วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ประยุทธ์ รับผิดพลาด ใช้ ม.44 โยกเลขาฯสภา ยันไม่ได้ใช้อำนาจพร่ำเพรื่อ


20 ต.ค.2558 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (ครม.) กล่าวถึงกรณีการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ให้นายจเร พันธุ์เปรื่อง เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร พ้นจากตำแหน่ง และไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รวมถึงมีคำสั่งแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งยกเลิกให้นายนัฑ ผาสุข ที่ปรึกษาด้านกฎหมายสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ว่า ได้สั่งให้ทบทวนเอง ซึ่งเป็นเรื่องของกลไก โดยมีประธานรัฐสภา เป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งการใช้อำนาจสั่งย้าย มี 2 สาเหตุ คือ การทุจริต และการปรับปรุงประสิทธิภาพ ซึ่งในกรณีนี้ย้ายเพื่อปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วนจะมีการทุจริตก็หรือไม่นั้น ก็ต้องมีการตรวจสอบต่อไป  แต่ยอมรับว่าผิดที่ลงนามแต่งตั้งนายนัฑ ทั้งที่มีกฎระเบียบการแต่งตั้งภายใน จึงต้องยกเลิกคำสั่งและให้ทบทวนการแต่งตั้งที่เกิดขึ้น ซึ่งการสั่งย้ายในกรณีนี้ไม่สามารถใช้กฎหมายปกติได้ เพราะเป็นตำแหน่งที่มีการโปรดเกล้าฯจึงต้องใช้มาตรา 44
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีข้าราชการที่จะแต่งชุดดำประท้วงนั้น ไม่ได้เป็นการกดดัน
“ทำอะไรผมไม่ได้หรอก เพราะผมไม่ได้ใช้อำนาจพร่ำเพรื่อ ไม่ได้ดันทุรัง ไม่อยากแต่งตั้ง ไม่อยากยกเลิกด้วยมาตรา 44 แต่จำเป็นเพื่อการขับเคลื่อนให้เร็วขึ้น ไม่ได้ตั้งใจไปรังแกข้าราชการ แต่คนที่อยู่แล้วทำไม่ได้ก็ต้องออกไปไม่ว่าจะอยู่ข้างไหน วันนี้ก็เช่นกันหากทำไม่ดีก็ย้ายไป” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ส่วนการที่มี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ระบุว่ากรณีดังกล่าวเป็นการใช้อำนาจมาตรา 44 พร่ำเพรื่อนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่อยากตอบโต้ เรื่องเล็กๆ ไม่สนใจ เรื่องใหญ่ก็คงไม่สนใจด้วย สำหรับการก่อสร้างรัฐสภาใหม่ที่ล่าช้านั้น ก็ต้องหาคนใหม่ที่ขับเคลื่อนได้เร็วขึ้น และให้ความเป็นธรรมกับผู้ก่อสร้าง ส่วนจะมีการทุจริตหรือไม่กำลังตรวจสอบอยู่ หากอยากให้เร็วขอให้ไปร้องทุกข์กล่าวโทษมา
สั่งกวาดล้างผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น ภายใน 6 เดือน
พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า นายกรัฐมนตรีได้กล่าวในช่วงต้นการประชุมโดยสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหม ให้ประสานความร่วมมือบูรณาการวางแนวทางปฎิบัติในการป้องกันและกวาดล้างผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นให้หมดสิ้นภายใน 6 เดือน ไม่ว่าจะเป็นผู้มีอิทธิพลนักการเมือง ทหาร ตำรวจหรือข้าราชการ โดยเฉพาะการปราบรามอาวุธสงคราม โดยต้องให้เห็นผลเป็นรูปธรรม เนื่องจากนายกรัฐมนตรีไม่สบายใจกับข่าวการทวงหนี้ 4,000 บาทแต่ใช้อาวุธสงครามมายิงถล่มที่จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นเรื่องสะเทือนความรู้สึกประชาชน

รมว.ศึกษาฯ รับลูกประยุทธ์ บรรจุมวยไทยไชยาเป็นกิจกรรมช่วงลดเวลาเรียน


จากรณีวานนี้(20 ต.ค.58) ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กระทรวงวัฒนธรรม ได้นำศิลปินนักแสดงพร้อมโชว์ศิลปะการแสดงมวยไทยไชยาให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ชมด้วย โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวหลังชมการแสดงว่า "ศิลปะแบบนี้ กระทรวงศึกษาธิการน่าจะเอาไปใส่ในการเรียนเสริมในช่วงบ่าย อย่างน้อยก็สักชั่วโมง ใครสนใจก็ไปเพิ่มเติม ความเป็นไทยนะ"

