วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554


ข่าวประหลาดไม่มีสื่อกระแสหลักนำเสนอข่าวไก่อูรับสิ้นไส้ผังล้มเจ้ามั่ว
ผิดกับตอนเปิดข่าวอึกทึกคึกโครม

ผังล้มเจ้า-เป็นเอกสารที่ ศอฉ เคยแถลงข่าว(ดูรายละเอียดข่าว) และสื่อนำไปขยายผล จนเป็นเหตุอ้างในการสังหารผู้ชุมนุมกว่า 92 ศพเมื่อปีกลาย เพราะถูกทำให้เชื่อว่าเป็นพวกล้มเจ้า แม้แต่ตอนนี้ธาริตDSIยังนำมาออกหมายเรียก19แกนนำ นปช. แต่พอสรรเสริญ แก้วกำเนิดสารภาพกลางศาลว่าเชื่อมโยงมั่วๆแล้วสื่อขยายความขยายผลไปเอง ปรากฎว่าไม่มีสื่อกระแสหลักนำเสนอข่าวนี้เลย นี่เป็นความเงียบอันอึกทึกครึกโครมอีกครั้งของวงการสื่อไทย


โดยทีมข่าวไทยอีนิวส์
26 พฤษภาคม 2554


ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯได้ถอนฟ้องคดี"ผังขบวนการล้มเจ้า"ต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และพ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด แล้ว หลังจากพ.อ.สรรเสริญได้แถลงยอมรับต่อศาลว่า ผังขบวนการล้มเจ้าเป็นแค่การโยงบุคคลต่างๆ ว่าแต่ละคนเกี่ยวข้องกันในฐานะอะไร เช่น เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในฐานะญาติพี่น้อง เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในฐานะผู้ทำธุรกิจร่วมกันอย่างนี้เป็นต้น มิได้แถลงเลยว่า บุคคลทั้งปวงเหล่านั้นมีความสัมพันธ์ในฐานะที่เป็นผู้อยู่ในขบวนการ และมิได้ให้หมายความเช่นนั้น

ที่น่าประหลาดใจคือไม่มีสื่อกระแสหลักนำเสนอข่าวนี้เลย ทั้งที่ตอน ศอฉ แถลงข่าวผังขบวนการล้มเจ้ามีการนำเสนอย่างคึกโครม

นายประเวศ ประภานุกูล ทนายความดร.สุธาชัยในคดีนี้เปิดเผยว่า คดีนี้ดร.สุธาชัยได้ถอนฟ้องตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2554 ที่ผ่านมา แต่เหตุที่เพิ่งมาแถลงข่าวเมื่อวานนี้ ก็เพราะเพิ่งได้สำเนารายงานกระบวนพิจารณาฉบับจริง(รับรองสำเนาถูกต้องโดยศาลอาญา)ซึ่งในที่ประชุมแถลงข่าวก็มีสื่อมวลชนทั้งโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์จำนวนมากมาทำข่าว"ส่วนว่าทำไมสื่อไม่นำเสนอข่าวนี้เลย ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน อาจเป็นเพราะดร.สุธาชัยตอกกลับ ศอฉ แรง และตอนนั้นสื่อก็นำไปขยายผลอย่างคึกโครมหรือเปล่าก็ไม่ทราบ"

อย่างไรก็ตามมีปัญหาตามมาว่าการที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีDSIออกหมายเรียก19แกนนำนปช.มามอบตัวในวันที่ 2 มิถุนายน โดยอ้างอิงจาก"แผนผังขบวนการล้มเจ้าของศอฉ."นั้น จะมีผลอย่างไร ในเมื่อศอฉ.ที่เป็นต้นเหตุบอกว่า โยงไปให้คนคิดเอง แถมคนเอาผังล้มเจ้าไปขยายผลแบบนายธาริตก็ต้องรับผลกรรมจากการถูกดำเนินคดีเองด้วย








ดร.สุธาชัยได้ถอนฟ้องจำเลยทั้งสาม ภายหลังจากพ.อ.สรรเสริญ ในฐานะจำเลยที่สาม ได้แถลงต่อศาล ดังนี้

"ประการที่หนึ่ง ศอฉ ในขณะนั้นเชื่อมั่นว่ามีขบวนการที่จ้องจะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์จริง

ประการที่สอง ในช่วงเวลานั้น มีข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอินเตอร์เน็ตกล่าวหาในลักษณะทำนองว่า ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ซึ่งเป็นราชเลขาธิการในพระองค์ของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ โทรศัพท์มาสั่งการศอฉ อยู่ตลอดเวลา ให้ดำเนินการนานับประการกับกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งข้อเท็จจริงมิได้เป็นเช่น ซึ่งหมายความว่ามีความพยายามยามจะสร้างภาพให้สังคมเห็นว่า พระองค์ท่านมีส่วนเกี่ยวพันกับเรื่องการเมือง ซึ่งมิได้เป็นความจริง ศอฉ ก็มีความจำเป็นที่ต้องชี้แจงข้อมูลข่าวสารให้สีงคมได้รับทราบความจริงเป็นเช่นไร

นอกจากนั้นแล้ว ศอฉ ก็ได้ขยายความลงไปเพราะว่าทางราชการมีหน่วยงานทางด้านความมั่นคง ที่สำนักนายกรัฐมนตรีได้จัดตั้งขึ้น โดยมีหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องเป็นตัวขับเคลื่อน ซึ่งหน่วยงานด้านความมั่นคงก็มีการรวบรวมข้อมูลข่าวสารของขบวนการที่จ้องจะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด จึงได้นำข้อมูลทั้งหลายเหล่านี้มาประกอบเพื่อใช้ในการชี้แจงทำความเข้าใจกับสังคม

ประการที่สาม ในช่วงเวลาเช้าของวันเกิดเหตุ ข้าฯได้มีการแถลงข่าวให้สังคมรับทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่าไมม่เป็นความจริงตามข้อมูลที่พยายามกล่าวหาใส่ร้ายท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ โดยแถลงกำกับตอบไปด้วยว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการล้มเจ้านั้น ในขณะนั้นมีคุณดาตอร์ปิโด กับคุณจักรภพ เพ็ญแข ซึ่งทั้งสองคนนี้มีหมายจับไว้แล้ว ในช่วงเวลาเย็นเกิดจากการประชุมในช่วงบ่ายของศอฉ.ได้มติของศอฉ ที่ต้องการจะให้นำเสนอข้อมูลข่าวสารแก่สังคมเป็นลายลักษณ์อีกษรอีกทางหนึ่ง เพื่อให้สังคมพิจารณา

ข้าฯได้รับมอบหมายให้นำเอกสารเหล่านั้นไปแจกแก่สื่อมวลชน ซึ่งเอกสารที่ไปแจกนั้นมิได้หมายความว่าผู้ที่มีชื่อในเอกสารเป็นผู้เกี่ยวข้องในฐานะอยู่ในขบวนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เป็นความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ในลักษณะต่างๆ ซึ่งให้สังคมพิจารณาและวินิจฉัยเอาเอง ซึ่งมีรายละเอียดอยู่ในเอกสาร ว่าแต่ละคนเกี่ยวข้องกันในฐานะอะไร เช่น เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในฐานะญาติพี่น้อง เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในฐานะผู้ทำธุรกิจร่วมกันอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมิได้แถลงเลยว่า บุคคลทั้งปวงเหล่านั้นมีความสัมพันธ์ในฐานะที่เป็นผู้อยู่ในขบวนการ และมิได้ให้หมายความเช่นนั้น

แต่หลังจากนั้นมีสื่อมวลชนนำเรื่องราวต่างๆเหล่านี้ไปขยายผล ขยายความ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อผู้ที่เกี่ยวข้องในแผนผังดังกล่าว ทำให้ได้รับความเสียหายจากมุมมองของสังคม เพราะเป็นเรื่องที่สังคมจะต้องตัดสิน ส่วนผู้ที่ได้รับความเสียหายที่เกิดขึ้นจะฟ้องร้องกับผู้ที่นำไปขยายความในทางที่ผิดจากเจตนารมณ์ของศอฉ ก็สุดแล้วแต่บุคคลเหล่านั้นจะพิจารณา"

ทั้งนี้ศาลได้ดำเนินการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาท เมื่อโจทก์(ดร.สุธาชัย)รับฟังข้อเท็จจริงจากจำเลยที่สาม(พ.อ.สรรเสริญ)จึงไม่ติดใจที่จะดำเนินคดีต่อจำเลยทั้งสามอีกต่อไป จึงขอถอนฟ้องจำเลยที่สาม

ก่อนหน้านี้นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เคยให้สัมภาษณ์ว่าแผนผังดังกล่าวเป็นเรื่องที่คิดกันขึ้นสดๆในที่ประชุมศอฉ.ในตอนที่จะหาเหตุสลายการชุมนุมเสื้อแดงเมื่อเดือนพฤษภาคมปีกลายนั่นเอง และยังรู้สึกละอายใจที่กุเรื่องนี้ขึ้นมา

สื่อกระแสหลักเลือกเสนอข่าวมุมแก้ตัวของไก่อู

หลังจากไม่นำเสนอข่าวที่ไก่อูแถลงต่อศาล โดยไม่มีคำอธิบายใดๆ ต่อมาในวันที่ 26 พฤษภาคม สื่อกระแสหลักได้นำเสนอข่าวในมุมของการตอบโต้ข่าวจากพ.อ.สรรเสริญ เช่น ข่าวจากแนวหน้าออนไลน์ที่นำเสนอข่าวเรื่อง
“โฆษก ทบ.” ยันไม่เคยขอ“สุธาชัย” ให้ถอนฟ้อง“คดีล้มเจ้า” เผยเรื่องยังคา“ดีเอสไอ” โดยมีรายละเอียดข่าวดังต่อไปนี้

พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีที่ นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกมาแถลงถึงกรณีที่ศาลมีคำสั่งถอนฟ้องตนเองในข้อหาหมิ่นประมาท ที่ไปพูดถึง นายสุธาชัย อยู่ในขบวนการล้มเจ้า ซึ่งเกิดจากการที่ตนเองไปขอให้ถอนฟ้อง และเป็นฝ่ายขอยอมความนั้น ไม่เป็นความจริง และขอยืนยันว่า การออกมาชี้แจงครั้งนี้เป็นการพูดในฐานะส่วนตัวเพราะถูกพาดพิง จาก อ.สุธาชัย โดยไม่อยากอธิบายความให้มากนัก เพราะช่วงนี้ใกล้เลือกตั้งอาจถูกบางฝ่ายนำประเด็นไปเกี่ยวข้องกับการเมือง

โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า เนื้อหาที่ตนได้แถลงข่าวที่ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)นั้นเป็นแค่เพียงความเชื่อ ไม่มีข้อมูลหลักฐานนั้น ก็ไม่เป็นความจริง ซึ่งการไกล่เกลี่ย ตนได้อธิบายชี้แจงต่อหน้าศาล ต่อหน้า อ.สุธาชัย ทนายความของ อ.สุธาชัย ทนายความของตน และ นายทหารพระธรรมนูญว่า สิ่งที่นำมาเปิดเผย คือข้อมูลที่หน่วยงานด้านความมั่นคง ซึ่งตั้งขึ้นมาตั้งแต่สมัย นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี โดยออกเป็นคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี มีหลักฐาน พยาน ยืนยัน จึงได้มีการนำหลักฐาน เอกสารไปแถลงต่อสื่อมวลชน ขณะนี้เรื่องอยู่ในกระบวนการยุติธรรม กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) กำลังดำเนินการอยู่ จะบอกว่าเป็นความเชื่อของ ศอฉ.เฉยๆไม่มีพยานหลักฐาน คงไม่ใช่

พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า ตนได้สื่อสารว่า อ.สุธาชัย อยู่ในขบวนการนั้น ตนไม่ได้สื่อสาร ไม่ได้เอ่ยชื่อ และ รายชื่อที่อยู่ในผังก็ไม่มีคำเขียนอื่นใดว่า อาจารย์ได้ร่วมอยู่ในคณะของขบวนการ เมื่อไม่มีคำแถลงออกมาเป็นวาจา เมื่อไม่มีคำแถลงอยู่ในเอกสาร สังคมก็ต้องพิจารณาว่า บุคคลที่เกี่ยวข้องในผังมีการเกี่ยวข้องในลักษณะใดเป็นญาติพี่น้อง เป็นคนที่เคยรู้จัก เป็นคนที่ทำธุรกิจร่วมกันอย่างไร ซึ่งรายละเอียดมีอยู่ในผัง แล้วสังคมจะใช้ดุลยพินิจเองว่า ใครมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์อย่างไร การสื่อสารต่างกัน เรื่องนี้มีข้อกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้อง

“สิ่งที่ อาจารย์ สุธาชัย มาแถลงว่าโฆษก ศอฉ. พยายามที่จะติดต่อเพื่อขอให้ถอนฟ้อง ไม่เป็นความจริง เพราะการจะถอนฟ้อง การไกล่เกลี่ยของศาล ต้องเป็นความยินยอมของทั้งสองฝ่าย ผมไม่อยากวิเคราะห์ว่าที่เขาแถลงเช่นนี้เพราะอะไร แต่ช่วงนี้อยู่ในช่วงการเลือกตั้ง ถ้าอธิบายความมากไปกว่านี้ ก็จะถูกหยิบยกเอาไปตีความว่าเข้าข้างพรรคโน่นพรรคนี้ ผมกับอาจารย์ ไม่เคยติดต่อกันโดยตรง แต่ผ่านทางทนายความ และ ทหารพระธรรมนูญมาแจ้งว่า ทางศาลท่านนัดไกล่เกลี่ย ทางอ.สุธาชัย ก็เห็นพ้องให้ไกล่เกลี่ย ก็ไปพูดหน้าบัลลังก์ศาล ไม่ได้ยืนคุยกันสองคนโดยไม่มีมนุษย์ที่ไหนฟัง”พ.อ.สรรเสริญ ระบุ

แผนผังล้มเจ้าธาริตนำมาเป็นเครื่องมือออกหมายเรียก19แกนนำนปช.

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอได้นำผังล้มเจ้ามาออกหมายเรียก 19 แกนนำนปช.เข้ารายงานตัวและขู่จับขังคุก หากเป็นไปตามที่พ.อ.สรรเสริญแถลงว่า ส่วนผู้ที่ได้รับความเสียหายที่เกิดขึ้นจะฟ้องร้องกับผู้ที่นำไปขยายความในทางที่ผิดจากเจตนารมณ์ของศอฉ ก็สุดแล้วแต่บุคคลเหล่านั้นจะพิจารณา งานนี้นายธาริตน่าจะเจองานเข้าอย่างหนักในลำดับต่อไป


อย่างไรก็ตาม นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดี ดีเอสไอ แถลงเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา ว่า มีมิติให้ดีเอสไอดำเนินคดีความผิดต่อความมั่นคงว่าด้วยการล่วงละเมิดสถาบันฯ ตั้งแต่ปี 2553

การดำเนินคดีนี้ไม่ใช่การกระทำผิดเฉพาะตัวบุคคล แต่เป็นการกระทำความผิดในลักษณะเครือข่าย มีการแบ่งหน้าที่กันทำ มีทั้งฝ่ายตัวการร่วมฝ่ายผู้สนับสนุน ฝ่ายออกความคิดและฝ่ายให้เงินสนับสนุนให้มีการเปิดเว็บไซต์ เป็นลักษณะเครือข่ายที่เกี่ยวพันต่อเนื่องกันมาโดยตลอด ดีเอสไอมีความเห็นว่าความผิดในคดีล้มเจ้าเป็นความผิดคู่ขนานกับความผิดฐานก่อการร้าย ผู้กระทำความผิดทั้ง 2 คดี เป็นบุคคลกลุ่มเดียวกัน

ดังนั้นการกระทำความผิดล่วงละเมิดสถาบันฯ เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 54 จึงไม่ได้เป็นการกระทำความผิดเพียงคนเดียวของนายจตุพร พรพันธุ์ หรืออีก 3 คน ที่ขึ้นพูดบนเวทีปราศรัย แต่ได้พิจารณาเห็นว่ามีผู้ที่เข้าข่ายเกี่ยวข้องไม่เป็นตัวการร่วม หรือเป็นผู้สนับสนุนในความผิด 2 ฐานหลักคือความผิดยุยงปลุกปั่นตามมาตรา 116 และการล่วงละเมิดสถาบันฯ ตามมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา จากพฤติการณ์ดังกล่าว เบื้องต้นมีความผิดเพียงพอที่ดีเอสไอจะแจ้งข้อกล่าวหาคดีล้มเจ้ากับผู้ต้องหา 19 คน โดยทั้ง 19 คน อยู่ในแผนผังตามที่ ศอฉ.ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดีเอสไอดำเนินคดีก่อนหน้านี้

อธิบดีดีเอสไอ กล่าวอีกว่า สำหรับกำหนดตารางกันการทำงานของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ จะเริ่มจากวันจันทร์ ที่ 23 พ.ค. ดีเอสไอจะออกหมายเรียกส่งจดหมายไปยังทั้ง 19 คน เพื่อให้มารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 2 มิ.ย.54 เวลา 09.00 น.ที่สำนักคดีอาญาพิเศษ ดีเอสไอ ชั้น 8 ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียติ อาคารบี

สำหรับรายชื่อ แกนนำ นปช.และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ถูกดีเอสไอออกหมายเรียกดำเนินคดีล้มเจ้าทั้ง 19 คน ประกอบด้วย นายจตุพร พรหมพันธุ์ นพ.เหวง โตจิราการ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายก่อแก้ว พิกุลทอง นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ นายการุณ โหสกุล นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ นายชินวัฒน์ หาบุญพาด นายวิเชียร ขาวขำ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือ แรมโบ้อีสาน นายขวัญชัย สาราคำ หรือ ไพรพนา นายนิสิต สินธุไพร จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ นายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ์ นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ นายสมชาย หรือพิพัฒน์ชัย ไพบูลย์ และนายพายัพ ปั้นเกตุ ที่ถูกเพิ่มชื่อเข้ามาล่าสุด

******
เรื่องเกี่ยวเนื่อง

-ข่าวคึกโครมระดับโลกที่เงียบเชียบในสื่อไทย วิกิลีกส์ตีแผ่อีกเปรม-อานันท์ปูดข้อมูลลับระดับสูงสู่ทูตสหรัฐ 

