วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556

งิ้วธรรมศาสตร์ : โทษกรรมชั่งเอียงเอียง

งิ้วธรรมศาสตร์ : โทษกรรมชั่งเอียงเอียง

          ในคำปรารภของสูจิบัตรงิ้วของชมรมโดมรวมใจ เล่าว่า เหตุการณ์ความโหดเหี้ยมในครั้งนั้น มีการสังหารประชาชนไร้อาวุธจำนวนเกือบร้อยศพ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หกศพที่หลบลี้หนีภัยการปราบปรามเข้าไปในเขตอภัยทานวัดปทุมวนาราม การสังหารผู้คนจำนวนมากกลางเมืองเช่นนี้ ถือเป็นอาชญากรรมทางการเมืองที่ป่าเถื่อนและใกล้ตัวที่สุด แต่ดูเหมือนว่าสื่อกระแสหลัก และชนชั้นกลางบางกลุ่มในสังคมไทยจะมองข้ามอาชญากรรมครั้งนั้น แต่ไปร่ำรำพันอาลัยอาวรณ์กับอาคารห้างสรรพสินค้าที่ถูกไฟไหม้ ด้วยเหตุนี้ แกนกลางของเนื้อหาสำหรับงิ้วเรื่องนี้ก็คือ ความพยายามเรียกร้องความเป็นธรรมในกรณีดังกล่าว

          ผู้เขียนบทงิ้วและกำกับการแสดงเรื่องนี้ คือ คุณสุขุม เลาหพูนรังสี ซึ่งเป็นนักเขียนและนักแต่งบทกวีที่มีความสามารถอย่างยิ่ง คุณสุขุมได้อธิบายถึงความเป็นมาโดยย่อของงิ้วการเมืองว่า ถือกำเนิดในยุคเผด็จการ โดยจัดทำขึ้นเพื่อจะเสียดสีนโยบายหรือวิธีการปกครองในยุคมืดทางการเมืองเช่นนั้น นักศึกษาที่รักประชาธิปไตยค้นพบทางออกจากการแสดงงิ้วว่า การแสดงงิ้วต้องแต่งหน้าแต่งตา จนยากที่จะจดจำได้ว่าใครเป็นผู้แสดง จึงสร้างความปลอดภัยขั้นหนึ่งสำหรับผู้แสดง นอกจากนี้ นิยายและพงศาวดารจีนมีเรื่องราวจำนวนมากที่เป็นที่รับรู้ในหมู่คนไทย จึงสามารถหนิบยกมาปรับให้เสียดสีล้อเลียนการเมืองไทยในขณะนั้นได้อย่างไม่ยากนัก จากนั้น การแสดงงิ้วในลักษณะดังกล่าวก็ยังพัฒนาต่อมา จนถึงงิ้วการเมืองของฝ่ายพันธมิตรเมื่อ พ.ศ.2548 แต่จุดอ่อนของงิ้วการเมืองเช่นนี้ คือขาดความพิถีพิถัน นักแสดงก็ไม่ค่อยมีพื้นฐานการแสดง บทงิ้วก็เขียนแบบง่ายๆ หรือมีบทเจรจาไม่มีบทร้อง หรือมุ่งจะด่าอย่างไม่มีศิลปะ เน้นความสะใจของผู้ชม ซึ่งมีลักษณะเป็นการเล่นปาหี่มากกว่างิ้ว

[IMG]

          ดังนั้น งิ้วการเมืองที่จัดแสดงครั้งนี้ จะพยายามทำขึ้นโดยการเคารพศิลปะของการแสดงงิ้วอย่างแท้จริง ให้มีการร้องแบบงิ้วต้นตำรับ มีการรำอันเป็นท่วงท่าเอกลักษณ์ของการแสดงงิ้ว และมีเครื่องดนตรีจีนเล่นประกอบสมบูรณ์แบบ เนื้อหาของเรื่องก็จะเน้นการเล่าที่เรื่องเป็นระบบ เน้นความสะเทือนใจที่เปาบุ้นจิ้นต้องจำนนต่ออำนาจอธรรม และนี่คือความพยายามในการสร้างงิ้วที่แตกต่างจากปาหี่ที่เคยเล่นกันมา

           แต่กระนั้น ในบทความนี้ จะพิจารณาบทงิ้วเรื่องนี้ในฐานะวรรณกรรมเรื่องหนึ่ง โดยเริ่มจากการอธิบายเนื้อเรื่องของวรรณกรรม คือ การพิจารณาคดีบนโลกมนุษย์ต่อกรณี 6 ศพที่หลบในวัดแล้วถูกฆ่าตายไม่มีความคืบหน้า แม้แต่เวลาผ่านไป 3 ปีแล้ว ก็ยังไม่มีการฟ้องร้องกล่าวหาใครเลย ทั้งที่โดยสามัญสำนึกของคนทั่วไปก็พอรู้ได้ว่าใครควรจะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำอันป่าเถื่อนนี้ จึงสรุปในขั้นต้นได้ว่า “ความยุติธรรมที่มาช้า ก็ไม่ต่างอะไรกับความอยุติธรรม” แม่นางหงซิงเซียน มารดาของผู้เสียชีวิต จึงสะท้อนว่า


แผ่นดินใด ไร้สิ้น ยุติธรรม  ความมืดดำ ย่อมงำแฝง ทุกแห่งหน
ย่อมไม่ผิดขุมนรก หมกมืดมน ใครยอมทน ย่อมเขลาโง่ กว่าโคควาย
ดังนั้น ผู้ถูกสังหาร 6 คน จึงได้นำคดีนี้ไปร้องเรียนต่อเอี๋ยนอ๋องที่เป็นประมุขในยมโลก เอี๋ยนอ๋องจึงได้เชิญเปาบุ้นจิ้น ผู้ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมจากโลกมนุษย์ลงไปตัดสินคดีความ เหยื่อที่ถูกสังหารได้ร้องเรียนว่า อำมาตย์หม่าเคอะเป็นผู้ใช้กำลังสั่งทหารมาประหารตายคาวัด และตุลาการชั่งเอียงเอียงช่วยถ่วงเวลาล่าช้าปกปิดความชั่ว เปาบุ้นจิ้นจึงได้เรียกวิญญาณของหม่าเคอะ และช่างเอียงเอียง มาไต่สวนในยมโลก จากนั้นได้มีการพิจารณาโทษกรรมของหม่าเคอะที่เป็นฆาตกรหลัก และช่างเอียงเอียง ผู้สมคบคิด ในที่นี้ จะขอยกตัวอย่างโทษกรรมของช่างเอียงเอียงที่วรรณกรรมนี้ได้สะท้อนไว้ดังนี้
เอียงเอียงเบี่ยงตาชั่ว ไร้หลักตั้งช่างเอียงเอียง
ตีความอย่างบิดเบี่ยง ไปตามธงสั่งลงมา


