วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2560

'จ่านิว' โพสต์ถ้าติดทหาร ถูกกระทืบตายแน่ 'เนติวิทย์' ระบุปีนี้จะผ่อนผัน


ผบ.หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน ยันเข้าเกณฑ์ทหาร ไม่ต้องกลัว ไม่มีกลั่นแกล้ง ด้าน 'เนติวิทย์' แจงจะผ่อนผัน ยันไม่สังฆกรรมในการเกณฑ์ทหารใดๆ  'จ่านิว' ชี้เข้าไปถูกกระทืบตายแน่
22 มี.ค. 2560 จากกรณีมีการเปิดเผยรายชื่อ เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เคยประกาศไว้ในคำประกาศความเป็นไทเมื่ออายุ 18 ปี ว่าจะไม่เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเกณฑ์ทหารของกองทัพไทย (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม) 'จ่านิว' สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ แกนนำกลุ่มประชาธิปไตยใหม่ มีชื่อต้องเข้ารับตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำการ ประจำปี 2560 นั้น

ผบ.นรด. บอกไม่ต้องกลัว ไม่มีกลั่นแกล้ง

วานนี้ (21 มี.ค.60) มติชนออนไลน์ รายงานว่า ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.ท.วีรชัย อินทุโสภณ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (นรด.) กล่าวถึงกรณี เนติวิทย์ ว่า เนติวิทย์ เมื่อได้รับหมายก็ต้องเข้ารับการตรวจเลือกตามวันเวลาที่กำหนด คือวันที่ 4 เม.ย. นี้ หากไม่มาก็เท่ากับหลีกเลี่ยง และขัดขืนก็จะถูกร้องทุกข์กล่าวโทษ โดยทางหน่วยทหาร จะไปแจ้งความ ดำเนินคดีตามกฎหมาย และศาลก็จะเป็นผู้ตัดสินความผิด หลังจากถูกตัดสินแล้วและในปีต่อไปก็จะต้องเข้ามาเป็นทหารทันทีโดยไม่ต้องผ่านการตรวจเลือก และนายเนติวิทย์จะต้องเป็นทหารทันทีโดยไม่ต้องมีการจับใบดำใบแดง
พล.ท.วีรชัย กล่าวว่า การเกณฑ์ททหารมีสิทธิ์ผ่อนผันได้จนจบการศึกษา ไม่ว่าจะรับการศึกษาทั้งในหรือต่างประเทศ หากจบการศึกษาแล้วก็ต้องได้รับการตรวจเลือก ส่วนที่นายเนติวิทย์เคยเรียกร้องให้ยกเลิกระบบการเกณฑ์ทหารนั้น ก็เป็นเรื่องของเขา แต่เราเป็นคนไทยซึ่งชายไทยทุกคน มีหน้าที่ต้องรับเข้าราชการทหารด้วยตัวเอง เพราะเป็นกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติรับราชการทหารปี 2497
“ไม่ว่า เนติวิทย์ จะหนีไปไหน ก็หนีไม่พ้นต้องเข้ารับการตรวจเลือกทหาร เพราะการตรวจเลือกทหารนั้น เป็นหน้าที่ที่ชายไทยทุกคนจะต้องปฏิบัติเท่าเทียมกันหมด ถือเป็นกฎหมาย และคนที่ทำผิดกฎหมายก็ต้องมีโทษ มีคดีติดตัว และไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศ และเข้ารับราชการก็ไม่ได้ รวมถึงทำงานด้านอื่นๆ ขอให้ความมั่นใจกับนายเนติวิทย์ว่าการเข้ามาเป็นทหารไม่ต้องกลัวว่าจะโดนกลั่นแกล้งเพราะ เราไม่เคยคิดที่จะไปกลั่นแกล้งใคร การเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ข้อบังคับและกฎหมาย ซึ่งไม่มีใครสามารถอยู่เหนือกฎหมายได้ หากเจ้าหน้าที่ไปกลั่นแกล้งใครก็จะมีความผิด" พล.ท.วีรชัย กล่าว