-รวมฮิตลากไส้สื่อเหี้ย เชิญโหลดกระจาย 

-จารึกไว้ใต้ZONE TEEN:วัยรุ่นกรี๊ดสรรเสริญ 

-ดีเอสไอเรียก 19 นปช.แจ้งข้อหาคดีล้มเจ้า 2 มิ.ย.นี้

-แผนผังล้มเจ้าระเบิดเวลาโค่นเพื่อไทย
http://redusala.blogspot.com

โกหก ตอแหล นี่หรือ นิสัยชายชาติทหาร ไทย

ไก่อูรับสิ้นไส้กลางศาลผังล้มเจ้ามั่วทั้งดุ้น
โยนบาปสื่อหรือใครนำไปขยายผลก็ซวย พ่นพิษธาริตงานเข้า
คำแถลงต่อศาลของพ.อ.สรรเสริญ:ข้าฯได้รับมอบหมายให้นำเอกสารเหล่านั้นไปแจกแก่สื่อมวลชนซึ่งเอกสารที่ไปแจกนั้นมิได้หมายความว่าผู้ที่มีชื่อในเอกสารเป็นผู้เกี่ยวข้องในฐานะอยู่ในขบวนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เป็นความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ในลักษณะต่างๆ ซึ่งให้สังคมพิจารณาและวินิจฉัยเอาเอง ซึ่งมีรายละเอียดอยู่ในเอกสาร ว่าแต่ละคนเกี่ยวข้องกันในฐานะอะไร เช่น เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในฐานะญาติพี่น้อง เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในฐานะผู้ทำธุรกิจร่วมกันอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมิได้แถลงเลยว่า บุคคลทั้งปวงเหล่านั้นมีความสัมพันธ์ในฐานะที่เป็นผู้อยู่ในขบวนการ และมิได้ให้หมายความเช่นนั้น

แต่หลังจากนั้นมีสื่อมวลชนนำเรื่องราวต่างๆเหล่านี้ไปขยายผล ขยายความ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อผู้ที่เกี่ยวข้องในแผนผังดังกล่าว ทำให้ได้รับความเสียหายจากมุมมองของสังคม เพราะเป็นเรื่องที่สังคมจะต้องตัดสิน ส่วนผู้ที่ได้รับความเสียหายที่เกิดขึ้นจะฟ้องร้องกับผู้ที่นำไปขยายความในทางที่ผิดจากเจตนารมณ์ของศอฉ ก็สุดแล้วแต่บุคคลเหล่านั้นจะพิจารณา(แฟ้มภาพ:ตอนที่สรรเสริญแถลงข่าวผังล้มเจ้า โดยมีธาริตนั่งติดกันตอนนี้ไก่อูสารภาพแล้วว่า ผังล้มเจ้ามั่ว แต่ธาริตยังนำมาเป็นเหตุจะจับ19แกนนำนปช.ยัดคุก)


โดยทีมข่าวไทยอีนิวส์
25 พฤษภาคม 2554


ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯได้ถอนฟ้องคดี"ผังขบวนการล้มเจ้า"ต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และพ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด แล้ว หลังจากพ.อ.สรรเสริญได้แถลงยอมรับต่อศาลว่า ผังขบวนการล้มเจ้าเป็นแค่การโยงบุคคลต่างๆ ว่าแต่ละคนเกี่ยวข้องกันในฐานะอะไร เช่น เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในฐานะญาติพี่น้อง เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในฐานะผู้ทำธุรกิจร่วมกันอย่างนี้เป็นต้น มิได้แถลงเลยว่า บุคคลทั้งปวงเหล่านั้นมีความสัมพันธ์ในฐานะที่เป็นผู้อยู่ในขบวนการ และมิได้ให้หมายความเช่นนั้น


อย่างไรก็ตามมีปัญหาตามมาว่าการที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีDSIออกหมายเรียก19แกนนำนปช.มามอบตัวในวันที่ 2 มิถุนายน โดยอ้างอิงจาก"แผนผังขบวนการล้มเจ้าของศอฉ."นั้น จะมีผลอย่างไร ในเมื่อศอฉ.ที่เป็นต้นเหตุบอกว่า โยงไปให้คนคิดเอง แถมคนเอาผังล้มเจ้าไปขยายผลแบบนายธาริตก็ต้องรับผลกรรมจากการถูกดำเนินคดีเองด้วย

คลิปข่าวพ.อ.สรรเสริญ โฆษก ศอฉ แถลงเรื่องผังล้มเจ้าเมื่อ 26 เมษายนปีกลาย







ดร.สุธาชัยได้ถอนฟ้องจำเลยทั้งสาม ภายหลังจากพ.อ.สรรเสริญ ในฐานะจำเลยที่สาม ได้แถลงต่อศาล ดังนี้

"ประการที่หนึ่ง ศอฉ ในขณะนั้นเชื่อมั่นว่ามีขบวนการที่จ้องจะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์จริง

ประการที่สอง ในช่วงเวลานั้น มีข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอินเตอร์เน็ตกล่าวหาในลักษณะทำนองว่า ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ซึ่งเป็นราชเลขาธิการในพระองค์ของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ โทรศัพท์มาสั่งการศอฉ อยู่ตลอดเวลา ให้ดำเนินการนานับประการกับกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งข้อเท็จจริงมิได้เป็นเช่น ซึ่งหมายความว่ามีความพยายามยามจะสร้างภาพให้สังคมเห็นว่า พระองค์ท่านมีส่วนเกี่ยวพันกับเรื่องการเมือง ซึ่งมิได้เป็นความจริง ศอฉ ก็มีความจำเป็นที่ต้องชี้แจงข้อมูลข่าวสารให้สีงคมได้รับทราบความจริงเป็นเช่นไร

นอกจากนั้นแล้ว ศอฉ ก็ได้ขยายความลงไปเพราะว่าทางราชการมีหน่วยงานทางด้านความมั่นคง ที่สำนักนายกรัฐมนตรีได้จัดตั้งขึ้น โดยมีหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องเป็นตัวขับเคลื่อน ซึ่งหน่วยงานด้านความมั่นคงก็มีการรวบรวมข้อมูลข่าวสารของขบวนการที่จ้องจะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด จึงได้นำข้อมูลทั้งหลายเหล่านี้มาประกอบเพื่อใช้ในการชี้แจงทำความเข้าใจกับสังคม

ประการที่สาม ในช่วงเวลาเช้าของวันเกิดเหตุ ข้าฯได้มีการแถลงข่าวให้สังคมรับทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่าไมม่เป็นความจริงตามข้อมูลที่พยายามกล่าวหาใส่ร้ายท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ โดยแถลงกำกับตอบไปด้วยว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการล้มเจ้านั้น ในขณะนั้นมีคุณดาตอร์ปิโด กับคุณจักรภพ เพ็ญแข ซึ่งทั้งสองคนนี้มีหมายจับไว้แล้ว ในช่วงเวลาเย็นเกิดจากการประชุมในช่วงบ่ายของศอฉ.ได้มติของศอฉ ที่ต้องการจะให้นำเสนอข้อมูลข่าวสารแก่สังคมเป็นลายลักษณ์อีกษรอีกทางหนึ่ง เพื่อให้สังคมพิจารณา

ข้าฯได้รับมอบหมายให้นำเอกสารเหล่านั้นไปแจกแก่สื่อมวลชน ซึ่งเอกสารที่ไปแจกนั้นมิได้หมายความว่าผู้ที่มีชื่อในเอกสารเป็นผู้เกี่ยวข้องในฐานะอยู่ในขบวนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เป็นความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ในลักษณะต่างๆ ซึ่งให้สังคมพิจารณาและวินิจฉัยเอาเอง ซึ่งมีรายละเอียดอยู่ในเอกสาร ว่าแต่ละคนเกี่ยวข้องกันในฐานะอะไร เช่น เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในฐานะญาติพี่น้อง เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในฐานะผู้ทำธุรกิจร่วมกันอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมิได้แถลงเลยว่า บุคคลทั้งปวงเหล่านั้นมีความสัมพันธ์ในฐานะที่เป็นผู้อยู่ในขบวนการ และมิได้ให้หมายความเช่นนั้น

แต่หลังจากนั้นมีสื่อมวลชนนำเรื่องราวต่างๆเหล่านี้ไปขยายผล ขยายความ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อผู้ที่เกี่ยวข้องในแผนผังดังกล่าว ทำให้ได้รับความเสียหายจากมุมมองของสังคม เพราะเป็นเรื่องที่สังคมจะต้องตัดสิน ส่วนผู้ที่ได้รับความเสียหายที่เกิดขึ้นจะฟ้องร้องกับผู้ที่นำไปขยายความในทางที่ผิดจากเจตนารมณ์ของศอฉ ก็สุดแล้วแต่บุคคลเหล่านั้นจะพิจารณา"

ทั้งนี้ศาลได้ดำเนินการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาท เมื่อโจทก์(ดร.สุธาชัย)รับฟังข้อเท็จจริงจากจำเลยที่สาม(พ.อ.สรรเสริญ)จึงไม่ติดใจที่จะดำเนินคดีต่อจำเลยทั้งสามอีกต่อไป จึงขอถอนฟ้องจำเลยที่สาม

ก่อนหน้านี้นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เคยให้สัมภาษณ์ว่าแผนผังดังกล่าวเป็นเรื่องที่คิดกันขึ้นสดๆในที่ประชุมศอฉ.ในตอนที่จะหาเหตุสลายการชุมนุมเสื้อแดงเมื่อเดือนพฤษภาคมปีกลายนั่นเอง และยังรู้สึกละอายใจที่กุเรื่องนี้ขึ้นมา

ผังล้มเจ้า-เป็นเอกสารที่ ศอฉ เคยแถลงข่าว(ดูรายละเอียดข่าว) และสื่อนำไปขยายผล จนเป็นเหตุอ้างในการสังหารผู้ชุมนุมกว่า 92 ศพเมื่อปีกลาย เพราะถูกทำให้เชื่อว่าเป็นพวกล้มเจ้า แม้แต่ตอนนี้ธาริตDSIยังนำมาออกหมายเรียก19แกนนำ นปช. แต่พอสรรเสริญ แก้วกำเนิดสารภาพกลางศาลว่าเชื่อมโยงมั่วๆแล้วสื่อขยายความขยายผลไปเอง ปรากฎว่าไม่มีสื่อกระแสหลักนำเสนอข่าวนี้เลย นี่เป็นความเงียบอันอึกทึกครึกโครมอีกครั้งของวงการสื่อไทย


แผนผังล้มเจ้าธาริตนำมาเป็นเครื่องมือออกหมายเรียก19แกนนำนปช.