 

จากนั้นวันเดียวกัน มติชนออนไลน์ รายงานด้วยว่า พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  มอบให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) บรรจุวิชามวยไทยไชยาให้เป็นหนึ่งในกิจกรรมหลังเลิกเรียนในโครงการลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้นั้น ตนจะรับเรื่องนี้มาดำเนินการ ซึ่งเท่าที่ทราบสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้บรรจุวิชาดังกล่าวเป็นหนึ่งในกิจกรรมเสริมสร้างสมรรถนะการเรียนรู้อยู่แล้ว ขณะเดียวกันตนจะนำนโยบายลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้รายงานให้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา หรือ ซูเปอร์บอร์ดที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานรับทราบ เพื่อให้ทุกฝ่ายช่วยกันวิเคราะห์และปรับปรุงหากมีกิจกรรมใดที่ยังเป็นข้อบกพร่องอยู่  ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีอยากให้ ศธ.เร่งประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจให้ภาคสังคมได้รับทราบถึงนโยบายดังกล่าวมากขึ้นด้วย เนื่องจากพบว่ามีหลายคนยังไม่เข้าใจการดำเนินโครงการลดเวลาเรียนเพิ่มเวลาเรียนรู้
“ผมได้ลงพื้นที่ไปตรวจเยี่ยมสถานศึกษาที่สมัครเข้าร่วมโครงการดังกล่าวพบว่าผู้บริหารโรงเรียนและครูมีการเตรียมความพร้อมไว้แล้ว ขณะเดียวกันก็มีโรงเรียนบางโรงเดินหน้ากิจกรรมลดเวลาเรียนไปบ้างแล้วแต่ยังไม่ครอบคลุมทักษะบางด้านตามที่ผมมอบนโยบายให้ไปคือ ทักษะสมองในการคิดวิเคราะห์ ทักษะหัวใจในการสร้างทัศนคติที่ดี และทักษะการใช้มือในการลงมือปฏิบัติ  ซึ่งผมจะให้เพิ่มทักษะด้านสุขภาพเข้าไปด้วย เพื่อให้เป็นรูปแบบการศึกษาที่สมบูรณ์  อย่างไรก็ตาม ในช่วงเปิดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มดำเนินโครงการนั้น ผมจะลงพื้นที่สถานศึกษาเพื่อตรวจเยี่ยมการดำเนินโครงการอีกครั้ง ” พล.อ.ดาว์พงษ์กล่าว

สตช. เลื่อนแถลงคดีแอบอ้างสถาบันผิด ม.112 อย่างไม่มีกำหนด


21 ต.ค. 2558 กรณีความคืบหน้าคดีแอบอ้างสถาบันผิดกม.ตามมาตรา 112 ที่มี พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้ช่วย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผช.ผบ.ตร.) เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าว จากเดิมที่มีการนัดแถลงข่าวและจะคุมตัวผู้ต้องหาไปขออำนาจศาลฝากขังวันนี้(21 ต.ค. 58) (อ่านรายละเอียด)
ล่าสุด TNN Thailand 24 Hours รายงานว่า วันนี้(21ต.ค.58) พล.ต.ท.ศรีวราห์ ได้มีการเลื่อนการแถลงข่าวประจำวันออกไปอย่างไม่มีกำหนด ทำให้ขณะนี้ บรรยากาศที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นไปอย่างเงียบเหงา และยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ซึ่งสื่อมวลชนยังคงปักหลักรอความชัดเจนจากทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าจะมีการชี้แจงรายละเอียดคดีดังกล่าวหรือไม่
มีรายงานว่า ผบ.ตร. จะเดินทางเข้ามาสำนักงานตำรวจแห่งชาติในช่วงบ่าย เพื่อเข้าร่วมประชุมกต.ร. ซึ่งคาดว่าจะมีการให้สัมภาษณ์ชี้แจงชี้แจงเกี่ยวกับคดีดังกล่าว ซึ่งดิฉันจะรายงานให้ทราบอีกครั้ง ตอนนี้กลับไปทางสถานี
สำหรับบรรยากาศที่หน้ากรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ เมื่อช่วงเวลาประมาณ 8.50 น. มีรถตู้ของกองบังคับการกองปราบปราม จำนวน 1 คัน เข้าไปภายในกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ซึ่งเป็นสถานที่มีรายงานว่าได้ควบคุมตัว 2 ผู้ต้องหาที่ศาลทหารได้อนุมัติหมายจับที่ 27 / 2558 ลงวันที่ 18 ต.ค.2558 และหมายจับที่ 28 / 2558 ลงวันที่ 18 ต.ค.2558 ในข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
จากนั้นเวลาประมาณ 10.00 น. รถยนต์ของกองบังคับการกองปราบปรามรวมทั้งสิ้นประมาณ 8 คัน ได้เดินทางเข้ามายังกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ซึ่งทั้ง 2 ผู้ต้องหาถูกควบคุมตัวอยู่ภายในกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ 
ขณะที่การนำตัว 2 ผู้ต้องหา ไปดำเนินคดีตามกฎหมายที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ หรือศาลทหารนั้น คาดว่าเวลาประมาณ 13.00 น. จะเริ่มดำเนินการในการพาทั้ง 2 คน เดินทางไปยังศาลทหาร โดยจะใช้รถตู้ของกองบังคับการกองปราบปรามในการควบคุมตัวไป ท่ามกลางรถของชุดรักษาความปลอดภัยของทั้งทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ฎีกา2คดีหมิ่นทักษิณ : ปราโมทย์รอลงอาญา 2 ปี - สนธิรอดชี้ติชมด้วยความเป็นธรรม


