วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

นวนิยาย ลวงโลก วันสิ้นโลก ยังขายดี

        ฮือฮาสกลนครท้าพิสูจน์‘วันสิ้นโลก’ 21 ธ.ค. คนนับหมื่นแห่ขึ้นปราสาทภูเพ็ก วัดแกนโลก


 นายจิระพงษ์ ทองไชย สมาชกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสกลนคร (ส.อบจ. เขต 1 อ.พรรณนานิคม) เปิดเผยว่า จากการที่เป็นสมาชิก ชมรม “พยัคฆภูเพ็ก” อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร และมีหน้าที่คอยดูแลปราสาทพระธาตุภูเพ็ก ซึ่งตั้งอยู่ที่ภูเพ็ก เทือกเขาภูพาน ตำบลนาหัวบ่อ อ.พรรณานิคม จ.สกลนครว่า จากการที่ได้ศึกษาและค้นคว้าส่วนหนึ่งที่ตั้งอยู่บนภูเพ็ก เป็นปฎิทินขอมพันปี หรือที่เรียกกันว่า “สุริยะปฎิทิน” โดยมี อาจารย์สรรค์สนธิ บุณโยทยาน นักพิภพวิทยา ผู้เชี่ยวชาญดาราศาสตร์ เป็นหัวหน้าทีมงานสายวิชาการ




        อาจารย์สรรค์สนธิ ระบุว่าในวันที่ 21 ธ.ค. 2555 หรือปี 2012 ปฎิทินชาวมายาบอกว่าโลกจะดับสูญ แต่ปฎิทินขอมพันปีที่ปราสาทภูเพ็ก บนยอดเขาสูง 520 เมตร ชี้ว่าวันนี้เป็นวัน “เหมายัน” กลางคืนยาวที่สุดและโลกก็ยังคงอยู่ต่อไป

       ดังนั้นก่อนวันที่ดังกล่าว ทีมงาน “พยัคฆ์ภูเพ็ก” จึงขอท้าพิสูจน์แบบชนิดจัดเต็มเชิงประจักษ์ โดยนัดกันที่ปราสาทภูเพ็กตั้งแต่คืนวันที่ 20 ธ.ค. 2555 จนถึงบ่ายวันที่ 21 ธ.ค. 2555 เพื่อปฏิบัติการทางฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และที่ขาดไม่ได้คือ ลึกลับศาสตร์ ยืนยันว่าแกนของโลกยังคงอยู่เหมือนเดิม

      วิทยากรที่ร่วม คือ  นพ.ศิริโรจน์ กิตติสารพงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ นายสรรค์สนธิ บุณโยทยาน นักพิภพวิทยา และอาจารย์วรวิทย์ ตงศิริ หรือฤาษีเอก อมตะ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิญญาณและลึกลับศาสตร์ และลุงบุปผา ดวงมาลย์ ภูมิปัญญาท้องถิ่น ผู้รู้จักปราสาทภูเพ็กทุกซอกทุกมุม เราทั้งสี่คนจะพิสูจน์ให้เห็นว่า “แกนโลก” ยังคงอยู่ที่ 23.5 องศา และขั้วโลกเหนือก็ยังคงชี้ไปที่ “ดาวเหนือ” ดวงอาทิตย์จะมาตามนัดที่ตำแหน่งมุมกวาด 115 องศา ตรงตำแหน่งรอยสลักสัญลักษณ์ของสุริยะปฏิทินขอมพันปี ทั้งหมดนี้จะใช้หลักฐานทางดาราศาสตร์ของบรรพชนโบราณที่ปรากฏอยู่บนปราสาทภู เพ็กเป็นตัวช่วย โดยไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์ไฮเทคใดๆทั้งสิ้น

           นายจิระพงษ์ กล่าวต่อว่า จากการที่จะมีการท้าพิสูจน์ดังกล่าวทำให้ประชาชนที่สนใจศึกษา และบางรายคิดว่าโลกจะดับสูญหรือสิ้นโลกจริงหรือ จะนัดกันขึ้นไปท้าพิสูจน์กันบนยอดภูเพ็กในช่วงคืนวันที่ 19-20 ธ.ค.นี้ เพื่อพิสูจน์ระหว่างปฎิทินของชาวมายา กับปฎิทินขอมพันปี ที่เรียกกันว่าสุริยะปฎทิน บนภูเพ็ก ซึ่งเป็นเรื่องที่ชาวบเนจะเดินทางกันขึ้นไปพิสูจน์ นอกจากนั้นในช่วงวันดังกล่าว จะมีประชาชนจากทุกสารทิศมีการจัดกิจกรรมวิ่ง เดิน มินิมาราธอน ขึ้นภูเพ็กอีกด้วยคาดว่าจะมีผู้คนเดินขึ้นไปท้าพิสูจนนับหมื่นคน”ส.อบจ. กล่าว

