วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556

"พานทองแท้" FB แนะนำเพจ "ประชาธิปัตย์ ชื่อเดียว ล่มจมได้ทั้งประเทศ"


"พานทองแท้" FB แนะนำเพจ "ประชาธิปัตย์ ชื่อเดียว ล่มจมได้ทั้งประเทศ"

         1 กันยายน 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.45น. ที่ผ่านมา นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัวhttps://www.facebook.com/oakpanthongtae โดยมีข้อความดังนี้



        "ประชาธิปัตย์ ชื่อเดียว ล่มจมได้ทั้งประเทศ" เป็นชื่อเพจใน Facebook ที่ผมได้ติดตามดูมาระยะนึงแล้ว ตามนี้ครับ

https://www.facebook.com/Baddemocrat

       เพจนี้มีคนกดไลค์อยู่ 2 หมื่น  9พัน 5 ร้อย ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากที่ผมโพสต์นี้ แฟนเพจจะต้องทะลุขึ้นไป3หมื่นกว่าแน่ๆ และจะต้องเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะขนาดผมอ่านแล้วยังต้อง "กดไลค์" เพื่อที่จะได้กลับมาอ่านอีก

        ตอนแรกพอเห็นชื่อเพจแล้ว ผมรู้สึกตกใจครับ ว่าทำไมเจ้าของเพจจึงคิดเช่นนี้ เพราะคำว่า"ประชาธิปัตย์"นั้น เป็นชื่อของพรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุด เป็นพรรคฯคู่บ้านคู่เมืองของไทยมากว่า60ปี มีประวัติศาสตร์ทางการเมืองอันโชกโชน ย่อมต้องทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติอย่างมากมาย ยกตัวอย่างเช่น...เอ่ออ...อึ่มม...อ่าาา....(แหะๆ......ผมยังนึกไม่ออกครับ เอาเป็นว่าน่าจะมีประโยชน์บ้างก็แล้วกัน ใครเคยเห็นปชป.ทำตัวเป็นประโยชน์ รบกวนช่วยๆบอกกันหน่อย)

       ผมคิดว่าจริงๆแล้วถึงแม้พรรคประชาธิปัตย์ จะทำตัวแย่ๆอย่างไรก็แล้วแต่ แต่หากถึงขั้นที่พี่น้องประชาชนเขาคิดว่า "ประชาธิปัตย์ ชื่อเดียว ล่มจมได้ทั้งประเทศ" ขนาดนี้แล้วละก็ ถ้าผมเป็นคนที่รักปชป.อย่างจริงใจ ผมจะไม่ปล่อยไว้ครับ จะต้องมีกระบวนการแก้ไขพันธุกรรม..เอ๊ยย..แก้ไขพฤติกรรมอะไรบางอย่าง ที่จะกู้หน้าตาและภาพลักษณ์ของพรรคเก่าแก่เอาให้ได้

       การเป็นพรรคการเมือง ควรจะทำแต่ในสิ่งที่ดีๆ ทำตัวให้ประชาชนเขาไว้วางใจ อีกหน่อยพี่น้องประชาชน เขาจะได้เลือกเข้ามาเป็นรัฐบาลนะครับ ประเภทที่ไม่พอใจอะไรโดยเฉพาะในสภาฯ ก็ทำตัวป่าเถื่อน ตะโกนด่าทอ ขว้างปาสิ่งของ ทำร้ายคนอื่นทั้งพรรคฯตรงข้าม และเจ้าพนักงานที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ ล้วนแต่โดนไล่บีบคอกันถ้วนหน้า แถมด้วยแย่งเก้าอี้ประธานสภาฯ ที่ถือเป็นประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่ยอมให้ทำหน้าที่บนบัลลังก์อีก แบบนี้ประชาชนคนเสียภาษี เขาก็มีสิทธิ์ด่าเอาได้

        สส.ปชป.อาละวาดในสภาฯ แบบนี้ ถึงแม้เป็นเพราะอารมณ์ชั่ววูบ หรือบันดาลโทสะเมื่อไม่ได้ดั่งใจ ก็ถือว่าไม่เหมาะสมแล้ว เพราะคนเป็นผู้แทนของปวงชน ควรมีความอดทนอดกลั้น รู้ผิดชอบชั่วดีมากกว่านี้ แต่เหตุการณ์อาละวาดที่เกิดขึ้นกลับแย่กว่านั้นอีก เพราะไม่ได้มีแววที่จะลดน้อยถอยลง กลับเพิ่มถี่มากขึ้นจนดูเหมือนว่า เป็นการเสแสร้งแกล้งโกรธอาละวาด เป็นความตั้งใจที่จะสร้างความปั่นป่วน ให้บ้านเมืองดูวุ่นวายมากที่สุด จนกระทั่งพี่น้องประชาชนเบื่อหน่าย และไม่ไหวจะทนกับการเมืองแบบไทยๆเรา และเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับ กระบวนการปกครองที่อยู่นอกรัฐธรรมนูญในที่สุด

       ถ้า ปชป.มีความตั้งใจอย่างนี้จริงๆ ก็ต้องถือว่าชื่อนี้ได้ถูกตั้งขึ้นมา ตรงกับความเป็นจริงที่สุดแล้วครับ สำหรับเพจที่ชื่อว่า....

ชาวเน็ตวิจารณ์ หากินกับศพ! "อภิสิทธิ์" รีบร่อนดูม็อบสวนยางสร้างสถานการณ์


ชาวเน็ตวิจารณ์ หากินกับศพ! "อภิสิทธิ์" รีบร่อนดูม็อบสวนยางสร้างสถานการณ์



          1 กันยายน 2556 go6Tv - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเหตุการณ์การยิงกัน ในม็อบสวนยาง ที่จังหวัดนครศรีธรรมราชนั้น ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ได้มีประชาชนจำนวนมากต่างวิพากษ์วิจารณ์ไปในทิศทางเดียวกัน คือการสร้างสถานการณ์ของคนบางกลุ่มที่ต้องการยกระดับความรุนแรงของม็อบสวนยาง รวมทั้งเป็นการปลุกปั่นอารมณ์ของผู้ร่วมชุมนุม บางส่วนก็ระบุว่า ไม่อยากให้เหตุการณ์ดังกล่าวมีใครหรือกลุ่มคนใด "หากินกับศพ" เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง

        ขณะเดียวกัน นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตโฆษกประจำตัว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และ ส.ส.จังหวัดนครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านทางทวิตเตอร์ส่วนตัว ระบุว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะเข้าพบม็อบสวนยางในช่วงเย็นด้วย




              ล่าสุดทางด้าน เมื่อเวลา 10.30น. พล.ต.ต.รณพงษ์ ทรายแก้ว ผบก.จว.นครศรีธรรมราช ระบุว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ตั้งรางวัลนำจับผู้ชี้เบาะแสมือยิงการ์ดม็อบสวนยางสูงถึง 1 แสนบาทแล้ว สำหรับความคืบหน้าของเหตุการ์ดังกล่าว กองบรรณาธิการ go6TV จะนำมาเสนอต่อไป

น้องชายโจรไข่หมูกโผล่ม็อบสวนยาง ผู้สื่อข่าวเนชั่นเผยตำรวจคุมเพราะมีเหตุข่มขืน

น้องชายโจรไข่หมูกโผล่ม็อบสวนยาง ผู้สื่อข่าวเนชั่นเผยตำรวจคุมเพราะมีเหตุข่มขืน



          1 กันยายน 2556 go6TV - เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ผ่านมา นายเอียด เส้งเอียด (น้องชายนายเจิม เส้งเอียด หรือโจรไข่หมูก) ตั้งโต๊ะแถลงการณ์หาผู้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ม็อบสวนยางยิงกันเมื่อคืนที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายออกจากพื้นที่ อ.ชะอวด

         ขณะเดียวกัน ที่ห้องประชุมกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช นายวิโรจน์ จิวะรังสรรค์ ผู้ว่าฯ นครศรีธรรมราช พร้อมด้วย พล.ต.ต.รณพงษ์ ทรายแก้ว ผู้บังคับการตำรวจภูธร จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้แถลงกรณีคนร้ายยิงผู้ชุมนุมชาวสวนยางเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บที่บริเวณทางรถไฟม.2 ต.บ้านตูล อ.ชะอวด


            นายวิโรจน์กล่าวว่า ได้รับการรายงานจากนายอำเภอชะอวดว่า เมื่อเวลาประมาณ 03.30น. ขณะที่ผู้ชุมนุมนั่งอยู่ที่เต๊นท์ จำนวน6คนได้มีเสียงปืนดังขึ้น 4 นัด ทำให้ผู้ชุมนุม 2 รายได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมา 1 ราย โดยยืนยันว่าจุดเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถเข้าไปได้ เพราะเป็นพื้นที่ของกลุ่มผู้ชุมนุม โดยก่อนหน้านี้ได้กำชับเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายแล้วว่า ไม่ให้เข้าไปในพื้นที่ของกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างเด็ดขาด เพราะไม่อยากจะให้เกิดความรุนแรง โดยพื้นที่ดังกล่าวได้ขอให้กลุ่มผู้ชุมนุมดูแลกันเอง

         "ขอยืนยันว่าเราไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรงเกิดขึ้นเราอยากให้เหตุการณ์สงบโดยใช้การเจรจา และยอมรับว่าการทำงานของเจ้าหน้าที่เป็นไปด้วยความยากลำบากเพราะผู้ที่เดือดร้อนก็คือประชาชน จะทำอย่างไรถึงให้ความเดือดร้อนลดลงเราพยายามใช้วิธีการประคับประคอง และทางตำรวจแห่งชาติก็ต้องการจะจับกุมผู้กระทำความผิด" นายวิโรจน์กล่าว

