วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2557

'วิษณุ' ยันแจกเงินชาวนา 1,000 บาทต่อไร่ 'ไม่ประชานิยม'

"วิษณุ"  ยืนยันแจกเงินชาวนาไร่ละพันไม่ใช่ประชานิยม เพราะไม่ได้นำไปสู่การได้มาซึ่งคะแนนเสียง "ประยุทธ์" นั่งประธานประชุมบอร์ดบีโอไอ อนุมัติ 18 โครงการใหญ่ เงินลงทุนกว่า 8 หมื่นล้านบาท ไฟเขียวอีโคคาร์ 2 อีก 5 ราย
 
3 ต.ค. 2557 นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ด้านกฎหมาย ให้สัมภาษณ์ ถึงเสียงวิจารณ์นโยบายรัฐบาล ที่จะจ่ายเงินให้ชาวนาไร่ละ 1,000 บาท ว่าเป็นประชานิยม ว่า เรื่องดังกล่าวมีการนำเสนอในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เกี่ยวกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และได้มีการถกเถียงกันว่า สิ่งนี้จะนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่าประชานิยมหรือไม่  และจะนำไปสู่สิ่งต้องห้ามขององค์การการค้าโลก (WTO)  หรือไม่ เพราะบางอย่างการให้เงินอุดหนุนไม่สามารถทำได้
 
“มีการถกเถียงกันยาว และเห็นว่าไม่ใช่ประชานิยม เพราะไม่ได้นำไปสู่การได้คะแนนเสียงกลับมา แต่เป็นการช่วยประชาชน และไม่ได้ขัดกับข้อกำหนด WTO และไม่ได้ขัดต่อพันธะระหว่างประเทศ จึงคิดว่าถ้าเป็นเช่นนั้นก็น่าจะเดินไปได้” นายวิษณุ กล่าว
 
นายวิษณุ กล่าวว่า ประชานิยมหรือไม่ประชานิยม ไม่ได้เป็นกฎหมาย หรือ กำหนดในรัฐธรรมนูญ ว่าทำได้หรือไม่ได้ เพียงแต่เป็นสิ่งที่รัฐบาลแถลงในนโยบายว่า จะไม่พยายามให้เกิดประชานิยม และในมาตรา 35 ของรัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว ก็กำหนดไว้ว่า รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่จะเขียนขึ้นมา ห้ามมีเรื่องประชานิยม ที่จะนำไปสู่การหาคะแนนเสียง  โดยการใช้งบประมาณของรัฐ เพื่อหวังผลทางการเมือง
 
"ในการเขียนรัฐธรรมนูญต่อไปนี้ จะต้องสร้างเกราะป้องกัน ไม่ให้มีการนำงบประมาณแผ่นดินไปใช้ในโครงการ ในทางที่ผูกพันให้เกิดหนี้ยาวนานกับประชาชน เพื่อแลกกับคะแนนนิยม ดังนั้น ถ้าเราแปลว่า ประชานิยมคือสิ่งเหล่านี้ ซึ่งไม่พึงปรารถนา ถ้าพ้นจากนี้ก็ทำได้ เพราะรัฐบาลมีหน้าที่ช่วยประชาชน ซึ่งต้องใช้งบประมาณอยู่แล้ว  จะถือว่าเป็นประชานิยมทั้งหมดไม่ได้  เพราะประชานิยมที่ดีก็มี" นายวิษณุ กล่าว
 
'ประยุทธ์' นั่งประธานประชุมบอร์ดบีโอไอ อนุมัติ 18 โครงการใหญ่ เงินลงทุนกว่า 8 หมื่นล้านบาท ไฟเขียวอีโคคาร์ 2 อีก 5 ราย
 
วันนี้ (3 ต.ค.57) เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ครั้งที่ 4/2557 โดยมี หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม
 
ภายหลังการประชุม หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลการประชุมสรุปสาระสำคัญว่า ที่ประชุมบอร์ดบีโอไอวันนี้ได้อนุมัติ 18 โครงการใหญ่ มูลค่าเงินลงทุนประมาณ 8 หมื่นล้านบาท โดยภาพรวมเป็นโครงการอีโคร์คาร์หลายโครงการ เพราะขณะนี้บริษัทต่างชาติได้ทำโครงการอีโคคาร์เฟส 2 ที่ประเทศไทย ซึ่งหมายความว่ามีโอกาสที่ประเทศไทยจะเป็นอันดับ 1 ในการส่งออกอีโคคาร์ และจะเป็นศูนย์กลางอีโคคาร์แห่งหนึ่งของโลก พร้อมกันนี้ มีโครงการพลังงานทดแทนต่าง ๆ เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล โรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะ ที่ได้รับอนุมัติโครงการ
 