คนถูกทำจนผิด  แล้วเบือนบิดลงอาญา
ใครท้วงไม่นำพา  หลงตัวว่าเหนือมนุษย์


เอาอคติตน  คอยฉ้อฉลไม่ยอมหยุด
หลักการแตกซ่านทรุด จนต่ำสุดถูกเหยียบจม


กฎหมายไม่เปิดกาง กลับไปอ้างพจนานุกรม
หลักการจึงแหลกล่ม ยิ่งหมมหมักหลักทลาย


อคติเป็นที่ตั้ง  เที่ยวสั่งขังคนจนตาย
ไม่เหลือแล้วยางอาย อวดยะโสหยิ่งโอหัง


ลืมหลักจนไฟลุก  กลียุคจึงประดัง
กี่ศพถูกกลบฝัง  ฆาตกรในชุดครุย


แม้มือไม่ได้ฆ่า  แต่อาญาแบบชุ่ยชุ่ย
เลือดจึงไหลหลากลุย มหันต์โทษเท่าเทียมทัน

         แต่ปรากฏว่า เปาบุ้นจิ้นไม่สามารถตัดสินลงโทษฆาตกรทั้งสองได้ เพราะหม่าเคอะมีหยกศักดิ์สิทธิ์ ม.7 ที่ได้รับมอบจากองค์กรอิสระสวรรค์แต่งตั้งไว้เป็นภูมิคุ้มกัน ส่วนช่างเอียงเอียงก็มีป้ายหยกศักดิ์สิทธิ์ที่เนติสวรรค์ประทานไว้คุ้มครอง เปาบุ้นจิ้นคับแค้นใจ จนต้องร้องถามฟ้าว่า

อำนาจฟ้ามาจุนเจือเอื้อคนผิด  หยกศักดิ์สิทธิ์ใยยื่นมอบชอบไฉน
เหมือนมอบดาบให้โจรพาลระรานไป  โลกไฉนไร้แสงธรรมส่องนำทาง

         แต่ในท้ายที่สุด วรรณกรรมเรื่องนี้ก็จบลงตรงที่ว่า เปาบุ้นจิ้นก็สามารถหาอุบายมาลงโทษหม่าเคอะและช่างเอียงเอียงได้สำเร็จ ซึ่งก่อให้เกิดความยุติธรรมในเนื้อเรื่องเป็นอย่างน้อย แม้ว่าในโลกของความเป็นจริง ทั้งหม่าเคอะและช่างเอียงเอียง ยังคงอยู่ในเกราะกำบังของอำนาจแห่งอำมาตยาธิปไตยก็ตาม
        สำหรับผู้สนใจ การแสดงงิ้วเรื่องนี้ ยังมีรอบสุดท้ายในวันที่ 13 ตุลาคม เวลาสองทุ่ม ผู้ชมก็คงจะได้รับทั้งศิลปะการแสดงและเนื้อหาของเรื่องที่เป็นวรรณกรรมอันน่าสนใจไปพร้อมกัน
 ที่มา: โลกวันนี้วันสุข ฉบับที่ 433 วันที่ 12 ตุลาคม 2556

ร้อง DSI สอบ ‘อภิสิทธิ์’ อนุมัติเงิน สสส.ผิดวัตถุประสงค์

ร้อง DSI สอบ ‘อภิสิทธิ์’ อนุมัติเงิน สสส.ผิดวัตถุประสงค์
          ชมรมนักกฎหมายฯ ร้องกรมสอบสวนคดีพิเศษสอบ ‘อภิสิทธิ์’ สมัยเป็นประธาน สสส.พร้อมคณะกรรมการกองทุนฯ 17 คน อนุมัติเงินปรับปรุงอาคารให้มูลนิธิผู้บริโภคผิดวัตถุประสงค์ของกองทุน ด้าน ‘ธาริต’ มอบหมายให้ ‘ธานินทร์’ ตรวจสอบ

 
         วันนี้ (10 ต.ค.56) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายธำรง หลักแดน รองประธานชมรมนักกฎหมายพิทักษ์ผลประโยชน์รัฐ (กพผร.) เดินทางเข้าพบนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษและขอให้ตรวจสอบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พร้อมกรรมการทั้งคณะรวม 17 คน กรณีที่กระทำผิดมิชอบโดยให้ความเห็นชอบอนุมัติเงินจากกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ จำนวน 3 ล้านบาท เป็นค่าปรับปรุงอาคารให้แก่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จากการประชุมคณะกรรมการกองทุนฯ ครั้งที่ 6/2553 เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 53
 
         นายธำรงค์ กล่าวว่า กพผร.ซึ่งเป็นชมรมที่ทำหน้าที่ในการตรวจสอบการดำเนินการต่างๆ ของภาครัฐให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้ทำการตรวจสอบกรณีดังกล่าวพบว่า คณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ ได้มีการอนุมัติและจ่ายเงินให้แก่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเป็นเงินจำนวน 3 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าปรับปรุงอาคารให้แก่มูลนิธิผู้บริโภค ซึ่งเป็นกิจการนอกเหนือวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ และไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ ในมาตรา 5 พ.ร.บ.กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ.2544
 
        ทาง กพผร.จึงเห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวของคณะกรรมการกองทุนฯ นั้นได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศ จึงได้มาร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน เพื่อขอให้ตรวจสอบนายอภิสิทธิ์ และคณะกรรมการกองทุนฯ หากพบว่าเป็นการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ขอให้ดำเนินคดีจนถึงที่สุดต่อไป
 
        ด้านนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า ดีเอสไอจะมอบหมายให้นายธานินทร์ เปรมปรีดิ์ รอง ผบ.สำนักคดีอาญา 2 และ ผอ.ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทุจริต ดีเอส ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบการใช้เงินผิดประเภทของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว เนื่องจากทั้ง 2 เรื่องอาจมีรายละเอียดที่ลักษณะเดียวกัน
 
