ดาวน์โหลดคลิ๊ปคนเสื้อแดง
วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2555
แง่มุมในการตอบโต้เผด็จการยังห่างชั้นมาก!! | |
แง่มุมในการตอบโต้เผด็จการยังห่างชั้นมาก!! การจัดรายการทั้งทีวีและวิทยุรวมทั้งอินเตอร์เน็ทของฝ่ายประชาธิปไตย เพื่อตอบโต้และอธิบายเพื่อต่อสู้กับฝ่ายเผด็จการนั้น ยังต้องมีการปรับปรุงอีกมากมายหลายประการ ทั้งการใช้ศัพท์ทางการเมืองที่ถูกต้องตรงความเป็นจริง เพื่อไม่ให้ใช้กันจนเพี้ยนเปลี่ยนแปลงและหลงความหมายไป หลายคนที่เป็นแกนนำยังใช้ภาษาศัพท์ทางการเมืองเพี้ยนอย่างไม่น่าให้อภัย ยิ่งการจ่อสู้กันในทางการเมืองต่างขั้วนี้ย่อมมีความสำคัญเป็นลำดับต้น ที่จะต้องให้ความสำคัญอย่างมาก การอธิบายความเป็นจริงเพื่อให้ได้แนวร่วมจากประชาชนเพื่อเพิ่มปริมาณมวลชนนั้น พวกแกนนำทางความคิดจะเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่ให้ความสำคัญถือเป็นอันตรายทางความคิดเป็นอย่างยิ่ง ฝ่ายเผด็จการมีความชำนาญในการสรรหาวาทกรรมคำศัพท์ทางการเมืองต่างๆหลากหลายประโยคหลากหลายคำเพื่ออะไร? ที่พวกมันพูดแต่ละคำแต่ละประโยคนั้นมีความหมายทั้งสิ้น มีความหมายและเป็นผลทางจิตวิทยาทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อผู้ฟังผู้เห็น การสร้างความเพี้ยนให้เกิดกับฝ่ายตรงข้ามนั้นถือเป็นยุทธวิธีต่อสู้อย่างได้ผลมายาวนานและประวัติศาสตร์ของฝ่ายประชาธิปไตยจะค่อยๆมลายหายไปในที่สุด อย่างเช่นคำว่า”คณะราษฎร” (คณะ-ราด-สะ-ดอน) ก็ถูกทำให้เพี้ยนไปเป็นคณะราษฎร์ (เติมการันต์) ในฝ่ายประชาธิปไตยหลายคนมองว่าไม่เห็นจะสำคัญใด ๆ คณะราด หรือราด-สะ-ดอน เราก็รู้อยู่ว่าคือใคร? อย่างนี้ถือว่าคนที่คิดอย่างนั้นปัญญาอ่อนในการต่อสู้เป็นอย่างมาก เพราะคำนี้มีความหมายในการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นประชาธิปไตย นี่น่ะหรือไม่สำคัญ? ความเพี้ยนมันเริ่มต้นมาจากฝ่ายเผด็จการที่จงใจจะให้ผู้คนเรียกให้ติดปากเพราะมันจะพ้องเสียงกับคำว่า”ราช” (ราชา) ทำให้คนรุ่นหลังมองว่าการต่อสู้ครั้งนั้นไม่ใช่ฝ่ายราษฎรแต่เป็นฝ่ายเจ้าด้วยกันเอง นี่เป็นความจงใจให้คนรุ่นต่อๆมาเข้าใจเป็นอย่างนี้อย่างมีนัยยะสำคัญ ประเด็นคือทำให้ฝ่ายราษฎรมองผ่านเลยการต่อสู้ของประชาชนและกลับไปจำยอมรับเพียงความช่วยเหลือจากระบอบเก่าอีกนั่นเอง ทำให้มองว่าแค่คำศัพท์จะไปสำคัญอะไร? นี่คือการปลูกฝังความคิดที่ผิดให้คนต่อสู้กับฝ่ายเผด็จการตั้งแต่ต้น ความคิดก้าวหน้าก็จะผิดเพี้ยนไปและเป็นไปในทางที่พวกมันอยากจะให้เป็น การอธิบายเกี่ยวเนื่องกับข้อกฎหมายยิ่งแล้วใหญ่ หาคนตอบโต้จากฝ่ายประชาธิปไตยได้ยากยิ่ง เพราะไม่เคยจะคิดจะค้นหาและนำประเด็นมาขยายให้ได้ประโยชน์แก่ฝ่ายประชาธิปไตย เรื่องเหล่านี้ จะมีก็เป็นเพียงการพูดผ่าน แตะบ้างพออาศัยเพียงเท่านั้น ไม่หาประเด็นข้อเท็จจริงมาตอบโต้เลย เช่นในเรื่องการเยียวยาเหตุการณ์ เม.