เนติวิทย์ แจงจะผ่อนผัน ยันไม่สังฆกรรมในการเกณฑ์ทหารใดๆ 

ขณะที่ เนติวิทย์ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ 'Netiwit Ntw' ระบุว่า ตนประกาศตัวเองว่าเป็น "ผู้ต่อต้านการเกณฑ์ทหารด้วยมโนธรรม" ตนเข้าใจว่าหลายๆ คนอาจจะงงว่าสิ่งที่ตนกำลังต่อสู้แบบนี้ เป็นลักษณะอย่างไร ขอแนะนำให้ไปดูเรื่อง Hacksaw Ridge พระเอกของเรื่องซึ่งมีตัวตนจริงก็เป็นผู้ต่อต้านแบบตน แต่สถานการณ์ของเขากับของเราต่างกัน ลองหากันดู
"ปีนี้ผมเลือกที่จะผ่อนผัน แต่ผมตัดสินใจมั่นว่าผมจะต่อสู้และผมจะไม่สังฆกรรมในการเกณฑ์ทหารใดๆ ผมไม่เห็นด้วยกับการรักชาติในรูปแบบนี้ ทำไมผมไม่สามารถทำอย่างอื่นได้ ทำไมนักร้อง นักแสดง หรือทุกๆ คนไม่อาจจะรักชาติในรูปแบบอื่น ทำไมชิน ชินวุฒิ ไม่ไปร้องเพลง ทำไมมาริโอ้ต้องอ้างเป็นโรคหอบ ใครเป็นคนกำหนดว่าอย่างไหนคือการ "รักชาติ" เรารักชาติโดยไม่ต้องฆ่า ไม่ต้องถืออาวุธ ไม่ต้องถูกล้างสมองให้เหมือนกันได้ไหม ประเทศที่เดินตามทางทหารเดียวๆ ทุกวันนี้ การรักชาติทหารนิยามกลุ่มเดียวใช่ไหม นี่ไม่ใช่ประเทศที่ผมต้องการ ผมเห็นแล้วว่า 3 ปีมานี้กับแนวคิดบ้าบออ้างรักชาตินี้ เราสูญเสียโอกาสไปขนาดไหน ผมขอต่อสู้เพื่อสิทธิของผม และสิทธิแห่งอนาคตของประเทศนี้ ผมขอย้ำอีกทีด้วยว่า ผมขอผ่อนผัน ผมกำลังยุ่งวุ่นรับใช้ชาติในแบบของผมอยู่ครับ" เนติวิทย์ โพสต์