          ด้าน พล.ต.ต.รณพงษ์ กล่าวว่า ผบ.ตร.ได้ประกาศตั้งรางวัลแก่ผู้แจ้งเบาะแสจนนำไปสู่การจับกุมผู้กระทำความผิดในเรื่องนี้ 1 แสนบาทและทางผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช มอบเงินส่วนตัวสมทบอีก 5 หมื่นบาทเพื่อตั้งเป็นรางวัลนำจับ

        "เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราเองเป็นห่วงมาโดยตลอดและยืนยันว่าทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้เป็นผู้กระทำเพราะไม่อยากให้เกิดการความรุนแรงซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับการชุมนุมซึ่งเราพยายามทุกวิถีทางในการหลีกเลี่ยงเพราะหากจะใช้กำลังคงมีการเข้าไปขอให้พี่น้องสลายการยึดพื้นที่สาธารณะไปแล้วแต่ที่เราไม่ได้ทำเพราะเกรงว่าจะไปเข้าทางในการหาสาเหตุยกระดับการชุมนุม"พล.ต.ต.รณพงษ์กล่าว



          สำหรับประเด็นการสืบสวนนั้นเจ้าหน้าที่ตั้งไว้สองประเด็นคือ 1.โกรธแค้นส่วนตัวเพราะในกลุ่มผู้ชุมนุมมีการทะเลาะกันเองทุกคืนฟันกันได้บาดเจ็บและมีอาวุธอยู่เยอะมากในที่ชุมนุมเมื่อคืนก่อนเกิดเหตุก็มีทะเลาะกันและปัญหาก็คือเจ้าหน้าที่เข้าไปไม่ได้ ถ้าเข้าไปจะเข้าทางผู้ที่วางแผนไว้ที่จะให้เกิดความรุนแรง ส่วนกรณีที่มีการขอให้ตำรวจถอยด่านออกมาอีกเรายืนยันว่าถอยมากไม่ได้เพราะชาวบ้านจะเดือดร้อน เพราะในช่วงชุมนุมสองสามคืนแรกชาวบ้านแจ้งว่ามีกลุ้มผู้ชุมนุมออกมาเผายางรถยนต์เผาป้ายบอกทาง

          ขณะที่ะประเด็นที่ 2 คือสาเหตุมาจากชาวบ้านในพื้นที่ไม่พอใจกลุ่มม็อบ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ยิงกันตายและเจ็บ เจ้าหน้าที่ก็ต้องดำเนินการจัดการตามกฏหมายแต่ก็ติดขัด เพราะ ไม่สามารถเข้าไปที่เกิดเหตุได้เลย ซึ่งการสืบสวนนั้นสถานที่เกิดเหตุถือเป็นสถานที่สำคัญที่สุดเรายังเข้าไปตรวจสอบไม่ได้เลย จะต้องหาวิธีการเจรจาเพื่อเข้าไปให้ได้และเหตุเกิดขึ้นประมาณตี3กว่าๆแต่ผู้ชุมนุมไม่แจ้งความ เจ้าหน้าที่มาทราบจาก โรงพยาบาลชะอวดทแจ้งมา คิดว่าด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันน่าจะมีการสืบสวนไม่ยาก ตอนนี้กำลังจะส่งศพไปผ่าพิสูจน์ และหากมีการให้ความร่วมมือเราคงจะจับกุมคนทำผิดได้ ส่วนที่มีการโยนใส่เจ้าหน้าที่ว่าเป็นผู้วางแผนทำเองนั้นไม่มีทางเป็นไปได้เพราะแม้แต่การเข้าสลายม็อบหรือขอพื้นที่คืนยังไม่ทำและทำไม่ได้

        ทางด้าน ผู้สื่อข่าวคมชัดลึก ซึ่งเป็นสื่อ "เครือเนชั่น"​ได้โพสต์ข้อความผ่านทางทวิตเตอร์ว่า ได้รับรายงานว่ามีการข่มขืนกันในม็อบสวนยางด้วย

แพทย์แถลงอาการป่วย พล.อ.เปรม

ผอ.รพ.พระมงกุฏเกล้าแถลงว่า พล.อ.เปรม ที่ป่วยนั้นคือ การผ่าตัดปอด
      ผมได้ข่าวจากแหล่งข่าวบางแหล่งว่า จริงๆ แล้ว ตัดปอดออกไปบางส่วน กำลังรอผลพิสูจน์ชิ้นเนื้อว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ 

      แสดงว่าข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้ว่า ปวดท้องนั้นไม่ใช่ความจริง แต่ที่เป็นจริงคือการผ่าตัดปอด  ซึ่งคงทำให้ พล.อ.เปรม วัย 94 ปี มีปัญหาเรื่องการหายใจลำบาก การพูด และการออกกำลังกายต่อไปก็ทำได้ยาก วัย 94 ที่ว่าแข็งแรงก็อาจทรุดได้อย่างรวดเร็ว เพราะร่างกายคนวัยนี้ฟื้นตัวช้า ไม่เหมือนคนหนุ่ม

      แต่ในทางการเมืองหากป่วยแบบนี้ บารมีทางการเมืองก็แทบหมดแล้วครับ เพราะคนคาดการณ์ได้ทันทีว่า อาจไปโลกอื่น ดาวอื่นได้ในเวลาไม่นานนัก

เอาเป็นว่า "ใครคิดล้มนายกฯปู มีอันเป็นไปแทบทุกคน" 

      บารมีของนารีขี่ม้าขาว ไม่เชื่อ ก็อย่าลบหลู่ เพราะมีบทกลอนบาทสุดท้าย ที่บอกว่า "คนชั่วถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินไร้ซึ่งปัญหา" ยืนยันอยู่ แล้วเราก็เห็นคนที่คิดล้ม นายกฯปู มีอันเป็นไปแพ้ภัยตัวเองแทบหมดสิ้น


ฤาแผ่นดินไทย จะเข้ายุคฟ้าสีทองผ่องอำไพจริงๆ

       ผมประเมินกำลังฝ่ายอำมตย์แล้ว น่าจะเป็นจริงตามคำทำนายค่อนข้างมาก ไม่ต้องใช้โหราศาสตร์ แต่คาดการณ์จากสถานการณ์ภาพรวม ตัวแปรต่างๆ ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น

       หากสองสามสัปดาห์ต่อจากนี้ พล.อ.เปรม ไม่ปรากฎตัวต่อสาธารณะชนแบบชัดเจน การป่วยเรื่องผ่าตัดปอด ก็คงได้รับการยืนยันว่าจริง  

       พล.อ.เปรม มีคนเกลียดมาก การป่วยใน รพ.มงกุฎเกล้าที่มีหลายฝ่ายคงยากจะปิดข่าว
และทหารสาย พล.อ.เปรม ก็ไม่ได้มีบารมีมากมาย ที่จะสั่งให้ใครต่อใครเข้าปิดข่าวได้

        ยิ่งข่าว "ที่เป็นจุดอ่อนที่จะทำให้ระบอบอำมาตย์ล่มสลายพังทลายแบบนี้ยิ่งแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว

       การป่วยของ พล.อ.เปรม ไม่ได้กระทบต่อความมั่นคงของชาติ แต่อย่างใด จึงไม่มีเหตุที่ รพ.พระมงกุฎเกล้า ที่เป็๋น รพ.ของรัฐจะต้องปิดข่าว 





        แพทย์แถลงอาการ “พล.อ.เปรม” มีรอยแผลที่ปอดด้านบนขวาจากการผ่าตัดครั้งก่อนอักเสบ จึงนัดมาทำการผ่าตัดเมื่อวานนี้ (29 ส.ค.) โดยผลผ่าตัดเป็นที่น่าพอใจ และให้พักฟื้นที่ รพ.1 สัปดาห์ อาการล่าสุดแข็งแรงดี พูดคุยได้ ประชาชนไม่ต้องห่วง ขณะที่ บรรยากาศหน้าห้องพักฟื้น มีคณะบุคคลและตัวแทน ผบ.เหล่าทัพนำกระเช้าดอกไม้มาเยี่ยมอาการจำนวนมาก ทั้งนี้ รพ.ได้จัดห้องรับรอง และสมุดเยี่ยมลงนามไว้ด้านหน้าห้องพักด้วย

       

          วันนี้ (30 ส.ค.) พล.ต.ชุมพล เปี่ยมสมบูรณ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า แถลงความคืบหน้าอาการของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ว่า เมื่อวันที่ 19 ส.ค.ที่ผ่านมา พล.อ.เปรมได้มาตรวจสุขภาพ และผลการตรวจพบว่ารอยแผลที่ปอดขวาด้านบนจากการผ่าตัดครั้งก่อนมีการอักเสบ แพทย์จึงนัดมาทำการผ่าตัดเมื่อวานนี้ และผลการผ่าตัดเป็นที่น่าพอใจ โดยแพทย์ให้พักฟื้นที่โรงพยาบาลเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ที่อาคารสมเด็จย่า ชั้น 8 ล่าสุดขณะนี้ พล.อ.เปรมแข็งแรงดี สามารถพูดคุยได้ ประชาชนไม่ต้องเป็นห่วง

         ทั้งนี้ บรรยากาศหน้าห้องพักฟื้นของ พล.อ.เปรม มีคณะบุคคลและตัวแทนผู้บัญชาการเหล่าทัพนำกระเช้าดอกไม้มาเยี่ยมอาการ ซึ่งทางโรงพยาบาลได้จัดห้องรับรอง และสมุดเยี่ยมลงนามไว้ด้านหน้าห้องพัก