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอได้นำผังล้มเจ้ามาออกหมายเรียก 19 แกนนำนปช.เข้ารายงานตัวและขู่จับขังคุก หากเป็นไปตามที่พ.อ.สรรเสริญแถลงว่า ส่วนผู้ที่ได้รับความเสียหายที่เกิดขึ้นจะฟ้องร้องกับผู้ที่นำไปขยายความในทางที่ผิดจากเจตนารมณ์ของศอฉ ก็สุดแล้วแต่บุคคลเหล่านั้นจะพิจารณา งานนี้นายธาริตน่าจะเจองานเข้าอย่างหนักในลำดับต่อไป


อย่างไรก็ตาม นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดี ดีเอสไอ แถลงเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา ว่า มีมิติให้ดีเอสไอดำเนินคดีความผิดต่อความมั่นคงว่าด้วยการล่วงละเมิดสถาบันฯ ตั้งแต่ปี 2553

การดำเนินคดีนี้ไม่ใช่การกระทำผิดเฉพาะตัวบุคคล แต่เป็นการกระทำความผิดในลักษณะเครือข่าย มีการแบ่งหน้าที่กันทำ มีทั้งฝ่ายตัวการร่วมฝ่ายผู้สนับสนุน ฝ่ายออกความคิดและฝ่ายให้เงินสนับสนุนให้มีการเปิดเว็บไซต์ เป็นลักษณะเครือข่ายที่เกี่ยวพันต่อเนื่องกันมาโดยตลอด ดีเอสไอมีความเห็นว่าความผิดในคดีล้มเจ้าเป็นความผิดคู่ขนานกับความผิดฐานก่อการร้าย ผู้กระทำความผิดทั้ง 2 คดี เป็นบุคคลกลุ่มเดียวกัน

ดังนั้นการกระทำความผิดล่วงละเมิดสถาบันฯ เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 54 จึงไม่ได้เป็นการกระทำความผิดเพียงคนเดียวของนายจตุพร พรพันธุ์ หรืออีก 3 คน ที่ขึ้นพูดบนเวทีปราศรัย แต่ได้พิจารณาเห็นว่ามีผู้ที่เข้าข่ายเกี่ยวข้องไม่เป็นตัวการร่วม หรือเป็นผู้สนับสนุนในความผิด 2 ฐานหลักคือความผิดยุยงปลุกปั่นตามมาตรา 116 และการล่วงละเมิดสถาบันฯ ตามมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา จากพฤติการณ์ดังกล่าว เบื้องต้นมีความผิดเพียงพอที่ดีเอสไอจะแจ้งข้อกล่าวหาคดีล้มเจ้ากับผู้ต้องหา 19 คน โดยทั้ง 19 คน อยู่ในแผนผังตามที่ ศอฉ.ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดีเอสไอดำเนินคดีก่อนหน้านี้

อธิบดีดีเอสไอ กล่าวอีกว่า สำหรับกำหนดตารางกันการทำงานของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ จะเริ่มจากวันจันทร์ ที่ 23 พ.ค. ดีเอสไอจะออกหมายเรียกส่งจดหมายไปยังทั้ง 19 คน เพื่อให้มารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 2 มิ.ย.54 เวลา 09.00 น.ที่สำนักคดีอาญาพิเศษ ดีเอสไอ ชั้น 8 ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียติ อาคารบี

สำหรับรายชื่อ แกนนำ นปช.และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ถูกดีเอสไอออกหมายเรียกดำเนินคดีล้มเจ้าทั้ง 19 คน ประกอบด้วย นายจตุพร พรหมพันธุ์ นพ.เหวง โตจิราการ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายก่อแก้ว พิกุลทอง นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ นายการุณ โหสกุล นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ นายชินวัฒน์ หาบุญพาด นายวิเชียร ขาวขำ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือ แรมโบ้อีสาน นายขวัญชัย สาราคำ หรือ ไพรพนา นายนิสิต สินธุไพร จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ นายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ์ นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ นายสมชาย หรือพิพัฒน์ชัย ไพบูลย์ และนายพายัพ ปั้นเกตุ ที่ถูกเพิ่มชื่อเข้ามาล่าสุด

******
เรื่องเกี่ยวเนื่อง

-จารึกไว้ใต้ZONE TEEN:วัยรุ่นกรี๊ดสรรเสริญ 

-ดีเอสไอเรียก 19 นปช.แจ้งข้อหาคดีล้มเจ้า 2 มิ.ย.นี้

-แผนผังล้มเจ้าระเบิดเวลาโค่นเพื่อไทย
http://redusala.blogspot.com

สื่ออเมริกัน VOA: ประเทศไทยจับคนอเมริกันข้อหาหมิ่นฯ


ที่มา Voice of America
แปลไทยโดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
27 พฤษภาคม 2554 9:35 am UTC

เจ้าหน้าที่ในประเทศไทยได้กล่าวว่า คนอเมริกันคนหนึ่งได้ถูกจับกุมตัวหลังจากที่เขาได้โพสต์ข้อความที่อาจจะเป็นการหมิ่นสถาบันฯบนบล็อกของเขา

เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวว่านายเลอพงษ์ วิไชยคำมาตย์ อายุ 54 ปี ถูกจับกุมตัวเมื่อวันอังคารในจังหวัดทางภาคอีสานและได้ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำในกรุงเทพฯ

เจ้าหน้าที่กล่าวว่าผู้ต้องหาซึ่งเป็นชาวอเมริกันเกิดที่ประเทศไทยได้แปลบทความที่มีเนื้อหาอาจหมิ่นต่อสถาบันฯโดยโพสต์ลงในเว็บบล็อกของเขา เขายังได้ถูกกล่าวหาว่าได้เผยแพร่ลิงก์ไปยังหนังสือ The King Never Smiles ซึ่งเป็นหนังสือที่ถูกมองว่ามีการวิพากษ์วิจารณ์ต่อครอบครัวของราชวงศ์

เจ้าหน้าที่ไทยกล่าวว่าเขาได้ย้ายจากประเทศไทยเมื่ออายุ 35 ปี และได้กลับมาประเทศไทยเพื่อทำการรักษาพยาบาล เขาได้วางแผนที่จะกลับประเทศสหรัฐฯในเดือนพฤศจิกายนนี้ เจ้าหน้าที่ทูตสหรัฐฯได้กล่าวว่าทางสถานทูตได้ให้ความช่วยเหลือทางการทูตกับเขาแล้ว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ชาวอเมริกันเชื้อสายไทยตกเป็นเหยื่อ112รายล่าสุด / Thai E-news
http://redusala.blogspot.com

ร้องศาลอาญาระหว่างประเทศฉบับใหม่
ใช้ผลสอบฮิวแมนไรต์ว็อท์ชชี้ชัด'ทหารฆ่า'ลากคอฆาตกรชดใช้


ที่มา เวบไซต์ Robert Amsterdam

คำแถลงการณ์ของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติกรณีอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ

26 พฤษภาคม 2554—แกนนำกลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตยนปช.ได้ร้องขอให้สำนักงานกฎหมายอัมสเตอร์ดัม แอนด์ พีรอฟฟ์ ยื่นคำร้องเพิ่มเติมต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ(ไอซีซี) ในนามของกลุ่ม เพื่อขอให้ศาลทำการไต่สวนเหตุการณ์ความรุนแรงต่อกลุ่มผู้ชุมนุมในระหว่างเดือนเมษายนและพฤษภาคม ปี 2553 อย่างเป็นอิสระ

เนื่องมาจากปรากฏหลักฐานและคำให้การของพยานใหม่ คำร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศฉบับใหม่ จะผนวกรายงานล่าสุดของกลุ่มเอ็นจีโอองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน อย่างองค์กรฮิวแมนไรท์วอซซ์เข้าไปด้วย เพราะเนื่องจากองค์กรเห็นถึงความพยายามที่สำคัญในการทำความจริงให้ปรากฏ และสร้างความกระจ่างชัดต่อเหตุการณ์สังหารหมู่ที่กรุงเทพมหานคร

กลุ่มนปช.เชื่อว่า คำร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศฉบับที่สองมีความจำเป็น เนื่องจากมีเหตุการณ์ใหม่หลายเหตุการณ์เกิดขึ้น และทั้งนี้เพื่อจะย้ำให้เห็นถึงเจตจำนงของรัฐบาลไทยที่เพิกเฉยต่อความคืบหน้าในการสอบสวน หรือการดำเนินคดีต่อบุคคลที่มีส่วนรับผิดชอบ รวมถึงการที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะสั่งให้ปกปิดข้อเท็จจริง

หลายเดือนนับตั้งแต่การยื่นของร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศครั้งแรก รัฐบาลใช้วิธีการหลบหลีกหลายวิธี โดยเปลี่ยนย้ายความรับผิดชอบภายในหน่วยงานรัฐหลายหน่วย รวมถึงการที่กองทัพยังเสวยสุยกับการไม่ต้องรับผิดใดๆอย่างชัดแจ้ง มีการร่างนโยบายองค์กรโดยการใช้การดำเนินงานแบบคาดเดา และไม่ให้ความร่วมมือกับการสอบสวนถึงกรณีของข้อกล่าวหาอาชญากรรมสงคราม ซ้ำยังแทรกแซงหน่วยงานที่แต่งตั้งโดยรัฐบาลเอง อย่างคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.)