ฎีกาหมิ่นทักษิณ 2 คดี ปมปฏิญญาฟินแลนด์ พิพากษา คุก 1 ปี ปรับ 1 แสน ปราโมทย์ นาครทรรพ โดยโทษจำคุก ให้รอลงอาญา 2 ปี ปมหมกมุ่นไสยศาสตร์ สนธิ รอดชี้ติชมด้วยความเป็นธรรม
21 ต.ค. 2558 มติชนออนไลน์ รายงานว่า ถึงคดีที่พรรคไทยรักไทย และนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระและคอลัมนิสต์ บริษัทแมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) นางสาวเสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์ ผู้บริหารแผนฟื้นฟู บมจ.แมเนเจอร์ นายขุนทอง ลอเสรีวานิช บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน และนายปัญจภัทร อังคสุวรรณ ผู้ดูแลเว็บไซต์ผู้จัดการ ฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณาและดูหมิ่นด้วยการโฆษณา
ทั้งนี้นายปราโมทย์ยื่นฎีกาสู้คดีซึ่งศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ฎีกาของนายปราโมทย์ เป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกา จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์จำคุก นายปราโมทย์ 1 ปี ปรับ 1 แสนบาท แต่โทษจำคุกให้รอรอลงอาญา 2 ปี
จากกรณีเมื่อระหว่างวันที่ 17 ถึง 25 พฤษภาคม 2549 จำเลยทั้งห้าคนได้ ร่วมกันตีพิมพ์และเผยแพร่บทความ “ ยุทธศาสตร์ฟินแลนด์ : แผนการเปลี่ยนแปลงการปกครองไทย? ” ของนายปราโมทย์ จำเลยที่ 1 ลงในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน และเว็บไซต์ ซึ่งใส่ร้ายโจทก์ทั้งสองให้เสื่อมเสียชื่อเสียง
ซึ่งคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาจึงให้จำคุกนายปราโมทย์ จำเลยที่ 1 และ นายขุนทอง จำเลยที่ 4 คนละ 1 ปี และปรับคนละ 1 แสนบาท แต่โทษจำคุก ให้รอลงอาญา 2 ปี ต่อมา นายปราโมทย์ และนายขุนทอง ยื่นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องนายขุนทอง
สนธิรอดชี้ติชมด้วยความเป็นธรรม
วันเดียวกัน Astvผู้จัดการข่าวอาชญากรรม เวลา 09.30 น. ที่ห้องพิจารณา 703 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีหมายเลขดำ อ.1062/2549 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มอบอำนาจให้นายชาตรี ถริปภัสสโร เป็นโจทก์ฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และนายขุนทอง ลอเสรีวานิช บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.ผู้จัดการ เป็นจำเลยที่ 1 และ 2 ตามลำดับ ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.328 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว. พ.ศ. 2541
กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 6-24 มี.ค. 2549 จำเลยที่ 1 กล่าวปราศรัยทำนองว่า โจทก์ใช้เงินซื้อประชาชนให้รักตนเอง และสร้างภาพให้ลูกน้องไปเผาเวทีของพันธมิตรกู้ชาติที่ จ.ภูเก็ต และกล่าวหาว่าโจทก์เป็นนายกรัฐมนตรีบ้า ต้องไล่ให้ไปประเทศสิงคโปร์ นอกจากนี้ยังกล่าวหาว่า โจทก์หมกมุ่นในเรื่องไสยศาสตร์ ให้หมอเขมรไปทำพิธีที่ทำเนียบรัฐบาล ทำพิธีฝังรูปฝังรอยที่ศาลพระพรหมหน้าโรงแรมเอราวัณ สี่แยกราชประสงค์ และอื่นๆ ซึ่งล้วนเป็นเท็จ เหตุเกิดที่เขตดุสิต กทม.และทั่วราชอาณาจักร
