การเลือกตั้งล่วงหน้าเมื่อวันที่ 26 ม.ค. ได้ผ่านไปแล้วอย่างวุ่นวาย โดยมีการขัดขวางจากกลุ่มกปปส. ในหลายเขตเลือกตั้งโดยเฉพาะในกรุงเทพ ที่หน่วยเลือกตั้งถูกปิดถึง 45 หน่วยจาก 50 หน่วย ส่งผลให้ประชาชนราว 400,000 คนทั่วประเทศต้องเสียสิทธิในการเลือกตั้ง และมีประชาชนจำนวนมากได้เดินทางไปแจ้งความที่สถานีตำรวจเพื่อรักษาสิทธิของตนเอง
ถึงแม้ว่าจะประสบอุปสรรคขัดขวางในการไปเลือกตั้ง แต่ประชาชนจำนวนมากได้แสดงความมุ่งมั่นในการเข้าไปในคูหาเพื่อกากบาทใช้สิทธิของตนเอง อันเป็นภาพที่เราไม่เคยพบเห็นในการเมืองไทยมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการนั่งสมาธิ สงบ สันติที่หน้าคูหารอเลือกตั้งต้านกลุ่มกปปส. หรือการตะโกนของกลุ่มประชาชนที่เขตสายไหมว่า “เราต้องการการเลือกตั้ง” แต่สองปฏิบัติการที่น่าจะฮือฮาที่สุดที่มีการถูกบันทึกไว้เมื่อวันอาทิตย์ น่าจะเป็นคุณพี่สาวผมยาวที่ฝ่าดงกลุ่มกปปส.และปีนรั้วเข้าคูหา และคุณป้าผู้พกไฟฉายไปหน่วยเลือกตั้ง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่นำไปสู่ความสว่าง
คุณป้าถือไฟฉาย ส่องทางสว่างแก่มวลมหาประชาชน
วีดีโอคลิปที่มีการเผยแพร่กันอย่างกว้างขวางในโลกโซเชียลมีเดีย ทำให้เราได้รู้จักคุณป้าที่ใส่กางเกงสีชมพู พยายามเดินฝ่าดงกปปส. ที่ขวางหน่วยการเลือกตั้งที่เขตจตุจักรไปเลือกตั้ง หลังจากที่เธอถูกผลักและดึงแขนจนล้มลง เมื่อลุกขึ้นมาใหม่ก็ถูกขวางโดยผู้ชุมนุมที่นอนซ้อนกันอยู่ ท่ามกลางความวุ่นวาย คุณป้าตัดสินใจหยิบไฟฉายสีแดงออกมาจากกระเป๋าสะพาย และสาดส่องไฟฉายนั้นไปยังคนที่นอนอยู่กับพื้น และทำให้เราเห็นภาพที่ตราตรึงซึ่งคุณป้าผู้นั้นถือไฟฉายส่องฟ้า เสมือนกับเป็นสัญลักษณ์เทพีสันติภาพอย่างไรอย่างนั้น
พิจาริณี รัตนชำนอง หรือ “พี่แดง” สตรีในวัย 50 มีอาชีพค้าขาย บอกว่า เธอพกไฟฉายและเทียนไปด้วย เพื่อตั้งใจว่า หากเข้าไปเลือกตั้งไม่ได้ ก็จะจุดเทียนทำสัญลักษณ์วางไว้ และเอาเทียนไปเผื่อคนอื่นด้วย เผื่อว่ามีคนอื่นเข้าไปไม่ได้ ก็อาจจะเอาเทียนมาจุดเรียงๆ วางไว้แทนเสียงที่ตั้งใจมาลงคะแนน แต่ก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น เนื่องจากโดนขัดขวางเสียก่อน
