ชะตาชีวิตเป็นเรื่องน่าแปลกที่ยากจะหยั่งรู้ได้ วันหนึ่งท่านอาจมีชีวิตสู่จุดสูงสุด มั่งมี ศรีสุข อำนาจวาสนาล้นพ้นทั้งในเรื่องการงาน อาชีพ ครอบครัว แต่มาถึงอีกวันหนึ่งหากคนเหล่านี้ดำเนินชีวิตโดยปราศจากความ “สุจริต” ชีวิตอาจผกผันร่วงสู่จุดต่ำสุดได้เพียงข้ามคืน
เฉกเช่นกับ "3 ผู้ต้องหา คดีแอบอ้างเบื้องสูง หมิ่นสถาบัน กระทำผิด “มาตรา 112” “สุริยัน สุจริตพลวงศ์” (อริยวงศ์โสภณ) หรือ “หมอหยอง” อายุ 53 ปี “จิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์” อายุ 29 ปี และ “พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา” อายุ 44 ปี ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมในข้อหา “ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์”
การจับกุมครั้งนี้ ถือเป็นข่าวใหญ่อีกครั้ง และถือเป็นการปิดฉากเส้นทางชีวิตของผู้ต้องหาทั้ง 3 คนอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะ “หมอหยอง” หมอดูชื่อดังที่ได้ชื่อว่า “หมอดูผู้หยั่งรู้ชะตาคน” แต่ไม่รู้แม้ชะตาของตัวเอง เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีใครคาดคิดว่า วันหนึ่งหมอดูผู้นี้จะต้องมาประสบชะตาชีวิตที่แสนรันทด หรือจะเป็นเพราะ “บ่วงกรรม” ของแต่ละคนก็ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอนเหมือนกัน เพราะเชื่อว่า น้อยคนนักที่ไม่รู้จัก “หมอหยอง” นักทำนายดวงชะตา หรือ หมอดูดวงชะตาชื่อดัง โดยเฉพาะแวดวงคนดัง นักการเมือง ดารานักแสดง นักธุรกิจ และข้าราชการระดับสูง และแม้แต่คนทั่วไปในช่วงที่เขามีชื่อเสียง
ตามประวัติที่ Sanook! Horoscope เรียบเรียงจากข้อมูลของ moryongsan.com ชะตาชีวิตของหมอหยองน่าสนใจยิ่งนัก “หมอหยอง” หรือ สุริยัน อริยวงศ์โสภณ เกิดที่ จ.ตรัง เป็นบุตรคนที่ 9 ของครอบครัวในจำนวนพี่น้อง 13 คน บิดาประกอบอาชีพค้าขาย ส่วนมารดาช่วยบิดาทำงาน การศึกษา มัธยมต้นจากโรงเรียนวิเชียรมาตุ อ.เมือง จ.ตรัง มัธยมปลายที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พญาไท กรุงเทพฯ ปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยเซนต์มาติน ลอนดอน ด้านการออกแบบโฆษณาและงานประชาสัมพันธ์ นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ (เดิมนามสกุล “อริยวงค์โสภณ” นามสกุล “สุจริตพลวงศ์” พระราชทานจาก สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร หมายความว่า เผ่าพันธุ์ที่เจริญรุ่งเรืองด้วยพลังแห่งความสุจริต ในโอกาสวันคล้ายวันเกิด วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑ )
ตำแหน่งงานทางสังคม
- - กรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
- - รองเลขาธิการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
- - กรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
- - สมาชิกกิตติมศักดิ์สมาคมแม่บ้านมหาดไทย พ.ศ.2547
- - กรรมการบริหารศูนย์ส่งเสริม และประสานงานครอบครัวอบอุ่นและเป็นสุข กระทรวงมหาดไทย
- - กรรมการบริหาร และรองประธานฝ่ายหารายได้ ของมูลนิธิช่วยเหลือคนปัญญาอ่อน ในพระบรม ราชูปถัมภ์
- - เลขาธิการสมาคมแม่ดีเด่นแห่งชาติ สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