สิ่งที่คนไทยทุกคนรับรู้คือกลุ่มอำมาตย์พยายามที่จะไม่เผชิญหน้ากับความจริงเรื่องเหตุการณ์สังหารหมู่ แม้ว่าจะมีคำแถลงการณ์จากกลุ่มพรรคการเมือง แต่กลุ่มนปช.จะไม่ยอมรับการพูดคุยเรื่องการนิรโทษกรรมจนกว่าความจริงจะปรากฏ และจุดยืนที่หนักแน่นของเราคือ ไม่มีการปรองดองสมานฉันท์ใดที่สามารถเกิดขึ้นได้โดยปราศจากความรับผิด

ประชาชนชาวไทยจะต้องลุกขึ้นต่อต้านการใช้กฎหมายเผด็จการ และเรื่องสองมาตรฐานที่ทำลายการเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย และจำกัดเสรีภาพการแสดงออกอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ด้วยการยึดมั่นแนวทางแสดงหาความจริงและความเป็นธรรมในสังคม อคติอันหยั่งรากลึกและการเซ็นเซอร์ตนเองของสื่อที่จงรักภักดีต่อรัฐบาล ไม่ได้สามารถทำอะไร นอกจากสร้างความมุ่งมั่นให้แก่ที่ปรึกษากฎหมายของกลุ่มนปช.ในความพยายามที่จะอธิบาย และเปิดโปงขวากนามแห่งความอยุติธรรมอย่างเป็นระบบที่ยังคงมีอยู่ในทุกซอกทกมุมของประชาธิปไตยในประเทศไทย

แม้การเลือกตั้งกำลังจะมีขึ้น แต่แกนนำกลุ่มนปช.กลับถูกดำเนินคดีหลายคดี รวมถึง คดีก่อการร้าย ปลุกระดมและหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มีการสั่งให้ดำเนินคดีจากพรรคผู้นำรัฐบาลด้วยเหตุผลทางการเมือง ทั้งนี้เพื่อพยายามจำกัดกิจกรรมการเคลื่อนไหวของเรา และปฏิเสธสิทธิขั้นพื้นฐานของเราในฐานะพลเมือง ก่อนจะมีเหตุการณ์การกักขังตามอำเภอใจ และจำคุกนักกิจกรรมทางการเมืองที่เคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยโดยมิชอบด้วยกฎหมายอีกครั้ง กลุ่มนปช.ตั้งใจที่จะหาโอกาส แสดงความเห็น และนำเสนอข้อเท็จจริงที่ท้าทายต่อข้อกล่าวหาเรื่องก่อการร้ายของรัฐบาล

รายงานฉบับใหม่ทั้งสามฉบับที่สำนักงานกฎหมายอัมสเตอร์ดัม แอนด์ พีรอฟฟ์เผยแพร่ในวันนี้ ได้รวบรวมข้อมูลที่แสดงให้เห็นถึงระดับของโครงสร้างอคติที่มีอยู่ในระดับสูง รวมถึงการบิดเบือนการใช้ทรัพยากรรัฐของรัฐบาลอภิสิทธิ์เพื่อประกันว่าผลของการเลือกตั้งตกอยู่ประโยชน์ของประชาชนส่วนน้อย

โปรดเข้าร่วมการต่อสู้กับการบิดเบือนการใช้อำนาจของรัฐที่ไร้ประชาธิปไตยและถูกหนุนหลังโดยทหาร

นปช.

*******
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:

-รายงานของฮิวแมนไรต์ว็อท์ช:ความล้มเหลวในการเอาผิดเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาลตอกย้ำปัญหาการปล่อยให้คนผิดลอยนวล



แบรด อดัมส์ แห่งฮิวแมนไรท์วอทช์ล่าวว่า "แกนนำ นปช. ถูกตั้งข้อหาว่าก่ออาชญากรรมร้ายแรงไปแล้ว แต่ถึงแม้รัฐบาลจะให้สัญญาว่าจะเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงด้วย จนถึงขณะนี้ยังไม่มีทหาร หรือตำรวจซักนายที่ถูกดำเนินคดี"..เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาลอยู่เหนือกฎหมาย "สภาพเช่นนี้เน้นให้เกิดความเข้าใจในหมู่ประชาชนไทยว่า ตาชั่งของกระบวนการยุติธรรมนั้นไม่เป็นกลาง"
http://redusala.blogspot.com

นิรโทษกรรมสากลจี้รัฐเว้นวรรค112เร่งแก้ไขสู่มาตรฐานสากล
ปล่อยนักโทษทางความคิดทันที
เบนจามิน ซาแวคกี ผู้แทนเอไอ-“องค์การนิรโทษกรรมสากล(เอไอ)เสนอต่อรัฐบาลไทยให้หยุดใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมฯ ไปก่อน จนกว่าจะมีการปรับปรุงแก้ไขที่เคารพมาตรฐานของกฎหมายสิทธิมนุษยชนสากล นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้นักโทษมโนธรรมสำนึกที่ถูกจำคุกด้วยกฎหมายหมิ่นฯได้รับการปล่อยตัวโดยทันที”

ที่มา ประชาไท

หมายเหตุไทยอีนิวส์:รายงานข่าวในประชาไทดั้งเดิมชื่อ เสวนา: วิพากษ์การใช้กฎหมายหมิ่นฯ ที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ




เมื่อเวลา 20.00 น.วันที่ 24 พฤษภาคม 2554 สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) ถนนเพลินจิต จัดเวทีเสวนาในหัวข้อ “Lese Majeste: A Challenge to Thailand’s Democracy” (กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและความท้าทายต่อประชาธิปไตยไทย) โดยมีวิทยากร คือ สุลักษณ์ ศิวรักษ์, เดวิด สเตร็คฟัส นักวิชาการอเมริกันผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย”หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ในสังคมไทย, เบนจามิน ซาแวกกี นักวิจัยแอมเนสตี้ อินเตอร์แนลประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และนายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยได้รับความสนใจจากคนไทยและต่างชาติเป็นจำนวนมาก

เดวิด สเตร็คฟัส


ในการมองเรื่องภาพรวมการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนี้ อาจแบ่งได้เป็นสองช่วงหลักๆ คือก่อน และหลังการรัฐประหารพ.ศ. 2500 กล่าวคือ ก่อนการรัฐประหาร มีการใช้ประมวลกฎหมายอาญาปีพ.ศ. 2499 ว่าด้วย ผู้ใดที่ดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการ ได้รับโทษสูงสุดเท่ากับ 7 ปี ต่อมา ในปีพ.ศ. 2519 หลังจากเหตุการณ์ 6 ตุลา ก็ได้มีการเพิ่มโทษสูงสุดเป็น 15 ปี และยังคงเรื่อยเท่านั้นมาจนถึงปัจจุบัน

ในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ มีความพยายามเปลี่ยนแปลงในบทบัญญัติดังกล่าว ครั้งแรก คือในพ.ศ. 2550 โดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้พูดถึงการปรับแก้กฎหมายหมิ่นฯ ให้ครอบคลุมมากขึ้นโดยเพิ่มการดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายต่อพระราชโอรส และพระราชธิดา โดยมีบทลงโทษ 1-7 ปี และต่อองคมนตรี ซึ่งมีโทษระหว่าง 6 เดือนถึง 5 ปี

ต่อมาในปีพ.ศ. 2551 ก่อนที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์จะได้ขึ้นมาเป็นรัฐบาล กระทรวงยุติธรรมได้เสนอร่างพระราชบัญญัติที่จะเพิ่มบทลงโทษสูงสุดเป็น 25 ปี แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ แต่ที่น่าสนใจในกรณีนี้ คือ การครอบคลุมของกฎหมายไม่ใช่จำกัดไว้เพียงแค่ กษัตริย์ ราชินี และรัชทายาท และผู้สำเร็จราชการเท่านั้น แต่มีความพยายามให้รวมถึงกษัตริย์ที่ผ่านมาในอดีต รวมถึงผู้ที่มีเชื้อสายสืบทอดมาจากกษัตริย์ด้วย แต่หลังจากนั้นมาก็ไม่มีความพยายามในการเปลี่ยนแปลงกฎหมายดังกล่าวอีก

หากมองดูที่จำนวนคดีที่เกิดขึ้นในปี 2533 ถึงปี 2548 พบว่า จำนวนคดีที่ถูกดำเนินการมีจำนวนเฉลี่ย 5-6 คดีต่อปี และต่อมาระหว่างปี 2549 ถึงปี 2553 ภายในระยะเวลาสี่ปี มีคดีที่ถูกดำเนินการทั้งหมด 397 คดี หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 1,500% และในจำนวน 397 คดีนั้น มีจำนวน 213 ที่ถูกตัดสินว่าผิดจริง ในกรณีที่เกิดขึ้นดังกล่าวนี้ มีข้อน่าสังเกตสองประการ อย่างแรกคือ ก่อนปี 2548 อัตราการถูกตัดสินคดีว่าผิด อยู่ที่ราว 94% ฉะนั้นถ้ามีจำนวนทั้งหมด 213 คดี ราว 200 คนก็จะถูกตัดสินคดี ซึ่งส่วนใหญ่จะยอมรับสารภาพ และได้รับโทษราว 3 ปี โดยมีการขออภัยโทษในภายหลัง แต่ในช่วงระยะหลัง มีราว 40 คดีที่ปรากฏว่าผู้ต้องหาไม่ต้องการรับสารภาพ และมุ่งสู้คดีโดยไม่ยอมรับผิด ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีรูปแบบใหม่เกิดขึ้นในกลุ่มคนที่โดนคดีหมิ่นฯ ซึ่งคนจำนวนนี้พร้อมจะต่อสู้คดีโดยไม่รับสารภาพ และอาจจะได้รับโทษ 3-15 ปี