ย. พ.ค.๕๓ นั้น ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์เองเป็นคนออกคำสั่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อแต่งตั้ง คอป.มาค้นหาความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้โดยเฉพาะและให้ทำการเยียวยาผู้เสียหายจากเหตุการณ์นี้โดยเฉพาะ ฝ่ายประชาธิปไตยก็ไม่เคยจะเห็นใครเอามาพูดว่า นี่ไงพวกมึงเป็นคนออกคำสั่งไว้แค่เหตุการณ์นี้เท่านั้นไง? แล้วมึงจะให้เขาไปเยียวยาเหตุการณ์อื่น ๆ นอกเหนือจากนี้ได้ยังไง? แต่รัฐบาลนี้ก็ยังออกคำสั่งแต่งตั้งคณะใหม่คือ ปคอป.มาศึกษาและเยียวยาผู้เสียหายในทางการเมืองครอบคลุมมากกว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ และรัฐบาลอภิสิทธิ์ตอนเป็นรัฐบาลเองก็ไม่เคยคิดจะเยียวยาเหตุการณ์ทางภาคใต้เลย อย่างนี้ไม่เคยเห็นใครเอามาพูดเลย!!!!! ยิ่งการจัดตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงยิ่งแล้วใหญ่ทั้ง ๆ ที่มีแง่มุมที่จะสามารถพูดได้เต็มปากทางข้อบัญญัติในรัฐธรรมนูญว่า การจัดตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงนั้นมีข้อกำหนดไว้ ให้รัฐส่งเสริมให้ภาคประชาชนรวมกลุ่มและจัดตั้งได้เพื่อสร้างความเข้าใจการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของภาคประชาชน และรัฐต้องส่งเสริมสนับสนุนให้มีการจัดตั้งกองทุนสนับสนุนเสียด้วย ก็ยังไม่เคยเห็นฝ่ายประชาธิปไตยจะอธิบายแง่มุมนี้เลย? การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ปล่อยให้พวกลิ่วล้อเผด็จการเอามาโพนทะนาอยู่ได้ว่าจะฉีกทิ้งเขียนใหม่ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีการแก้ไขหมวด ๑ และหมวด ๒ แล้วอย่างนี้มันจะเขียนใหม่หมดยังไง?ไม่เห็นมีใครอธิบายเรื่องง่ายๆแบบนี้ พูดกันแต่ว่าทำได้ทำถูกตามรัฐธรรมนูญ ก็รู้อยู่แล้วว่าทำได้โดยเสียงข้างมากในสภา เพราะเสียงข้างมากในสภาก็มาจากเสียงข้างมากของประชาชนนั่นเอง มันก็รู้ แต่มันก็ลากเราออกไปให้ไขว้เขวแค่นั้น แต่ก็พากันเถียงไปตามที่มันพาไป ยิ่งเรื่องคดีท่านทักษิณยิ่งแล้วใหญ่ ยิ่งไม่มีนักกฎหมายใด ๆ และนักการเมืองคนใดของฝ่ายที่บอกว่ารักทักษิณเหลือเกินจะอธิบายได้เป็นอย่างดีเลย เอาแต่ฝังความกลัวคำว่า ”หมิ่นศาล” กันจนมั่วและเพี้ยนไปหมด ทั้ง ๆ ที่แง่มุมในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายมีให้อธิบายมากมายเหลือเกิน ยกตัวอย่างเช่น คดีที่ตัดสินให้ท่านทักษิณต้องจำคุก ๒ ปี ด้วยกฎหมาย พรบ.