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ต่อจากนี้ไปในเรื่องการส่งเสริมการลงทุนของประเทศจะเน้นเจาะในจุดที่ต้องการให้มากขึ้น จะการเพิ่มสิทธิประโยชน์ประเภท Non TAX ให้มากขึ้น ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ตนและคณะทำงานไปวางแผนให้ชัดเจนว่าจะเปลี่ยนรูปโฉมการส่งเสริมการลงทุนเป็นอย่างไร อุตสาหกรรมใดที่ต้องการเจาะลึก ให้ทำให้ดีให้ได้ โดยให้ระบุชัดเจน และจะลดการส่งเสริมอุตสาหกรรมทั่ว ๆ ไปให้น้อยลง เพราะขณะนี้แรงงานมีจำกัด ฉะนั้นจึงต้องดึงในส่วนที่ต้องการจริง ๆ เพื่อให้ไทยเป็นผู้เล่นที่สำคัญในอุตสาหกรรมนั้น ๆ ในโลกให้ได้ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ดูเรื่องผลประโยชน์สำหรับเอสเอ็มอีที่ต้องการความชัดเจนเรื่อง Non TAX มาตรการต่าง ๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกต่อการทำงานและการเติบโตของเอสเอ็มอี พร้อมกับให้เตรียมการเรื่องการส่งเสริมการลงทุนภาค Digital Economy ด้วย นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า จะมีการส่งเสริมการลงทุนให้คนไทยขยายฐานการผลิตไปที่ต่างประเทศ เพราะขณะนี้ถึงจุดที่ประเทศไทยจะต้องขยายฐานการผลิตไปต่างประเทศ เพื่อสร้างเครือข่ายฐานการผลิตป้อนตลาดโลก โดยจะได้นำแผนทั้งหมดมาเสนอนายกรัฐมนตรีและบอร์ดบีโอไอภายใน 1 เดือน
 
ด้าน นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) แถลงเพิ่มเติมว่า ที่ประชุมบอร์ดบีโอไอในครั้งนี้ได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุน 18 โครงการ และแก้ไขโครงการอีก 2 โครงการ รวมเงินลงทุน 89,713.4 ล้านบาท จึงทำให้ตั้งแต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ได้ตั้งบอร์ดบีโอไอเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2557 ได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนไปแล้วรวมครั้งนี้ด้วย จำนวนทั้งสิ้น 603 โครงการ เงินลงทุนรวมประมาณ 458,595 ล้านบาท สำหรับโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในครั้งนี้ ประกอบด้วย
 