- - กรรมการบริหารฝ่ายประชาสัมพันธ์ พุทธสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
- - กรรมการก่อตั้ง และกรรมการบริหาร มูลนิธิโรคทศวรรษกระดูกและข้อแห่งประเทศไทย
- - รองประธานคณะกรรมการสงเคราะห์และพัฒนาเด็กและเยาวชน กรมพินิจคุ้มครองเด็กและ เยาวชน กระทรงยุติธรรม (2547-2549)
- - ที่ปรึกษาอธิบดีกรมพินิจคุ้มครองเด็กและเยาวชน
การทำงานเคยเป็นอาจารย์พิเศษ สอนวิชาโฆษณา และประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยหลายแห่ง ส่วนตำแหน่งงานทางสังคมนั้น หมอหยองเป็นกรรมการในหน่วยงานต่างมากมาย อาทิ กรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์, รองเลขาธิการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กรรมการบริหารฝ่ายประชาสัมพันธ์ พุทธสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ฯลฯ
ขณะที่ผลงานที่ผ่านตาสื่อต่างๆ หมอหยองเป็นพิธีกรรายการต่างๆ มากมายทั้งในไทยและต่างประเทศ แต่ปัจจุบันหมอคนดังหยุดทำนายดวงชะตาแบบธุรกิจเรียบร้อยแล้ว โดยมาทำงานเพื่อสังคมมากขึ้น โดยเฉพาะการได้เป็นที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการฝ่ายจัดงานกิจกรรมพิเศษโครงการ “ปั่นเพื่อแม่ Bike for Mom” และ “ปั่นเพื่อพ่อ Bike For Dad” และดำรงตำแหน่งอีกมากมาย
หมอหยองมีความเชื่อว่า “มีพลังเหนือธรรมชาติ หรือ พลังทิพย์ ในการหยั่งรู้ดวงชะตาคน” โดยข้อมูลจาก moryongsan.com ระบุว่า พลังทิพย์ เกิดจากอุบัติเหตุรถตุ๊กตุ๊กชนสลบ 5 คืน กับ 6 วัน เมื่อหลายปีก่อน โดยหลังจากฟื้นหมอหยองเล่าว่า ได้พบกับหลวงปู่ทวด ในจิตใต้สำนึก และพาไปพบกับองค์พระพิฆเนศ ในศาลาแห่งหนึ่ง จากนั้นหลายปีต่อมาเกิดป่วยด้วยอาการประหลาดขึ้นมาอีก ก่อนที่จะพบแม่ชีวัดเพลงวิปัสสนา และบอกว่า “หมอหยอง” หมดอายุไปตั้งแต่สิบปีที่แล้ว ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ เพราะมีสัญญาตามเทวบัญชา จึงเพียงสัมผัสใบหน้า รู้วันเกิดของคน ก็สามารถรู้อนาคตและบอกอดีตของคนคนนั้นได้อย่างแม่นยำ แต่ไม่รู้ชะตาของตัวเองเลย
นับจากนั้นเป็นต้นมา ความเชื่อนี้ก็พลิกชีวิตของเขาให้เข้าสู่ถนนนักโหราศาสตร์ ส่งผลให้กลายเป็นหมอดูที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ก่อนจะปิดฉากเส้นทางชีวิตด้วยการเป็นผู้ต้องหาในคดีแอบอ้างเบื้องสูง
มาที่ “จิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์” หนึ่งในสามผู้ต้องหา หลายคนอาจไม่คุ้นชื่อคุ้นหน้า โดยเท่าที่ทราบหนุ่มคนนี้เป็นเลขานุการส่วนตัวของ “หมอหยอง” ที่ว่ากันว่ามีความสนิทชิดเชื้อกับหมอดูดังเป็นอย่างมาก แต่เมื่อดูประวัติพบว่า เลขาฯหนุ่มของหมอดูดังไม่ธรรมดาทั้งที่อายุยังไม่แตะหลัก 3
"จิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ ชื่อเดิมคือ “จิรวงศ์ ทองนา” ชื่อเล่นว่า “อาท” เกิดเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2529 เป็นชาว จ.ตรัง ต่อมาได้เปลี่ยนนามสกุลเป็น “วัฒนเทวาศิลป์” หนุ่มคนนี้ร่วมงานกับ “หมอหยอง” ในฐานะเลขานุการ โดยรับหน้าที่เป็นผู้ติดตาม และประสานงานต่างๆ เรียกได้ว่า หมอหยองให้ความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นที่สุด