จ่านิว ชี้เข้าไปถูกกระทืบตายแน่

ขณะที่วันนี้ (22 มี.ค.60) สิรวิชญ์ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 'Sirawith Seritiwat' ในลักษณะสาธารณะเช่นกันว่า "ถ้าผมเข้าไปถูกกระทืบตายแน่" พร้อมระบุด้วยว่า คงไม่ได้มีแค่เนติวิทย์หรือตนหรอกครับที่กังวลเรื่องในการเกณฑ์ทหาร คนทั่วไปเขาก็กลัวและกังวลเหมือนกัน มีหลักประกันอะไร ว่าจะไม่มีเหตุการณ์อย่างนี้ อมโบสถ์วัดพระแก้วมายืนยัน ตนก็ไม่เชื่อและไม่มีใครเชื่อด้วย
สิรวิชญ์ ระบุว่า ความสัมพันธ์ในแง่อำนาจระหว่างครูฝึกกับทหารผู้ถูกไม่เท่าเทียมกัน ในรูปแแบบการบังคับบัญชาของทหาร ก็เป็นลักษณะนี้ทุกที่ แต่ของไทยมักจะปรากฏเรื่องราว ความบ้าอำนาจของครูฝึก การใช้ อำนาจ้บังคับบัญชาในเรื่องไม่เป็นเรื่อง และไม่เกี่ยวข้องกับการฝึกปฏิบัติหน้าที่ ความบ้าอำนาจใช้อำนาจอย่างป่าเถื่อน และเกินกว่าเหตุนำไปสู่การใช้ความรุนแรงอย่างหนักและทำให้อับอาย ทั้งๆ ที่การใช้อำนาจนั้นไม่ได้มีอยู่ในข้อบังคับ แต่สุดท้ายคนพวกนี้ก็หาเหตุผลข้างๆ คูๆ มาอธิบาย ทั้งๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการฝึกเลย พูดง่ายๆ แทนที่จะใช้อำนาจบังคับบัญชาตามที่ทำได้อย่างถูกกฎเกณฑ์ กับใช้อำนาจอย่างบ้าคลั่งและป่าเถื่อน จนนำไปสู่การกระทำที่เกินกว่าต่อคนที่เข้าไปเป็นพลทหาร ทำกับเขาประดุจไม่ใช่คน จนบางครั้งนำไปสู่การสูญเสียแทบทุกปี
ภาพจากกล้องวงจรปิด จะเห็นรถปิคอัพสีบรอนซ์เงินจอดหน้าประตูเชียงราก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต และมีเจ้าหน้าที่เดินลงมาอย่างน้อย 5 นาย เพื่อควบคุมตัวสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ ที่กำลังเดินกลับเข้ามาในเขตมหาวิทยาลัย (มุมซ้ายของจอภาพ) ก่อนนำตัวขึ้นรถปิคอัพสีบรอนซ์เงิน ที่จอดขวางประตูเชียงราก (กลางจอภาพ) และขับรถมุ่งไปทางถนนพหลโยธิน ขณะที่มีรถปิคอัพสีน้ำเงิน ขับตามประกบ เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2559 (อ่านรายละเอียด)
สำหรับกลไกกระบวนการยุติธรรมนั้น สิรวิชญ์  ระบุว่า ไม่ช่วยไขข้อสงสัยหรือเยียวยา เหตุการณ์ เหล่านี้ได้ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีที่คุณนริศรา(หลานสาวพลทหารวิเชียรที่ถูกซ้อมจนเสียชีวิตในค่ายทหาร) เรียกร้องความเป็นธรรมและฟ้องร้องกรณีที่พลทหารที่เป็นญาติของเขาถูกซ้อมในค่ายทหาร จนบัดนี้ยังไม่ได้รับความเป็นธรรม แถมถูกคู่กรณีฟ้องกลับ และคู่กรณีที่ถูกกล่าวหาว่าซ้อมพลทหารคนนั้น กลับได้รับการเลื่อนยศอีก
อีกทั้งในส่วนของทหารก็มีวิถีปฏิบัติที่เป็นเหมือนระเบียบ ที่เปิดช่องให้ใช้ความรุนแรงเกินกว่าได้ เช่น สั่งซ่อม โดนซ่อม ก็คือซ้อม จำหน่ายตาย หมายถึง ให้มีการตายได้ ตนจำไม่ได้ว่าเท่าไหร่ 5% หรือ 5 คน แม้จะไม่มีระบุชัดเจน แต่การพูดลักษณะนี้ มันสะท้อนว่ามันต้องมี แทนที่จะทำให้ศูนย์แต่กับเปิดช่อง จึงไม่แปลกที่จะมีการใช้ความรุนแรง จนเกินกว่าและนำไปสู่ความตาย
สิรวิชญ์  ระบุอีกว่า ใครจะไปมั่นใจกับสิ่งที่กองทัพพูด และไม่ต้องรอให้ผมไปเป็นทหารเกณฑ์หรอก แค่ตนเป็นพลเรือนที่ต่อต้านการรัฐประหารของกองทัพ ก็เคยถูกทำความรุนแรงจากทหารบางคน ก็หลายครั้ง เช่นเหตุการณ์ 1)วันที่ 22 มิ.ย.2014 ทหารนอกเครื่องแบบไปควบคุมตัวผมกับเพื่อนๆที่สยามพารากอนอย่างรุนแรง  2) วันที่ 7 ธ.ค. 2015 ที่ สห. 6 คน ไปรุมตนเพื่อล็อคตัวขึ้นรถบัสทหาร และ 3) วันที่ 20 ม.ค. 2016 ที่มีทหารไปอุ้มตัวจากประตูเชียงราก มธ.รังสิต ที่จับตนคุมหัว แล้วพาไปป่าหญ้า เพื่อข่มขู่และลงไม้ลงมือ ใช้ความรุนแรงทำร้ายร่างกายตน ยังไม่นับเหตุการณ์ที่มาข่มขู่ตนและที่บ้าน
"จากปรากฏการณ์ที่เป็นข่าวทุกปีและสิ่งที่ผมต้องประสบ ผมไม่มีทางมั่นใจและเชื่อมั่นเรื่องที่บอกว่า ไม่มีการกลั่นแกล้ง ไม่มีการใช้ความรุนแรง จากปากของคนระดับสูงในกองทัพได้แน่นอน"  สิรวิชญ์  โพสต์