  • 1. บริษัท เต๋อหลง (ไทยแลนด์) จำกัด ได้รับส่งเสริมการลงทุนในกิจการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อน กำลังผลิตปีละประมาณ 600,000 ตัน เงินลงทุนทั้งสิ้น 1,440.5 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง
  • 2. Mr.CHANG,HSIEN-MING ได้รับส่งเสริมกิจการผลิตชิ้นส่วนเหล็กหล่อ กำลังผลิตปีละประมาณ 80,000 ตัน และชิ้นส่วนเครื่องจักรกลอุตสาหกรรม ปีละประมาณ 4,000 ตัน เงินลงทุนทั้งสิ้น 2,450 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ จังหวัดชลบุรี
  • 3. บริษัท ไทย อาซาฮี คาเซอิ สแปนเด็กซ์ จำกัด ได้รับส่งเสริมการขยายกิจการผลิตเส้นด้ายสแปนเด็กซ์ กำลังผลิตปีละประมาณ 3,700 ตัน เงินลงทุนทั้งสิ้น 1,200 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ เขตอุตสาหกรรมของบริษัทสหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) จังหวัดชลบุรี
  • 4. บริษัทเอ็มเอ็มทีเอช เอ็นจิ้น จำกัด ได้รับส่งเสริมการขยายกิจการผลิตชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับยานพาหนะ เช่น กันชนรถยนต์ เป็นต้น กำลังผลิตปีละประมาณ 1,191,670 ชิ้น เงินลงทุนทั้งสิ้น 1,089.4 ตั้งอยู่ที่ นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี
  • 5. บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับส่งเสริมขยายกิจการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล ระยะที่ 2 (ECO-CAR 2) กำลังผลิตปีละประมาณ 180,000 คัน และเครื่องยนต์ กำลังผลิตปีละประมาณ 2,000 ชุด เงินลงทุนทั้งสิ้น 18,180 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ นิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์น ซีบอร์ด จังหวัด ระยอง
  • 6. บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับส่งเสริมขยายกิจการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล ระยะที่ 2 (ECO-CAR 2) กำลังผลิตปีละประมาณ 158,000 คัน เงินลงทุนทั้งสิ้น 13,109 ล้านบาท ตั้งอยุ่ที่ นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง
  • 7. บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย ) จำกัด ได้รับการส่งเสริมขยายกิจการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล ระยะที่ 2 (ECO-CAR 2) และชิ้นส่วนยานพาหนะ กำลังผลิตปีละประมาณ 123,000 คัน และชิ้นส่วนยานพาหนะ กำลังการผลิตปีละประมาณ 2,000,000 ชิ้น เงินลงทุนทั้งสิ้น 6,860 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่บางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ
  •  8. บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับการส่งเสริมขยายกิจการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล ระยะที่ 2 (ECO-CAR 2) กำลังการผลิตปีละประมาณ 233,000 คัน เงินลงทุนทั้งสิ้น 4,900 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี
  •  9. บริษัท ทีโอซี ไกลคอล จำกัด ได้รับการส่งเสริมขยายกิจการ ผลิตเอทธิลีนออกไซด์บริสุทธิ์ กำลังการผลิตปีละประมาณ 60,000 ตัน เงินลงทุนทั้งสิ้น 2,826 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมเหมราชตะวันออก จังหวัดระยอง
  •  10. บริษัท โคราชวินด์เอ็นเนอร์ยี จำกัด ได้รับส่งเสริมการลงทุนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ขนาด 52.5 เมกะวัตต์ เงินลงทุนทั้งสิ้น 3,690 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา
  •  11. บริษัท อาร์อีเอส นครศรีธรรมราช จำกัด ได้รับส่งเสริมการลงทุนในกิจการผลิตไฟฟ้าจากขยะมูลฝอย กำลังการผลิต 9.98 เมกะวัตต์ เงินลงทุนทั้งสิ้น 970 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช
  •  12. บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด ได้รับส่งเสริมขยายกิจการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะ (REFUSE DERIVED FUEL) กำลังการผลิต 70 เมกะวัตต์ เงินลงทุนทั้งสิ้น 3,165.7 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี
  •  13. บริษัท น้ำตาลราชบุรี จำกัด ได้รับส่งเสริมขยายกิจการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล กำลังการผลิต 44 เมกะวัตต์ และกำลังการผลิตไอน้ำ 300 ตันต่อชั่วโมง เงินลงทุนทั้งสิ้น 1,306.6 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี
  •  14. บริษัท อุทัยธานี ไปโอ เอเนอยี่ จำกัด ได้รับส่งเสริมขยายกิจการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวลกำลังการผลิตเชื้อเพลิงชีวมวล 35 เมกะวัตต์ เงินลงทุนทั้งสิ้น 1,050 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่อำเภอสว่างอารมณ์ จังหวัดอุทัยธานี
  •  15. บริษัท ซีเอชพี 1 จำกัด ได้รับการส่งเสริมกิจการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติและไอน้ำ กำลังการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ 125.8 เมกะวัตต์ กำลังการผลิตไอน้ำ 16 ตันต่อชั่วโมง เงินลงทุนทั้งสิ้น 4,983 ล้านบาท ตั้งที่เขตอุตสาหกรรมของบริษัท 304 อินดัสเตรียลปาร์ค จำกัด จังหวัดปราจีนบุรี
  •  16. บริษัท สหโคเจน (ชลบุรี) จำกัด (มหาชน) ได้รับการส่งเสริมผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ กำลังการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ 42 เมกะวัตต์ กำลังการผลิตไอน้ำ 30 ตันต่อชั่วโมง เงินลงทุนทั้งสิ้น 1,350 ล้านบาท ตั้งที่เขตอุตสาหกรรมของบริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) จังหวัดชลบุรี
  •  17. บริษัท เค.อาร์.วัน จำกัด ได้รับการส่งเสริมผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม กำลังการผลิต 100 เมกะวัตต์ มูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 6,203.2 ล้านบาท ตั้งที่อำเภอด่านขุนทด และอำเภอเทพารักษ์ จังหวัดนครราชสีมา
  •  18. บริษัท บางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น จำกัด ได้รับการส่งเสริมผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ และ ไอน้ำ กำลังการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ 117.5 เมกะวัตต์ และไอน้ำ 20 ตันต่อชั่วโมง เงินลงทุนทั้งสิ้น5,340 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  พร้อมกันนี้ ที่ประชุมบอร์ดบีโอไอได้อนุมัติการส่งเสริมการลงทุนอีก 2 ราย ขอแก้ไขโครงการเพื่อลงทุนเพิ่ม คือ 
  •  19. บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับการส่งเสริมให้เพิ่มกำลังการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (ECO-CAR ระยะที่ 1 และระยะที่ 2) โดยลงทุนประมาณ 7,700 ล้านบาท และจะมีกำลังการผลิตเพิ่มจาก 180,000 คัน เป็น 220,000 คัน เพื่อรองรับการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล ทั้งรุ่นที่ 1 และ 2 สำหรับความต้องการตลาดต่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น 
  •  20. บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับการส่งเสริมให้เพิ่มกำลังการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากลระยะที่ 2 โดยจะลงทุนเพิ่ม 1,900 ล้านบาท และจะมีกำลังการผลิตเพิ่มจากเดิม 100,000 คัน เป็น 160,000 คัน (ECO-CAR เดิมและ ECO-CAR รุ่นที่ 2) โดยเป็นการขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการสำหรับตลาดในประเทศและต่างประเทศ
 