ปปช.นั้น ยิ่งแล้วใหญ่ และเป็นเรื่องใหญ่จริงๆว่า ทำไมตัดสินได้อย่างนั้น ทั้งๆที่กฎหมายมีเจตนารมณ์ ที่จะลงโทษเจ้าหน้าที่โดยตรงรวมถึงคู่สมรสและบุตรที่ไม่บรรลุนิติภาวะของเจ้าหน้าที่รัฐ มีเจตนาใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาประโยชน์โดยทุจริต การห้ามการเป็นคู่สัญญากับรัฐทั้ง ๆ ที่เป็นสัญญาซื้อขาย และไม่ใช่การสัมปทานเลยก็ถูกลากให้มั่วไปได้ คำพิพากษาก็ยังระบุไว้ว่าไม่ใช่การทุจริต แต่ก็ยังมีความผิดไปได้? ยิ่งต่อมาการประมูลถูกตีความให้เป็นโมฆะคืนเงินแถมดอกเบี้ยด้วยเงินภาษีอากรของประชาชน และคืนทรัพย์สินที่ประมูลกลับไป ก็ยังทำกันได้หน้าตาเฉย แต่การลงโทษปล่อยเลยตามเลย ไม่มีใครแย้งอะไรเลย? เวรกรรมจริงๆ แล้วที่อดีต รมต.คมนาคม ประมูลทะเบียนรถยนต์จากกรมการขนส่งทางบก ทะเบียนสวยประมูลเป็นล้าน นี่เป็นคู่สัญญากับรัฐไหม? นี่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐมีอำนาจหน้าที่ควบคุมองค์กรของรัฐโดยตรงไหม? ฝ่ายประชาธิปไตยที่อวดเก่งเคยเอามาพูดกันบ้างไหมในแง่มุมนี้? คดียึดทรัพย์อดีตนายกฯทักษิณ ยิ่งแล้วใหญ่เลย ถูกพิพากษาว่าหุ้นยังถือเป็นของเขา ทั้ง ๆ ที่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในปี ๔๔ วินิจฉัยว่าการแจ้งทรัพย์สินต่าง ๆ ของอดีตนายกทักษิณ ถูกต้องไปแล้ว กลับไม่มีผลผูกพันทุกองค์กรไม่เว้นแม้แต่ศาล ก็ถูกละเลยไปได้ การพิพากษาเรื่องการออกพระราชกำหนดแก้ไขภาษีสรรพสามิต ที่ออกโดยความเห็นของคณะรัฐมนตรีแท้ ๆ ยังถูกพิพากษาว่าทำผิดเอื้อประโยชน์ให้ตนเองทั้ง ๆ ที่ความรับผิดชอบต้องรับผิดชอบกันทั้งคณะรัฐมนตรี แต่คนถูกยึดทรัพย์และมีความผิดเป็นเพียงแค่อดีตนายกฯทักษิณ เท่านั้น แปลกไหมล่ะ? ถูกต้องไหมล่ะ? ทั้ง ๆ ที่มีคำวินิจฉันของศาลรัฐธรรมนูญว่า การออกพระราชกำหนดในเรื่องนั้นถูกต้องและชอบด้วยรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ถูกพูดถึงและหยิบยกมาผูกพันทุกองค์กร ทั้งที่ถูกบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแท้ ๆ กลับปล่อยให้เลยตามเลย ไม่มีการฟ้องต่อสังคมให้เข้าใจกันเลย? นี่เป็นการปล่อยปละละเลยแง่มุมในการตอบโต้ และกลับไปตอบโต้ในแบบลูกทุ่งด่าทอกันทั้งทางทีวี อินเตอร์เน็ทและวิทยุชุมชนกันเอิกเกริกเมามัน เข้าทางมันโหมเติมเชื้อให้หนักเข้าไว้ด้วยการพูดความเท็จต่าง ๆ นานา ยิ่งการยึดอำนาจรัฐประหารของไอ้พวกทหารบางตัวที่ทำเมื่อ ๑๙ ก.