        ด้านนายสรรค์สนธิ กล่าวว่า วันที่ 21 ธ.ค. 2555 ปฏิทินชาวมายา บอกว่าโลกจะดับสูญ แต่ปฎิทินขอมพันปีทำมาเพื่อการประกอบพิธีกรรม ดังนั้นเราจึงจัดผู้ที่รู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ ทั้งลึกลับ วิทยาศสาสตร์ ต่างมาพูดคุยให้ประชาชนผู้สนใจฟัง โดยใช้พื้นที่ของจริง ที่ภูเพ็กในวันที่ 20 ธ.ค. นี้ เพื่อท้าพิสูจน์ ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น 10 ชั่วโมง

       สำหรับผู้ สนใจสามารถติดต่อได้ที่ทีมพยัคฆภูเพ็ก และที่ อบต.นาหัวบ่อ เพื่ออำนวยความสะดวก โดยที่พักเป็นลานบริเวณภูเพ็ก เพื่อให้เห็นของจริงว่าวันดังกล่าวจะสิ้นโลกจริงหรือไม่

สามปีก่อน วันนี้ ยังมีพ่อ

สามปีก่อน วันนี้ ยังมีพ่อ
ให้ขี่คอ พาหนู ไปดูหนัง
ใส่เสื้อเหลือง นั่งเคียง เสียงก็ดัง
ได้เอาหลัง อิงพ่อ ก็อุ่นใจ





น่าเสียดาย วันนี้ เคยมีพ่อ
พาไปรอ ตอนค่ำ สนามใหญ่
ได้ตื่นเต้น สุดสุด จุดเทียนชัย
แล้วดูไฟ ประดับ ระยับตา


แสนคิดถึง วันที่ ยังมีพ่อ
เคยไปรอ กินอาหาร นานเป็นบ้า
พาพ่อไป เขาลดให้ ครึ่งราคา
กินอิ่มมา ก็ยัง นั่งรถฟรี

นั่งร้องไห้ มองไป ไม่เห็นพ่อ
จะเดินต่อ กันไป อย่างไรนี่
ทั้งนาไร่ ไร้คนทำ มาข้ามปี
บอกหนูที นี่คือฝัน มันไม่จริง

กลั้นน้ำตา วันนี้ ไม่มีพ่อ
รันทดท้อ สิ้นไร้ ไปทุกสิ่ง
สองปีกว่า แม่-ลูก ถูกทอดทิ้ง
พ่อถูกยิง พ่อถูกขัง ยังไม่ลืม

ความปลื้มปีติ แบบลวง ๆ


        
        ไม่ใช่แค่ “รอยยิ้ม” ที่หายไปจากสารขัณฑ์เท่านั้น 

        แต่ “ความปลื้มปีติ” ต่างๆก็เหมือนความฝันที่มาแล้วก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว 

       เพราะบรรดา “อีแอบ” และลิ่วล้อ “สลิ่ม” ยังเต็มไปด้วยอคติและเกลียดชัง คิดแต่ “ตัวกู-ของกู”

       “อีแอบ” และ “สลิ่ม” จึงไม่ยอมรับคำว่า “แพ้-ชนะ” ไม่คำนึงเรื่อง “จริยธรรม-ศีลธรรม-คุณธรรม”
       “ความยุติธรรม” ของ “อีแอบ” และ “สลิ่ม” จึงไม่มีคำว่า “ความเสมอภ าค-เป็นธรรม” แม้แต่ “ท่านเปา” ยังกลายเป็น “ศาลพระภูมิ” ที่มีแต่คำว่า “สองมาตรฐาน”

      “อีแอบ” และ “สลิ่ม” จึงต้องสร้างวาทกรรม “ความเกลียดชัง” เพื่อให้บรรดา “วัวควาย” เกิดความโกรธและเกลียด เห็น “พวกมรึง” เป็น “ทาส” เป็น “ปิศาจ” หรือ “ซาตาน”

       สารขัณฑ์จึงยากจะหนีพ้น “กลียุค” สงครามล้างเผ่าพันธุ์ระหว่าง “คนดีสุดขั้ว” กับ “คนชั่วสุดขีด” จึงไม่มีแอร์ทึนทึกเสิร์ฟ “Tea or Coffee ” แต่ให้เลือกจะเอา “แก๊สน้ำตา” และ “กระสุนจริง” ! .(แค่นี้จบ)!