"ป๋าเปรม"ผ่าตัดแผลที่ปอดอักเสบ

        "แพทย์พระมงกุฏ" แถลงอาการป่วย "ป๋าเปรม" แผลที่ปอดอักเสบ ใช่เวลาพักฟื้น 1 สัปดาห์

          พล.ต.ชุมพล เปี่ยมสมบูรณ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า แถลงในวันนี้ (30 ส.ค.) ถึงความคืบหน้าอาการของ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ว่า เมื่อวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา พลเอกเปรมได้มาตรวจสุขภาพ และผลการตรวจพบว่า รอยแผลที่ปอดขวาด้านบน จากการผ่าตัดครั้งก่อนมีการอักเสบ แพทย์จึงนัดมาทำการผ่าตัดเมื่อวานนี้ (29 ส.ค.) และผลการผ่าตัดเป็นที่น่าพอใจ โดยแพทย์ให้พักฟื้นที่โรงพยาบาลเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ที่อาคารสมเด็จย่าชั้น 8 ล่าสุดขณะนี้ พลเอกเปรม แข็งแรงดี สามารถพูดคุยได้ ประชาชนไม่ต้องเป็นห่วง


         สำหรับบรรยากาศหน้าห้องพักฟื้นของพล.อ.เปรม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้้าพระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานดอกไม้เยี่ยมไข้ในการนี้ด้วย นอกจากนี้ยังมีคณะบุคคลและตัวแทนผู้บัญชาการเหล่าทัพ นำกระเช้าดอกไม้มาเยี่ยมอาการ ขณะที่โรงพยาบาลได้จัดห้องรับรองและสมุดเยี่ยมลงนามไว้ด้านหน้าห้องพัก

          ต่อมาเมื่อเวลา 12.30 น. ที่อิมแพ็คเมืองทองธานี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ พล.อ.เปรมเข้าพักรักษาตัวที่ รพ.พระมงกุฎ โดยเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะเดินทางไปเยี่ยมหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เลี่ยงไม่ตอบคำถามใดๆ ก่อนเดินขึ้นรถทันที

         อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้มอบหมายให้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง นำกระเช้าดอกไม้ เข้าเยี่ยม พล.อ.เปรม ที่รพ.พระมงกุฎฯ เมื่อเวลา 14.00 น. วันนี้ )

“บิ๊กจิ๋ว”ท้องเสียรุนแรงหามส่งร.พ.พระมงกุฏฯ

           จากกรณีที่มีกระแสข่าวว่าพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เข้ารักษาตัวที่ร.พ.พระมงกุฎเกล้าฯกระทันหัน ซึ่งเป็นเวลาไล่เลี่ยกับกับพล.อ.เปรม นั้น เมื่อเวลา 12.00 น.วันนี้ โดยพล.ท.เชวงศักดิ์ ทองฉลวย ผู้ทรงคุณพิเศษสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมในฐานะนายทหารคนสนิทพล.อ.ชวลิต เปิดเผยว่าเมื่อเวลา 11.00 น.ของวันที่ 29 ส.ค. ได้นำพล.อ.ชวลิต เข้ารักษาตัวที่ร.พ.พระมงกุฏเกล้าฯเนื่องจากท่านบอกให้นำส่งร.พ.เพราะมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงพร้อมๆ กับถ่ายอุจจาระไม่หยุดมีอาการอ่อนเพลีย

           จนกระทั่งเมื่อถึงร.พ.ทางแพทย์ได้ทำการรักษาตามปกติ โดยให้น้ำเกลือและยารักษาแก้ท้องเสีย ซึ่งแพทย์จะให้รักษาตัวจนกระทั่งถึงวันที่ 1 ก.ย.โดยพักผ่อนที่ห้อง 2016 อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ ส่วนสาเหตุน่าจะเกิดจากอาหารเป็นพิษ เพราะก่อนหน้านี้พล.อ.ชวลิต ได้กินอาหารอีสานซึ่งเป็นอาหารที่ชื่นชอบจนทำให้เกิดท้องเสียอย่างรุนแรงก็เป็นได้

อาจได้ฟังข่าวดี เร็ว ๆ นี้



         ''วาสนา นาน่วม'' โพสต์สเตตัสขอให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ หายป่วยโดยเร็ว ด้านนายทหารคนสนิทยืนยันว่าเป็นการตรวจร่างกายปกติตามวงรอบ โดยแพทย์ตรวจพบความผิดปกติจึงขอตรวจอย่างละเอียด และจะมีการเตรียมแถลงข่าวอาการ 30 ส.ค. นี้

         ตามที่เมื่อวันที่ 25 ส.ค.2556 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้นำ พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.สส. และ ผบ.เหล่าทัพเข้าอวยพร พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันเกิด 94 ปี ที่บ้านพักสี่เสาเทเวศร์นั้น

        ล่าสุดมีรายงานว่า พล.อ.เปรม ได้รักษาตัวอยู่ที่ รพ.พระมงกุฎเกล้าฯ โดยวาสนา นาน่วม นักข่าวสายทหาร ได้โพสต์ในสเตตัสว่า พล.อ.เปรม รักษาตัวที่ชั้น 9 รพ.พระมงกุฏเกล้าฯ และระบุว่าแพทย์ได้ตรวจสอบอย่างละเอียดและทำการรักษา และกล่าวด้วยว่านายทหารได้ปิดข่าว พร้อมอวยพรให้ พล.อ.เปรมหายป่วยโดยเร็ว

       อย่างไรก็ตาม มีการชี้แจงมาจาก พล.ต.พิศณุ พุทธวงศ์ นายทหารคนสนิท ซึ่งได้ให้สัมภาษณ์ไทยรัฐออนไลน์ว่า ในวันที่ 30 ส.ค. นี้ คณะแพทย์ รพ.พระมงกุฎเกล้าฯ จะมีการแถลงอาการของ พล.อ.เปรม หลังจากที่ พล.อ.เปรม เดินทางมาตรวจร่างกายตามวงรอบเมื่อเย็นวันที่ 28 ส.ค. โดยแพทย์พบว่ามีอาการผิดปกติ จึงขอให้นอนพักที่โรงพยาบาล เพื่อตรวจอาการให้ละเอียด โดย พล.อ.เปรมพักรักษาอาการอยู่ที่ อาคารสมเด็จย่า ชั้น 9 ของโรงพยาบาล 


       พล.ต.ชุมพล เปี่ยมสมบูรณ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า แถลงข่าวถึงอาการของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ซึ่งผลการผ่าตัดเป็นที่น่าพอใจ โดยแพทย์ให้พักฟื้นที่โรงพยาบาลเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ที่อาคารสมเด็จย่าชั้น 8 ล่าสุด พล.อ.เปรม แข็งแรงดี สามารถพูดคุยได้ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2556

ม๊อบยาง ตายแล้ว



         หนึ่งในการ์ดม็อบสวนยาง ชะอวด ที่ถูกยิง เสียชีวิตแล้ว ด้าน ผวจ.นครศรีธรรมราช ยัน จนท. ไม่คิดใช้ความรุนแรง หวั่นมือที่ 3 จ้องป่วนหวังยกระดับการชุมนุม จับตา 2-3 ก.ย. นี้ ม็อบอาจมีการปิดถนนเพิ่ม


       นายวิโรจน์ จิวะรังสรรค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวถึงกรณีมีผู้ถูกยิงในการชุมนุมของชาวสวนยาง ใน อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช ว่า ตนได้รับรายงานจาก นายอำเภอชะอวด ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น เมื่อช่วง 03.00 น. ที่ผ่านมา ว่า มีกลุ่มการ์ดผู้ชุมนุม ยังดูแลความเรียบร้อยอยู่บริเวณ ทางรถไฟบ้านตูล ที่มีการปิดกั้นเส้นทางสัญจร จากนั้นได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 4 นัด ถูก 2 คน ได้รับบาดเจ็บ เพื่อนของคนเจ็บช่วยกันนำส่ง ร.พ.ชะอวด

       ล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้ว ผู้ที่ถูกยิงเสียชีวิตแล้ว 1 ราย ทราบชื่อ คือ นายศิริชัย บุญนุวงศ์ หรือ หนุ่ย อายุ 30 ปี เป็นคนในพื้นที่ หมู่ 6 ต.ชะอวด ถูกยิงศีรษะ เสียชีวิตที่ ร.พ.มหาราชนครศรีธรรมราช ส่วนอีกราย คือ นายสิทธิศักดิ์ ใจงาม หรือ ตู่ อายุ 28 ปี เป็นคน พื้นที่หมู่ 1 ต.บ้านตูล อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช ถูกยิงเข้าที่ลำคอทะลุปาก และหน้าอก ล่าสุด แพทย์ทำการช่วยเหลือ ปลอดภัยแล้ว

       ทั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ยืนยันว่า ทางจังหวัดและตำรวจ ไม่เคยคิดที่จะใช้ความรุนแรง แต่ควรระวังมือที่ 3 ที่เข้ามายั่วยุ ทำให้เกิดความรุนแรง และเชื่อว่าจากเหตุการณ์นี้ ต้องมีการยกระดับการชุมนุมให้รุนแรงมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 2-3 ก.ย. นี้ ต้องติดตาม ผู้ชุมนุมจะมีการปิดถนนเพิ่มอีกหรือไม่