         นายธานินทร์ กล่าวว่า จะขอให้นายธาริต ทำหนังสืออนุมัติการสืบสวนเพื่อส่งหนังสือสอบถามไปยัง สสส.ว่ามีการนำเงินไปใช้จ่ายให้กับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคจำนวนเท่าใด ใครเป็นผู้สั่งการและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การใช้เงินกองทุนหรือไม่ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่ามีการใช้เงินผิดประเภทตามที่ผู้ร้องกล่าวโทษหรือไม่
 
         นายธานินทร์ ยังให้รายละเอียดด้วยว่า กองทุน สสส.มีที่มาของเงินกองทุนร้อยละ 2 จากกฎหมายว่าด้วยสุราและยาสูบ ในปี 2555 มีรายได้จากส่วนแบ่งของภาษีสุรา ยาสูบ ประมาณ 4,680 ล้านบาท โดยกำหนดวัตถุประสงค์การใช้เงินกองทุนไว้ 6 ข้อ ได้แก่ 
  • 1.ส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพในประชากรตามนโยบายสุขภาพแห่งชาติ 
  • 2.สร้างความตระหนักเรื่องพฤติการณ์การเสี่ยงจากการบริโภคสุรา ยาสูบหรือสารหรือสิ่งอื่นที่ทำลายสุขภาพและสร้างความเชื่อในการสร้างเสริมสุขภาพ
  • 3.สนับสนุนการรณรงค์ให้ลดการบริโภคสุรา ยาสูบ หรือสารหรือสิ่งอื่นที่ทำลายสุขภาพ 
  • 4.ศึกษาวิจัยหรือสนับสนุนให้มีการศึกษาวิจัย ฝึกอบรมให้มีการประชุมเกี่ยวกับการสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ 
  • 5.พัฒนาความสามารถของชุมนุมในการเสริมสร้างสุขภาพโดยชุมชนหรือองค์กรเอกชน องค์กรสาธารณะประโยชน์ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ และ 
  • 6.สนับสนุนการรณรงค์สร้างเสริมสุขภาพผ่านกิจกรรมในลักษณะเป็นสื่อเพื่อให้ประชาชนสร้างเสริมสุขภาพให้แข็งแรง
 
         “ดังนั้นจึงต้องขอทราบรายละเอียดที่ชัดเจนจาก สสส.ว่ามีการกำหนดวัตถุประสงค์ปลีกย่อยเพื่อใช้จ่ายเงินกองทุนในกิจการอื่นนอกเหนือจากวัตถุประสงค์หรือไม่” นายธานินทร์ กล่าว
 
ที่มา: เรียบเรียงจาก โพสต์ทูเดย์เนชั่นทันข่าว

แท็กซี่เสื้อแดงอัมพวาเหยื่อพิษแก๊สน้ำตา 10 เมษา เสียชีวิตแล้ว

แท็กซี่เสื้อแดงอัมพวาเหยื่อพิษแก๊สน้ำตา 10 เมษา เสียชีวิตแล้ว
         'ประชา ศรีคูณ' คนขับรถแท็กซี่เสื้อแดงอัมพวาเหยื่อพิษแก๊สน้ำตา 10 เมษา อัมพาตกว่า 3 ปี เสียชีวิตแล้ว ภรรยาเผยได้รับเงินเยียวยาสมัย รบ.อภิสิทธิ์ แต่ยังไม่ได้ใน รบ.นี้
ภาพประชา ขณะรักษาตัวที่โรงพยาบาล เมื่อวันที่ 7 เม.ย.55
         10 ต.ค. 56 นางจิตตรา ศรีคูณ อายุ  66 ปี ภรรยานายประชา ศรีคูณ คนขับรถแท็กซี่เสื้อแดง วัย 64 ปี ผู้บาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมในวันที่ 10 เม.ย.53 แจ้งกับผู้สื่อข่าวว่าสามีซึ่งนอนเป็นอัมพาตอยู่ที่โรงพยาบาลนภาลัย อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม เป็นเวลากว่า 3 ปี เสียชีวิตแล้วในวันนี้ และตั้งศพสวดอภิธรรมศพที่วัดอัมพวัน อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม โดยมีกำหนดฌาปณกิจ ในวันที่ 15 ต.ค.นี้
        นางจิตตรา กล่าวว่า สามีของเธอมีโรคประจำตัวเป็นโรคภูมิแพ้ และล้มป่วยลงหลังถูกแก๊สน้ำตาขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารพยายามสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าเมื่อวันที่ 10 เม.ย.53 โดยหลังจากที่ประชาถูกแก๊สหนีกลับมาพักที่บ้าน วันถัดมาเกิดอาการชักและทรุดลงจึงส่งตัวเข้าโรงพยาบาลใช้เวลารักษา เข้าออกโรคพยาบาลอยู่สักพักก็อาการหนักขึ้นจนเป็นอัมพาต จนกระทั่งเสียชีวิตวันนี้
ภาพการรดน้ำศพ จากเฟซบุ๊ก Jittra Cotchadet
          สำหรับการช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐนั้น นางจิตตรา กล่าวว่าได้รับเงินเยียวยาในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ในฐานะผู้ได้รับบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุม เป็นจำนวนเงิน 103,000 บาท สำหรับรัฐบาลนี้ยื่นเรื่องไปกับกระทรวงพัฒนาสังคมเพื่อเรียกร้องเงินเยียวยาตามนโยบายของรัฐบาลแล้ว แต่ยังไม่มีความคืบหน้า
        นางจิตตรา กล่าวอีกว่า เธอและสามีสนใจติดตามการเมืองโดยตลอด ตัวเธอเคยมีส่วนร่วมชุมนุมขับไล่จอมพลถนอม กิตติขจร ตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลา 16 ด้วย จนกระทั่งก่อนรัฐประหาร ตนและสามีซึ่งชื่นชอบในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงได้ร่วมชุมนุมคาราวานคนจนที่สวนจตุจักรต้นปี 49 หลังจากนั้นเกิดรัฐประหารก็ร่วมเคลื่อนไหวต่อต้านมาโดยตลอด

"ชัชชาติ" เปิดโรดโชว์ "สร้างอนาคตไทย 2020"อลังการ ชาวโคราชแห่ชม แถวยาวกว่า 300 เมตร


"ชัชชาติ" เปิดโรดโชว์ "สร้างอนาคตไทย 2020"อลังการ ชาวโคราชแห่ชม แถวยาวกว่า 300 เมตร