ทหารห้ามนักศึกษา มธ.ศูนย์ลำปาง จัดงานรำลึก 6 ตุลา


ทหาร มทบ.32 แจ้งขอให้นักศึกษากลุ่มเกลียวแห่งธรรม มธ.ศูนย์ลำปาง งดจัดงานรำลึก “6 ตุลา วันฟ้าเปลี่ยนสี” เนื่องจากมีลักษณะเป็นกิจกรรมการเมือง ล่อแหลมต่อการสร้างความแตกแยก
3 ต.ค.57 จากกรณีที่กลุ่มเกลียวแห่งธรรม ซึ่งเป็นกลุ่มนักศึกษาอิสระที่ทำกิจกรรมด้านจิตอาสาภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง จะจัดงานรำลึกเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ในชื่อกิจกรรมงานรำลึก “6 ตุลา วันฟ้าเปลี่ยนสี” ล่าสุดทางเจ้าหน้าที่ทหารมณฑลทหารบกที่ 32 ได้แจ้งขอให้งดกิจกรรมดังกล่าว เนื่องจากมีลักษณะเป็นกิจกรรมทางการเมือง ล่อแหลมต่อการสร้างความแตกแยก
สำหรับกิจกรรม “6 ตุลา วันฟ้าเปลี่ยนสี” ดังกล่าว มีกำหนดจะจัดขึ้นในวันที่ 6 ตุลาคม ที่จะถึงนี้ ที่บริเวณข่วงโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง ตามกำหนดการจะมีกิจกรรมตั้งแต่เวลา 8.00 น. โดยมีการทำบุญตักบาตรอุทิศส่วนกุศลแด่ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ การจัดนิทรรศการ “กำแพงเวลา 6 ตุลา เราไม่ลืม ( Time Wall )” กิจกรรมพับนกกระเรียนเพื่อแสดงถึงสันติภาพ และการเขียนโปสการ์ดจากศูนย์ลำปางถึงท่าพระจันทร์ รวมทั้งมีกิจกรรมเสวนาวิชาการในช่วงบ่าย ในหัวข้อ “บทบาทนักศึกษาในประวัติศาสตร์...” โดยมีวิทยากร คือ ดร.ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์ อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง
นายวัฒนวิทย์ สุขสวัสดิ์ สมาชิกของกลุ่มเกลียวแห่งธรรม กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า การจัดงานรำลึกเหตุการณ์ 6 ตุลาคมในครั้งนี้ได้ขออนุญาตจัดงานไปตามระบบ คือจัดทำเป็นโครงการและทำเรื่องขออนุมัติจากทางมหาวิทยาลัย และทางรองอธิการบดีฝ่ายบริหารศูนย์ลำปางก็ได้อนุมัติให้มีการจัดงานได้เรียบร้อยแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยได้แสดงความกังวลต่อผู้จัดว่างานในครั้งนี้อาจจะถูกสั่งห้ามจากทางคสช. ซึ่งเคร่งครัดต่อการจัดกิจกรรมทางการเมืองในช่วงนี้
ปรากฏว่าในช่วงบ่ายที่ผ่านมา ทางมหาวิทยาลัย ซึ่งได้แจ้งเรื่องการจัดงานในครั้งนี้ต่อเจ้าหน้าที่ทหาร ได้สอบถามไปที่มณฑลทหารบกที่ 32 ค่ายสุรศักดิ์มนตรี ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดลำปาง ทางเจ้าหน้าที่ทหารได้แจ้งว่าได้ทำเรื่องไปถึงทางกองทัพบกแล้ว และทางส่วนกลางมีคำสั่งห้ามไม่ให้จัดงาน เพราะมีลักษณะเป็นกิจกรรมทางการเมือง ล่อแหลมต่อการสร้างความแตกแยก โดยไม่ให้มีการจัดงานทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมตักบาตรหรือจัดนิทรรศการ ไม่เฉพาะแต่เพียงการเสวนาวิชาการ
นายวัฒนวิทย์ กล่าวว่าหลังจากทราบข่าว เพื่อนทุกคนก็รู้สึกเซ็งมาก เพราะมีการเตรียมการจัดงานมาเป็นเวลาเกือบสัปดาห์แล้ว แล้วได้ดำเนินการขออนุญาตจัดงานไปตามระบบด้วย แต่กลับไม่ได้รับอนุญาตให้จัด และไม่ได้มีหนังสือชี้แจงจากทางเจ้าหน้าที่ทหารอย่างเป็นทางการแจ้งมาแต่อย่างใด โดยภายในกลุ่มนักศึกษาจะได้มีการปรึกษาหารือกันว่าจะมีดำเนินการอย่างไรต่อไปหรือไม่

รวบผู้ต้องหา ม.112 ที่สมุทรสาคร

           รวบชายอายุ 55 ปี ที่ จ.สมุทรสาคร ตำรวจระบุข้อหา ม.112 เหตุเกิดเมื่อ 1 ก.ย. ที่ผ่านมาบริเวณพระที่นั่งอัมพรสถาน แขวงดุสิต เขตดุสิต กทม.
 
           3 ต.ค. 2557 ASTV ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า วันนี้ (3 ต.ค.) เมื่อเวลา 14.30 น. ที่กองปราบปราม พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ หลิมรัตน์ ผกก.1 บก.ป. พ.ต.ท.นิคม ชัยเจริญ รอง ผกก.1 บก.ป. พร้อมพวกจับกุม นายภูชิต (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 55 ปี อยู่บ้านเลขที่ 111/50 ซ.ศาลธนบุรี 17 แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กทม. ผู้ต้องหากระทำผิดร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย องค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เหตุเกิดเมื่อ 1 ก.ย. ที่ผ่านมา ในเวลากลางวัน บริเวณพระที่นั่งอัมพรสถาน แขวงดุสิต เขตดุสิต กทม.
       
        ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมสืบทราบว่าผู้ต้องหาหลบหนีมาพักอยู่ที่บ้านเลขที่ 52/93 ม.4 ตำบลนาดี อ.เมือง จ.สมุทรสาคร จึงวางกำลังเฝ้าจนพบผู้ต้องหาบริเวณหน้าบ้านจึงเข้าควบคุมตัว ก่อนแจ้งข้อกล่าวหา
       
        สอบสวน นายภูชิต ผู้ต้องหาให้การรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับ แต่ปฏิเสธไม่ขอให้การในชั้นจับกุมจะขอไปให้การในชั้นศาลเท่านั้น จึงควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป 

นักกฎหมายชี้คดี 112 อุบลฯ ศาลพิพากษาผิด เพิ่มโทษไปถึง 3 ปี


นักกฎหมาย ชี้ ศาลจังหวัดอุบลราชธานีพิพากษาบทลงโทษผิด คดีหนุ่มนักดนตรี ศาลลงโทษซ้ำซ้อนทั้ง ม. 112 กับ พ.ร.บ.คอมฯ นั้นไม่ถูกตามหลักกฎหมาย  ต้องลงโทษตามกฎหมายที่โทษหนักที่สุดเท่านั้น
 
2 ต.ค. 2557 คดีนี้จำเลยไม่เปิดเผยชื่อ อายุ 27 ปี เป็นนักดนตรี ศาลพิพากษาเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2557 ให้จำคุก 27 ปี 36 เดือน (ประมาณสามปี) แต่เนื่องจากจำเลยรับสารภาพ ศาลจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือโทษจำคุก 13 ปี 24 เดือน (ประมาณ 15 ปี) เขาถูกตัดสินว่าผิด ในกรณีที่ถูกกล่าวหาว่าโพสต์ข้อความหมิ่นฯ 9 ข้อความในเฟซบุ๊กในระหว่างปี 2554-2555 
 
โดยที่โทษจำคุกนั้น มาจากการลงโทษ 9 กรรม (การโพสต์ข้อความ 9 ครั้ง) ซึ่งแต่ละกรรมนั้น ศาลพิพากษาว่าผิดทั้ง มาตรา 112 (หมิ่นนประมาทกษัตริย์)  และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ (นำเข้าข้อความหมิ่นฯ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์) และให้ลงโทษจำคุก สำหรับความผิดตามมาตรา 112 กรรมละ 3 ปี และสำหรับความผิดตามพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) อีกกรรมละ 4 เดือน รวมเป็นโทษจำคุกสำหรับมาตรา 112 ทั้งหมด 27 ปี และโทษจำคุกสำหรับมาตรา 14 (3) 36 เดือน จึงรวมเป็นโทษจำคุกทั้งหมด 27 ปี 36 เดือน   
 
“จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พรบ. คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (3) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ พระราชินีและรัชทายาท จำคุก กระทงละ 3 ปี รวม 27 ปี ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ จำคุกกระทงละ 4 เดือน รวม 36 เดือน รวมโทษทุกกระทง 27 ปี 36 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 13 ปี 24 เดือน . . .” 
 
สาวตรี สุขศรี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวกับประชาไทว่า การพิพากษาบทลงโทษดังกล่าว เป็นการพิพากษาที่ไม่ถูกต้อง จำเลยคดีนี้ถูกกล่าวหาว่า โพสต์ข้อความหมิ่นสถาบันฯ ทั้งหมดเก้าครั้ง ต่างเวลากัน จึงเป็นการกระทำผิดทั้งหมดเก้ากรรม อัยการก็ฟ้องทุก ๆ กรรมนั้นว่าเป็นความผิดตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (3) ซึ่งหมายความว่า การกระทำของจำเลยหนึ่งครั้ง เป็นความผิดของกฎหมายทั้งสองบท ศัพท์ทางกฎหมายเรียกว่า “กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท” โดยตามมาตรา 90 ประมวลกฎหมายอาญา กำหนดหลักเกณฑ์ในการกำหนดบทลงโทษในลักษณะนี้ไว้แล้วอย่างชัดเจนว่า "ให้ใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่ผู้กระทำความผิด" หรือที่นักกฎหมายมักพูดกันสั้น ๆ ว่า "กรรมเดียวหลายบท ให้ลงโทษบทหนัก"   
 
มาตรา 90 เมื่อการกระทำใดอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อ กฏหมายหลายบท ให้ใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่ผู้ กระทำความผิด
 
สาวตรีกล่าวว่า มาตรา 91 ประมวลกฎหมายอาญาที่ศาลอ้างถึง ว่าใช้กับการกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระนั้น ก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง เพราะคดีนี้จำเลยถูกฟ้องทั้งหมดเก้ากรรม ซึ่งทำต่างเวลากัน (ศัพท์ทางกฎหมายเรียกว่า "หลายกรรมต่างกัน") ดังนั้น หากศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดทั้งเก้าครั้ง ศาลย่อมสามารถลงโทษจำเลยทุกกรรรมเรียงกระทงความผิดกันไปได้ ตรงนี้ศาลไม่ได้พิพากษาผิด 
 