ยิงกันแล้ว ม็อบสวนยางเดือด ตาย1 เจ็บ 1


         1 กันยายน 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 03.50 น. ที่ผ่านมาได้เกิดเหตุยิงปืนกันในกลุ่มผู้ชุมนุมม็อบสวนยาง บริเวณทางรถไฟบ้านตูล ต.บ้านตูล อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช จำนวนทั้งหมด 5 นัด ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 ราย เป็นการ์ดรักษาความปลอดภัย ได้แก่ นายศิริชัย บุญวงศ์ อายุ 30 ปี ถูกยิงที่ใต้เป้าตา และหน้าอก และ นายสิทธิศักดิ์ ใจงาม อายุ 28 ปี ถูกยิงที่ลำคอทะลุปาก และหน้าอก ซึ่งทั้ง 2 ราย ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช

       ต่อมา มีรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 08.45 น. ว่า นายศิริชัย หนึ่ง ใน 2 ผู้บาดเจ็บ ได้เสียชีวิตลงแล้ว ขณะเดียวกันภายในเวทีบริเวณที่ชุมนุมได้ประกาศห้ามบุคคลแปลกหน้า พร้อมจัดเตรียมอาวุธไว้ให้พร้อม

       ขณะที่ นายวิโรจน์ จิวะรังสรรค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่าเจ้าหน้าที่ไม่คิดใช้ความรุนแรงกับกลุ่มผู้ชุมนุม แต่ยอมรับว่าหวั่นมือที่ 3 จ้องป่วนสร้างสถานการณ์หวังยกระดับการชุมนุม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง มติชน

เครือข่ายสวนยาง 14 จังหวัดภาคใต้ย้ำจุดยืนประกาศชุมนุม 3 ก.ย.นี้ มติ สกย. งดเก็บเงินสงเคราะห์

เครือข่ายสวนยาง 14 จังหวัดภาคใต้ย้ำจุดยืนประกาศชุมนุม 3 ก.ย.นี้ 

มติ สกย. งดเก็บเงินสงเคราะห์

             เครือข่ายชาวสวนยาง 14 จังหวัดภาคใต้ ประกาศร่วมชุมนุมเคลื่อนไหว 3 ก.ย.นี้ พร้อมเรียกร้องประธานเครือข่ายชาวสวนยางพาราแห่งประเทศไทย พิจารณาตัวเองหลังฝ่าฝืนมติรับข้อเสนอรัฐบาล ด้าน สกย.ไฟเขียวงดเก็บเงินสงเคราะห์ 4 ด. อุ้มชาวสวนยาง กมธ.แก้ราคายาง-ส.ว.ใต้-แนะ 5 ทางออกให้รัฐบาลพิจารณา ชี้คิดผิดส่ง "สุภรณ์" เจรจาเกษตรกร เชื่อมีสัญญาณตอบรับที่ดี คาด 2-3 วันนี้คงเจรจากันได้ 
<--break->
           ASTV ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่าเมื่อเวลา 14.00 น. วันนี้ (30 ส.ค. 56) ที่ห้องประชุมสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง จ.กระบี่ นายธีระพงศ์ ตันติเพชราภรณ์ รองประธานเครือข่ายชาวสวนยางแห่งประเทศไทย นายบุญโชติ ร่มเย็น เลขาฯ เครือข่าย และตัวแทนเครือข่ายชาวสวนยาง 14 จังหวัดภาคใต้ ได้ร่วมประชุมหารือถึงแนวทางการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องราคายางพาราที่ตกต่ำอยู่ในขณะนี้ ซึ่งในที่ประชุมได้แจ้งถึงผลการหารือแก้ไขปัญหากับทางรัฐบาล เมื่อวันที่ 28 สิงหาคมที่ผ่านมา ทางตัวแทนทางภาคใต้ไม่ยอมรับหลักการ เพราะเป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด เช่น การจ่ายเงินสนับสนุนปัจจัยการผลิตละ 1,260 บาท สำหรับเกษตรกรที่มีสวนยางไม่เกิน 10 ไร่ เป็นต้น และการรับข้อเสนอของประธานเครือข่ายชาวสวนยางแห่งประเทศไทยนั้น เป็นการรับปากส่วนตัว ไม่ใช่มติของเครือข่าย

       
        นายบุญโชติ ร่มเย็น เลขาฯ เครือข่ายชาวสวนยางแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในวันที่ 3 กันยายนนี้ ทางเครือข่ายและเกษตรกรชาวสวนยางจะเดินทางไปชุมนุมใหญ่ที่สหกรณ์การยาง หรือที่โคออฟ จ.สุราษฎร์ธานี ตามแนวทางเดิม เนื่องจากรัฐแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ไม่จริงใจในการแก้ไขปัญหาราคายาง ส่วนกรณีที่ทางประธานเครือข่ายรับข้อเสนอของรัฐบาลนั้น เป็นการทำผิดมติที่ประชุม คณะกรรมการเครือข่ายฯ ซึ่งตนเห็นว่าประธานควรแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก 
       
ซึ่งข้อเรียกร้องเดิมของเครือข่ายชาวสวนยางแห่งประเทศไทย คือ การให้ประกันราคายางรมควันชั้น 3 ราคา 101 บาทต่อ กก. ยางแผ่นดิบชั้น 3 ราคา 92 บาทต่อ กก. น้ำยางสด ราคา 81 บาทต่อ กก. และยางก้นถ้วยราคา 83 บาทต่อ กก. ส่วนแนวทางแก้ไขระยะยาว รัฐบาลต้องมีการประกันราคาโดยการแทรกแซงเช่นเดียวกับผลิตทางการเกษตรอื่นๆ เช่น ข้าว ข้าวโพด คาดว่าจะมีเกษตรกรชาวสวนยางภาคใต้ประมาณ 2 หมื่นคนเข้าร่วมชุมนุม
 
มติ สกย.ไฟเขียวงดเก็บเงินสงเคราะห์ 4 ด.อุ้มชาวสวนยาง
 
          30 ส.ค. 56 - ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่านายยุคล ลิ้มแหลมทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.)ว่า  ที่ประชุมได้พิจารณาวาระเร่งด่วนตามข้อเสนอของผู้แทนเกษตรกรชาวสวนยาง เรื่อง การพิจารณาทบทวนการเก็บเงินสงเคราะห์ หรือเงินเซส โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่วมกันให้ยกเลิกการเก็บเงินสงเคราะห์เป็นเวลา 4 เดือน โดยคาดว่าจะมีผล 2 ก.ย.นี้ กำหนดระยะเวลาสิ้นสุดปลายเดือน ธ.ค.2556 ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนมาตรการเร่งด่วนในการส่งเสริมผู้ประกอบการส่งออกยางพารา ให้สามารถส่งออกสินค้าได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดปริมาณผลผลิตยางพาราในประเทศลงได้ และสามารถรับซื้อยางจากเกษตรกรได้ในราคาที่สูงขึ้น
 
       “ที่ประชุมได้มีการหารือทบทวนการเก็บเงินเซส โดยนำข้อมูลสถานะการเงินของกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางมาพิจารณา พบว่า สามารถบริหารจัดการโดยไม่กระทบการกับการดำเนินงานปกติของ  สกย.และการสนับสนุนการปลูกยางของเกษตรกรเป็นระยะเวลา 5-6 เดือน” รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.เกษตรฯ กล่าว 
 
        อย่างไรก็ตาม สำหรับสาเหตุหลักที่กำหนดระยะเวลางดจัดเก็บเงินเซสเป็นเวลา 4 เดือน เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้ส่งออกยางในการซื้อยางกับเกษตรกรด้วยการลดต้นทุน จากเดิมที่ผู้ประกอบการต้องจ่ายเงินเซสในอัตรา 2 บาท/กิโลกรัม เมื่องดจัดเก็บเงินเซส ต้นทุนค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ก็จะลดลง โอกาสที่ผู้ประกอบการส่งออกจะเพิ่มปริมาณการซื้อยางจากเกษตรกรก็มีมากขึ้น และเป็นการเพิ่มโอกาสการแข่งขันกับคู่ค้าในตลาดส่งออก
 
         นอกจากนี้ยังมอบหมายให้องค์การสวนยาง (อสย.)ประสานผู้ส่งออก เพื่อหารือร่วมกันถึงแนวทางดังกล่าวในวันนี้ (30 ส.ค.2556) ที่ ก.เกษตรฯ พร้อมทั้งมอบหมายให้สถาบันวิจัยยางตรวจสต๊อกของผู้ส่งออกทุกรายที่มีอยู่ขณะนี้ว่ามีเท่าไหร่และอยู่ทีไหนบ้าง เพื่อให้การงดเก็บเงินเซสที่กำหนดขึ้นส่งประโยชน์ถึงเกษตรกรได้อย่างแท้จริง
 
        ส่วนเรื่องการนำยางในสต๊อกที่มีอยู่ 2 แสนตันมาใช้สำหรับการบริโภคภายในประเทศนั้น ขณะนี้ก็มีความชัดเจนแล้ว โดยรัฐบาลกำหนดเป็นนโยบายให้นำยางพาราไปใช้ในด้านการคมนาคมและซ่อมแซมถนน โดยคาดว่าจะเห็นข้อมูลงานวิจัยการนำยางพาราไปทำถนน ของกรมทางหลวงในสัปดาห์หน้าว่าจะมีปัญหาทางด้านการจราจรหรือไม่ หากผลการวิจัยพบว่าไม่มีปัญหาใดๆ ก็สามารถดำเนินการได้ทันที
 
         รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.เกษตรฯ กล่าวถึงการดำเนินงานตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ฝ่ายเศรษฐกิจที่ได้อนุมัติวงเงินช่วยเหลือค่าปัจจัยการผลิตให้แก่เกษตรกรที่ มีพื้นที่ยางเปิดกรีดไม่เกิน 10 ไร่ และเป็นที่ดินที่มีเอกสารสิทธิถูกต้องเท่านั้น ในอัตราการช่วยเหลือค่าปัจจัยการผลิตไร่ละ 1,260 บาท วงเงินรวม 5,268 ล้านบาทว่า จะเสนอ ครม.พิจารณา 3 ก.ย.นี้ โดยก.เกษตรฯมอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตรแจ้งต่อเกษตรกรที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้แล้วให้ยื่นแสดงความจำนงร่วมโครงการ เพื่อให้การช่วยเหลือเกษตรกรสามารถดำเนินการได้ทันทีหลัง ครม.เห็นชอบ
 
        ทั้งนี้ได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงเกษตรฯ ลงนามถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด แต่งตั้งคณะกรรมการระดับตำบล ในการตรวจสอบพื้นที่ปลูกยางของเกษตรกร โดยให้ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. ธ.ก.ส. และเกษตรตำบล เป็นกรรมการ และปลัดตำบลเป็นประธาน เพื่อร่วมกันลงตรวจสอบพื้นที่ปลูกยางเป็นรายแปลง และออกใบรับรองเพื่อเกษตรอำเภอส่งไปยัง ธ.ก.ส.และจ่ายเงินสดเข้าบัญชีเกษตรกรต่อไป
 
        ส่วนข้อเรียกร้องของเกษตรกรที่ให้ช่วยเหลือปัจจัยการผลิตจาก 10 ไร่เป็น 25 ไร่ รวมถึงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ไม่มีเอกสารสิทธินั้น จะรวบรวมข้อมูลที่ได้จากการขึ้นทะเบียนในครั้งนี้เสนอคณะกรรมการนโยบายยางแห่งชาติ (กนย.) พิจารณโดยเร่งด่วน และเสนอต่อไปยังคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ตามขั้นตอนอีกครั้งต่อไป.
 
 
กมธ.แก้ราคายาง-ส.ว.ใต้-แนะ 5 ทางออกให้รัฐบาลพิจารณา

 
          ไทยรัฐออนไลน์ยังรายงานอีกว่าที่รัฐสภา นายประเสริฐ ชิตพงศ์ ส.ว.สงขลา ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางการบริหารจัดการปัญหาราคายางพาราตกต่ำ และแนวทางการส่งเสริมการพัฒนายางพาราทั้งระบบ วุฒิสภา กล่าวถึงกรณีกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยาง ที่เรียกร้องให้รัฐบาลประกันราคายางพารา ว่า ขอเสนอแนวทางแก้ไขเฉพาะหน้า เห็นควรรัฐบาล ดำเนินการดังนี้ 1.รัฐบาลต้องให้ข้อมูลให้ชัดเจน เกี่ยวกับตัวเลขต้นทุนการผลิต และการดำเนินการตามโตรงการแทรกราคาผลผลิต ทางการเกษตร เช่น โครงการรับนำจำข้าว โครงการพยุงราคายาง โดยการใช้ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสร้างความเข้าใจให้กับเกษตรกร 
 
         ส่วนข้อ 2.รัฐบาลควรงดเก็บเงินสงเคราะห์ชั่วคราว เพื่อยกระดับราคายางให้สูงขึ้น 3.กำหนดแนวทางส่งเสริมการใช้ยางพาราในประเทศให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยการนำยางพาราไปเป็นส่วนผสมในการทำถนนของหน่วยงาน ตามโครงการของภาครัฐ 4.ควรให้สถาบันเกษตรกรกู้เงินมาซื้อยางเพื่อแปรรูป และเก็บสต๊อกไว้รอจำหน่ายเมื่อราคายางสูงขึ้น และ 5.รัฐบาลควรรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากเวทีรัฐสภา และควรนำผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการชุดนี้ไปดำเนินการเป็นรูปธรรม
 
        ทางด้าน พล.ต.ท.มาโนช ไกรวงศ์ ส.ว.สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า ในส่วนที่เกษตรกรนัดชุมนุมใหญ่วันที่ 3 ก.ย.นี้ ทาง ส.ว.ก็รู้สึกห่วงใย และเกรงว่าสถานการณ์จะบานปลาย ดังนั้น รัฐบาลจะต้องเร่งเจรจา โดยหาบุคคลที่มีความรู้และรับผิดชอบในเรื่องยางพาราจริงๆ มีความเป็นกลาง อย่างรัฐมนตรี หรือปลัดกระทรวง ไม่ใช่สุดโต่งอย่าง นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ รองเลขาธิการนายกฯ เพราะแค่ลงไปเกษตรกรก็รับไม่ได้ อย่าใช้กำลังในการสลายการชุมนุม
 
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าทุกคนจะเข้าใจ เพราะเป็นคนไทยเหมือนกัน ส่วนที่จะมีการออกหมายจับแกนนำบางส่วนนั้น เท่าที่สอบถามไปทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันว่าไม่มีการออกหมายจับแกนนำ เท่าที่ดูสัญญาณก็มีแนวโน้มไปในทางที่ดี คาดว่า 2–3 วันนี้ ก็จะสามารถเจรจากันได้
 
 
ประธานเครือข่ายชาวสวนยางอุบลฯ เผยพอใจรัฐช่วยปัญหาราคายาง สรุป 3 ก.ย.ไม่ไปชุมนุม 
 
         สำนักข่าวไทยรายงานว่าเมื่อวันที่ 30 ส.ค. 56 ประธานเครือข่ายชาวสวนยางอุบลฯ เผยพอใจรัฐช่วยปัญหาราคายาง สรุป 3 ก.ย.ไม่ไปชุมนุม ชี้หากสมาชิกบางคนไปก็เป็นสิทธิส่วนตัว และไม่มีการแตกแยกในกลุ่มสวนยาง
 
        นายอดุลย์ โคตรพันธ์ รองประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรด้านยางพาราครบวงจรภาคอีสาน และประธานเครือข่ายชาวสวนยางพาราจังหวัดอุบลราชธานี ประชุมอีกรอบกับตัวแทนสมาชิกสหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน และเกษตรกรสวนยางจำนวน 35 กลุ่ม ที่สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางจังหวัดอุบลราชธานี วันนี้ (30 ส.ค.) เพื่อชี้แจงไม่ไปร่วมชุมนุมในวันที่ 3 ก.ย.นี้ ที่ จ.นครราชสีมา เนื่องจากที่กลุ่มชาวสวนยางภาคอีสานได้เข้าเจรจากับนายยุคล ลิ้มแหลมทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงและสหกรณ์แล้วจะมีการชดเชยปัจจัยการผลิตเป็นค่าปุ๋ยให้กับชาวสวนยางรายละ 25 ไร่ พร้อมสนับสนุนก่อสร้างโรงงานอบยางพาราในพื้นที่ มอบเงินหมุนเวียนใช้เป็นกองทุน และเงินกู้ดอกเบี้ยถูกกับสมาชิกชาวสวนยาง จึงเห็นว่าการมีเงินกองทุนหมุนเวียนและการสร้างโรงงานรมควันยางพารา จะเกิดประโยชน์กับชาวสวนยาง เพื่อพัฒนาคุณภาพยางพาราให้ดีขึ้นนำไปสู่การส่งออกได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องรอการสนับสนุนจากภาครัฐ ดังนั้น วันที่ 3 ก.ย.นี้จะไม่ไปร่วมชุมนุม
 
         อย่างไรก็ตาม นายอดุลย์ กล่าวว่า ชาวสวนยางพาราในรายที่จะไปชุมนุมเรียกร้องนั้นถือเป็นสิทธิส่วนบุคลทำได้ แต่ไม่เกี่ยวกับเครือข่ายสถาบันเกษตรกรด้านยางพาราครบวงจรภาคอีสาน และไม่ถือว่าเป็นความแตกแยกในกลุ่มชาวสวนยาง เพราะความเห็นอาจไม่ตรงกันได้ และแต่ละพื้นที่มีปัจจัยด้านการผลิตไม่เหมือนกัน ซึ่งขณะนี้ชาวสวนยางจังหวัดอุบลราชธานีและอีกหลายจังหวัดในภาคอีสานทราบว่าจะไม่ไปชุมนุมเช่นกัน
 