ย.๔๙ นั้นไม่ใช่เพียงแค่การยึดอำนาจประชาชนเท่านั้นแต่มันยึดอำนาจพระมหากษัตริย์มาใช้เสียเองยึดอำนาจ ”จอมทัพไทย” อย่างนี้ไม่มีใครพูดถึง? อย่างนี้ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์อันเป็นความผิดกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ หรือไม่? ไม่มีใครพูดถึงไม่มีใครกล้าอธิบายเลย? ทั้ง ๆ ที่พวกมันยกโทษตัวเองด้วยการเขียนกฎหมาย แต่ไม่เคยมีการขอและพระราชทานอภัยโทษในโทษานุโทษร้ายแรงนี้ กลับไม่มีใครเอามาเปิดประเด็น? ไม่มีใครเอาไปฟ้องต่อศาลในความผิด ๑๑๒ นี้ มีแต่เอาไปฟ้อง ม.๑๑๓ ให้มันอ้างรับธรรมนูญมาตรา ๓๐๙ มาหักล้าง ไม่มีใครเปิดประเด็นฟ้องประชาชนให้รู้และให้มันอ้างดูว่ามันสามารถหักล้างความผิด ม.๑๑๒ ที่พวกมันทำกับพระมหากษัตริย์ได้อย่างนั้นหรือ? นี่เป็นแค่ตัวอย่างหลัก ๆ ที่ควรจะอธิบายต่อสาธารณะ เพื่อชี้ประเด็นข้อเท็จจริงและข้อกฏหมาย เพื่อความเข้าใจของประชาชนคนอื่น ๆ ทั้งฝ่ายต่อสู้เองและประชาชนที่มองอยู่รอบนอก ทั้งจะสร้างกระแสต่อต้านการยึดอำนาจรัฐประหารอย่างได้ผลถาวร ทีพวกมันอ้างปกป้องสถาบันฯ ทั้ง ๆ ที่พวกมันนั่นล่ะที่ล้มล้างและดูหมิ่นสถาบันฯ ชัดเจน แต่ก็ไม่มีใครในฝ่ายประชาธิปไตยจะหยิบยกมาพูดเลย? ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่แกนนำและสื่อฝ่ายประชาธิปไตยจะเห็นเรื่องแบบนี้เป็นความสำคัญและน่าจับเอามาเปิดประเด็นกับสาธารณะ? นี่ไงถึงตั้งชื่อบทความไว้ว่า ”ยังห่างชั้น”กันมากเหลือเกิน แต่ที่มีประชาชนเห็นและให้คะแนนเสียงมาเป็นเสียงข้างมากนั้นเป็นเพียงแค่ความสงสารและเบื่อความไม่เป็นธรรมเสียมากกว่าจะมีความเข้าใจข้อเท็จจริงและข้อกฏหมายเพราะไม่เคยมีใครอธิบายไว้ต่างหาก แต่ถ้าประชาชนเขาไขว้เขวไปตามพวกเผด็จการเมื่อไหร่ฝ่ายประชาธิปไตยก็ยาวก็แล้วกัน!!! ------------------------------------------------------------------------------------- ข้อมูลจากคุณ auss : เวบบอร์ด หมู่บ้านคนไทยรักประชาธิปไตย | |
http://redusala.blogspot.com |
ภาพลวงตาของ “ไฮเปอร์รอยัลลิสม์” | |
ธงชัย วินิจจะกูล: ภาพลวงตาของ “ไฮเปอร์รอยัลลิสม์” “ธงชัย” ชี้เงื่อนไขการเติบโตของ “ไฮเปอร์รอยัลลิสม์” มาจากวาระทางการเมืองของระบอบประชาธิปไตยแบบกษัตริย์นิยม และความหวั่นกลัวต่ออนาคตของสถาบันฯ ประกอบกับกระบวนการ “แปรความจงรักภักดีให้เป็นสินค้า” และวัฒนธรรมการจ้องมองก็ได้ยิ่งทำให้สภาวะดังกล่าวกลายเป็น “ภาพลวงตา” เมื่อวันศุกร์ที่ 9 มี.