฐธรรมนูญเป็นบรรทัดฐานมาเกือบ 9 ปี ว่าทุกเรื่องผู้ร้องจะต้องเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน ที่อัยการสูงสุดจะยื่นหรือไม่ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย นายคณิน กล่าวว่า ที่ผ่านมาส.ส.พรรคไทยรักไทยเคยยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ กรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ขณะนั้นเรียกร้องขอนายกฯพระราชทานตามมาตรา 7 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 25 พ.ค.2549 ยังปฏิเสธไม่รับคำร้อง โดยให้ไปยื่นผ่านอัยการสูงสุดก่อน การอ้างว่ารัฐธรรมนูญปี 40 ถูกยกเลิกไป ศาลรัฐธรรมนูญชุดใหม่ไม่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของชุดเดิม ถือว่าไม่ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นเราก็จะไม่มีบรรทัดฐานอะไรเลย ขณะที่เจตนารมณ์ดั้งเดิมของรัฐธรรมนูญ 40 คือการบัญญัติการกระทำผิดตามมาตรา 63 ว่าการกระทำอันเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คือการใช้กำลังทหารเข้ายึดอำนาจเท่านั้น “ดังนั้นการกระทำของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว ถือเป็นการล้มล้างบทบัญญัติ ของรัฐธรรมนูญเสียเอง ถึงขั้นบัญญัติรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่โดยพลการ ไม่ว่าผลการตัดสินจะเป็นอย่างไรย่อมก่อให้เกิดความเสียหายทั้งขึ้นทั้งล่อง เท่ากับว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว”นายคณินกล่าว และว่าจากนี้ไปไม่ว่า ครม. ส.ส. ส.ว. หรือแม้แต่ประชาชนที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 50,000 คน ก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวแตะต้องหรือแม้แต่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกต่อไป เท่ากับว่านอกจากศาลรัฐธรรมนูญจะมีอำนาจตีความแล้ว ยังมีอำนาจในการควบคุมรัฐสภา ควบคุมครม. และควบคุมประชาชนอีกด้วย ซึ่งจะเป็นชนวนนำไปสู่ความขัดแย้ง และเกิดวิกฤติครั้งร้ายแรงที่สุดจนมิอาจพยากรณ์ได้ว่าสุดท้ายจะเกิดหายนะต่อบ้านเมืองอย่างไร นายไชยยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สาเหตุที่จะทำให้รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อยู่ครบวาระหรือไม่ คือ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญหากวินิจฉัยว่าการร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐและส่งผลให้ไม่สามารถลงมติการแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 3 ได้ หรือหากฝืนที่จะลงมติวาระ 3 อาจจะนำไปสู่ปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น การยุบพรรคการเมือง ทำให้กลุ่มมวลชนคนเสื้อแดงไม่ยอมรับคำตัดสิน และมีการขับเคลื่อนมวลชนมาประท้วงขับไล่ศาลรัฐธรรมนูญ จนทำให้เกิดการปะทะกันระหว่างคนที่ต่อต้านศาลรัฐธรรมนูญและกลุ่มคนที่ต้องการปกป้องศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งทำให้นำไปสู่สงครามกลางเมือง จนรัฐบาลไม่สามารถที่จะควบคุมสถานการณ์ได้ นำไปสู่การปฏิวัติ "สำหรับการยื่นถอนประกันตัวชั่วคราวนายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยและแกนนำคนเสื้อแดง ทำให้ต้องถูกจองจำนั้น คงไม่ทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงออกมาเคลื่อนไหวมากนัก เพราะจะเป็นการสร้างปัญหาให้กับรัฐบาล ส่วนการจะปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้วจะทำให้รัฐบาลอยู่ครบวาระหรือไม่ คงไม่ใช่ประเด็นที่มีส่วนสำคัญ อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวแล้วเห็นว่าควรที่จะต้องมีการปรับ ครม. หากปรับแล้วมีผู้ที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน ก็จะทำให้รัฐบาลแข็งแกร่งมากขึ้น" นายไชยยันต์กล่าว ข้อมูลที่มา ข่าวสดออนไลน์ http://www.khaosod.co.th/ & VoiceTV | |
http://redusala.blogspot.com |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)