ปิดฉากบทบาทกลุ่มพันธมิตร

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ: ปิดฉากบทบาทกลุ่มพันธมิตร

        เมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา แกนนำของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่นำโดย นายสนธิ ลิ้มทองกุล พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายพิภพ ธงไชย และ นายสมเกียรติ พงศ์ไพบูลย์ ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 5 ประกาศยุติบทบาทการเคลื่อนไหวทางการเมืองในนามของกลุ่มพันธมิตร
       ในแถลงการณ์ของฝ่ายพันธมิตร อธิบายว่า การยุติบทบาทสืบเนื่องมาจากการที่ฝ่ายพันธมิตรถูกกลั่นแกล้ง โดยยัดเยียดข้อหาอันเป็นเท็จ  ในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ แม้ว่าศาลจะให้ประกันตัว แต่ก็มีเงื่อนไขไม่ให้เคลื่อนไหวทางการเมือง ดังนั้น ถ้าฝ่ายพันธมิตรจะเคลื่อนไหวฝ่าฝืนคำสั่งศาล ผลตอบแทนต้องคุ้มค่า ที่จะต้องเปลี่ยนแปลงประเทศได้อย่างแท้จริง แต่ในขณะนี้ ต่อให้เคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลได้สำเร็จ ก็อาจจบลงด้วยการยุบสภา แล้วพรรคเพื่อไทยกลับมาอีก หรือมีการสลับขั้วทางการเมือง หรือรัฐประหาร แต่ไม่มีการปฏิรูปประเทศไทย การเสียสละของแกนนำฝ่ายพันธมิตรย่อมไม่คุ้มค่า ฝ่ายพันธมิตรเห็นว่า การชุมนุมที่คุ้มค่าจะต้อง”นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบการเมือง และปฏิรูปประเทศเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเท่านั้น” ดังนั้น แกนนำฝ่ายพันธมิตรจึงมีมติเอกฉันท์ที่จะยุติบทบาทเพื่อให้แกนนำ นักปราศรัย ศิลปิน พิธีกร ประชาชน ได้ตัดสินใจด้วยตนเองที่จะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมกับกลุ่มใดก็ได้อย่างอิสระเลรี และเปิดโอกาสให้เกิดขบวนการใหม่ในสังคมไทย และแถลงการณ์ได้ย้ำว่า การยุติบทบาทครั้งนี้”ถือเป็นยุทธวิธีเดียวเท่านั้น ที่จะเปิดโอกาสให้ผู้มีอำนาจในปัจจุบัน หรือผู้ที่มีโอกาสจะมีอำนาจในอนาคต รวมถึง ทหารภายใต้จอมทัพไทยและศาลที่กระทำการภายใต้พระปรมาภิไธย ตลอดจนผู้ที่มีบทบาทในบ้านเมือง รวมถึงประชาชนทั่วไป ได้ตัดสินใจที่จะทำหน้าที่ของตนเองและเลือกเดินทางของตัวเอง”
        กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก่อตั้งอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2549 ในการเคลื่อนไหว ”กู้ชาติ” คือการต่อต้านรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หลังจากการขายหุ้นชินคอร์ปให้กับเทมาเส็กสิงคโปร์ อันเป็นชนวนเหตุให้เกิดการต่อต้านรัฐบาลอย่างกว้างขวาง หลังจากนั้น กลุ่มพันธมิตรก็ประสบความสำเร็จในการสร้างเงื่อนไขให้เกิดการรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 ที่นำมาสู่การล้มรัฐบาลไทยรักไทย และนำไปสู่การยุบพรรค ต่อมา เมื่อ ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ฟื้นตัวมาในนามพรรคพลังประชาชน และสามารถจัดตั้งรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.2552 กลุ่มพันธมิตรก็ใช้เรื่องเขาพระวิหารมาเป็นข้ออ้างปลุกชาตินิยม และชุมนุมต่อต้านรัฐบาลตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม ปีเดียวกัน และการชุมนุมยืดเยื้อไปจนถึงวันที่ 3 ธันวาคม ซึ่งเป็นเวลาถึง 193 วัน และในระหว่างการชุมนุมฝ่ายพันธมิตรก็ได้เข้ายึดทำเนียบรัฐบาล และยึดสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ซึ่งความเสียหายอย่างมหาศาลแก่ประเทศชาติ สัญลักษณ์ในการต่อสู้ของฝ่ายพันธมิตรคือการใช้เสื้อเหลือง และผ้าพันคอสีฟ้า เพื่ออ้างว่าเป็นการเคลื่อนไหวด้วยความจงรักภักดี เพื่อจะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ การเคลื่อนไหวครั้งนั้นประสบความสำเร็จในการสร้างเงื่อนไขให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคพลังประชาชนและเปิดทางให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตั้งรัฐบาล
        ต่อมา ในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2554 กลุ่มพันธมิตรเคลื่อนไหวครั้งสุดท้าย คือการชุมนุม 158 วัน เพื่อคัดค้านรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ การชุมนุมยืดเยื้อมาถึงช่วงก่อนการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 3 กรกฎาคม ปีเดียวกัน ซึ่งลงท้ายด้วยการรณรงค์โหวตโน และยุติการชุมนุมลงก่อนเลือกตั้ง 1 วัน ในครั้งนี้การเคลื่อนไหวของฝ่ายพันธมิตรไม่บรรลุผลแต่อย่างใด และผลการเลือกตั้งนำมาสู่ชัยชนะของพรรคเพื่อไทย โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งตั้งรัฐบาลบริหารประเทศมาถึงปัจจุบัน และภายใต้การบริหารของรัฐบาลนี้  ฝ่ายพันธมิตรยังไม่ได้มีการเคลื่อนไหวจริงจังเลย การชุมนุมต่อต้านรัฐบาลที่เกิดขึ้นโดยมากเป็นผลงานของกลุ่ม 13 สยามไท ที่นำโดย พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน และ นายชัยวัฒน์ สินสุวงศ์ หรือกลุ่มอื่นที่ค่อนข้างแตกแยกกับฝ่ายพันธมิตรด้วยซ้ำ จึงกล่าวได้ว่า ฝ่ายพันธมิตรได้ยุติบทบาทมาแล้วนานกว่า 2 ปี การประกาศยุติบทบาทจึงเป็นเพียงการยืนยันสิ่งที่เป็นไปแล้วของฝ่ายพันธมิตรนั่นเอง และจึงคาดหมายได้ว่า การยุติบทบาทของแกนนำฝ่ายพันธมิตรจะไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร เพราะความจริง
        ประเด็นสำคัญคือ แกนนำฝ่ายพันธมิตรประเมินแล้วว่า การเคลื่อนไหวทางการเมืองในลักษณะเดิมคงจะไม่บรรลุ มีความเป็นไปได้ว่า ถ้าหากฝ่ายพันธมิตรเรียกชุมนุมเพื่อต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในขณะนี้ ก็น่าไม่มีผู้มาร่วมมากนัก จำนวนผู้ชุมนุมคงอยู่ในระดับเดียวกับกลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณที่ชุมนุมกันอยู่ที่สวนลุมพินีขณะนี้ ซึ่งไม่ก่อให้เกิดผลทางการเมืองอันใดเลย ด้วยการคาดการณ์มวลชนสนับสนุนเพียงจำนวนนี้ การล้มเลิกหรือยุติบทบาทจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพื่อรักษาภาพแห่งความสำเร็จในอดีตเอาไว้
          ดังนั้น ประเด็นที่น่าสนใจขณะนี้ก็คือ สาเหตุอะไรที่ทำให้การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลือง กลุ่มสลิ่ม หน้ากากขาว และกลุ่มอื่นที่มีลักษณะเดียวกันไม่ประสบความสำเร็จ และมีคนเข้าร่วมน้อยลงทุกที
        คำตอบสำคัญของเรื่องนี้ คือการล่มสลายของอุดมการณ์ฝ่ายขวาของฝ่ายพันธมิตรและพวกเหลืองสลิ่ม ที่ประการแรกสุด ใช้วิธีการผูกขาดการอ้างความภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นพวกล้มเจ้า ไม่จงรักภักดี ประการต่อมา คือ ข้ออ้างเรื่องชาตินิยม ปกป้องเขาพระวิหารและสร้างความเกลียดชังเพื่อนบ้าน ปรากฏว่าในระยะ 5 ปีที่ผ่านมากลุ่มนักวิชาการจำนวนมากก็ต่อต้านคัดค้าน ประชาชนส่วนใหญ่ก็ไม่สนับสนุน  ข้ออ้างลักษณะนี้เสื่อมความนิยมลงทุกที ไม่สามารถสร้างนำมาสร้างกระแสการเมืองอย่างมีประสิทธิภาพได้
         แต่ประเด็นที่เหลวไหลมากกว่านั้น ก็คือ การต่อต้านประชาธิปไตยและการเลือกตั้ง เพราะในแนวคิดของกลุ่มฝ่ายขวาเหล่านี้เห็นว่า การเลือกตั้งจะนำมาสู่ชัยชนะของพรรคการเมืองฝ่ายทักษิณ ระบอบประชาธิปไตยจึงไม่ใช่ระบอบที่ดี เพราะประชาชนขาดความรู้ จึงเลือกพรรคการเมืองที่ทุจริตมาบริหารประเทศ และใช้เสียงข้างมากมาทำการเผด็จการรัฐสภา กลุ่มฝ่ายขวาเหล่านี้จึงปฏิเสธระบอบรัฐสภา ฝ่ายพันธมิตรไปไกลกว่านั้น โดยการปฏิเสธพรรคประชาธิปัตย์ด้วย การเมืองแบบเลือกตั้งจึงไม่อาจให้ความหวังอันใดได้ แต่ปัญหาก็คือฝ่ายพันธมิตรก็ไม่ประสบความสำเร็จในการนำเสนอระบอบการเมืองใหม่ที่จะมีหลักประกันว่าจะมี”คนดี”มาบริหารบ้านเมือง ข้อเสนอให้ทหารก่อการรัฐประหาร แล้วตั้งรัฐบาลพระราชทาน หรือรัฐบาลที่กำกับโดยศาล คงไม่อาจจะสร้างการยอมรับได้
         อาจจะสรุปได้ว่า จุดจบของฝ่ายพันธมิตรคือการตกต่ำของอุดมการณ์ชาตินิยม และข้ออ้างเรื่องปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และยังสะท้อนความเสื่อมถอยของอุดมการณ์ต่อต้านประชาธิปไตย เงื่อนไขเหล่านี้ จะนำไปสู่เสถียรภาพที่มากยิ่งขึ้นของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร การเคลื่อนไหวของฝ่ายสลิ่มที่เหลืออยู่ เป็นเพียงพวกแมลงหวี่แมลงวันที่ไม่อาจสร้างผลสะเทือนอะไรได้เลย
 หมายเหตุ : เผยแพร่ครั้งแรก โลกวันนี้วันสุข ฉบับที่ 427 31 สิงหาคม 2556

วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ศาลฎีกาสั่งจำคุก 3 ปี ม.112 กรณีเผาโลงศพติดรูป พล.อ.เปรม