ประเทศไทย อันดับแปด ก่อการร้าย



        สถาบันเพื่อการวิจัยเศรษฐกิจและสันติภาพใน สหรัฐอเมริกา จัดให้ประเทศไทยอยู่อันดับ 8 ที่มีการก่อการร้ายมากที่สุดในโลกจาก 158 ประเทศ ซึ่งวัดจากสัดส่วนการเกิดเหตุก่อการร้าย จำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต และความเสียหายของทรัพย์สินที่เกิดขึ้น โดยอิรักอยู่อันดับ 1 ขณะที่องค์กรเพื่อความโปร่งใสระหว่างประเทศจัดอันดับภาพลักษณ์คอร์รัปชัน ประจำปี 2012 ปรากฏว่าประเทศไทยหล่นจากอันดับ 80 มาที่ 88 โดยเดนมาร์ก ฟินแลนด์ และนิวซีแลนด์ อยู่อันดับ 1 ร่วมกัน
       ส่วนขีดความสามารถด้านการแข่งขันทางเศรษฐกิจปี 2012-2013 ของ World Economic Forum (WEF) แม้ประเทศไทยจะขึ้นมา 1 อันดับ อยู่ที่อันดับ 38 แต่มีแนวโน้มอีก 5 ปี เวียดนามและอินโดนีเซียจะแซงหน้าไทย

      แม้แต่เรื่องสุขภาพ รายงานการศึกษาของสำนักข่าวกรองกลางสหรัฐ (ซีไอเอ) จัดอันดับประเทศที่ประชากรมีอายุเฉลี่ยสูงที่สุดในโลกประจำปี 2555 ปรากฏว่าประเทศไทยอยู่อันดับ 114 จากทั้งหมด 222 ประเทศ คือประชาชนมีอายุเฉลี่ย 73.83 ปี แม้อายุเฉลี่ยสูงขึ้นจากปี 2554 ที่ 73.1 ปี แต่อันดับร่วงลง 4 อันดับ
     ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนถึงภาพลักษณ์ของประเทศและคนไทย ซึ่งไม่มีอะไรโดดเด่นแล้ว ยังมีแนวโน้มในทางลบอีกด้วย โดยเฉพาะปัญหาการเมืองที่วนเวียนกับการทำรัฐประหารและฉีกรัฐธรรมนูญ ความแตกแยกและขัดแย้งกันเอง ซึ่งมีแนวโน้มสูงที่ประเทศไทยจะเกิดกลียุคและคนไทยจะเข่นฆ่ากันเอง ทั้งที่มีพระราชดำรัสให้คนไทยทั้งแผ่นดิน “รู้รักสามัคคี” แต่คนบางกลุ่มไม่น้อมรับพระราชดำรัสแล้วยัง “ดึงฟ้าต่ำ” อีกด้วย

ยิ่งตีความ ยิ่งจินตนาการ ยิ่งคิด ก็ยิ่งพัง



       เกิดเป็นคนไทยยุคนี้สมัยนี้ทำตัวลำบาก จะพูด จะแสดงกิริยาอะไร ต้องคิดให้ดีก่อนจะพูด ก่อนจะแสดงกิริยา

      เพราะทุกคำพูด ทุกการกระทำอาจถูกนำไปตีความ ตีความหมายไปไกลเกินกว่าที่ผู้พูดหรือผู้กระทำนั้นคิดไว้เสียอีก

      โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับน้ำ เกี่ยวกับฟ้า เกี่ยวกับดิน ที่ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมชาติธรรมดา แต่อาจกลายเป็นเรื่องไม่ธรรมดาขึ้นมาได้เมื่อมีคนเอาไปตีความกันเลยเถิด เหมือนที่เขากำลังเล่นกันอยู่ในตอนนี้

      ขอยกตัวอย่างการตีความกันเลยเถิดจนทำให้บ้านเมืองเกิดปัญหา ที่เห็นชัดๆก็คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ


      แค่อีกฝ่ายบอกว่าจะแก้ อีกฝ่ายก็ออกมาต่อต้าน โวยวาย ระดมสาดข้อกล่าวหาใส่เป็นชุดๆ เพราะตีความโดยใช้จินตนาการไปว่าจะแก้ไขเพื่อล้างผิดให้คนแดนไกลบ้าง แก้ไขเพื่อลดอำนาจการตรวจสอบขององค์กรอิสระบ้าง แก้เพื่อให้ฝ่ายตัวเองได้เปรียบทางการเมืองบ้าง

      แก้เพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุขบ้าง ฯลฯ ทั้งที่ยังไม่เห็นเนื้อหาเลยสักนิดว่าจะแก้อะไร และแก้กันอย่างไร

     ที่สำคัญไม่ใช่ว่าฝ่ายที่ต้องการแก้ไข ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ออกมาแล้วจะประกาศใช้ได้ในทันที

     ต้องผ่านกระบวนการทำประชามติถามประชาชนทั้งประเทศอีกว่าจะเห็นด้วยกับสิ่งที่แก้ไขหรือไม่