ศาลฎีกาไม่ให้ประกันตัว 'อริสมันต์-12 แกนนำนปช.พัทยา' คดีป่วนประชุมอาเซียนซัมมิท 52


ศาลฎีกายังไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว อริสมันต์ และ 12 แกนนำนปช.พัทยา หลังถูกศาลอุทธรณ์พิพากษา จำคุก 4 ปี ไม่รอลงอาญา คดีบุกรุกก่อความวุ่นวายการประชุมอาเซียน ซัมมิท ที่โรงแรมรอยัล คลิฟบีท เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ปี 2552 
22 มี.ค.2560 จากรณีวานนี้ (21 มี.ค.60) ที่ศาลจังหวัดพัทยา ศาลอุทธรณ์โดยตัดสินพิพากษายืน จำคุก 4 ปี ไม่รอลงอาญา อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง กับแกนนำกลุ่ม นปช.พัทยา อีกจำนวน 12 คน (จำเลยที่ 2-13) เป็นแกนนำ คดีบุกรุกก่อความวุ่นวายการประชุมอาเซียน ซัมมิท ที่โรงแรมรอยัล คลิฟบีท เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ปี 2552 นอกจากนี้ศาลยังไม่อนุญาตให้ประกันตัว ก่อนนำส่งไปควบคุมที่เรือนจำพิเศษหนองปลาไหล อ.บางละมุง ตั้งแต่ช่วงค่ำของวานนี้นั้น
ล่าสุดวันนี้ (22 มี.ค.60) สืบพงษ์ ศรีพงษ์กุล โฆษกศาลยุติธรรม เปิดเผยถึงผลการประกันตัว อริสมันต์ กับพวก 13 คน จำเลยคดีดังกล่าวว่า จำเลยทั้งหมดได้ยื่นหลักทรัพย์คนละ 1-2 ล้านบาทขอปล่อยชั่วคราวระหว่างฎีกา ซึ่งศาลเห็นควรส่งเรื่องให้ศาลฎีกามีคำสั่งปล่อยชั่วคราวว่า 
วันนี้ศาลฎีกาได้มีคำสั่งที่จำเลยขอปล่อยชั่วคราว โดยศาลฎีกาพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี ปรกอบกับคำพิพากษาที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1- 6 และที่ 10 -13 และจำเลยที่ 15-17 คนละ 4 ปีแล้วเห็นว่าคดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และจำเลยเหล่านี้ก็ยังไม่ได้ยื่นฎีกา กรณีมีเหตุอันควรเชื่อว่าหากปล่อยชั่วคราวจำเลยแล้วจะหลบหนี ดังนั้นยังไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว จึงให้ยกคำร้องของจำเลย
ขณะที่ จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ได้โพสต์ภาพตนเองและแกนนำ นปช. เข้าเยี่ยมจำเลยทั้ง 13 คน ที่เรือนจำพิเศษพัทยา