มาตรา 91 เมื่อปรากฏว่าผู้ใดได้กระทำการอันเป็นความผิดหลาย กรรมต่างกัน ให้ศาลลงโทษผู้นั้นทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปแต่
ไม่ว่าจะมีการเพิ่มโทษ ลดโทษ หรือลด มาตรา ส่วนโทษด้วยหรือไม่ ก็ตาม เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว โทษจำคุกทั้งสิ้นต้องไม่เกินกำหนด ดังต่อไปนี้
(1) สิบปี สำหรับกรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษ จำคุกอย่างสูงไม่เกินสามปี
(2) ยี่สิบปี สำหรับกรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษ จำคุกอย่างสูงเกินสามปีแต่ไม่เกินสิบปี
(3) ห้าสิบปี สำหรับกรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษ จำคุกอย่างสูงเกินสิบปีขึ้นไป เว้นแต่กรณีที่ศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิต
 
แต่ที่ผิดคือ บทลงโทษที่ศาลเรียงกระทงกันเก้ากรรมนั้น ศาลรวมโทษเอาโทษของกฎหมายทุกบทเข้ามาหมด ทั้งๆ ที่ ที่ถูกต้องแล้ว ศาลต้องลงแค่ "กรรมละบทเดียว" ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดเท่านั้น ในที่นี้ก็คือ โทษตาม มาตรา 112 ลงเก้ากรรม ก็เท่ากับบ 27 ปี ส่วนโทษอีก 36 เดือน ในส่วนของมาตรา 14(3) พรบ.คอมพิวเตอร์ฯ จะต้องถูกตัดออกไปตั้งแต่แรกแล้ว จะเอามานับรวมด้วยไม่ได้ ตามหลักการในมาตรา 90   
 
สาวตรียังกล่าวเสริมเพื่อแก้ปัญหาในเรื่องนี้อีกว่า แม้ว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญา มาตรา 190 จะห้ามมิให้มีการแก้ไขคำพิพากษาที่อ่านแล้ว นอกจากแก้ถ้อยคำที่เขียนหรือพิมพ์ผิดพลาด แต่โดยเจตนารมณ์ของมาตรานี้ ต้องการห้ามไม่ให้แก้ไขในส่วน "เนื้อหา" (่ว่าจำเลยผิด หรือไม่ผิด) ของคำพิพากษาเท่านั้น กล่าวคือ หากคู่ความเห็นว่าศาลนั้นพิพากษาไม่ถูกต้อง คู่ความต้องอุทธรณ์หรือฏีกาไปยังศาลที่สูงกว่า มาตรา 190 ไม่ได้ห้ามศาลแก้ไขในส่วนของ "บทบังคับ" ในคำพิพากษา ดังนั้น หากศาลกำหนดบทบังคับผิดพลาดไป ไม่ว่าด้วยสาเหตุใด เช่น ศาลคำนวน หรือนับโทษผิดพลาดไป แบบนี้ศาลชั้นที่ทำคำพิพากษานั้นเองสามารถแก้ไขเองได้ ไม่ต้องส่งไปให้ศาลสูงแก้ ดังที่เคยมีแนวคำพิพากษาฎีกามาแล้วหลายคดี เช่น คำพิพากษาฏีกาที่ 1175/2503  เป็นต้น 
 
“ในฐานะนักกฎหมาย เห็นว่าจำเลยน่าจะทำคำร้องขอให้ศาลแก้ไขส่วนคำบังคับในคำพิพากษานี้เสียใหม่ ไม่ควรปล่อยให้ศาลพิพากษาไปแบบผิด ๆ และนี่ก็เป็นสิ่งที่สามารถทำคู่ขนานไปกับการขอพระราชทานอภัยโทษได้ (กรณีหากจำเลยไม่ได้ต้องการอุทธรณ์เนื้อหาคดีไปยังศาลสูงแล้ว) และไม่ได้เกิดผลเสียหายใด ๆ ต่อจำเลยด้วย” สาวตรีกล่าว
 
ประเวศ ประภานุกูล ทนายจำเลยบอกกับประชาไทว่า จำเลยไม่คิดจะอุทธรณ์หรือติดใจในเรื่องบทลงโทษ และต้องการจะขอพระราชทานอภัยโทษโดยเร็ว
 
คดีของเขาเกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบในจังหวัดอุบลราชธานี จากกรณีที่ถูกกล่าวหาว่าโพสต์ข้อความหมิ่นฯ 9 ข้อความในเฟซบุ๊กในระหว่างปี 2554-2555 หลังจากตำรวจบุกจับกุมตัวเขาที่บ้านในวันที่ 16 มี.ค.2555 เขาก็ได้รับการประกันตัวมาโดยตลอดในชั้นสอบสวน โดยญาติใช้หลักทรัพย์มูลค่า 500,000 บาท จนกระทั่งถึงวันครบกำหนดฝากขังก็ไม่มีการส่งฟ้องศาลจึงมีคำสั่งปล่อยตัว
 
อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลและคดีเสรีภาพฯ ระบุว่า จากคำบอกเล่าของมารดา ระบุว่า ในระหว่างที่เขาได้รับการประกันตัวจากการฝากขัง ตำรวจมีจดหมายและโทรศัพท์มาเรียกให้จำเลยไปพบและถูกส่งตัวไปพบแพทย์เพื่อตรวจอาการทางจิต และก่อนพิพากษาก็มีการไต่สวนแพทย์ผู้รักษาซึ่งแพทย์ระบุว่าจำเลยมีอาการทางจิต อาการไม่รุนแรงแต่หากไม่รักษาต่อเนื่องอาการอาจรุนแรงได้ อย่างไรก็ตามแพทย์มีความเห็นว่าจำเลยยังสามารถต่อสู้คดีได้ นอกจากนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าในระหว่างกระทำความผิดเมื่อสองปีก่อนจำเลยมีอาการทางจิตหรือไม่
 