         วันที่ 11 ตุลาคม 2556 (go6TV) – ที่อาคารเรียนรวม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดงานโรดโชว์ “สร้างอนาคตไทย 2020” ครั้งที่ 2 ขึ้น พร้อมกับแสดงปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “สร้างอนาคตไทย 2020” โดยมีข้าราชการ นักการเมือง นักธุรกิจ พ่อค้า ประชาชน และนักเรียนนักศึกษา ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดใกล้เคียงร่วมงานกว่า 5,000 คน

         การจัดงานโรดโชว์ “สร้างอนาคตไทย 2020” ในครั้งนี้ ได้มีการจัดแสดงนิทรรศการเป็น 2 ส่วน 9 โซน เพื่อให้ประชาชนได้ชมและศึกษาเกี่ยวกับอนาคตไทยในปี ค.ศ.2020

โดยส่วนที่ 1 แบ่งออกเป็น 4 โซน ได้แก่
  • โซนที่ 1 ทำไมต้องสร้างอนาคตไทย
  • โซนที่ 2 พลิกโฉมคมนาคมไทย
  • โซนที่ 3 ระบบรางสร้างอนาคต
  • โซนที่ 4 รถไฟความเร็วสูงจำลอง
และส่วนที่ 2 แบ่งออกเป็น 5 โซน ได้แก่
  • โซนที่ 1 ภูมิภาค ชีวิต และอนาคต
  • โซนที่ 2 ถิ่นนี้อีสานเหนือ (หรืออีสานใต้)
  • โซนที่ 3 เชื่อมโยงชีวิต เศรษฐกิจ ทุกทิศทั่วไทย
  • โซนที่ 4 เมืองใหม่ อนาคตใหม่
  • โซนที่ 5 อีสานเหนือ (หรืออีสานใต้)
         วันพรุ่งนี้ (12 ต.ค.) โดยในจำนวนทั้ง 9 โซนนี้ ประชาชนให้ความสนใจการเข้าไปนั่งรถไฟความเร็วสูงจำลองมากที่สุด เพราะมีการยืนต่อแถวยาวกว่า 300 เมตร จนเจ้าหน้าที่ต้องจัดระเบียบให้เข้านั่งได้ไม่เกิน 40 คน

         งานโรดโชว์ “สร้างอนาคตไทย 2020” นี้ ทางกระทรวงคมนาคมจัดขึ้น เพื่อให้ข้อมูลรอบด้านเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานทางคมนาคม และขนส่งของไทย โดยเน้นไปที่รายละเอียดของโครงการที่จะเกิดขึ้นทั่วประเทศ ตามติดเส้นทางรถไฟความเร็วสูงสู่ภูมิภาค พร้อมจำลองตู้รถไฟความเร็วสูงมาให้ทดลองนั่ง สัมผัสกับประสบการณ์เสมือนจริง นอกจากนี้ยังเจาะลึกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในภูมิภาคต่างๆ เช่น เส้นทางใหม่และเครือข่ายการคมนาคมที่เชื่อมโยงถึงกันในอนาคต รูปแบบเศรษฐกิจ การค้า อาชีพ และชีวิต ที่จะดำเนินต่อไปอย่างเข้มแข็ง พร้อมกับเผยโฉมเมืองใหม่ที่จะเกิดขึ้นรายรอบเส้นทางรถไฟ และคุณภาพชีวิตที่ถูกเติมเต็มในอนาคต โดยกำหนดจัดขึ้นที่อาคารเรียนรวมมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน อ.เมือง จ.นครราชสีมา ระหว่างวันที่ 11 – 13 ตุลาคมนี้

"ทักษิณ" FB อยู่เมืองนอกไม่สูญเวลาเปล่า ใช้โอกาสเพิ่มสัมพันธ์ไทย-ตปท.


"ทักษิณ" FB อยู่เมืองนอกไม่สูญเวลาเปล่า ใช้โอกาสเพิ่มสัมพันธ์ไทย-ตปท.

           วันที่ 11 ตุลาคม 2556 (go6TV) – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงบ่าย ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัวhttps://www.facebook.com/thaksinofficial โดยมีข้อความดังนี้




Turn My Exile to Learning Period (1)

           หัวข้อนี้ผมอยากจะบอกว่าการที่ผมต้องมาลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ นั้นผมก็ไม่ยอมให้เสียเวลาโดยสูญเปล่า นั่งเศร้าสร้อยเครียดอยู่คงไม่เกิดประโยชน์อะไร เหมือนที่ตอนผมบวชพระสวดมนต์ตอนเย็น ก็จะมีตอนหนึ่งบอกว่า วันคืนล่วงไป ล่วงไปบัดนี้เราทำอะไรอยู่ ผมก็เลยต้องเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยการใช้เวลาเรียนรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในโลกนี้ได้อย่างใกล้ชิด เข้าถึงให้มากที่สุด ผมได้เห็นโลกในทุกมิติ ทั้งโลกมืด โลกมัวๆ และโลกสว่างไสว แล้วก็หันมามองเมืองไทยเพื่อจะทำทุกอย่างให้เกิดประโยชน์กับประเทศไทย เพราะถึงแม้ว่าผมจะไปอยู่มุมไหนของโลก ก็คิดตลอดเวลาว่าผมเป็นคนไทยที่รักประเทศไทย

         แน่นอนครับ ผมอาจจะไม่ได้อยู่ใกล้กับครอบครัว ไม่ได้มีโอกาสให้ความอบอุ่นครอบครัวอย่างใกล้ชิด ไม่ได้ฝึกฝนลูกๆอย่างใกล้ชิด ผมก็ต้องปรับตัว เป็นการให้ความอบอุ่น ให้ความรู้ ประสบการณ์จากที่ห่างไกล แต่ครอบครัวผมก็เข้มแข็งกันทุกคน ก็อยากจะบอกกับ ผู้ที่รักและปรารถนาดีกับผมและครอบครัวว่า เราอดทน และจะใช้โอกาสนี้สร้างเครือข่ายเพื่อนๆ ทั้งระดับเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ ตลอดจนด้านวิชาการ ให้ได้มากที่สุด และก็จะทยอยแลกเปลี่ยนกับคนไทยผ่าน Facebook ของผมไปเรื่อยๆเท่าที่จะมีเวลาครับ