เลขาฯ คนสนิทหมอหยอง ยังมีดีกรีเป็นช่างภาพ โดยมีฉายาว่า “อาท ชัตเตอร์มหาเทพ” และเคยได้รับโล่เกียรติคุณรางวัลลูกกตัญญูกตเวทีอย่างสูงต่อแม่ ประจำปี 2558 เมื่อวันพุธที่ 12 สิงหาคม ที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังเคย รับมอบเข็มเครื่องหมายประกาศเกียรติคุณจากหน่วยงานของกองทัพในฐานะผู้บำเพ็ญคุณงามความดีให้แก่กรมทหาร และกองทัพบก
เมื่อตรวจสอบเฟซบุ๊ก “จิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์” จะพบภาพจำนวนมากระหว่างตัวเขากับหมอหยองในงานกิจกรรมต่างๆ มากมายที่บ่งบอกถึงความใกล้ชิดกันอย่างมาก รวมถึงยังมีภาพถ่ายร่วมกันกับนักธุรกิจ และเจ้าสัวชื่อดังอันดับต้นของประเทศตามงานเลี้ยง หรืองานสำคัญต่างๆ
จะเห็นได้ว่า จิรวงศ์ มีชีวิตสู่ช่วงรุ่งโรจน์สูงสุดในฐานเลขาฯ คู่กายหมอดูคนดัง แต่สุดท้ายก็ตกมาเป็นผู้ต้องหาในคดีความผิดร้ายแรงที่กระทำการมิบังควรด้วยการแอบอ้างสถาบันที่คนไทยเคารพสูงสุด
มาถึงผู้ต้องหาคนสุดท้าย “พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา” หรือ "สารวัตรเอี๊ยด” หนึ่งในผู้ต้องหาที่เป็นข้าราชการตำรวจเพียงหนึ่งเดียว ณ ตอนนี้ สารวัตรเอี๊ยดเป็นลูกชายของ พล.ต.ท.วัฒนชัย วารุณประภา สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเซนต์คาเบรียล และโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จากนั้นได้รับทุนจากกระทรวงกลาโหม ให้ไปศึกษาต่อที่โรงเรียนนายร้อยที่ประเทศอังกฤษ หลังจากสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตร จึงเข้ารับราชการทหารในสังกัดศูนย์การทหารปืนใหญ่ ต่อมาได้เข้ามารับราชการตำรวจ
ช่วงต้นของการรับราชการตำรวจได้สังกัดศูนย์ข้อมูลข่าวสาร โดยเคยรับหน้าที่เป็นอนุกรรมการจัดซื้อจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ทดแทน ระบบคอมพิวเตอร์เดิมที่ล้าสมัย จากนั้นได้เข้าอุปสมบทที่วัดบวรนิเวศฯ โดยช่วงที่บวชเป็นพระภิกษุและลาสิกขา ได้ทำหน้าที่ตามเสด็จสมเด็จพระสังฆราช มีหน้าที่คอยดูแลรับใช้ ดูหมายเสด็จ มีนามเรียกขานว่า “นว.รังษี 1” ผู้อ่านคงพอจำได้ คดีเครื่องราชฯ
ต่อมา พ.ต.ต.ปรากรมถูกกล่าวหาเรื่องร้ายแรงจึงเป็นสาเหตุที่ถูกให้ออกจากราชการ แต่ภายหลัง พ.ต.ต.ปรากรม พ้นจากข้อกล่าวหาเนื่องจากอัยการสั่งไม่ฟ้องคดี และผ่าน พ.ร.บ.ล้างมลทิน กระทั่งวันที่ 22 มกราคม คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้สารวัตรเอี๊ยดกลับเข้ารับราชการในสังกัด บก.ปอท. โดยเพิ่มยศจาก ร.ต.อ.เป็น พ.ต.ต.พร้อมทั้งได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่ตรวจสอบเว็บไซต์หมิ่นสถาบันเบื้องสูง
นอกจากนี้ สารวัตรผู้นี้ยังเป็นนายตำรวจผู้ได้รับมอบหมายหน้าที่หลักในการตรวจสอบรวบรวมพยานหลักฐาน และข้อมูลต่างๆ อันเป็นที่มาของการทลายเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก.ในคดีหมิ่นเบื้องสูง โดยล่าสุด พล.ต.อ.สมยศ ได้เซ็นคำสั่งไว้เมื่อวันที่ 30 กันยายน ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันสุดท้ายก่อนจะเกษียณอายุราชการ โดยให้สารวัตรผู้นี้มาดำรงตำแหน่ง สว.กก.ปพ.บก.ป. โดยจะมีผลในวันที่ 30 ตุลาคมนี้ แต่ปรากฏว่า พ.ต.ต.ปรากรม มาถูกจับกุมคดีหมิ่นสถาบันเสียก่อน...