“เขาก็มีทั้งเป่านกหวีด ทั้งด่าทอ ไปทำอะไรว่าเรื่องคอร์รัปชั่น ก็พูดเรื่องที่เขาเชื่อ พูดเรื่องคอร์รัปชั่น ว่าเป็นสมุนทักษิณ มาตะโกนว่าเรา แต่เราไม่ได้ไปเพราะจุดประสงค์นั้น เราจะไปเลือกตั้ง คุณจะมารู้ได้ไงว่าเราจะเลือกใคร เรายังไม่ได้บอกคุณเลย ที่นี้เขาก็ไม่ยอมให้เราเดินเข้าไปอย่างเด็ดขาด แล้วก็ชักมือ ชักแขน ชักขา ไม่ให้ก้าว เราก็พยายามจะแหวกไปตรงช่องคนที่นอนอยู่ มันมีช่องคนใช่ไหมคะ ดิฉันก็พยายามแหวกไป ในที่สุดก็ไปไม่ได้เพราะเขาดึงลงมา ล้มลงไปเลย พอล้มลงมา ก็ไม่ได้โกรธเขา ไม่ได้ด่าทอ เพราะใจหนึ่งก็คิดว่า เขาไปด้วยความเชื่อของเขา ดิฉันก็ไปด้วยความเชื่อของดิฉัน ดิฉันก็ไม่ได้โกรธเขา เขาไม่ได้ผิดที่เชื่ออย่างนั้น เพราะเขาอาจจะหลงทางนิดหน่อย ”
เมื่อเข้าไปไม่ได้ เธอเล่าให้ฟังถึงช่วงที่ตัดสินใจหยิบไฟฉายออกมาว่า อยากให้เป็นสัญลักษณ์ที่แสงส่องทาง ส่องสว่างในความคิดคน และให้ฉุกคิดจากสิ่งที่กำลังทำอยู่
พิจาริณี รัตนชำนอง
“เราก็เปิดกระเป๋าหยิบไฟฉาย ตอนเปิดกระเป๋าเขาก็งงว่าจะชักปืนมายิงเขาหรือเปล่า แต่เราไม่ยิงหรอกค่ะ เพราะเราสันติวิธี เราก็เปิดไฟฉาย ส่องที่คนก่อน อยากให้เขาตาสว่างขึ้นมา อยากให้เขาถามว่านี่กำลังทำอะไรอยู่ ขัดขวางการเลือกตั้งหรือ แล้วคุณจะขัดขวางไป 365 วัน เป็นสิบปีเลยหรือ เพราะคนที่เขาจะไปเลือกเขาก็จะไปเลือกเพื่อแสดงสิทธิของเขา ไม่ใช่ว่าขัดขวางครั้งนี้แล้วจะจบ เขาไม่ยอมแล้วค่ะ ไม่มีใครเขายอม” พิจาริณีกล่าว
“คุณจะตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจเฉพาะกาลกันเอง ไม่มีใครเขาเอา ไม่มีใครเขายอม นั่นมันยิ่งกว่าคอร์รัปชั่น การคอร์รัปชั่นนี่คือการได้มาซึ่งผิดปกติ การได้เงินมาอย่างผิดปกตินี่คือการคอร์รัปชั่น แต่นี่คือคุณกำลังอยากได้อำนาจ อยากได้สิทธิมาโดยผิดผกติ ถามว่านี่คือคอร์รัปชั่นไหมคะ นี่คือการคอร์รัปชั่นในตัวคุณเองเลย”
เมื่อส่องไฟฉายออกไปแล้ว เธอเล่าว่า แม้อาจจะสื่อข้อความออกไปไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็หวังว่าจะมีผู้ที่ฉุกคิดได้บ้าง
“เขางง เขาเลยสงบอยู่ เพราะเขางงว่าดิฉันมาไม้ไหน ดิฉันไม่ได้มาไม้ไหน เห็นภาพไหมคะว่าเขาสงบ เขาไม่ได้ฉุดกระชากลากถู แต่ตอนนั้นสงบเลย จริงๆ นะคุณ แสงไฟที่ทำให้คนสว่างได้เลยนะคะ เหมือนเขาก็คิดออก บางคนที่ฉลาดเขาก็อาจคิดว่าเอ๊ะนี่มาแสดงสัญลักษณ์อะไร สื่อความหมายอะไร คิดว่าเขาได้ฉุกคิดบ้าง เพราะการเงียบนี่ก็คือการฉุกคิดนะคะ ในช่วงที่เขากำลังเป่านกหวีดเขากำลังด่าทอเนี่ย เขาไม่ได้ฉุกคิดหรอกค่ะ แต่ถ้าเขาเงียบ เขาก็เริ่มสงสัยว่า เอ๊ะ นี่เกิดอะไรขึ้น ดิชั้นก็อยากให้คำว่าเอ๊ะของเขาเนี่ย เกิดฉุกคิดขึ้นมาว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ อยากให้เขาสว่าง อยากให้รู้ว่าเขาคิดผิดหรือเปล่า”