ค. ที่ผ่านมา ศูนย์ติดตามประชาธิปไตยไทย คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับมหาวิทยาลัยแมคกิลล์ ประเทศแคนาดา ร่วมจัดประชุมทางวิชาการในหัวข้อ "Democracy and Crisis" หรือ "ประชาธิปไตยและวิกฤติการณ์" โดยหนึ่งในหัวข้อการอภิปรายมีหัวข้อเรื่อง สถาบันกษัตริย์กับประชาธิปไตย โดยประชาไทขอนำเสนอในส่วนการอภิปรายโดย ธงชัย วินิจจะกูล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ไทย มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน เมดิสัน ดังนี้ วิดีโอคลิปการบรรยายโดยธงชัย วินิจจะกูล ที่มา: youtube.com/tdwwatchtv ในแง่หนึ่ง เมื่อเทียบกับเสรีภาพทางศาสนา คนไทยยังมีสิทธิเลือกศาสนาและแสดงออกต่างกันได้ แต่ในแง่ของความจงรักภักดี หรือความเป็นกษัตริย์นิยมนั้นคนไทยกลับเลือกได้น้อยกว่า และประชาสังคมก็มีความอดทนต่อคนที่เห็นต่างไปน้อยเสียยิ่งกว่าการเห็นต่างทางศาสนา ธงชัยได้ตั้งคำถามที่สำคัญสามข้อต่อไฮเปอร์รอยัลลิสม์คือ อะไรที่ทำให้เกิดสภาวะไฮเปอร์รอยัลลิสม์? สภาวะดังกล่าวดำรงอยู่ได้อย่างไรในภาวะสมัยใหม่/ประเทศไทยเองเป็นรัฐสมัยใหม่หรือยัง ? สภาวะดังกล่าวดำรงอยู่ได้อย่างไรในสภาพสังคมที่เปิด เป็นฆราวาส และเข้าสู่การใช้เหตุผลสมัยใหม่แล้ว? ธงชัยขยายความต่อถึงปัจจัยที่ผลักดันให้เกิดสภาวะรอยัลลิสม์ โดยชี้ว่ามาจากเหตุผลสองด้าน อย่างแรก มาจากการที่ฝ่ายนิยมเจ้าต้องการฟื้นฟูอำนาจของสถาบันกษัตริย์ในการเมืองไทย โดยเฉพาะหลังการสิ้นสุดระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และภายหลังการสิ้นอำนาจของคณะราษฎร ซึ่งฝ่ายกษัตริย์นิยมต้องการสถาปนาอำนาจเหนือประชาธิปไตยซึ่งเขาเรียกว่าเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบกษัตริย์นิยม (Royalist Democracy) ต่อมาการขึ้นสู่อำนาจของสถาบันกษัตริย์ก็ได้รับการสถาปนาขึ้นเต็มที่ในสมัยของจอมพลสฤษดิ์ธนะรัตช์ ราวต้นทศวรรษที่ 2500ซึ่งตรงกับสมัยสงครามเย็น และด้วยนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาสมัยประธานาธิบดีเคนเนดี้ที่มุ่งปราบปรามขบวนการคอมมิวนิสต์ ทำให้สหรัฐหันมาสร้างพันธมิตรกับสถาบันกษัตริย์ไทย และถึงแม้ประชาธิปไตยแบบกษัตริย์นิยมจะมีความไม่เสถียรทางอำนาจอยู่บ้างในช่วงนี้ โดยเฉพาะการที่ต้องเจรจาอำนาจกับกองทัพ แต่เหตุการณ์ลุกฮือของประชาชนเมื่อ 14 ตุลา 2516 ก็แสดงให้เห็นว่าสถาบันฯ สามารถเจรจาผลประโยชน์กับกองทัพได้อย่างสำเร็จและลงตัว ธงชัยชี้ว่า ในปี 2518 ซึ่งเป็นการปฏิวัติอินโดจีน เป็นช่วงที่สภาวะไฮเปอร์รอยัลลิสม์เริ่มต้นขึ้นจนมาถึงในสมัยเหตุการณ์พฤษภา 2535 