          วันที่ 15 ตุลาคมนี้ ผมก็จะไปพูดเรื่อง One Asia ซึ่งตอนนี้ก็มีการพูดถึง One Asia มากขึ้นเพราะ Asia เป็นEconomic Growth Area ของโลกอยู่ในขณะนี้ เพราะ Asia เป็นทวีปเดียวที่ไม่มี Continent Wide Forum เพราะเรามีความขัดแย้งอยู่เป็นที่ๆ เช่น เกาหลีเหนือ/เกาหลีใต้ อินเดีย/ปากีสถาน ปาเลสไตน์/อิสราเอล นอกจากนั้นยังมีปัญหาในอีกหลายประเทศ อีกทั้งเรายังเป็นทวีปที่ใหญ่ที่สุด มีประชากรมากที่สุด มีคนยากจนมากที่สุด มีคนรวยรวมแล้วก็มากที่สุด ความพยายามที่จะทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวของทวีปเอเชียเป็นเรื่องที่ทำมานานมาก ซึ่งผมก็เคยได้ริเริ่ม ACD (Asia Cooperation Dialoque) ตอนที่ผมยังเป็นนายกฯแล้ว แต่ก็ยังมีสมาชิกไม่ครบทั้งทวีป แต่ก็เป็นประเทศสำคัญๆทั้งนั้น

          วันนี้อยากเล่าเรื่องจีนให้ฟังครับ ว่าวันนี้จีนได้พัฒนาไปมากและเร็วกว่าที่ทุกคนจะคิด ที่เป็นเช่นนี้เพราะจีนเป็นประเทศที่มียุทธศาสตร์ ในการก้าวเดินตลอดเวลา มีการใช้ระบบที่เรียกว่า Division of Labor มาประยุกต์เข้ากับกาลสมัย เขามีโครงสร้างของพรรค คู่ขนานกับโครงสร้างชองการบริหาร โดยให้โครงสร้างของพรรคทำหน้าที่กำหนดและควบคุมนโยบายและยุทธศาสตร์

         ส่วนโครงสร้างของฝ่ายบริหารมีหน้าที่ปฏิบัติและใกล้ชิดกับการบริการประชาชน โดยทั้งสองฝ่ายทำงานด้วยกันอย่างใกล้ชิดมีวินัย โดยแบ่งเป็นชั้นๆ ตั้งแต่ชั้นหมู่บ้าน ขึ้นไปถึงชั้นอำเภอ จังหวัด และมณฑล แม้กระทั่งกระทรวงก็ยังมีเลขาพรรคประจำทุกกระทรวง ที่พูดมานี้อาจจะใช้ไม่ได้สำหรับบ้านเรา แต่ต้องการชี้ให้เห็นว่า การทำงานให้สำเร็จต้องทำอย่างมียุทธศาสตร์ มีการกำกับนโยบายให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ และมีการติดตาม ประเมินผลงานตลอดเวลา

         นอกจากนั้นจะต้องมีการมองภาพใหญ่ ลงมาจนถึงภาพเล็กๆ ไม่ให้เกิดความขัดแย้งกัน เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงหรือการสั่งการครั้งหนึ่งจากจุดสูงสุดจะลงไปถึงทุกจุดอย่างรวดเร็ว อีกอย่างหนึ่งที่ผมประทับใจประเทศใหญ่ๆอย่างจีนและอเมริกาก็คือเวลาผมไปพบระดับบริหารท่านหนึ่ง พูดอะไรไว้ ก็จะมีการส่งบทสนทนาไปยังผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องทุกระดับ เช่นผมพูดกับรัฐมนตรีว่าอย่างไร พอไปพบระดับนายกฯเขาจะทราบเรื่องและต่อเรื่องได้ทันที ทำให้การเจรจาความระหว่างประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพครับ

     มาจีนคราวนี้ได้รับเชิญให้ไปพบระดับสูงมาหลายครั้ง เพื่อเพิ่มพูนความสัมพันธ์ ไทย-จีน และอาเซียน-จีนครับ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2557 วงเงิน 2.5ล้านล้านบาท


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พ.ร.บ.งบประมาณปี 2557 วงเงิน 2.5ล้านล้านบาท






           วันที่ 11 ตุลาคม 2556 (go6TV) – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีประกาศราชกิจจานุเบกษา เล่ม 130 ตอนที่ 93 ก. ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2556 ความว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองโปรดเกล้าฯให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา โดยงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 ให้ตั้งเป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 2,525,000,000,000 บาท มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2556 เป็นต้นไป


ศาลฎีกาฯ เฉือด “พล.อ.เสถียร” แจ้งบัญชีเท็จ จำคุก 2 ปี - ห้ามรับตำแหน่งรัฐ 5 ปี


ศาลฎีกาฯ เฉือด “พล.อ.เสถียร” แจ้งบัญชีเท็จ จำคุก 2 ปี - ห้ามรับตำแหน่งรัฐ 5 ปี


          วันที่ 9 ตุลาคม 2556 (go6TV) - ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อม.1/2556 หมายเลขแดงที่ อม.6/2556 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยื่นฟ้อง พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ในข้อหาเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐจงใจยื่นแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จ จากกรณีที่ พล.อ.เสถียร ไม่แสดงรายการบัญชีทรัพย์สินของตนและคู่สมรส (นางณัฐณิชาช์ เพิ่มทองอินทร์) จากกรณีเข้ารับตำแหน่งกรรมการองค์การคลังสินค้า (อคส.) กระทรวงพาณิชย์ ระหว่างปี 2550-2551

  • ในกรณีเข้ารับตำแหน่ง (27 ก.พ.2550) คือเงินฝากธนาคาร 16 บัญชี เป็นเงิน 2,842,884.77 บาท เงินลงทุนมูลค่า 9,913,405,64 บาทที่ดินจำนวน 4 แปลง มูลค่า 618,000 บาท รวมทรัพย์สินที่ไม่แสดงจำนวน 13,374,290.41 บาท และเงินกู้ยืม จำนวน 1,500,000 บาท
  • ในกรณีพ้นจากตำแหน่ง (15 ก.พ.2551) คือเงินฝากธนาคาร 15 บัญชี เป็นเงิน 1,929,330.89 บาท เงินลงทุนมูลค่า 8,540,629 บาท ที่ดินจำนวน 4 แปลง มูลค่า 618,000 บาท รวมทรัพย์สินที่ไม่แสดงจำนวน 11,087,959.89 บาท และเงินกู้ยืมจำนวน 1,500,000 บาท
  • ในกรณีที่พ้นจากตำแหน่งแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี (16 มี.ค.2552) คือเงินฝากธนาคาร 13 บัญชี เป็นเงิน 393,417.14 บาท เงินลงทุนมูลค่า 1,629,600 บาท ที่ดินจำนวน 4 แปลง มูลค่า 618,000 บาท รวมทรัพย์สินที่ไม่แสดงจำนวน 2,641,017.14 บาท และเงินกู้ยืมจำนวน 1,500,000 บาท
         แต่เนื่องจากกรณีเข้ารับตำแหน่ง คดีขาดอายุความแล้ว ป.ป.ช.จีงยื่นฟ้อง พล.อ.เสถียรแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ เฉพาะกรณีพ้นจากตำแหน่งและพ้นจากตำแหน่งแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี

         ขณะที่ศาลชี้ว่า กรณีพ้นจากตำแหน่งคดีขาดอายุความแล้ว จึงจะวินิจฉัยเฉพาะกรณีพ้นจากตำแหน่งแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี  โดยพบว่า พล.อ.เสถียร ไม่ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. รวม 5 รายการ ประกอบด้วย
  • (1) บัญชีเงินฝากประจำธนาคารทหารไทยจำกัด (มหาชน) สาขาอุบลราชธานี เลขที่บัญชี 305-3-32657 6/11 ของผู้คัดค้าน
  • (2) รายการเงินลงทุนในสหกรณ์ออมทรัพย์หน่วยบัญชีทหารพัฒนา จำกัด ของผู้คัดค้าน
  • (3) รายการเงินลงทุนใน หจก.กรุณาภรณ์ สหกิจ 1997 ของคู่สมรส จำนวน 1,500,000 บาท
  • (4) ที่ดิน น.ส. 3 ก. เลขที่ 1461 และเลขที่ 1526 ต.แสนสุข (ธาตุ) อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ของคู่สมรส และ
  • (5) รายการหนี้สินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือกับ หจก.กรุณาภรณ์ สหกิจ 1997 ของคู่สมรส มูลค่า 1,500,000 บาท
          องค์คณะผู้พิพากษา ศาลฎีกาฯ จึงมีคำพิพากษาว่า พล.อ.เสถียร จงใจยื่นแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.ด้วยความข้ออันเป็นเท็จ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 264 ประกอบมาตรา 263 วรรคหนึ่ง และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 41
       โดยมีโทษ ห้าม พล.อ.เสถียรดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ 15 ก.พ.2551 และมีโทษทางอาญา จำคุก 2 เดือน และปรับ 4,000 บาท แต่เนื่องจาก พล.อ.เสถียร ไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี

"พานทองแท้" เผยผลโพลล์ 'นโยบาย-คำพูด' เหล่าอดีตนายกฯฝังใจประชาช


"พานทองแท้" เผยผลโพลล์ 'นโยบาย-คำพูด' เหล่าอดีตนายกฯฝังใจประชาช

         วันที่ 9 ตุลาคม 2556 (go6TV) – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัวhttps://www.facebook.com/oakpanthongtae โดยมีเนื้อหาดังนี้




         พานทองแท้โพลล์" ได้สำรวจความคิดเห็น ของพี่น้องประชาชน ในหัวข้อ "พี่น้องประชาชนไทย มีภาพจำในนโยบายและคำพูด ของอดีตนายกรัฐมนตรีไทยคนไหนบ้าง" ได้ผลออกมาน่าสนใจครับ

       ผมขอคัดเอามาเฉพาะที่มีคนโหวตสูงสุดจำนวน5ท่านแรก เรียงตามปีที่ดำรงตำแหน่งนะครับ เป็นท่านอดีตนายกฯที่มาจากหลายพรรคฯด้วยกัน เห็นรูปที่โพสต์นี้แล้ว บรรดาสลิ่ม-แมลงสาบ และคนไทยหัวใจอำมาตย์ทั้งหลาย ที่ชอบแอบเข้ามาอ่านเพจ"พานทองแท้"ทุกวัน บ่อยและเยอะกว่าเข้าไปดูเพจของพรรคประชาธิปัตย์ อาจจะยิ้มกันแก้มแทบปริ เพราะมีอดีตนายกฯที่มาจากพรรคประชาธิปัตย์ ติดโผที่ประชาชนจำฝังใจถึง2คนด้วยกัน อดีตนายกจำนวน5ท่านนี้ได้แก่...
  • 1. ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมทย์ ภาพจำของท่านได้แก่นโยบาย "เงินผัน" และคำพูดว่า "กูไม่กลัวมึง" ครับ
  • 2. พล.อ.ชาติชาย ชุณหวัณ ภาพจำของท่านได้แก่นโยบาย "เปลี่ยนสนามรบ เป็นสนามการค้า" และคำพูดว่า "No Problem" ครับ
  • 3. นายชวน หลีกภัย ภาพจำของท่านได้แก่ นโยบาย "สปก.4-01" (มีภาพจำเรื่อง "ปล่อยหมากัดม็อบ" เยอะเลยครับ แต่คงเป็นเรื่องของพฤติกรรมชั่ววูบ ไม่น่าจะใช่เรื่องนโยบาย เลยขอตัดทิ้งครับ)  และคำพูดว่า "เสียใจแต่ไม่ขอโทษ" ครับ
  • 4. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ภาพจำของท่านได้แก่ นโยบาย "ประชานิยม" และคำพูดว่า "ผมจะเป็นนายกฯ ที่ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และผมขอประกาศสงคราม ยาเสพติด ความยากจน และคอร์รัปชั่น" ครับ (ไม่ได้เข้าข้างพ่อ เลยเขียนยาวกว่าท่านอื่นนะครับ แต่คนโหวตแบบนี้เยอะจริงๆครับ)
  • 5. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ภาพจำของท่านได้แก่ นโยบาย "โรงพักเข้มแข็ง, ไข่ชั่งกิโล, นมโรงเรียน(บูด) และปลากระป๋อง(เน่า)" และคำพูดว่า "เหี้ย กระหรี่ อีโง่" ครับ (ไม่ได้เข้าข้างอภิสิทธิ์ฯ เลยเขียนยาวกว่าท่านอื่นนะครับ แต่คนโหวต"เหี้ย"นี่เยอะจริงๆครับ)
         ก็ต้องขอแสดงความยินดีกับอดีตนายกรัฐมนตรี ทั้ง 5 ท่านไว้ตรงนี้นะครับ สิ่งที่ท่านทำมาประสบความสำเร็จในการ Branding หรือการทำให้พี่น้องประชาชนเกิด "ภาพจำ ติดตา ติดใจ" ในนโยบายและคำพูดของท่านมากกว่าคนอื่นๆ ส่วน "ภาพจำ" ดังกล่าวนั้น ใครจะคิดในแง่บวกหรือแง่ลบนั้น ผมว่ามันเป็นเรื่องนานาจิตตังครับ อดีตนายกหมายเลข 1 และ 2 นั้นท่านล่วงลับไปแล้ว ท่านทำประโยชน์ให้กับประเทศมากมาย ความเห็นจึงมักเป็นไปในทางบวกเหมือนกัน ไม่ค่อยมีประเด็นอะไรที่เป็นลบที่จะต้องมาถกเถียงกัน