ศาลฎีกาสั่งจำคุก 3 ปี ม.112 กรณีเผาโลงศพติดรูป พล.อ.เปรม

ศาลฎีกาสั่งจำคุก 3 ปี ม.112 กรณีเผาโลงศพติดรูป พล.อ.เปรม


ศาลฎีกามีคำพิพากษายืนกรณี "ปภัสชนัญญ์ ฉิ่งอินทร์" เผาโลงประท้วง พล.อ.เปรม และอภิสิทธิ์ ที่โคราชเมื่อปี 52 ว่ามีความผิด ม.112 เนื่องจากข้อความที่เขียนหมายถึงพระมหากษัตริย์ไม่ใช่ พล.อ.เปรม ด้านเจ้าตัวยืนยันจงรักภักดีไม่เสื่อมคลาย พร้อมฝากคนเสื้อแดงสานต่อนิรโทษกรรมผู้ถูกจองจำและนำทักษิณกลับประเทศไทยให้ได้
เว็บไซต์ข่าวสด รายงานเมื่อวันที่ 29 ส.ค. ว่า ศาลจังหวัดนครราชสีมา อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา คดีที่พนักงานอัยการจังหวัดนครราชสีมา เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ปภัสชนัญญ์ ฉิ่งอินทร์ หรือเจ๊แดง อายุ 64 ปี แกนนำกลุ่มคนของแผ่นดินลูกหลานย่าโม และเป็นเจ้าของสถานีวิทยุชุมชนคนเสื้อแดงออกอากาศในเขต อ.เมือง จ.นครราชสีมา และอำเภอใกล้เคียง จำเลยความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้จำคุกเป็นเวลา 3 ปี 10 วัน
ผู้สื่อข่าวประชาไท รายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 เม.ย. เมื่อ น.ส.ปภัสชนัญญ์ ได้ชุมนุมที่อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี มีการประท้วงด้วยการเผาโลงศพจำลองติดรูปนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ พร้อมเขียนข้อความประท้วง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และรัฐบาล
โดยการประท้วงดังกล่าวยังเป็นการล้อเลียนกรณีที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เรียก พล.อ.เปรมว่า "พระองค์ท่าน" โดยได้พูดออกอากาศในสถานีโทรทัศน์ ASTV เมื่อคืนวันที่ 3 เม.ย. ว่า "เสื้อเหลืองออกมาปกป้อง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ในฐานะที่พระองค์ท่านเป็นประธานองคมนตรี"(คลิปการพูดออกอากาศของนายสนธิ)
สำหรับคดีนี้ผู้ฟ้องจำเลยคือ ผู้สนับสนุนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จ.นครราชสีมา และ พ.อ.วีระภัทรพล บุญย์เชี่ยว นายทหารเสนาธิการประจำกองทัพภาคที่ 2 ค่ายสุรนารี จ.นครราชสีมา ซึ่งเห็นว่าข้างโลงศพที่ใช้เผาประท้วงมีการเขียนข้อความเข้าข่ายความผิดมาตรา 112
สำหรับคดีนี้ในชั้นพิจารณาคดีจำเลยให้การปฏิเสธ ต่อมาเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 53 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่าการที่จำเลยนำโลงศพจำลอง มีข้อความบนสุดว่า “พระองค์ท่าน ...” บรรทัดต่อมามีข้อความว่า “พลเอกเปรม ...” และ บรรทัดต่อมาคำว่า “มรณะ 8 เมษายน 2552” จำเลยอยู่ร่วมในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง เป็นผู้เทน้ำมันและจุดไฟเผาโลงศพจำลอง ซึ่งมีข้อความดังกล่าวปรากฏอยู่ในนั้น คำว่า “พระองค์ท่าน” นั้น หมายความถึงพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่เคารพสูงสุดของบุคคลทั่วไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันกับพวกหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ประกอบมาตรา 83 ลงโทษจำคุก 3 ปี (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง) และต่อมาศาลอุทกรณ์ และศาลฎีกา ก็มีคำพิพากษายืนดังกล่าว
โดยหลังคำพิพากษา น.ส.ปภัสชนัญญ์ ให้สัมภาษณ์ ข่าวสดก่อนเข้าถูกส่งตัวไปคุมขังในเรือนจำว่า แม้กระบวนการยุติธรรมจะถึงที่สุด แต่ก็ยังยืนยันถึงความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มิเคยเสื่อมคลาย ขอฝากถึงมวลชนคนเสื้อแดงต้องร่วมพลังสานต่อแนวทางประชาธิปไตยด้วยการต่อต้านเผด็จการ และนำ พาพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับประเทศไทย ส่วนแกนนำเสื้อแดงส่วนกลางต้องช่วยเหลือมวลชนที่ถูกจองจำ พร้อมเร่งผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว

http://narater2010.blogspot.com/

มติ 4 ใน 5 เลือก ‘ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ’ เป็นตุลาการศาล รธน.คนใหม่

มติ 4 ใน 5 เลือก ‘ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ’ เป็นตุลาการศาล รธน.คนใหม่
มติ 4 ใน 5 เลือก ‘ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ’ เป็นตุลาการศาล รธน.คนใหม่
คณะกรรมการสรรหาฯ มีมติ 4 ใน 5 เสียง เลือก ‘ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ’ แกนนำกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ เป็นตุลาการศาล รธน.ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ แทน ‘วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์’ หลังถกร่วม 4 ชั่วโมง ลงมติ 8 ครั้ง
 
 
วันที่ 29 ส.ค.56 เมื่อเวลา 13.30 น.ที่ห้องรับรองพิเศษ อาคารรัฐสภา ที่ประชุมกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้มีการประชุมครั้งที่ 2 เพื่อพิจารณาสรรหาบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แทนนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ที่ลาออกไป โดยมีนายไพโรจน์ วายุภาพ ประธานศาลฎีกา เป็นประธาน และมีกรรมการ 4 คน ประกอบด้วย นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน และนางผาณิต นิติทัณฑ์ประภาศ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน
 
ที่ประชุมคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมงครึ่ง ในที่สุดก็ได้ลงมติเลือก นายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ ศาสตราจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ มาดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ ด้วยคะแนนเสียง 4 ต่อ 1 ซึ่งไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ โดยขั้นตอนจากนี้ไปจะนำชื่อเสนอต่อที่ประชุมวุฒิสภาให้ความเห็นชอบต่อไป ทั้งนี้ ที่ประชุมต้องคัดเลือกถึง 8 รอบ โดยการคัดเลือกในรอบ 4 ขึ้นไปรายชื่อจึงเริ่มตรงกัน
 
สำหรับนายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ ศาสตราจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อายุ 60 ปี แกนนำกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์
 
วุฒิการศีกษา: ประถมศึกษาปีที่ 1 - มัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย นิติศาสตร์บัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับสอง) และนิติศาสตร์มหาบัณฑิต (สาขาอาญา) จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, เนติบัณฑิตไทย, Master of Law (LL.M., University of Pennsylvania) ประกาศนียบัตรการศึกษาชั้นสูงทางกฎหมายอาญา (D.E.A. de sciences criminelles) และปริญญาเอกเกียรตินิยมทางกฎหมายอาญา (Doctorat en droit pe′nal mention tre′s honorable, I′Universite de Nancy II)
 
ทั้งนี้ การประชุมใช้วิธีการลงมติลับเพื่อเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญคนใหม่ จากรายชื่อผู้สมัครรวมทั้งสิ้น 9 คน คือ นายถาวร พานิชพันธ์ รองอัยการสูงสุด นายบรรเจิด สิงคะเนติ คณบดีคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ที่เป็นอดีตกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) นางศุภลักษณ์ พินิจภูวดล ศาสตราจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ ศาสตราจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์
 
นางเปรมใจ กิตติคุณไพโรจน์ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา นายไพรัช เกิดศิริ ผู้พิพากษาอาวุโส ศาลเยาวชนและครอบครัว จังหวัดภูเก็ต พล.อ.สถาพร เกียรติภิญโญ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ อดีตหัวหน้าสำนักตุลาการทหารและตุลาการพระธรรมนูญ หัวหน้าศาลทหารสูงสุด นายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ประธานแผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกา และนายพรเพชร วิชิตชลชัย ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา หลังมีการเปิดรับสมัครกันไปเมื่อ 6-13 ส.ค.ที่ผ่านมา
 
อนึ่ง คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้ เข้าดำรงเมื่อวันที่ 28 พ.ค.51 มีวาระการดำรงตำแหน่งรวม 9 ปี โดย นายชัช ชลวร เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ และเมื่อนายชัชลาออกจากการเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ ที่ประชุมคณะตุลาการฯเมื่อวันที่ 24 ส.ค.54 มีมติเป็นเอกฉันท์ เลือกนายวสันต์ ให้ดำรงตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญ โดยนายวสันต์ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 26 ต.ค.2554
 