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษา (เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2550) ว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 328 จำเลยที่ 2 มีความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 328 ประกอบ พ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ. 2484 มาตรา 48 จำคุกจำเลยที่ 1 รวม 3 ปี และจำคุกจำเลยที่ 2 รวม 2 ปี และปรับจำเลยที่ 2 จำนวน 4 หมื่นบาท จำเลยที่ 2 ไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี และให้นับโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 5 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.1241/2550 ของศาลนี้ ให้จำเลยที่ 2 โฆษณาคำพิพากษาโดยย่อใน นสพ.ผู้จัดการ ไทยรัฐ เดลินิวส์ และมติชนรายวัน รวม 4 ฉบับ เป็นเวลา 5 วันติดต่อกัน โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์สู้คดี
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษากันแล้วเห็นว่า โจทก์จัดการปราศรัยโดยมีประชาชนมานั่งฟังจำนวนมาก จึงต้องใช้เจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยและใช้อุปกรณ์ในการจัดเวทีปราศรัย ติดป้าย แขวนบัตรจำนวนมากตามไปด้วย ข้อเท็จจริงทำให้จำเลยที่ 1 และคนทั่วไปเข้าใจได้ว่า การจัดปราศรัยของโจทก์ต้องใช้เงินจำนวนมาก การปราศรัยของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต เป็นธรรม ส่วนกรณีที่จำเลยที่ 1 ปราศรัยว่าได้ข้อมูลลับจากนายทหารระดับนายพลว่า มีการสั่งทีมสังหารจากภาคใต้-ภาคอีสาน ให้จัดการลอบสังหารตนเอง และถูกลูกน้องของนายหน้าเหลี่ยมเผาเวทีพันธมิตรกู้ชาติที่ จ.ภูเก็ต
โดยจำเลยนำสืบว่า ขณะรณรงค์ต่อต้านให้โจทก์ลาออกนั้น บ้านจำเลยถูกลอบยิง แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถหาคนร้ายมาลงโทษได้ ประกอบกับเห็นคนแต่งกายคล้ายตำรวจมาซุ่มอยู่แถวบ้าน และเวทีพันธมิตรที่ภูเก็ตก็ถูกเผา ประเด็นนี้โจทก์ไม่ได้นำสืบหักล้าง จึงฟังได้ว่าขณะจำเลยที่ 1 รณรงค์ต่อต้านโจทก์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรีขณะนั้น ตามพฤติการณ์เชื่อได้ว่าเป็นเรื่องจริง จำเลยจึงมีความชอบธรรมที่ป้องกันตัวเอง ส่วนกรณีกล่าวหาว่าโจทก์เป็นบ้านั้น คนทั่วไปยังเห็นว่าโจทก์เป็นคนปกติ โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหาย แต่กรณีที่กล่าวหาว่าชาติกำลังวิบัติ เพราะมีนายกฯ ที่หมกมุ่นกับไสยศาสตร์นั้น ไม่ปรากฏว่าโจทก์ทำตามที่จำเลยที่ 1 ปราศรัย และการที่โจทก์จะเชื่อไสยศาสตร์ก็เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับประชาชน การกล่าวหาดังกล่าวของจำเลยในส่วนนี้ย่อมทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียง
อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน พิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 328 หนึ่งกระทง ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 1 ปี โดยให้รอลงอาญา 2 ปี อนึ่ง เพื่อให้หลาบจำให้ปรับจำเลยที่ 1 จำนวน 2 หมื่นบาท และให้จำเลยที่ 1 โฆษณาคำพิพากษาโดยย่อใน นสพ.ผู้จัดการเป็นเวลา 5 วันติดต่อกัน ส่วนจำเลยที่ 2 พิพากษายกฟ้อง (อ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2554) ต่อมาโจทก์ได้ยื่นฎีกาและจำเลยที่ 1 ก็ได้ยื่นฎีกาในประเด็นข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาตรวจสำนวนปรึกษาหารือกันแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยข้อฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่กล่าวปราศรัยว่า ชาติบ้านเมืองกำลังจะวิบัติเพราะเรามีนายกฯ ที่หมกมุ่นเรื่องไสยศาสตร์ มีความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์เป็นผู้สมัครใจและลงสมัครรับเลือกตั้งโดยมีเป้าหมายเพื่อจะบริหารประเทศในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง สามารถกำหนดนโยบายและมีผลโดยตรงต่อความเจริญก้าวหน้าชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งประเทศ และยังได้บริหารเงินงบประมาณของแผ่นดินอันมีผลตามกฎหมาย การกระทำความเชื่อ อุปนิสัยต่างๆ แม้จะเป็นเรื่องส่วนตัวก็อาจมีผลต่อความไว้วางใจตามศรัทธาความเชื่อ ความสง่างามและศักดิ์ศรีของประเทศด้วย ซึ่งประชาชนทุกคนย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง ที่จะสามารถวิจารณ์ให้ความเห็นในทางปกป้องส่วนได้เสียของตนเองรวมทั้งผลประโยชน์ของประเทศชาติได้
ถ้อยคำที่จำเลยที่ 1 ปราศรัยนั้นก็มีพฤติกรรมต่างๆ ของโจทก์เห็นว่าโจทก์มีความเชื่อทางไสยศาสตร์ค่อนข้างมาก โดยที่โจทก์มิได้นำสืบโต้แย้งว่าไม่มีพฤติกรรมดังกล่าว แต่จำเลยที่ 1 นำสืบว่าพฤติกรรมของโจทก์ในหลายเรื่องมุ่งไปทางไสยศาสตร์ เช่น การตั้งศาลพระภูมิเจ้าที่ในทำเนียบรัฐบาล โดยผู้ทำพิธีเป็นชาวกัมพูชา และมีคนร้ายทุบพระพรหมที่โรงแรมเอราวัณ ต่อมามีการประดิษฐานพระพรหมขึ้นมาใหม่ โดยเป็นหน้าที่ของมูลนิธิท้าวมหาพรหม ซึ่งโจทก์ไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวข้องด้วย แต่รีบเดินทางจากต่างจังหวัดเพื่อร่วมพิธี โดยห้ามบุคคลอื่นไม่ให้เข้าร่วมพิธีกรรมด้วย เว้นแต่คนใกล้ชิด นอกจากนี้ยังมีการใช้พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามเพื่อทำบุญประเทศ อีกทั้งมีการนำคณะรัฐมนตรีไปประชุมที่ปราสาทหินพนมรุ้ง อ้างว่าส่งเสริมการท่องเที่ยว ความจริงเป็นการแก้เคล็ด เพื่อให้โจทก์ได้นั่งอยู่ในตำแหน่งอย่างยั่งยืน และสถานที่ดังกล่าวใช้ทำพิธีกรรมของกษัตริย์ ที่คนสมัยก่อนเชื่อว่าเป็นสถานที่ชุมนุมของเทพและเทวดา จึงน่าเชื่อว่าโจทก์มีพฤติกรรรมตามที่จำเลยที่ 1 นำสืบ ประชาชนและคนทั่วไปจึงสามารถแสดงความคิดเห็น ติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยที่คนทั่วไปสามารถกระทำได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (3) ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1