ภาพของสุจินดา คราประยูร และจำลอง ศรีเมือง เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อไกล่เกลี่ยเหตุการณ์ความวุ่นวาย ก็เป็นสัญลักษณ์ที่ชี้ให้เห็นถึงการบรรลุอำนาจของสถาบันกษัตริย์ในทางการเมืองได้อย่างสำเร็จ เรื่องที่น่าสนใจคือว่า เมื่อสถาบันฯ เริ่มกล่าวถึงแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงในช่วงทศวรรษ 1990 (ราวทศวรรษ 2530) กลับทำให้คนที่คิดต่างทางอุดมการณ์ในช่วงสงครามเย็นกลายมาเป็นพวกเดียวกันจะเห็นจากการที่ฝ่ายกษัตริย์นิยมและคนที่เคยสมาทานคอมมิวนิสต์ล้วนกลายมาเป็นคนเสื้อเหลืองได้ ก็เพราะมีความหวาดกลัวต่อทุนนิยมและนโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่อันเป็นผลมาจากวิกฤติเศรษฐกิจเอเชียปี 2540ซึ่งแตกต่างจากก่อนหน้านี้ ที่ความกลัวในสังคมจะเกี่ยวกับขบวนการคอมมิวนิสต์ ธรรมราชาที่เปลี่ยนความหมาย ธงชัยกล่าวว่า เมื่อพูดถึงธรรมราชาในสมัยโบราณคือสมัยอยุธยาขึ้นไปนั้น เป็นการพูดภายใต้บริบทของ ฮินดู หรือเขมร ในขณะที่ธรรมราชาในปัจจุบันนี้เปลี่ยนความหมายไป พระองค์เจ้าธานีนิวัต (พระองค์เจ้าธานีนิวัต กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร) ปัญญาชนฝ่ายกษัตริย์นิยม ทรงพยายามอธิบายว่ากษัตริย์ไทยนั้นไม่ได้เป็นเทวราชาแบบเก่าแต่เป็น “ธรรมราชา” พยายามสร้างคำอธิบายและจัดการความรับรู้ การเป็นธรรมราชาในแง่นี้คือ มีหลักจริยธรรมของราชา แต่ไอเดียที่ว่ากษัตริย์ต้องรับใช้ประชาชน เริ่มเมื่อทศวรรษ1980 (ราว 2520) นี่เอง ไม่ได้มีมาก่อนหน้านั้น กษัตริย์สมัยโบราณนั้นไม่ได้มีหน้าที่ดูแลประชาชน แต่รักษาสถานภาพตัวเองและอยู่ในราชวัง ไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่าง แต่กษัตริย์ที่คิดว่าต้องรับใช้ประชาชนนั้นเป็นกษัตริย์สมัยใหม่ วาทกรรมของพวกไฮเปอร์รอยัลลิสม์นั้นเพิ่งเกิดขึ้นไม่เกินสามสิบ-สี่สิบปีมานี้ โดยผลิตออกมาหลายเวอร์ชั่น เช่น พระองค์เจ้าธานีนิวัติ และสำนักกษัตริย์นิยมผลิตคำอธิบายว่า สถาบันกษัตริย์ไทยนั้นไม่เหมือนที่อื่น มีความเป็นเอกลักษณ์ ในทางตรงกันข้าม หากเราฟังข้อเสนอจากนิติราษฎร์หรือผู้สังเกตการณ์บางส่วน ที่ยกเรื่องหลักสิทธิมนุษยชน เสรีภาพในการแสดงออกมาโต้แย้ง ก็จะเห็นว่าสองฝ่ายนี้มีมุมมองที่สวนทางกันอย่างเห็นได้ชัด นี่แสดงว่าพวกเราไม่ได้พูดภาษาเดียวกัน และในสองภาษาที่แตกต่างกันนี้ ถ้าเรามานั่งบนโต๊ะเดียวกันเพื่ออภิปรายเราก็พบว่าเราพูดจากันคนละเรื่อง ธงชัยย้ำถึงคำอธิบายเกี่ยวกับอำนาจอธิปัตย์โดยบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ซึ่งระบุว่ารัฐฐาธิปัตย์ เป็นการใช้ร่วมกันระหว่างกษัตริย์กับประชาชน และจริงๆ แล้วอำนาจรัฐนั้นเป็นของกษัตริย์แล้วมอบให้ประชาชน เป็นการใช้อำนาจร่วมกัน จากนั้นประชาชนก็ยกอำนาจให้กษัตริย์ทำแทน แล้วอำนาจจะกลับมาสู่ประชาชนเมื่อมีการเลือกตั้ง ธงชัยอธิบายว่าเขาเรียกวาทกรรมเช่นนี้ว่า เวทมนตร์ หรือ “Spell” เพราะว่าวาทกรรมแบบนี้ไม่ใช่การใช้เหตุใช้ผลไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับอุดมการณ์และเมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว เมื่อพื้นที่สาธารณะที่ปกครองด้วย “Magic” ก็สงสัยว่าเราตั้งคำถามถูกหรือเปล่า เพราะเราจะเรียกร้องให้คนมาอภิปรายกันเรื่องเวทมนตร์ได้หรือ เพราะการใช้เหตุผลยิ่งเป็นการคุกคามและเป็นอันตรายต่อตัว “ศรัทธา” หรือ “เวทมนตร์” นั้นเอง คำอธิบายแบบนี้ แสดงให้เห็นว่าสภาวะไฮเปอร์รอยัลลิสม์ ก็คือ “มายาภาพที่เป็นสมัยใหม่” ชนิดหนึ่ง (Modern Magic)รอยัลลิสม์สมัยใหม่ของไทยนั้นแตกต่างจากรอยัลลิสม์ของฝรั่งที่มีเหตุผลเกินไป เพราะรอยัลลิสม์สมัยใหม่แบบไทยนั้น แท้จริงแล้วเป็นเวทมนตร์ที่น่าลุ่มหลงขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน(increasingly enchanted Magic)โดยหากเปรียบเทียบกับ “ลัทธิเสด็จพ่อ ร.5”แล้ว พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน ก็เสมือนกับเป็น “ลัทธิ” ที่ถูกมองว่ายึดเหนี่ยวเสถียรภาพของสังคมเอาไว้ ทั้งนี้ สภาวะดังกล่าว ถูกสร้างขึ้นด้วยกระบวนการหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น การทำความจงรักภักดีให้เป็นสินค้า (Commodification of Royalism) และการบริโภค การทำให้สถาบันฯ เป็นวัฒนธรรมที่สามารถเสพได้ผ่านการมอง (Visual Culture) ทั้งโทรทัศน์ พิธีกรรม การผลิตซ้ำในรูปแบบอื่นๆ และเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต โดยที่ไม่ได้ฟังมากนักหากแต่ได้เห็นบ่อยๆ (Public Spectacle) สุดท้ายธงชัยย้ำว่า ในภาษาอังกฤษความหมายของ “Magic” อาจจะแปลได้ว่าสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่มันก็แปลได้อีกว่าเป็น “มายาภาพ/มายากล” ซึ่งเป็นสิ่งที่หลอกความคิดของเราและในทางตรงกันข้าม “ภาวะตาสว่าง” ก็คงจะเป็นการใช้คำได้อย่างถูกต้องแล้ว เพราะมันหมายถึง คือการเปิดตาขึ้น การตื่นรู้ และรู้ทันต่อสิ่งที่หลอกตาเพราะท้ายที่สุดแล้ว สภาวะไฮเปอร์รอยัลลิสม์ ก็เป็นเพียงมายาภาพเท่านั้น ข้อมูลที่มา : มติชนออนไลน์ | |
http://redusala.blogspot.com |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)