เมื่อถามว่า ทำไมการเลือกตั้งครั้งนี้ จึงดูมีความสำคัญมาก ผิดปรกติไปจากบรรยากาศการออกไปใช้สิทธิใช้เสียงจากการเลือกตั้งคราวก่อนๆ เธอบอกว่า นี่เป็นการแสดงความไม่เห็นด้วยกับวิธีการของกปปส. อย่างสันติวิธี
“ถ้าทุกคนไม่ไปเลือกตั้ง มันก็จะเป็นการแสดงถึงการยอมจำนน หรือการยอมคิดเห็นไปกับเขาด้วย ถ้าไม่มีคนออกมาเลยหมายความว่า นี่ใช่มั้ยมวลมหาประชาชนของทั้งโลก ประชาชนทั้งประเทศเห็นด้วยกับเขา ดิฉันต้องการแสดงให้เห็นว่ามันไม่ใช่ มันมีคนไม่เห็นด้วยกับคุณมี แต่เขาไม่ได้ใช้วิธีการมีม็อบขึ้นมา มาปะทะกัน มาข่มเหงกัน ไปปิดประตูตรงนั้น ไปไล่คนออกจากตึกนี้ กรรมวิธีมันไม่ถูกอะค่ะ ถ้าคุณอยากได้อำนาจ ถ้าคุณอยากชนะ คุณก็ทำตัวดีๆ สิคะ ประชาชนเขาเลือกฝั่งนี้ ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เลือกฝั่งนี้ ทำทำตัวๆ ดีเขาก็จะเลือกได้ เขามีสิทธิ คุณโชว์ผลงานมาสิคะ”
พิจาริณีกล่าวว่า เมื่อเธอกลับไปบ้านหลังจากที่ไปใช้สิทธิไม่สำเร็จ เธอรู้สึกโมโหที่ถูกพรากสิทธิการเลือกตั้งออกไป ทั้งๆ ที่เดินทางไปตั้งแต่แปดโมงกว่า เพื่อไปเลือกตั้งให้เสร็จก่อนไปทำธุระอื่นๆ และมองว่ากกต. ชุดนี้ปฏิบัติหน้าที่ไม่สมกับหน้าที่ที่ได้รับ
“ถ้าคุณปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ คุณควรจะออกไปซะ เพราะการกระทำนี่เห็นแล้วว่าคุณไม่ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ คุณมีหนทาง คุณจะเอาเหตุการณ์เล็กๆ แบบนี้มาอ้าง มีการชุมนุมไม่ถึงร้อยคน ไม่กี่นาที ไม่กี่ชั่วโมง แบบนี้มันไม่ถูก คุณอาจจะปิดหน่วยบางช่วง แล้วเปิดบางช่วง เพราะเขาไม่ได้ปิดทุกจุดทั้งวัน 24 ชั่วโมง ไม่ใช่ เขาแสดงสัญลักษณ์ของเขา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่รุนแรง ไม่เหมาะสม คุณไม่ควรจะปิด ควรจะหาวิธีอื่นไป เพราะคุณไม่สงสารคนที่เขามารอเลือกตั้งกันเยอะแยะหรือคะ เขาเสียอารมณ์เสียอะไรเยอะแยะ เขาควรจะได้รับสิทธิของเขา”
พี่สาวใจกล้า ปีนรั้วฝ่าดงกปปส. เข้าคูหา
สตรีอีกท่านที่ได้รับการกล่าวขานมากพอกันหลังจากที่มีการเผยแพร่วีดีโอคลิปทางโซเชียลมีเดีย คือ “พี่เอ๋” สุวินันท์ ชัยปราโมทย์ สาวผมยาวที่ปีนรั้วภายในเวลา 7 วินาทีเพื่อเข้าไปในคูหาเลือกตั้งในเขตสวนหลวง