ประกาศราชกิจจานุเบกษาแล้ว ตั้ง ‘พล.อ.วรพงษ์’ นั่งปธ.บอร์ดนิคมอุตสาหกรรม คนใหม่


21 ต.ค. 2558 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้(20 ต.ค.58) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้ง พล.อ. วรพงษ์ สง่าเนตร ให้เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ลงนามโดย สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทน นายกรัฐมนตรี ประกาศไว้วันที 16 ต.ค.2558
โดยระบุว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (12 พฤศจิกายน 2557) อนุมัติให้แต่งตั้ง นางอรรชกา สีบุญเรือง ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการในคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยให้มีผลตั้งแต่ วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอและได้มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2557 นั้น
บัดนี้ นางอรรชกา สีบุญเรือง ได้ลาออกจากการเป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการดังกล่าวแล้ว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2522 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2558 อนุมัติให้แต่งตั้ง พล.อ. วรพงษ์ สง่าเนตร ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการในคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยแทนประธานกรรมการเดิมที่ลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นต้นไป
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับ พล.อ.วรพงษ์ นั้นนอกจากได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมฯ แล้ว ยังเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)เป็นอดีตสมาชิกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด อดีตเสนาธิการทหาร และอดีตเจ้ากรมยุทธการทหาร รวมทั้งเมื่อวันที่ 12 ม.ค. 58ราชกิจจานุเบกษา ยังเผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ตั้ง พล.อ.วรพงษ์ เป็น พลเรือเอกและพลอากาศเอก และแต่งตั้งเป็นนายทหารพิเศษ ประจำกรมนักเรียนนายเรือรักษาพระองค์ โรงเรียนนายเรือ และประจำกรมนักเรียนนายเรืออากาศรักษาพระองค์ โรงเรียนนายเรืออากาศ อีกด้วย
ขณะที่ นางอรรชกา สีบุญเรือง ที่ลาออกจากประธานกรรมการในคณะกรรมการดังกล่าวนั้น ปัจจุบันเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

กสท เตรียมเสนอแผน 'อินเทอร์เน็ตเกตเวย์ชาติ' ชูดิจิทัลฮับ ปัดไม่ใช่ 'ซิงเกิลเกตเวย์'


กสท เตรียมเสนอแผนโครงการอินเทอร์เน็ตเกตเวย์แห่งชาติมุ่งดิจิทัลฮับของอาเซียน ปัดไม่ใช่ซิงเกิลเกตเวย์ หวังกระทรวงไอซีทีเป็นเจ้าภาพดึงเอกชนตั้งคณะทำงานร่วม
21 ต.ค. 2558 เดอะเนชั่นและ ASTV ผู้จัดการออนไลน์ รายงานตรงกันว่า กสท เตรียมเสนอแผนโครงการอินเทอร์เน็ตเกตเวย์แห่งชาติ (National Internet Gateway) เพื่อนำประเทศไทยไปสู่การเป็นดิจิทัลฮับของอาเซียน พร้อมปฏิเสธด้วยว่าไม่ใช่การทำซิงเกิลเกตเวย์อย่างที่มีผู้กังวลกัน
พ.อ.สรรพชัย หุวะนันทน์ กรรมการและรักษาการในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภายหลังที่ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) มอบนโยบายให้ กสท เป็นเจ้าภาพในการขับเคลื่อนโครงการเคเบิลใต้น้ำ ร่วมกับ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) นั้น ทาง กสท กำลังเตรียมทำร่างโครงการเพื่อเสนอให้กระทรวงไอซีทีเป็นเจ้าภาพในการจัดตั้งคณะทำงานซึ่งไม่ได้จำกัดแค่ กสท และ ทีโอที เท่านั้น แต่ต้องการให้นำทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผู้ประกอบการภาคเอกชนมาร่วมเป็นคณะทำงานด้วย โดยมีวัตถุประสงค์ในภาพใหญ่เพื่อทำเป็น “National Internet Gateway” อันจะนำประเทศไทยไปสู่การเป็นดิจิทัลฮับของอาเซียน ไม่ใช่เพื่อควบคุมการไหลเวียนของข้อมูลข่าวสารในประเทศทางอินเทอร์เน็ตอย่างที่มีผู้กังวล
     