'พล.ต.อ.สมยศ-อนุทิน' ร้องเอาผิดมือโพสต์ข้อหาหมิ่นประมาท ปมกล่าวหาเปิดบ่อนกาสิโน


เมื่อวันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา รายงานข่าวระบุว่า พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) เดินทางเข้าพบ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. และพนักงานสอบสวน เพื่อแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษสื่อโซเชียล ที่มีการโพสต์ข้อความระบุว่า มีอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อักษรย่อ "ชื่อ ส. นามสกุล พ." ร่วมกับอดีตนักการเมืองดังลงทุนเปิดบ่อนกาสิโนในประเทศกัมพูชา 
พล.ต.อ.สมยศ ระบุว่า ข้อความดังกล่าว มีลักษณะทำให้คนอ่านเข้าใจว่าเป็นตน ซึ่งไม่เป็นความจริง พร้อมระบุหากเป็นประเด็นไปร่วมลงทุน ไม่ได้ให้ความสำคัญ หรือเดือดร้อน เนื่องจากที่ผ่านสนับสนุนแนวคิดเปิดบ่อนกาสิโนถูกกฎหมายในเมืองไทย แต่ขณะนี้ไม่มีอำนาจ จึงไม่สามารถออกมาผลักดันได้ ทำได้เพียงสนับสนุนแนวคิดเท่านั้น และส่วนตัวเมื่อเดินทางไปต่างประเทศ  มักไปใช้บริการบ่อนกาสิโนอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เดือดร้อนคือ การกล่าวอ้างสถาบันเบื้องสูงด้วย โดยยืนยันว่าไม่เคยมีกล่าวถึงสถาบันเบื้องสูง 
เช่นเดียวกัน อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เดินทางมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ปอท. ให้ดำเนินคดีกับผู้ที่โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก ระบุชื่อย่อ "อนท. ช." ว่ามีส่วนร่วมหุ้นในการเปิดบ่อนกาสิโน
โดย อนุทิน ระบุว่า ชื่อย่อดังกล่าวมีลักษณะทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นตน โดยยืนยันว่าข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริง ตนไม่เคยมีหุ้นส่วนหรือมีแนวคิดที่จะลงทุนเรื่องการพนัน และไม่รู้ว่าเหตุใดจึงมีชื่อย่อของตัวเองไปปรากฏในข้อความดังกล่าว ส่วนที่มาแจ้งความในวันนี้ไม่ได้นัดแนะกับ พล.ต.อ.สมยศ ที่มาแจ้งความเมื่อเช้านี้ แต่เห็นว่าเป็นการใส่ร้ายที่ทำให้เสียชื่อเสียง และที่รับไม่ได้อย่างยิ่งคือมีการกล่าวอ้างถึงสถาบันเบื้องสูงด้วย จึงตัดสินใจมาแจ้งความและแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และขอให้ตำรวจติดตามจับกุมผู้ที่โพสต์ข้อความดังกล่าวมาดำเนินคดีให้ถึงที่สุด และส่วนตัวไม่เคยมีแนวคิดผลักดันให้มีบ่อนกาสิโนถูกกฎหมายในประเทศไทย เนื่องจากเห็นว่าคงเป็นเรื่องยากมาก 

ม.44 รักษาทุกโรค 'ประยุทธ์' ออก 2 คำสั่ง หัวหน้า คสช. แก้ พ.ร.บ.จราจร


23 มี.ค. 2560 จากกรณีเมื่อวันที่ 21 มี.ค.ทีผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ออกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) 2 ฉบับเกี่ยวกับมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก และมาตรการเพิ่มความปลอดภัยในรถโดยสารสาธารณะ โดยคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 14/2560 เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก และคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 15/2560 เรื่อง มาตรการเพิ่มความปลอดภัยในรถโดยสารสาธารณะ
โดยวานนี้ สนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยภายหลัง หัวหน้า คสช.มีคำสั่งดังกล่าว นั้น ว่า ในส่วนของการออกใบสั่งรถยนต์ทั่วไปนั้น ใบสั่งตั้งแต่วันที่ 21 มี.ค. 2560 เป็นต้นไปจะมีการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และกรมการขนส่งทางบก ซึ่งส่วนนี้สำหรับประชาชนผู้ต่อทะเบียนภาษีที่ไม่ได้ทำผิดกฎหมายจราจรสามารถต่อภาษีได้ตามปกติ 
ส่วนเกณฑ์ปกติสำหรับประชาชนที่ถูกใบสั่งทำผิดกฏหมายจราจร ในส่วนนี้กรมการขนส่งทางบกจะใช้พื้นที่ของขนส่งเปิดโต๊ะรับชำระค่าปรับแทน สตช.ด้วย หากผู้ต่อภาษีรายใดชำระค่าปรับเรียบร้อยก็สามารถต่อภาษีได้ทันที แต่หากผู้ต่อภาษีไม่สะดวกชำระค่าปรับทางเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบกจะออกป้ายต่อภาษีชั่วคราว ซึ่งจะมีลักษณะเป็นใบเสร็จ พร้อมแสตมป์ข้อความที่ระบุว่า “ใช้เป็นป้ายต่อทะเบียนภาษีชั่วคราว” หากกรณีถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรเรียกตรวจสอบรถก็สามารถแสดงป้ายดังกล่าวได้ ทั้งนี้ ป้ายต่อภาษีชั่วคราวจะมีอายุ 30 วัน และระหว่างช่วงเวลาดังกล่าวผู้ต่อภาษีต้องไปชำระค่าปรับให้ครบถ้วน แต่หากไม่ดำเนินการหลังพ้น 30 วันเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเป็นผู้ดำเนินคดีฟ้องร้องต่อไป

สำหรับการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างกรมการขนส่งทางบกและ สตช. นั้น อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ระบุว่าวันนี้ (23 มี.ค.60) 2 ฝ่ายจะมีการหารือร่วมกันที่กองบังคับการตำรวจทางหลวง ถนนศรีอยุธยา เพื่อให้การเชื่อมต่อข้อมูลเกิดขึ้นโดยเร็ว เนื่องจากการประกาศ ม.44 มีผลบังคับใช้แล้ว จำเป็นต้องเร่งดำเนินการให้มีผลสอดคล้องกัน

ส่วนการออกประกาศ ม.44 ควบคุมเกี่ยวกับความปลอดภัยของรถโดยสารและรถยนต์ส่วนบุคคลนั้น อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ระบุว่า ในประเด็นรถโดยสารที่มีผลทันทีโดยเฉพาะในส่วนของรถตู้โดยสาร ซึ่งเดิมรถตู้ที่วิ่งในพื้นที่กรุงเทพมหานครซึ่งปกติจะมี 15 ที่นั่ง และรถตู้วิ่งระหว่างจังหวัดมี 14 ที่นั่ง การประกาศ ม.44 มีผลให้รถทั้ง 2 ประเภทจะต้องไปแก้ไขปรับปรุงตัวรถให้มี 13 ที่นั่งเหมือนกัน ทั้งนี้ ตามเจตนารมณ์ของประกาศ คสช.ต้องการให้มีการนำเบาะท้ายสุดของตัวรถออกไป 1 ที่นั่ง รวมทั้งเบาะกลางระหว่างคนขับกับผู้โดยสารด้านหน้า อีก 1 ที่นั่ง ซึ่งเมื่อเอาออกไป 2 ที่นั่งก็จะมีจำนวนที่นั่งพอดีกับการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว โดยเป้าหมายสำคัญต้องการให้การบรรทุกผู้โดยสารในรถตู้โดยสารมีที่เหลือและเกิดความคล่องตัวในการเปิดประตูด้านหลังกรณีรถเกิดอุบัติเหตุ โดยการบังคับใช้กฎหมายตามประกาศดังกล่าวมีการมอบหมายให้อธิบดีกรมการขนส่งทางบกเป็นเจ้าพนักงานรับไปดำเนินการ ดังนั้น ในส่วนนี้กรมการขนส่งทางบกจะมีการนำประกาศดังกล่าวเข้าหารือในคณะกรรมการควบคุมขนส่งทางบกกลางในการประชุมครั้งต่อไป เพื่อประกาศบังคับใช้กับรถตู้โดยสารทุกคัน

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องของการติดตั้งเข็มขัดนิรภัย นั้น จะต้องมีการติดตั้งในรถโดยสารและรถยนต์ส่วนบุคคลทุกคัน แต่มีข้อสงสัยว่าจะมีผลครอบคลุมถึงรถกะบะที่มีการต่อ cab ด้านหลังหรือไม่ อธิบดีกรมการขนส่งทางบกชี้แจงว่าประกาศดังกล่าวจะครอบคลุมเฉพาะรถที่มีการกำหนดโครงสร้างว่ามีจำนวนกี่ที่นั่งเท่าใด หากรถคันใดมีการต่อเติมที่นั่งเพิ่มหรือเป็นพื้นที่ในรถที่ไม่ได้ถูกระบุเพื่อการใช้สำหรับโดยสาร (ใช้วางสิ่งของ) ก็จะไม่เข้าข่ายตามประกาศดังกล่าว รวมทั้งรถสองแถว ซึ่งตามโครงสร้างไม่สามารถติดเข็มขัดนิรภัยได้สำหรับผู้โดยสารด้านหลังก็จะใช้มาตรการควบคุมดูแลความปลอดภัยอื่น ๆ มาทดแทน

รายละเอียดคำสั่ง หัวหน้า คสช. ทั้ง 2 ฉบับ :