ข้อสังเกตอย่างที่สอง คือ การมีกรณีที่ยังคงค้างอยู่ในขั้นตอนของศาลฎีกา 9 คดีตั้งแต่ปี 2548

อย่างที่สามที่น่าสนใจ คือ หากเรามองดูธรรมชาติของการใช้กฎหมายนี้ในปี 2547-2548 จะพบว่าส่วนใหญ่จะถูกใช้โดยนักการเมืองเพื่อโจมตีนักการเมืองด้วยกันเอง แต่ในระยะ4-5 ปีที่ผ่านมาจะเห็นว่ามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในการใช้กฎหมายดังกล่าว

ที่น่าสนใจอีกอย่าง คือ แน่นอนว่า กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้น มิได้มีไว้ปกป้องสถาบันกษัตริย์ ในฐานะ“สถาบัน” แต่ปกป้องในฐานะของปัจเจกบุคคล ฉะนั้น เมื่อเราลองอ่านกฎหมายดังกล่าวดูก็อาจจะพบว่าสามารถเปิดโอกาสให้วิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย แต่ในกรณีของคุณจักรภพ เพ็ญแข ที่มาพูดที่ FCCT เมื่อปี 2550 และพูดเรื่อง “ระบอบอุปถัมภ์” ก็ถูกฟ้องในข้อหาหมิ่นฯ ทั้งๆที่เป็นการวิพากษ์ในเชิงวิชาการ เช่นเดียวกับกรณีของใจ อึ๊งภากรณ์ที่เขียนหนังสือ “Coup for the Rich” ซึ่งก็เป็นการวิพากษ์เชิงวิชาการเช่นกัน แต่ก็ถูกฟ้องด้วยหมิ่นพระบรมฯ

นอกจากนี้ ในกรณีล่าสุด เช่นที่เกิดกับคุณสมยศ พฤกษาเกษมสุข บรรณาธิการของนิตรสารเรด พาวเวอร์ ที่พยายามวิจารณ์สถาบันกษัตริย์ในเชิงหลักการ เช่นเดียวกันกับกรณีอาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ที่ถูกเรียกไปสอบสวน กรณีอาจารย์สมศักดิ์ก็เป็นที่น่าสนใจว่าเขาจะถูกดำเนินคดีหรือไม่ และเขาจะถูกฟ้องด้วยข้อความใด หากว่าเป็นจดหมายที่เขียนถึงฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ หลักกฎหมายหมิ่นฯ ก็มิได้ครอบคลุมพระราชธิดา แต่ถ้าหากตำรวจใช้ข้อเสนอ 8 ข้อเพื่อการปฏิรูปสถาบันกษัติรย์เป็นมูลเหตุในการฟ้อง ซึ่งอาจารย์สมศักดิ์และกลุ่มนิติราษฎร์ได้นำเสนอเพื่อการจัดวางตำแหน่งแห่งที่ของสถาบันกษัตริย์ในสังคมที่เหมาะสมนั้น ก็น่าสนใจว่าถ้าเขาถูกดำเนินคดีจริง กฎหมายฉบับนี้ต่อไปจะเป็นอย่างไร

นอกจากนี้ ในช่วงปีที่ผ่านมา ก็น่าจับตาในแง่ที่ว่าสังคมไทยมีการพูดถึงกฎหมายหมิ่นฯ เปลี่ยนไป กล่าวคือ ในช่วงปี 2549 นั้น มีการจัดเวทีของ ASTV ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกๆที่มีการพูดถึงกฎหมายหมิ่นฯ มีนิตยสารฟ้าเดียวกัน และการสัมมนาไทยศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปี 2552 ที่ล้วนพูดถึงกฎหมายตัวนี้ในเชิงการปฏิรูปกฎหมายทั้งสิ้น แต่ในสองสามเดือนที่ผ่านมานี้ เริ่มมีกลุ่มต่างๆที่พูดถึงการยกเลิกกฎหมายดังกล่าว และมองว่าเป็นปัญหาซึ่งต้องไปไกลกว่าการปฏิรูป

ยิ่งเมื่อเวลาของการเลือกตั้งใกล้เข้ามาถึง ก็อาจจะมีการเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรมได้ยาก หากว่ากฎหมายนี้ยังคงดำรงอยู่และถูกใช้อยู่เพื่อการขจัดศัตรูทางการเมือง



000

“องค์การนิรโทษกรรมสากล(เอไอ)เสนอต่อรัฐบาลไทยให้หยุดใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมฯ ไปก่อน จนกว่าจะมีการปรับปรุงแก้ไขที่เคารพมาตรฐานของกฎหมายสิทธิมนุษยชนสากล นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้นักโทษมโนธรรมสำนึกที่ถูกจำคุกด้วยกฎหมายหมิ่นฯได้รับการปล่อยตัวโดยทันที”
เบนจามิน ซาแวคกี

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลมองว่าการใช้กฎหมายหมิ่นฯ ในระยะหลังตั้งแต่ปลายปี 2548 เป็นการบั่นทอนเสรีภาพในการแสดงออก โดยไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยเฉพาะอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ในฐานะที่ประเทศไทยได้ลงนามในอนุสัญญานี้ การใช้กฎหมายดังกล่าวนับเป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศในแง่ของเสรีภาพในการแสดงออก

ในประเด็นเสรีภาพในการแสดงออกนี้ ตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนสากล อนุญาตให้มีการใช้ข้อจำกัดบางส่วนได้ หากตรงกับเงื่อนไขที่เป็นไปเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง โดยต้องระบุไว้ในกฎหมาย เช่น เพื่อความมั่นคงของชาติ ความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสาธารณะ และเป็นไปเพื่อศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อปกป้องชื่อเสียงของบุคคล และเอไอมีจุดยืนที่ชัดเจนต่อรัฐบาลไทยว่ากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดสากลดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีการตีความที่ไม่ชัดเจนและกว้างเกินความเป็นจริงในแง่ของคำนิยาม การบังคับใช้ และบทลงโทษ ซึ่งเป็นการละเมิดหลักการกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ

ในการจะพิจารณาคดีคนใดคนหนึ่งว่าเป็นนักโทษทางการเมืองหรือไม่ เอไอจะพิจารณาที่หลักการว่าคนคนนั้นต้องถูกตัดสินว่าผิดด้วยกฎหมายหมิ่นพระบรมฯ เพียงอย่างเดียว และถ้าหากการกระทำที่ถูกนำมาดำเนินคดี เป็นไปอย่างสันติทั้งวิธีการและเจตจำนงค์ เราจะพิจารณาว่าเขาเป็นนักโทษมโนธรรมสำนึก ด้วย(prisoner of conscience) มีกรณีที่พูดถึงกันเยอะมากคือ กรณีของดา ตอร์ปิโด ซึ่งเอไอมองว่าเธอเป็นนักโทษการเมืองที่ถูกจำคุกด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมฯ แต่หากจะมองว่าเป็นนักโทษมโนธรรมสำนึกหรือไม่ ตรงนี้อาจยังไม่ชัดเจนเนื่องจากคำพูดที่เธอพูดบนเวทีปราศรัยในปี 2551 สามารถมองได้ว่ายั่วยุให้เกิดความรุนแรง อย่างไรก็ตาม เรามิได้บอกว่าเธอสมควรได้รับโทษนั้น แต่หากเทียบกับกรณีของจีรนุช เปรมชัยพร หากว่าเธอถูกตัดสินจำคุก เธอจะถูกพิจารณาว่าเป็นนักโทษมโนธรรมสำนึก เนื่องจากข้อหาที่ได้รับคือ การลบโพสต์ที่”จาบจ้วง”ในเว็บบอร์ดประชาไทไม่เร็วเพียงพอ ต่อกรณีของดา ตอร์ปิโด เช่นเดียวกับนักโทษการเมืองคนอื่นๆในโลก เอไอเรียกร้องให้การดำเนินคดีเป็นไปตามมาตรฐานสากล มีระบวนการยุติธรรมที่เหมาะสมและโปร่งใส หรือถูกปล่อยตัว

เอไอเสนอต่อรัฐบาลไทยให้หยุดใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมฯ ไปก่อน จนกว่าจะมีการปรับปรุงแก้ไขที่เคารพมาตรฐานของกฎหมายสิทธิมนุษยชนสากล นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้นักโทษมโนธรรมสำนึกที่ถูกจำคุกด้วยกฎหมายหมิ่นฯได้รับการปล่อยตัวโดยทันที

000

“ในการบังคับใช้ 112 ดูเผินๆอาจจะดูเหมือนกับเป็นการจงรักภักดีหรือต้องการรักษาสถาบัน แต่เมื่อลงไปดูในรายละเอียด พบว่า ผลกระทบของการบังคับใช้ เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างมากมาย”

นายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ

เนื่องจากต้นเดือนพฤษภาคมกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับคำร้องจากเครือข่ายราชการและจากภาคประชาชนในกรณีคดีของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุลและสมยศ พฤกษาเกษมสุข ซึ่งในประเด็นนี้ตนเองได้ร่วมประชุมและตรวจสอบไปแล้วหนึ่งครั้งในวันพุธที่ผ่านมา และอยากจะชี้แจงสองเรื่อง ก่อนอื่น กสม. ไม่ได้เป็นองค์กรที่อยู่ภายใต้สำนักนายกรัฐมนตรี แต่เป็นองค์กรอิสระ โดยเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ในประเด็นแรก กสม. มีหน้าที่ในการตรวจสอบว่ามีการละเมิดสิทธิจริงหรือไม่ และสอง ในฐานะกรรมการสิทธิจะมีบทบาทในการคลี่คลายการละเมิดสิทธิของรัฐดังกล่าวได้อย่างไรบ้าง ในประเด็นการละเมิดสิทธิฯนี้ ต้องพิจารณาใน 2 ระดับ