"อินเทอร์เน็ตเกตเวย์แห่งชาติเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ดิจิทัลฮับของประเทศ ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อรวมทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตทั้งหมดเป็นเกตเวย์เดียว (single gateway) เพื่อควบคุมเนื้อหาอินเทอร์เน็ต อย่างที่คนเข้าใจกัน" พ.อ.สรรพชัยระบุ
พ.อ.สรรพชัย ระบุว่า สาเหตุที่ต้องการให้กระทรวงไอซีทีเป็นเจ้าภาพ เนื่องจาก กสท ต้องการให้การขับเคลื่อนไปสู่ National Internet Gateway นั้นต้องมีนโยบายรองรับให้ผู้ที่จะเข้ามาใช้งาน โดยเฉพาะผู้ผลิตคอนเทนต์ อย่าง ไลน์ กูเกิล เฟซบุ๊ก ซึ่งคนไทยมีการใช้งานสูงสุด เชื่อมั่น และใช้ไทยเป็นฐานแทนประเทศสิงคโปร์ รัฐบาลต้องมีนโยบายในการสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นทางการเมือง ความชัดเจนของนโยบายด้านเศรษฐกิจ สิทธิพิเศษด้านภาษีสำหรับผู้ที่จะมาลงทุน การเอื้อประโยชน์เกี่ยวกับการจ้างแรงงานต่างชาติเข้ามาทำงานในประเทศไทย รวมถึงเรื่องการดูแลความปลอดภัยด้านข้อมูล ซึ่งกระทรวงไอซีทีเองก็ต้องเป็นตัวแทนในการเจรจากับผู้ผลิตคอนเทนต์ดังกล่าวเพื่อให้เข้ามาใช้บริการของประเทศไทย
     
ทั้งนี้ เมื่อทราบความต้องการของปริมาณการใช้งานแล้วก็จะทำให้สามารถลงทุนได้อย่างคุ้มค่า ขณะที่ภาคเอกชนเองก็ไม่ควรลงทุนเพิ่ม เพราะเป็นการลงทุนสูง แต่กำไรต่ำ จึงควรหันมาเช่าใช้ของ กสท ซึ่งจะทำให้สามารถทำราคาแข่งขันกับประเทศสิงคโปร์ได้ นอกจากนี้ ยังทำให้ประเทศไทยสามารถกระจายเส้นทางอินเทอร์เน็ต เกตเวย์ได้ดีขึ้น จากเดิมที่ส่วนใหญ่มีเส้นทางลงไปยังภาคใต้ 80% ภาคตะวันตก และตะวันออก เพียง 20% โดยเป็นปัจจัยหนึ่งที่นักลงทุนตัดสินใจด้วยว่าจะมาลงทุนหรือไม่ หากเส้นทางกระจุกตัวที่ใดที่หนึ่งมากเกินไปก็เป็นความเสี่ยง
     
ปัจจุบัน ตลาดรวมของประเทศไทยมีความต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ต เกตเวย์ อยู่ประมาณ 2 เทราไบต์ อัตราการเติบโตปีละ 80% คาดว่าภายใน 5 ปี ตลาดจะเติบโตถึง 60 เทราไบต์ ดังนั้น หากสามารถทำให้เกิดโครงการดังกล่าวได้จะทำให้การให้บริการอินเทอร์เน็ต เกตเวย์ ของรัฐวิสาหกิจเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งจะทำให้ราคาการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตลดลงจากปัจจุบัน ประมาณ 15 เหรียญสหรัฐ/Mbps/เดือน ให้อยู่ในระดับที่แข่งขันได้กับการไปเชื่อมต่อโดยตรงที่สิงคโปร์ (ระดับ 5 เหรียญสหรัฐ/Mbps/เดือน ในระยะยาว) และส่งผลให้ราคาอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ครัวเรือนในประเทศถูกลงราว 15-20% และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต บรอดแบนด์ได้ทุกครัวเรือนภายในปี 60 รวมถึงจะเพิ่มสัดส่วนการใช้งานเกตเวย์ ของ กสท โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาดอินเทอร์เน็ต เกตเวย์ ของรัฐวิสาหกิจจากเดิม 20-25% ให้อยู่ที่ประมาณ 50-60% ของปริมาณทราฟฟิกรวมของทั้งประเทศ

นำตัว ‘หมอหยอง-เลขา-สารวัตรเอี๊ยด’ ผู้ต้องหาม.112 ฝากขังกับศาลทหารแล้ว


21 ต.ค.2558 กรณีความคืบหน้าคดีแอบอ้างสถาบันผิดกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่มี พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้ช่วย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผช.ผบ.ตร.) เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าว

 

ล่าสุด เดลินิวส์และประชาชาติธุรกิจออนไลน์ รายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ประกอบด้วยนายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือ "หมอหยอง" นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ หรือ "อาท ชัตเตอร์มหาเทพ" เลขาหมอหยอง และพ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา หรือ "สารวัตรเอี๊ยด" สารวัตรกองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) เดินทางมายังศาลทหารกรุงเทพ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อขออำนาจฝากขังผัดแรก