เมื่อนายวสันต์ลาออกจากการเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.56 ทางประธานวุฒิสภาก็จะต้องจัดให้มีการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญใหม่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 206 ให้แล้วเสร็จภายใน 30 วันนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่ง โดยจะต้องเป็นการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจากสายผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญทางด้านนิติศาสตร์ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 210(3) เนื่องจากนายวสันต์ได้รับการสรรหามาจากสายดังกล่าว

 
http://narater2010.blogspot.com/

"ณัฐวุฒิ" FB เผย ไทยต้นคิดถนนยางพารา ติงประชาธิปัตย์ลอกงานรัฐบาล


"ณัฐวุฒิ" FB เผย ไทยต้นคิดถนนยางพารา ติงประชาธิปัตย์ลอกงานรัฐบาล


          29 สิงหาคม 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซท์ InsideThaiGOV ได้เผยแพร่ ข้อความของ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้รัฐบาลกระตุ้นการใช้ยางพาราภายในประเทศ โดยเฉพาะการนำยางพารามาทำถนนลาดยางว่า “ปชป.เรียกร้องขึงขังให้รัฐบาลเอายางพารามาทำถนน...ก็ผมนี่แหละเป็นคนผลักดันเรื่องนี้คนแรก ปชป.เป็นรัฐบาลมากี่รอบกี่ปีไม่เคยเห็นทำ ผมอนุมัติงบไว้ 85 ล้านบาท ไปดูพื้นที่แล้วที่ต.กรุงหยัน อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีฯ หลังปรับครม.มีการเปลี่ยนแปลงพื้นที่เลยยังไม่ได้เริ่มก่อสร้าง งบประมาณเดิมยังอยู่ล่าสุดนายกฯสั่งการให้เร่งเดินหน้าแล้ว ฮั่นแน่ะ! ลอกความคิดเขาแล้วยังมาขู่เขาอีก น่ากลัวเชียว"

        จากนั้นนายณัฐวุฒิ ยังโพสต์ข้อความโดยอ้างอิงสกู๊ปข่าวจากเว็บไซด์มติชนออนไลน์ เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2555 เรื่อง “ถนนนี้-ไม่ธรรมดา ถนน"ยางพารา"แข็งแรงทนทานมากกว่าถนนลาดยางมะตอย” ดังนี้

         "ถนนยางพารา" สายแรกของประเทศไทย ที่กำลังพูดถึงกันในขณะนี้ เป็นไอเดีย ของ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ต้องการยกระดับและกระตุ้นราคายางพาราในประเทศ

        วิธีการหนึ่ง คือการใช้ยางพาราแทนยางมะตอย หรือเป็นส่วนผสมหลักในการปูผิวถนน

        ณัฐวุฒิเผยว่า จะใช้ถนนหมู่ที่ 2 ต.เขาขาว อ.ทุ่งสง ตัดผ่านพื้นที่ขององค์การสวนยาง ต.กรุงหยัน อ.ทุ่งใหญ่ ไปบรรจบถนนสายบ้านคอกช้าง ต.บางขัน อ.บางขัน จ.นครศรีธรรมราช ระยะทาง 19 กิโลเมตร นำร่อง

         ใช้งบประมาณจากกรมวิชาการเกษตร 85.5 ล้านบาท และขอให้กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท มาร่วมในขั้นตอนการก่อสร้าง คาดว่าน่าจะก่อสร้างเสร็จภายใน 3-4 เดือน

        หลังสร้างถนนเสร็จณัฐวุฒิบอกว่าจะจัดงาน World Rubber Expo บนถนนสายนี้ เพื่อแสดงผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติที่มาจากงานวิจัย และจากผู้ประกอบการ พร้อมเชิญชวนผู้ประกอบการ และนักลงทุนจากทั่วโลกมาร่วมงาน  ตั้งเป้าให้เป็นเวทีเจรจาธุรกิจยางพาราที่มีกลุ่มผู้ประกอบการจากทั่วโลกในประเทศที่เกี่ยวข้องมาพบกัน คาดว่าจะเริ่มจัดงานได้ในปีหน้า

       พลันที่ไอเดียถนนยางพาราแพร่ออกไป ก็มีเสียงขานรับจากชาวนครศรีธรรมราช อาทิ สมเกียรติ ชนะศรี ชาว ต.เขาขาว อ.ทุ่งสง อาชีพรับจ้างกรีดยางพารา เล่าว่า ใช้ถนนสายนี้มานานกว่า 30 ปี รับจ้าง กรีดยางให้กับองค์การสวนยาง

        จากวันนั้นถึงวันนี้ถนนสายนี้ยังเหมือนเดิม ลำบากมากเวลาหน้าฝน ลูกๆ ไปโรงเรียนก็ลำบาก ได้ข่าวว่าจะสร้างถนนรู้สึกดีใจ เพราะเท่าที่ทราบ ทางองค์การสวนยางก็ขอรัฐบาลมาหลายสมัยแล้วแต่ไม่เคยได้

        ขณะที่ วิรัตน์ เพชรเกลี้ยง พนักงานองค์การสวนยางกรุงหยัน กล่าวว่า อยู่ในพื้นที่นี้มาหลายปี ตั้งแต่เกิด หลับตาเดินรู้เลยว่าเป็นแบบไหน รู้สึกดีใจหากมีการสร้างถนนสายนี้จริงๆ จะทำให้เส้นทางการคมนาคมสะดวกมากยิ่งขึ้น การขนส่งสินค้าทางการเกษตรจะดีขึ้น

       คนที่ใช้เส้นทางนี้มีหลากหลายอาชีพ พอฝนตกน้ำท่วมถนนก็จะพังต้องตั้งงบประมาณขึ้นมาซ่อมแซม เมื่อปีที่แล้วน้ำท่วมถนนตั้งงบซ่อมยังไม่แล้วเสร็จน้ำท่วมถนนพังหมดอีก
คือเสียงสะท้อนอยากได้ถนนดีๆ ไว้สัญจรและไม่ต้องซ่อมบ่อยๆ  ถนนยางพาราน่าจะตอบโจทย์ความต้องการได้ เพราะ "ยุทธ" ผู้รับเหมาทำถนนในภาคใต้มีคำตอบให้ว่า ถนนสายนี้ อาจจะดำเนินการก่อสร้างโดยใช้ยางข้นอัตรา 5% กับยางมะตอยแบบผสมร้อนแล้วนำไปราด ถนนที่ราดด้วยยางมะตอยผสมยางพารา จะมีความแข็งแรงทนทานมากกว่าถนนราดยางมะตอยธรรมดาและยังทนต่อการเกิดร่องล้อได้ดีกว่าถนนที่ได้จากการใช้ยางมะตอยปกติ 2.9 เท่า ภาคใต้ดูเหมือนว่าจะมีการทดลองก่อสร้างแล้ว ในถนนสาย อ.หาดใหญ่-อ.เมืองสงขลา

        "การราดถนนแบบผสมร้อน ผมได้เข้ารับการอบรมและศึกษาข้อมูลจากสถาบันวิจัยยาง พบว่า ถนนตามมาตรฐานซึ่งมีความหนา 5 หรือ 8 เซนติเมตร ใช้ยางพารา อัตรา 5% ของยางมะตอย จะใช้ปริมาณเนื้อยางแห้ง (ยางพารา) 0.305 กิโลกรัม/ตารางเมตร หรือประมาณ 2,745 กิโลกรัมต่อถนนขนาดสองช่องทางในระยะทาง 1 กิโลเมตร"

       "แม้ค่าใช้จ่ายรวมจะเพิ่มขึ้นจากเดิม 10-17% ตามราคาของยางพารา แต่ความแข็งแรงทนทานของถนนที่มีอายุการใช้งานนานขึ้น ถือว่าคุ้มค่าการลงทุน คาดว่าจะสามารถช่วยประหยัดงบประมาณภาครัฐในการซ่อมแซมถนนได้ปีละหลายพันล้านบาท" ยุทธอธิบายถึงความคงทนเชิงวิชาการของยางพาราผสมยางมะตอย

        ขณะที่ สุวิทย์ รัตนพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงานตลาดกลางยางพารานครศรีธรรมราช ยืนยันจากประสบการณ์จริงว่า ใช้ยางพาราราดถนนหน้าสำนักงาน เพราะแต่ละวันจะมีรถเข้าออกนำยางพาราแผ่นมาขาย พ่อค้ายางก็มารับซื้อ ทั้งยางแผ่น ยางสด  จึงต้องมีถนนที่ทำเป็นพิเศษ เพื่อรองรับน้ำหนักรถทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ได้ การลงทุนทำถนนแบบนี้คุ้มมากๆ เพราะมีความเหนียวแน่น และรองรับน้ำหนักเป็นอย่างดี "เพราะในน้ำยางสดจะมีน้ำผสมอยู่ด้วย 65% ยางธรรมชาติ มีคุณสมบัติที่ดี คือมีความคงตัวสูง ความยืดหยุ่นดี และทนความล้าดี ดังนั้น การใช้ยางพาราผสมกับยางมะตอยเพื่อใช้ราดถนน สามารถช่วยปรับปรุงคุณสมบัติยางมะตอยให้ดีขึ้นได้ สามารถยืดอายุการใช้งานของถนนได้นานขึ้น" สุวิทย์กล่าว
และยังระบุว่า ในต่างประเทศก็ใช้อย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็น เนเธอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ อินเดีย มาเลเซีย และออสเตรเลีย

        ในอนาคตหากมีการใช้ยางพาราผสมยางมะตอยราดถนนเพิ่มมากขึ้น นอกจากทำให้ถนนมีความทนทานมากขึ้นและอายุการใช้งานยาวนานขึ้นแล้ว ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงรักษาถนนได้ค่อนข้างมาก และเป็นแนวทางเพิ่มปริมาณการใช้ยางธรรมชาติภายในประเทศมากขึ้น นั่นคือความเห็นจากสุวิทย์ เป็นอีกเสียงที่สะท้อนถึงผลดีของการใช้ยางพาราทำถนน

       เทคนิคที่จะใช้กับถนนยางพาราสายแรก จะเป็นอย่างไร ต้องติดตาม นอกจากจะส่งผลต่อราคาและความต้องการใช้ยางแล้ว เป็นนวัตกรรมใหม่ ที่ใครๆ คงอยากนำรถไปซิ่งสัมผัสด้วยตนเองว่า จะนิ่มนวลแข็งแรงขนาดไหน