หลังการรัฐประหาร ปรากฏชื่อของเขาในคำสั่งเรียกรายงานตัวด้วย เขาเข้ารายงานตัวในวันที่ 13 มิ.ย. 2557 และถูกควบคุมตัวภายใต้กฎอัยการศึกเป็นเวลาสามคืน หลังการควบคุมตัว วันที่ 16 มิ.ย.อัยการสั่งฟ้องคดีนี้ทันที เขาถูกควบคุมตัวระหว่างการพิจารณาคดีที่เรือนจำจังหวัดอุบลราชธานีเรื่อยมาจนกระทั่งมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 31 ก.ค.2557 นับเป็นคดีที่มีโทษหนักที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา

ภาพวาดของ 'แบงค์ซี' โดนสั่งลบ หลังถูกกล่าวหา 'เหยียดเชื้อชาติ'

ผลงานล่าสุดของศิลปินกราฟฟิตี้ผู้ลึกลับ 'แบงค์ซี' ในเมืองแห่งหนึ่งของอังกฤษถูกสั่งลบหลังมีผู้ร้องเรียนว่ามีเนื้อหา 'เหยียดเชื้อชาติ' แต่ก็มีคนพยายามชี้ว่าผลงานชุดนี้เป็นเพียงการเสียดสีและสะท้อนสังคมท้องถิ่นแห่งหนึ่งในอังกฤษซึ่งมีบรรยากาศของการเหยียดเชื้อชาติอยู่แล้ว
3 ต.ค. 2557 ผลงานภาพวาดบนฝาผนังฝีมือของจิตรกรลึกลับ 'แบงค์ซี' ในเมืองแคล็กตันออนซี แคว้นเอสเซ็ก ถูกลบออกโดยคำสั่งของสภาท้องถิ่น หลังจากที่มีการร้องเรียนว่า "เป็นภาพเชิงเหยียดเชื้อชาติ"
ภาพวาดกราฟฟิตี้บนฝาผนังในเมืองแคล็กตันออนซีเป็นภาพนกพิราบสีเทา 5 ตัวถือป้ายที่มีข้อความเชิงขับไล่นกนางแอ่นจากต่างถิ่นที่ดูมีสีสันมากกว่า ซึ่งป้ายของนกเขียนว่า "กลับไปแอฟริกาซะ" "ไม่ต้องรับผู้อพยพ" "อย่ามาแย่งหนอนของเรา"
ไนเจิล บราวน์ ผู้จัดการด้านการสื่อสารของสภาเขตเทนดริงกล่าวว่าเขาได้รับคำร้องเรียนเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (30 ก.ย.) โดยอ้างว่า "เป็นภาพเชิงเหยียดเชื้อชาติ" ทำให้มีการส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบและลงความเห็นตรงกันว่ามีลักษณะเชิงเหยียดเชื้อชาติจริง จึงสั่งให้ลบออกตามนโยบายที่ต้องกำจัดสื่อแนวนี้ภายใน 48 ชั่วโมง
โฆษกของศิลปินแบงค์ซีกล่าวว่า เขาไม่มีความคิดเห็นใดๆ ต่อการกระทำของสภา แต่ก็มีความคิดเห็นในโซเชียลเน็ตเวิร์กและในบทความของเดอะการ์เดียนมองเรื่องนี้ต่างออกไป โดยโจนาธาน โจนส์ ผู้เขียนบทความลงในเดอะการ์เดียนระบุว่า ผลงานของแบงค์ซีมักจะมีลักษณะเสียดสีสังคม เช่น การเสียดสีบรรษัทฟาสต์ฟู้ด หรือภาพล้อเลียนการสอดแนมประชาชนของหน่วยงานสืบราชการลับของอังกฤษ
โจนส์มองว่า ผลงานรูปนกล่าสุดนี้ก็มีลักษณะในเชิงเสียดสีและสะท้อนสังคมเช่นเดียวกัน โดยตั้งเป้าสะท้อนสังคมอังกฤษยุคปัจจุบันที่หวาดกลัวผู้อพยพ รู้สึกไม่ปลอดภัยต่อความเป็นอื่น รวมถึงมีคนที่ "เหยียดเชื้อชาติ"
"สมาชิกสภาท้องถิ่นเห็นป้ายเหล่านี้ (ป้ายคำพูดที่นกในภาพถือ) แล้วรู้สึกเป็นการเหยียดหยามใช่หรือไม่ ถ้าใช่ พวกเขาก็เข้าใจผิด งานชิ้นนี้กำลังโจมตีการเหยียดเชื้อชาติด้วยความคมคายและตรงไปตรงมา" โจนส์ระบุในบทความ
โจนส์ตีความภาพวาดของแบงค์ซีอีกว่า นกนางแอ่นแอฟริกันในภาพไม่ใช่สิ่งที่เป็นภัย แต่เป็นสิ่งที่ดูงดงาม ส่วนนกพิราบสีเทาที่เป็นคนท้องถิ่นกลับดูหมองหม่น อีกทั้งการใช้นกเป็นตัวแทนเหมือนกำลังจะสื่อว่าการอพยพเป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะประชากรนกมีการอพยพย้ายถิ่นฐานโดยธรรมชาติของมันมานานแล้ว
โจนส์กล่าวอีกว่าความรู้สึกโต้ตอบต่อภาพเขียนนี้ก็สามารถสะท้อนบรรยากาศทางวัฒนธรรมในสังคมของแคล็กตันออนซีได้ในแง่หนึ่งว่า การเลือกตั้งท้องถิ่นที่กำลังจะมีขึ้นระหว่างพรรคอิสระหรือยูคิป (UKIP) และพรรคอนุรักษนิยม จะมีเรื่องผู้อพยพเป็นวาระสำคัญ อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้ว่าผู้ที่ร้องเรียนให้ลบภาพออกโดยอ้างเรื่องความถูกต้องทางการเมือง (political correctness) เพื่อเซ็นเซอร์ผลงานต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติชิ้นนี้ อาจจะมีแนวคิดที่ตรงกันข้ามกับการใช้ข้ออ้างของตน
มีการตั้งข้อสังเกตว่าผลงานชิ้นนี้ซึ่งสร้างขึ้นชั่วข้ามคืนเกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งท้องถิ่นเพียงหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่ ส.ส.ท้องถิ่นพรรคอนุรักษนิยม ดักลัส คาร์เวลล์ แปรพักตร์ไปอยู่พรรคยูคิปซึ่งก่อนหน้านี้ทางพรรคยูคิปได้วิจารณ์นโยบายคนเข้าเมืองของอังกฤษว่ามีความหย่อนยานเกินไป
"ถ้าหากภาพนี้ทำให้ใครกลัวนั่นจะต้องหมายความว่ามุมมองของนกพิราบนั้นใกล้เคียงกับความคิดเห็นของผู้คนทั่วไป งานเสียดสีชิ้นนี้มีความแม่นยำมากถึงขั้นทำให้คนเข้าใจผิดว่ามันคือเรื่องจริง" โจนส์กล่าว
"แบงค์ซีไม่ได้ถูกแบนจากแคล็กตันออนซีเพราะเขาเป็นคนเหยียดเชื้อชาติ แต่เขาถูกห้ามเอาไว้เพราะเขาเปิดโปงความจริง" โจนส์กล่าว