         ส่วนอดีตนายกท่านที่ 3,4,5 นี่ เสียงแตกออกเป็น 2 สี 2 ทางเลยครับ ตัวอย่างเช่นเรื่อง สปก.4-01 บรรดาสลิ่ม-แมลงสาบทั้งหลาย อาจมองนโยบายสปก.4-01 เป็นการนำที่ดินมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะถ้านำที่ดินให้คนจนไปเพาะปลูก ต่อไปก็ต้องมาประกันหรือรับจำนำผลผลิตกันอีก รายได้ต่อพื้นที่ภาคการเกษตรหรือจะดีสู้การท่องเที่ยว สู้ให้นายทุนนำไปสร้างรีสอร์ทไม่ได้ พวกพ้องรวยกันถ้วนหน้า สรุปว่าถ้าจะตะแบงมองเข้าข้างตัวเองกันแบบนี้ โรงพักเข้มแข็ง,ไข่ชั่งกิโล, นมโรงเรียนบูด, ปลากระป๋องเน่า ก็มองในแง่ดีได้หมดแหละ แม้กระทั่งคำพูด เหี้ย,กระหรี่, อีโง่ ศิษย์เก่าอ็อกซ์ฟอร์ดยังมองว่า การพูดคำหยาบเป็นการอนุรักษ์คำไทยโบราณ เพื่อไม่ให้พจนานุกรมมีขนาดเล็กลงเลย (เฮ้อออ...ไม่ทราบเอาสมองส่วนไหนคิดนะครับ..?)

         ส่วนมุมมองความเห็นของคนส่วนใหญ่ของประเทศ ยังมองภาพของสปก.4-01เป็นภาพลบครับ เป็นภาพของการนำที่ดินทำกินของเกษตรกร ไปแจกให้กับนายทุนพรรคพวกตัวเอง ที่รวยอยู่แล้วก็รวยยิ่งๆขึ้นกันไปอีก เราจึงได้ยินคนพูดกันติดปากอยู่เสมอว่า นโยบายของพรรคประชาธิปัตย์นั้น "อุ้มคนรวย ไม่ช่วยคนจน" พี่น้องประชาชน โดยเฉพาะเกษตรกรคนยากคนจน จึงโกรธและเกลียดพรรคประชาธิปัตย์ฝังใจมาจนทุกวันนี้ ส่วนเรื่องคำพูดหยาบคายนั้นหลายคนมองว่า คนเป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรี ควรประพฤติตัวเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เยาวชน ดันพูดจาปราศรัยใช้คำพูดหยาบๆแบบนี้นี่ ใช้ไม่ได้ครับ

         ก็อย่างที่ผมบอกไว้ว่า "นานาจิตตัง"ครับ มุมมองแต่ละคนไม่เหมือนกัน เรื่องง่ายๆเรื่องเดียว คนยังมองตรงข้ามกันได้อย่างสิ้นเชิง ระบอบประชาธิปไตยในประเทศที่เจริญแล้ว เขาจึงต้องฟังเสียงส่วนใหญ่ และเสียงส่วนน้อยต้องรู้แพ้รู้ชนะไม่ตีรวนครับ เมืองไทยของเราไม่ทราบว่า จะต้องเรียนรู้กันไป อีกนานเท่าไหร่จึงจะหันมา รักษากฏกติกามารยาทในระบอบรัฐสภากันอย่างจริงจังเสียทีนะครับ

         มีเวลาว่างเลยเขียนยาวหน่อยนะครับ พอดีช่วงนี้ผ่องงานที่ Voice TV ให้คนอื่นรับช่วงทำไปเยอะ และเห็นว่าคราวที่แล้ว ไปเยี่ยมชาวบ้านที่ประสบภัยน้ำท่วม พรรคประชาธิปัตย์ออกมาตีอกชกลมกันใหญ่ วันนี้นึกสนุกเลยจะลงพื้นที่...เอ๊ยยย..!!...ไปเยี่ยมพี่น้องที่จังหวัดเชียงใหม่ดูบ้าง ว่ามีประเด็นอะไรที่จะมาเล่าสู่กันฟังหรือไม่ แล้วจะโพสต์รูปให้ดูกันนะคร๊าบบบบ.....!!

"นคร มาฉิม" ของขึ้นด่า "อภิสิทธิ์" บริหารพรรคจนแพ้ ยังจะมีตำแหน่งได้อย่างไร ใครจะรับผิดชอบ!


"นคร มาฉิม" ของขึ้นด่า "อภิสิทธิ์" บริหารพรรคจนแพ้ ยังจะมีตำแหน่งได้อย่างไร ใครจะรับผิดชอบ!


         นายนคร มาฉิม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะคณะกรรมการเสนอแนวทางปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ว่า รู้สึกผิดหวังที่โมเดลการปฏิรูปพรรคของเราได้รับความเห็นชอบเพียงบางส่วน

       "สิ่งที่เป็นจุดอ่อนยังไม่ถูกแก้ไข จุดแข็งก็ยังไม่ถูกสร้าง ทำให้พรรคยังไม่ได้รับการปฏิรูปอย่างแท้จริง ทั้งที่การปฏิรูปไม่ใช่การปฏิวัติ แต่เป็นการเสริมจุดแข็งให้แก่พรรคในทุกมิติ ให้นำไปสู่การเป็นสถาบันทางการเมือง ไม่ยึดติดกับบุคคลและเพื่อเป็นพรรคทางเลือก ตอบโจทย์ให้แก่ประชาชนและประเทศชาติ ซึ่งหากประชาธิปัตย์ยังอยู่ในกรอบคิดในวิถีทางเดิมแบบนี้ ก็จะลบคำสบประมาทที่ว่าเราแพ้การเลือกตั้งมากว่า 20 ปีลงไปไม่ได้ "นายนคร กล่าวและว่า