ประเด็นแรก มองในแง่การบังคับใช้กฎหมาย 112 ซึ่งคิดว่าเป็นประเด็นสำคัญและจุดอ่อนของหน่วยงานของรัฐและในการละเมิดสิทธิ ในมาตรานี้ มีปัญหาในการบังคับใช้ เนื่องจากใครก็สามารถฟ้องร้องได้ สรุปก็คือเป็นเครื่องมือในทางการเมืองของกลุ่มอำนาจในทางสังคมเพื่อกำจัดผู้มีความคิดเห็นตรงข้ามในทางการเมือง หรือแม้ในการยกสถาบันฯเพื่อสรรเสริญเยินยอเพื่อผลประโยชน์ในทางการเมืองของตนเอง ในกรณีของ อาจารย์สมศักดิ์ที่ถูกออกหมายเรียกไปสอบสวน ถือว่าส่งผลกระทบต่อเสรีภาพทางวิชาการ หรือคุณสมยศซึ่งถือว่าเป็นแถวหน้าในทางประชาธิปไตยที่ต้องการเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตย แต่กลับถูกจับกุม ฉะนั้นต้องตรวจสอบการจับกุมทั้งสอง ว่าเป็นวิธีทางการเมืองที่กลุ่มที่มีอำนาจในสังคมต้องการกำจัดคนที่คิดเห็นต่างหรือไม่

“การใช้มาตรการทางกฎหมาย และการบังคับใช้นี้ ทำให้เกิดการลิดรอนและละเมิดสิทธิเสรีภาพ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้สังคมไทยตกอยู่ในความเงียบและตกอยู่ในความกลัว” จากการจัดเสวนาที่มหาลัยธรรมศาสตร์ ผู้บริหารมหาวิทยาลัยก็มีความหวดกลัว ถึงกับกล่าวกับอาจารย์ผู้จัดว่า ช่วยรักษามหาวิทยาลัยด้วย ขนาดตนเองจัดเวทีที่กรรมการสิทธิฯ วันพุธที่ผ่านมาตนก็ยังถูกตักเตือนด้วยความหวังดี

“แต่ถ้าสังคมไทยตกอยู่ในความเงียบและความกลัว การละเมิดจะเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายมาก และอำนาจมืดจะเข้ามาครอบงำในสังคมไทย”

จากที่ได้เข้าไปตรวจเยี่ยมในเรือนจำกรณีคุณสมยศ และคดีอื่นๆ พบว่ามีการละเมิดสิทธิอื่นๆด้วย เช่น สิทธิในกระบวนการยุติธรรม เนื่องด้วยข้อกล่าวหามาตรา 112 และเผาศาลากลางนี้มีความรุนแรง ฉะนั้นทัศนคติของกระบวนการยุติธรรมจะมองว่าห้ามประกันตัว ทั้งๆที่หลายคนเป็นผู้ที่ตื่นตัวทางการเมือง เช่นในกรณีของอากง 112 ได้รับการประกันตัวในศาลชั้นต้น แต่กลับ ไม่ได้รับการประกันตัวในศาลอุทธรณ์ ปัญหาทำให้สิทธิในการประกันตัวถูกละเมิด ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้น

“ในการบังคับใช้ 112 ดูเผินๆอาจจะดูเหมือนกับเป็นการจงรักภักดีหรือต้องการรักษาสถาบัน แต่เมื่อลงไปดูในรายละเอียด พบว่า ผลกระทบของการบังคับใช้ เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น สิทธิในการประกันตัว สิทธิในการกระบวนการยุติธรรม สิทธิในชีวิตและความปลอดภัย สิทธิในการแสดงความคิดเห็นในฐานะพลเมือง ซึ่งผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้มีความสำคัญในระบอบประชาธิปไตยเป็นอันมาก”

ในประเด็นที่สอง การเพิ่มบทลงโทษจาก 7 ปี เป็นสูงสุด 15 ปีตั้งแต่ปี 2519 เป็นต้นมา สะท้อนให้เห็นถึง ปัญหาของพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่อาจละเมิดพื้นที่สาธารณะของภาคสังคม

ในกรณีนี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มีหน้าที่ต้องตรวจสอบและคุ้มครอง และ ได้ไปเยี่ยมคุณสมยศที่เรือนจำ และได้เชิญอ.สมศักดิ์ มาให้ข้อเท็จจริงในเรื่องการบังคับใช้ 112 นอกจากนี้ ในกระบวนการการตรวจสอบ ได้เชิญหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น DSI ตำรวจ กระทรวงยุติธรรม และกองทัพบกมาให้ข้อมูล รวมถึงขอข้อมูลในกรณีอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการใช้มาตรา 112 และประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับคุ้มครองปกป้องการละเมิดสิทธิในกรณีมาตรา 112 ซึ่งจะนำกรณีที่เกี่ยวข้องนำเสนอในเชิงนโยบายในการแก้ไขกฎหมายต่อไป เพื่อให้สอดคล้องและเป็นการประคองระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขในอนาคต


000

“ในประเทศนี้ คนที่มีอำนาจ มัวทำงานแต่เรื่องของตนเอง ผู้คนไม่มีความกล้าหาญทางศีลธรรมในการบอกความจริงกับกษัตริย์”

สุลักษณ์ ศิวรักษ์


หากสถาบันกษัตริย์จะดำรงรักษาอยู่ไว้ สถาบันจะต้องมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เช่น กรณีของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินราว 30% ในกรุงเทพฯ แต่ก็ไม่มีใครสามารถตรวจสอบเรื่องดังกล่าวได้ นอกจากนี้ยังไล่รื้อประชาชนราวกับหมาแมว เพื่อนำที่ดินไปสร้างตึกบรรษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ และก็ไม่มีใครรู้เรื่องดังกล่าวเลย

สาเหตุที่สมศักดิ์ (เจียมธีรสกุล) ถูกแจ้งความเนื่องจากวิจารณ์ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ และถึงแม้ว่าเขาจะเป็นมาร์กซิสต์หรือคอมมิวนิสต์อะไรก็ตามแต่ สิ่งที่สมศักดิ์เสนอนั้นสมควรได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง เพื่อการดำรงไว้ซึ่งสถาบันกษัตริย์

อย่างไรก็ตาม ในประเทศนี้ คนที่มีอำนาจ มัวทำงานแต่เรื่องของตนเอง ผู้คนไม่มีความกล้าหาญทางศีลธรรมในการบอกความจริงกับกษัตริย์ หากเราดูเอกสารวิกิลีกส์ จะเห็นว่าแม้แต่อานันท์ ปันยารชุน, สุรยุทธ จุลานนท์ หรือสิทธิ เศวตศิลา ซึ่งเป็นองคมนตรี (หมายเหตุไทยอีนิวส์:ในเอกสารวิกิลีกส์กล่าวถึงเปรม ติณสูลานนท์ ไม่ใช่สุรยุทธ จุลานนท์ ตามที่สุลักษณ์พูด) ก็พูดเรื่องนี้กับทูตต่างประเทศ แต่ทำไมไม่ยอมกล้าพูดเรื่องนี้กับกษัตริย์ด้วยตนเอง

ในศาสนาพุทธ สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตที่พึงมี คือกัลยาณมิตร คือเพื่อนที่พูดความจริงอย่างตรงไปตรงมา ผมคิดว่ากษัตริย์เราไม่มีกัลยาณมิตร เราต้องพูดความจริง เพื่อเป็นการรักษาการดำรงอยู่ของสถาบันกษัตริย์

ตอนนี้มีคนจำนวนมากขึ้นๆไม่ต้องการมีสถาบันกษัตริย์ คนที่ต้องการรักษาไว้ซึ่งสถาบันกษัตริย์ จึงจำเป็นต้องพูดคุยเรื่องนี้อย่างเปิดเผย หากพูดตอนนี้ยังไม่ช้าเกินไป แต่ถ้าอีกในปีหรือสองปีก็อาจจะเป็นการช้าเกินไป

******
เรื่องเกี่ยวเนื่อง

-ชาวอเมริกันเชื้อสายไทยตกเป็นเหยื่อ112รายล่าสุด

-นักโทษคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
http://redusala.blogspot.com

ดาบนั้นคืนสนอง แผนผังล้มเจ้า..ทั้ง4


โดย หรี่ฟุน
26 พฤษภาคม 2554

และแล้วปาหี่ ศอฉ.เรื่องแผนผังล้มเจ้า ก็จบลงด้วยความพะอืดพะอม

เมื่อไก่อู-สรรเสริญ แก้วกำเนิด ออกมาสารภาพกลางศาลว่า แค่เขียนแผนผังโยงขึ้นมาเฉยๆว่าคนในผังนี้เป็นญาติ หรือทำธุรกิจร่วมกัน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับขบวนการล้มเจ้าแต่อย่างใด แค่เสนอแผนผังนี้ให้คนคิดไปเอง สื่อมวลชนเอาไปขยายความขยายผลกันเอง หากใครเดือดร้อนก็ไปฟ้องสื่อเอง ศอฉ.ไม่เกี่ยว...ดูมันทำ!(รายละเอียดข่าว)

แต่คนที่อมทุกข์หนัก เห็นจะหนีไม่พ้นสำหรับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดี DSI ก็น่าสมเพชเวทนาสำหรับความกระสันที่อยากได้หน้า ได้ตา เห็นแกบ้าแต่เรื่องล้มเจ้า ล้มเจ้า จนมันกลายมาเป็นล้มเจ้าธาริตนั่นแหล่ะ