สหภาพรัฐสภานานาชาติเผยจะหารือ สถานภาพ สมาชิก สนช. ไทย ที่จะเข้าร่วมประชุมกลางเดือนนี้

สหภาพรัฐสภานานาชาติตอบจดหมายร้องเรียน องค์การเสรีไทยฯ ระบุติดตามสถานการณ์การเมืองไทยใกล้ชิด และจะหารือกันเรื่องสถานภาพของสนช. ที่จะเข้าร่วมประชุมสหภาพรัฐสภานานาชาติ
หลังจากที่สหภาพรัฐสภานานาชาติได้รับจดหมายร้องเรียนจาก จรัล ดิษฐาอภิชัย ผู้ประสานงานยุโรป องค์การเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย ส่งหนังสือถึงเลขาธิการสหภาพรัฐสภานานาชาติ เมื่อวันที่ 18 ก.ย. ที่ผ่านมา เพื่อขอให้ทบทวนการเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภานานาชาติของ สนช. ในวันที่ 12-16 ต.ค.ที่จะถึงนี้
นายโรจิเยร์ อุยเซงกา หัวหน้าแผนกสิทธิมนุษยชน สหภาพรัฐสภานานาชาติ ได้ตอบจดหมายของนายจรัล ระบุว่า สหภาพรัฐสภานานาชาติได้ติดตามสถานการณ์การเมืองไทยอย่างใกล้ชิดและจะมีหารือกันถึงประเด็นสถานภาพของสมาชิกสภานิติบัญญัติของไทยที่จะเข้าร่วมในการประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภานานาชาติ โดยจะนำเอาข้อห่วงกังวลของทางองค์การเสรีไทยฯ ไปประกอบการพิจารณา
จรัล ระบุในหนังสือดังกล่าวว่า เป็นที่ชัดเจนว่า สภาของไทยที่แต่งตั้งโดยทหาร หรือที่เรียกกันว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ขาดคุณสมบัติที่จำเป็น ในการเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพรัฐสภานานาชาติ ซึ่งควรจะมีอุดมการณ์ประชาธิปไตย
เขาชี้ว่า สนช.ได้รับการแต่งตั้งโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งล้วนเป็นทหาร ผู้ทำรัฐประหารในวันที่ 22 พ.ค. ที่ผ่านมา
"การรัฐประหารไม่ได้เพียงแค่ล้มรัฐบาลประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น แต่ยังคงหาทางขจัดประชาธิปไตยทุกรูปแบบด้วย คสช.แต่งตั้ง สนช. เพื่อเป็นเครื่องมือในการออกกฎหมาย ไม่ใช่เพื่อเป็นรัฐสภาที่จะเป็นตัวแทนประชาชนไทย" จรัลระบุ