          สมาชิกพรรคกว่าครึ่งหนึ่งเห็นด้วยกับแนวทางการปฏิรูป แต่สมาชิกพรรคและผู้ใหญ่บางคนยังไม่แสดงออก สงวนท่าที ทำเหมือนบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น เนื่องจากเกรงว่าหากโมเดลนี้ไม่ผ่านจะส่งผลกระทบต่อลำดับในบัญชีรายชื่อ กลัวว่าจะไม่มีตำแหน่ง ส่วนกลุ่มคนที่มีอำนาจอยู่ในพรรคก็ย่อยสลายทำลายแผนปฏิรูป กลัวเสียตำแหน่งที่มีอยู่สำหรับเอาไว้พิมพ์ในนามบัตร

        "ถ้าบริหารพรรคแล้วชนะก็จะไม่มีใครว่าอะไร แต่ถามกลับว่าหากบริหารแล้วแพ้การเลือกตั้งแบบนี้จะเข้าไปมีอำนาจหรือตำแหน่งได้อย่างไร และใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งที่ผ่านมาหัวหน้าพรรคก็ได้ไฟเขียวให้มีการเสนอไปยังคณะกรรมการบริหารพรรคแล้ว " นายนคร กล่าว

       เขายังกล่าวถึงกรณีที่นายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เคยเสนอว่า คือความหวังดี มีประโยชน์ อย่างยิ่งต่อประชาธิปัตย์และบ้านเมือง

        "แต่ก็น่าเสียดายที่ถูกปฏิเสธไปเช่นกัน บนบ้านที่เก่าแก่ทรุดโทรมหลังนี้ เราต้องเปิดโอกาสให้บุคลากรที่มีประสบการณ์และความสามารถจากทั่วหล้าได้เข้ามาเติมเต็มแก้ไข แต่ถ้ายังมีมุมมองคับแคบ อยู่กันอย่างพรรคพวก หวังสืบทอดอำนาจ ก็จะมีแต่แพ้กับแพ้” นายนคร ชี้

        นายนคร กล่าวต่อว่า ขอให้กำลังใจการเสนอแนวคิดของ นายอลงกรณ์ พลบุตร ต่อไป ซึ่งกลุ่มที่เสนอแนวทางปฏิรูปก็คงต้องทำใจ แต่จะไม่ละทิ้งความพยายาม และอุดมการณ์ อยากให้สมาชิกพรรคที่เห็นด้วยกับแนวทางนี้ช่วยกันสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อปฏิรูปพรรคให้นำไปสู่ความหลากหลาย ชนะการเลือกตั้ง เป็นฝ่ายค้านอย่างสร้างสรรค์ และอยากให้ผู้มีอำนาจในพรรคฟังเราบ้าง

ด่วน ! อัยการสูงสุด สั่งไม่ฟ้อง “ทักษิณ” คดีก่อการร้าย


ด่วน ! อัยการสูงสุด สั่งไม่ฟ้อง “ทักษิณ” คดีก่อการร้าย



             วันที่ 10 ตุลาคม 2556 (go6TV) - ที่สำนักงานอัยการสูงสุด นายวินัย ดำรงค์มงคลกุล ผู้ตรวจการอัยการ เปิดเผยว่า อัยการสูงสุด (อสส.) มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในความผิดฐานสนับสนุนการก่อการร้ายจากการวิดีโอลิงก์ โฟนอิน หรือทวิตเตอร์เข้ามายังสถานที่ชุมนุมของคนเสื้อแดง เมื่อปี 2553 ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ส่งเรื่องมา พร้อมความเห็นว่าไม่ควรสั่งฟ้อง เนื่องจากพยานหลักฐานยังไม่พอรับฟังได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้สนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานก่อการร้าย

         นายอรรถพล ใหญ่สว่าง อสส.กล่าวว่า คดีนี้ นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อสส.คนก่อน ได้มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องคดีก่อนที่ตนจะมาดำรงตำแหน่ง อสส.

        เมื่อถามว่า พนักงานสอบสวนดีเอสไอ มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณใช่หรือไม่ นายวินัย กล่าวว่า พนักงานสอบสวนดีเอสไอมีความเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง โดยคดีนี้เกิดนอกราชอาณาจักร ดังนั้น อสส.จึงเป็นผู้ชี้ขาดว่าจะมีความเห็นสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง

        ในเอกสารประชาสัมพันธ์ของสำนักงาน อสส.ที่แจกจ่ายระหว่างการแถลงข่าว ระบุว่า เหตุที่ อสส.มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ในคดีก่อการร้าย "เพราะสาระสำคัญของสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ วิดีโอลิงก์ โฟนอิน หรือทวิตเตอร์เข้ามาส่วนใหญ่ เป็นการเรียกร้องประชาธิปไตยให้มีการยุบสภาตามวิธีทางระบอบประชาธิปไตย รวมทั้งโจมตีการปฎิวัติรัฐประหาร และโจมตีการบริหารงานของรัฐบาล พล.อ.สรยุทธ์ จุลานนท์ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มิได้กล่าวเรียกร้องให้ผู้ชุมนุมกระทำผิดกฎหมายหรือยุยงให้ล้มล้างรัฐธรรมนูญโดยวิธีการอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย การที่เกิดเหตุรุนแรงที่สี่แยกราชประสงค์ก็เกิดจากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใช้กำลังทหารกดดันกระชับพื้นที่และปิดล้อมโดยใช้รถยานเกราะจำนวนมากและอาวุธสงครามขับไล่ สลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช.และประชาชน จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก การที่การประท้วงได้กระจายไปตามต่างจังหวัดและมีการวางเพลิงเผาสถานที่ ราชการ ศาลากลางจังหวัดต่างจังหวัด 4 แห่ง หรือมีผู้ก่อความไม่สงบวางระเบิดหรือยิงอาวุธปืนร้ายแรงเข้าไปที่ธนาคาร พาณิชย์หรืสถานที่ราชการต่างๆ นั้น ไม่มีข้อเท็จจริงเชื่อมโยงว่าเกิดจากการยุยงสนับสนุนของ พ.ต.ท.ทักษิณ"

       เมื่อถามว่าข้อความในเอกสารแถลงข่าวมาจากความเห็นของอดีต อสส.หรือพนักงานสอบสวนดีเอสไอ นายวินัย กล่าวว่า "เป็นความเห็นที่คณะทำงานซึ่งมีตัวแทนจาก อสส.กับดีเอสไอร่วมกันสรุปมา"