“งงเหมือนกันว่าทำไมตัวเองปีนรั้วได้เร็วขนาดนั้น ปกติก็ไม่เคยไปซ้อมปีนอะไรที่ไหนมาก่อน” พี่เอ๋กล่าวติดตลก แถมยังกล่าวว่าจะสาธิตการปีนที่รั้วใกล้ๆ ให้ดู
เช้าวันอาทิตย์ เธอตั้งใจเดินทางไปยังเขตเลือกตั้งที่เขตสวนหลวงตั้งแต่แปดโมงเช้า เพื่อที่จะพบว่าหน่วยเลือกตั้งถูกปิดล้อมโดยกลุ่มกปปส.หมดแล้ว และรู้สึกไม่พอใจที่ถูกห้ามและขัดขวางเข้าไปในคูหา
“ด้วยความที่เราเป็นคนรักความถูกต้อง แล้วเราก็เป็นคนค่อนข้างกล้าในสิ่งที่ถูก เราไม่ระรานใคร ก็เลยมองว่า เอ๊ะ มายืนอย่างนี้มันจะได้อะไร มายืนไม่พอใจแล้วเค้าสนใจเราบ้างมั้ย เค้าไม่ได้สนใจความรู้สึกเราเลย เรายอมได้ยังไง ชั่วโมงนั้นก็...ไม่รู้แหละ คิดอย่างเดียว ทำอย่างนี้ไม่ถูก ไม่ถูกมากๆ เลย แล้วนี่กระทบฉันโดยตรงเลยนะ รับไม่ได้เลย”
หลังจากที่มีปากเสียงกับการ์ดกปปส. ซึ่งอ้างว่า “ลุงสุเทพ” สั่งไม่ให้เข้า เธอก็ถามย้อนว่า คุณสุเทพบอกว่าคัดค้าน แต่ไม่ได้ขัดขวาง แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นอยู่คืออะไร และเดินไปแก้ผ้าขาวม้าที่ผูกปิดประตูเข้าเขตเลือกตั้งเอาไว้
"นี่ไม่ใช่คัดค้าน นี่มันขัดขวางชัดๆ พูดไปพี่ก็แก้ผ้าขาวม้าไป คือชั่วโมงนั้นไม่ได้สนใจว่าจะโดนอะไร รู้แค่ว่า ฉันต้องเอามันออก ก็ฉันจะเข้า”
สุวินันท์ ชัยปราโมทย์
“มีผู้หญิงตะโกนออกมาว่า มันโกง จะไปเลือกมันทำไม พี่ก็เลยตอบเค้าไปว่า เอ๊า เค้าโกงก็ไม่ต้องเลือกเค้าสิ ถ้าเค้าโกงคุณจะเลือกเค้าทำไม แต่คุณต้องเคารพสิทธิ์คนอื่น เค้าจะเลือกใคร มันก็เรื่องของเค้า มันเป็นสิทธิ์ของเค้า คุณไม่มีสิทธิ์มาจำกัดความคิดเค้า"
“ชั่วโมงนั้นก็ด้วยความรวดเร็วเลย คือ คิดอย่างเดียวว่า คุยกันไม่รู้เรื่อง จบ ไม่ต้องคุย พี่ก็เลยดันรองเท้า พรวดเข้าไป แล้วก็ปีนพรวดไปเลย ด้วยความตอนนั้นเนี่ย คือ ใจคิดอย่างเดียวเลยว่า ทำไมฉันต้องฟังแก ฉันจะต้องเข้าไปให้ได้ คุณเป็นใคร? เท่านั้นแหละ คือ พูดแล้วก็ปีนขึ้นไปเลย ซึ่ง ก็ยอมรับว่าตัวเองปีนเร็วมากเลย แล้วปีนเร็วมากเลย ก็ยังงงเหมือนกัน ทั้งๆ ที่ก็ไม่เคยซ้อมปีนรั้วที่ไหนมาก่อน แล้วก็ไม่เคยเป็นนักกีฬาปีนรั้วแห่งชาติมาก่อนเลย”