งานนี้ต้องขอขอบคุณในน้ำใจไมตรี ของท่าน ถวิล เปลี่ยนศรี ผอ.สภามั่นคงแห่งชาติ ที่ออกมาสัมภาษณ์ถึงเบื้องหลัง แผนผังกระดาษชำระ ที่ พ.อ.สรรเสริญ นำมาเผยแพร่ แจกจ่าย ประชาสัมพันธ์ ด้วยท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่อง เหมือนเด็กปัญญาอ่อนได้ของเล่น แต่ผลสุดท้ายก็ต้องออกมายอมรับความจริงว่า มันเป็นแผนผังหาเรื่องกับกลุ่มเสื้อแดง แถมโยนขี้ไปให้สื่อมวลชนอีกต่างหาก

เรื่องนี้ถ้าไม่ได้ท่าน ถวิล ออกมาพูดว่า แผนผังล้มเจ้า จะเป็นตราบาปของ ศอฉ.ที่ไปใส่ร้ายบรรดาแกนนำคนเสื้อแดง (โดยไม่มีหลักฐาน มีแต่เพียงข้อสันนิษฐาน...น่าเชื่อว่า....เขาว่า....ได้ข่าวว่า...เท่านั้น) ป่านนี้ไม่รู้ว่าบรรดาผู้ลงเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ จะนำไปหาเสียงใส่ร้ายอย่างเมามันขนาดไหน โดยเฉพาะนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่จะต้องอยู่ใน แผนผังล้มเจ้าเทพเทือก อีกคนหนึ่ง รวมไปถึงหัวขวนการใหญ่อย่างนายอภิสิทธิ์

ข่าวใหญ่งานช้างอย่างนี้ สื่อมวลชนกระแสหลักอมสากเงียบกริบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่ตอนศอฉ.แถลงข่าวปีกลาย นำไปขยายผลตีข่าวกันเอิกเกริก จนทำให้คนในสังคมเข้าใจว่าพวกผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงเป็นขบวนการล้มเจ้า ก็สมควรแล้วที่จะโดนศอฉ.ฆ่าตาย 92 ศพ

ข่าวนี้กว่าจะเป็นที่เปิดเผยทางสื่อออนไลน์อย่างไทยอีนิวส์ก็ล่วงเลยมาถึงวันที่ 25 พฤษภาคม 2554 หรือปีเต็มหลังจากศอฉ.ปูดผังล้มเจ้า

โดยนำข้อมูลจากกระบวนการพิจารณา ของศาลอาญา เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2554 มาเปิดเผยต่อสาธารณชน และคนไทยทั่วโลก ถึงแม้จะช้าไปหน่อย แต่ดูจากการขอคัดสำเนาศาล วันที่ 12 พฤษภาคม 2554 ก็ถือว่าไม่ช้านัก

กลับกลายเป็นข้อดีเสียอีก ที่ทำให้พวกกระสันอยากโชว์ผลงานอย่างธาริตที่ออกหมายเรียก 19 แกนนำนปช.มามอบตัวในวันที่ 2 มิถุนายนนี้ โดยอ้างว่าเพราะ 19 แกนนำนปช.มีรายชื่อตามผังขบวนการล้มเจ้าศอฉ. ต้องปวดกะโหลกอย่างหนัก

เพราะพยายามที่จะเร่งคดีนี้ให้ทันเสร็จก่อนการเลือกตั้ง หวังทำลายพรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่เมื่อเหตุการณ์ทั้งหมดมันพลิกผันเป็นแบบนี้แล้ว น่าเชื่อว่า นายธาริต จะดิ้นเฮือกเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยเรื่องแปลกๆติดตามมาอย่างแน่นอน เพราะมันจะหมายถึงอนาคตของตัวนายธาริต เอง

เลขาสมช.ก็ชิ่งไปล่วงหน้าแล้ว ล่าสุดไก่อูโยนขี้มาเต็มๆว่า ใครนำผังล้มเจ้าฉบับมั่วๆนี้ไปขยายผลก็รับความซวยไปเองแล้วกัน

งานนี้ธาริตแบกขี้ที่ไก่อูโยนมาเต็มๆไปคนเดียว คนอื่นเขาไม่เกี่ยว ตัวใครตัวมัน…ฮิ้ว!
http://redusala.blogspot.com

ชาวอเมริกันเชื้อสายไทยตกเป็นเหยื่อ112รายล่าสุด


โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
26 พฤษภาคม 2554

เหยื่อคดีมาตรา 112 รายล่าสุด เป็นคนไทยสัญชาติอเมริกัน ชื่อภาษาอังกฤษคือ Mr.Joe W.gordon ชื่อไทย นายเลอพงษ์ วิไชยคำมาตย์ ถูกควบคุมตัวอยู่ที่ DSI มา 2 วันเพื่อสอบปากคำ วันนื้เป็นวันที่สอง ในข้อหามาตรา 112

พยานผู้เห็นเหตุการณ์เปิดเผยว่า DSI บุกเข้าจับกุมโจ หรือเลอพงษ์ ที่บ้านพักของเขาที่จังหวัดนครราชสีมาเมื่อวานนี้ (25 พฤษภาคม) ช่วงบ่าย และควบคุมตัวเข้ากรุงเทพฯมาสอบปากคำที่สำนักงาน DSI

โจ-เลอพงษ์ เป็นคนไทยโดยกำเนิด และเดินทางไปพำนักในสหรัฐอเมริกามาประมาณ 30 ปี ได้สัญชาติอเมริกัน เขาถูกDSIควบคุมตัวระหว่างเดินทางกลับเมืองไทยมาเยี่ยมญาติพี่น้อง ล่าสุดได้มีการติดต่อกับทางสถานฑูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยแล้วเมื่อช่วงเช้า โดยทนายความของเขา

"เท่าที่ทราบDSIแจ้งข้อหาโจ-เลอพงษ์คือ กล่าวหาว่าเขากระทำผิด พรบ.คอมพิวเตอร์ และมาตรา 112 แต่ไม่ทราบรายละเอียด"พยานที่รับทราบเหตุการณ์จับกุมระบุ

จากการสืบสวนข้อมูลในกูเกิ้ลพบว่า โจ-เลอพงษ์เคยเขียนเวบไซต์เกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ต้นกำเนิดของประเทศสหรัฐอเมริกา ข้อมูลในการสอบโอนสัญชาติเป็นชาวอเมริกัน รวมภาพถ่ายทิวทัศน์ และธรรมชาติในรัฐโคโลราโด และรัฐใกล้เคียง

นอกจากนั้นข้อมูลจากกูเกิลมีชื่อ เลอพงษ์ วิไชยคำมาตย์ เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนจ่าอากาศด้วย

รายละเอียดข่าวจับคนไทยสัญชาติอเมริกัน คดีหมิ่นสถาบันฯ ศาลไม่ให้ประกันตัว

ทางด้านประชาไทได้รายงานข่าวนี้ว่า 26 พ.ค.54 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดา เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นำตัวนายโจ (นามสมมติ) วัย 54 ปี ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันฯ มาขออำนาจศาลฝากขัง หลังจากเจ้าหน้าที่กว่า 20 นาย นำหมายจับและหมายค้นลงวันที่ 23 พ.ค.54 บุกเข้าจับกุมตัวนายโจที่บ้านจังหวัดนครราชสีมาเมื่อวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 10.00 น. และนำตัวมาสอบสวนยังดีเอสไอ โดยในเบื้องต้นได้เแจ้งข้อกล่าวหาว่าผู้ต้องหาได้หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และเป็นการกระทำให้กิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน เป็นผู้นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร เผยแพร่ข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงในราชอาณาจักร ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ยึดคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ และโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาไปด้วย

จากการสอบถามผู้ต้องหาทราบว่า ผู้ต้องหาอาศัยอยู่ที่รัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา มานานกว่า 30 ปี และได้รับสัญชาติอเมริกัน เพิ่งเดินทางกลับประเทศไทยได้ราว 1 ปี เพื่อรักษาอาการป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูง และเก๊าท์ เจ้าหน้าที่ได้กล่าวหาว่าตนเป็นเจ้าของบล็อกแห่งหนึ่งซึ่งตั้งราวปี 2550 และมีลิงก์เชื่อมโยงไปยังเว็บที่ดาวน์โหลดหนังสือ The King Never Smiles เบื้องต้นได้ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และได้แจ้งต่อสถานทูตอเมริกาแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า เพื่อนของผู้ต้องหาได้นำโฉนดที่ดินมูลค่ากว่า 1.7 ล้านบาทเป็นหลักทรัพย์ยื่นประกันตัวต่อศาล แต่ศาลไม่อนุญาตปล่อยชั่วคราว เนื่องจากดีเอสไอคัดค้านการประกันตัว และศาลให้เหตุผลว่าคดีนี้เป็นคดีร้ายแรงเกี่ยวกับความมั่นคง เกรงว่าผู้ต้องหาออกไปแล้วจะไปยุ่งกับพยานหลักฐาน ผู้ต้องหาจึงถูกนำตัวส่งเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในเย็นวันนี้ (26 พ.ค.)

******
เรื่องเกี่ยวเนื่อง

-รายงานประชาไท:เสวนาวิพากษ์การใช้กฎหมายหมิ่นฯ ที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ องค์การนิรโทษกรรมสากล เสนอต่อรัฐบาลไทยให้หยุดใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมฯ ไปก่อน จนกว่าจะมีการปรับปรุงแก้ไขที่เคารพมาตรฐานของกฎหมายสิทธิมนุษยชนสากล นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้นักโทษมโนธรรมสำนึกที่ถูกจำคุกด้วยกฎหมายหมิ่นฯได้รับการปล่อยตัวโดยทันที
http://redusala.blogspot.com