หลังจากที่เข้าไปได้ เสียงโห่ทั้งจากข้างในและข้างนอกก็ดังกึกก้อง เธอเล่าว่า เจ้าหน้าที่ข้างในหน่วยเลือกตั้งก็แสดงความดีใจกันใหญ่และพาเธอเข้าไปเลือกตั้งในคูหา หลังจากกาเสร็จ เจ้าหน้าที่บอกเธอว่าเธอเป็นคนแรกที่เข้ามาได้สำเร็จ และเล่าว่าแม้แต่เจ้าหน้าที่เองก็ยังโดนล้อมจนออกมาไม่ได้
“ก็ไม่ได้สนใจฟังเค้าเชียร์ตอนนั้นหรอก ชั่วโมงนั้นก็ ไม่ได้ฟังใครแล้ว แต่รู้ว่ามันมีเสียงทั้งสองฝั่ง ฝั่งด้านนอกและฝั่งด้านใน พอลงไปได้ปั๊บ ก็มีผู้หญิงเนี่ย เดินเข้ามา จูงมือบอก อู๊ยพี่ พี่ทำได้ยังไง พี่ หนูชอบพี่มากเลย พี่สุดยอดมากเลย ชั่วโมงนั้นเราก็ไม่ได้ดีใจอะไรกับคำพูดของเค้าเลย รู้แต่ว่า ไหน คูหาอยู่ตรงไหน ฉันจะไปกาให้ดูเดี๋ยวนี้เลย ฉันจะต้องเข้าไปกาให้ได้”
“พอเข้าไปปั๊บนี่ก็ ภูมิใจมากเลย ได้กาทั้งปาร์ตี้ลิสต์ ทั้งพรรค และเป็นคนเดียว คือ ภูมิใจที่ได้กา แต่รู้สึก จะดีใจกว่านี้ถ้ามีคนมาหย่อนตามเข้ามาอีก แต่คิดว่าคงเป็นไปไม่ได้แล้วแหละ เพราะว่าหนาแน่นซะขนาดนั้น”
เมื่อถามว่ากลัวไหมที่ต้องเผชิญกับกลุ่มกปปส. ที่ขวางการเลือกตั้งทุกวิถีทาง เธอตอบอย่างชัดเจนว่า “ไม่กลัวเลย มีคนถามหลังจากนั้นว่ากลัวมั้ย ความกลัวยังไม่โผล่มาสักหนึ่งเปอร์เซ็นต์เลย แต่รู้เลยว่า ฉันต้องเข้าไปให้ได้ คุณเป็นใคร คิดแบบนี้ คุณเป็นใคร มันก็เหมือนกับเราต้องเข้าไปสอบ นี่คุณมาขวางประตูเข้าห้องสอบ ฉันไม่ได้สอบ คุณรับผิดชอบฉันมั้ย คุณเป็นใคร ทำอย่างนี้ได้ยังไง”
เธอกล่าวว่า กกต. ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบการเลือกตั้ง ควรจะเปลี่ยนชื่อเป็น “คณะกรรมการกีดกันการเลือกตั้ง” เพราะที่ผ่านมามีการแสดงออกว่าคัดค้านอย่างเต็มที่ชัดเจนมาก
เมื่อถามว่าทำไมการเลือกตั้งครั้งนี้ถึงสำคัญ เธอย่ำว่า มันจะเป็นทางออกเดียวจากความขัดแย้งในขณะนี้ ต่างจากแต่ก่อนที่คนมักไม่ค่อยมองเห็นว่าการเลือกตั้งเป็นสิ่งสำคัญ
“เอาง่ายๆ แรกๆ คุณคิดแบบนี้แหละ รอบก่อนๆ แต่พี่ว่ารอบนี้คนไม่ค่อยคิดอย่างนี้แล้ว เค้ารู้ว่า โอ๊ย มันหาทางลงไม่เจอซะที แล้วทุกคนน่ะอยากจะไปแก้ปัญหาหมดน่ะ ตอนนี้ แก้ปัญหายังไง มันไม่ยอมลงกันเลย ทำไมไม่มีทางออกเลย ทำยังไงล่ะ เราอยู่บ้านธรรมดา เราขอไปใช้สิทธิ์แล้วกัน คือตอนนี้คุณไม่สามารถแสดงอะไรได้เลย นอกจากจะต้องไปกากบาทให้เค้ารู้ว่า บทสรุปแล้ว เสียงมันเป็นยังไง วัดเสียงไปเลย เพราะทุกคนตอนนี้แก้ปัญหากันไม่ได้แล้ว ประชาชนทุกคนอยากให้มันจบ ถามหน่อยว่า ตอนนี้ มีใครเห็นทางจบมั้ย? ไม่มีใครเห็นทางจบเลย”