     ก่อนจะไปถึงตอนนั้นก็ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบอีกหลายขั้นตอนระหว่างที่ทำการยกร่างเนื้อหารัฐธรรมนูญใหม่

     นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของปัญหาการตีความที่มาจากการใช้จินตนาการ หรือพูดง่ายๆคือคิดมากไปเองว่าจะเกิดสิ่งนั้นสิ่งนี้
      วาดภาพความชั่วร้ายเสียจนกลัวต่อภาพที่สร้างหรือจินตนาการขึ้น

     ยังมีอีกหลายเรื่องที่ทำให้บ้านเมืองมีปัญหาจากการตีความ หรือจินตนาการสร้างเรื่อง

     บางทีหากเราหยุดตีความ หยุดจินตนาการ หยุดคิดมากลงได้บ้าง ปัญหาของบ้านเมืองอาจลดน้อยลงไปได้เยอะ

                 ยิ่งตีความ ยิ่งจินตนาการ ยิ่งคิด ก็ยิ่งพัง

บุก คาเธ่ย์ เพลินจิต เราเสริฟกาแฟบนหัวคุณ

       

       กลุ่มเดินทางไทย นัดยกพวกบุก สนง. สายการบินคาเธ่ย์ เพลินจิต อ้างถามหาความปลอดภัย หลังแอร์สาว "ฮันนี่" โพสต์อยากเอากาแฟราด"อุ๊งอิ๊ง" ลูกสาวทักษิณ
     
       มีรายงานข่าวว่า กลุ่มเดินทางไทย หรือ Thai tour society หรือกลุ่มที่อ้างตัวว่าเป็นกลุ่มผู้โดยสารสายการบิน จำนวนกว่า 200 คน ได้นัดหมายรวมตัวกันหน้าอาคารเพลินจิต ทาวเวอร์ ย่านเพลินจิต ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัท คาเธ่ย์แปซิฟิคแอร์เวย์ เวลา 10.00 น. เพื่อยื่นหนังสือถึงตัวแทนบริษัท
     
       รายงานข่าวยังระบุว่า การนัดเข้าไปกดดันครั้งนี้ เพื่อทวงถามความปลอดภัยและความเชื่อมั่นในการโดยสารสายการบินหลังมีการแสดง ความคิดเห็นของแอร์โฮสเตสหญิงของสายการบินคาเธ่ย์แปซิฟิค โพสต์ข้อความ อยากสาดกาแฟใส่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

http://pics.manager.co.th/Images/555000015488001.JPEG



http://pics.manager.co.th/Images/555000015488002.JPEG 

http://pics.manager.co.th/Images/555000015488004.JPEG

http://pics.manager.co.th/Images/555000015488009.JPEG

http://pics.manager.co.th/Images/555000015488010.JPEG

http://pics.manager.co.th/Images/555000015488007.JPEG


‘ไชยวัฒน์-สมบูรณ์’ ประกาศนำมวลชนรวมตัวกันต่อต้านอิทธิพลตระกูลชินวัตร



       ‘ไชยวัฒน์-สมบูรณ์’ ประกาศนำมวลชนรวมตัวกันต่อต้านอิทธิพลตระกูลชินวัตร ประเดิมชุมนุมที่หน้าบริษัทคาเธ่ย์แปซิฟิคฯประท้วงไล่พนักงานต้อนรับที่คิด สาดกาแฟใส่หน้าลูกสาวอดีตนายกรัฐมนตรีเป็นงานแรก ด้าน ‘ทักษิณ’ เตรียมบินมาฮ่องกงอีกครั้งสัปดาห์หน้า เพื่อร่วมสนทนาบทบาทของอาเซียน เศรษฐกิจในภูมิภาค ตามคำเชิญของสถาบันเอเชียโซไซตี บรรดา ส.ส. และรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยแห่จองตั๋วเครื่องบินไปพบอย่างคึกคัก ‘บิ๊กจิ๋ว’ แนะควรใช้โอกาสวันมหามงคล 5 ธ.ค. เป็นจุดเริ่มต้นสร้างความปรองดอง

      การเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะเริ่มต้นอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 6 ธ.ค. นี้เป็นต้นไป เมื่อแนวร่วมคนไทยรักชาติรักษาแผ่นดินประกาศรวมตัวกันต่อต้านอิทธิพลของ ตระกูลชินวัตร และบริษัท คาเธ่ย์แปซิฟิค แอร์เวย์ จำกัด ที่ปลดพนักงานต้อนรับที่โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊คอยากเอากาแฟสาดหน้าลูกสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกจากงาน


      การชุมนุมจะมีขึ้นที่บริษัทคาเธ่ย์แปซิฟิค เลขที่ 898 อาคารเพลินจิตทาวเวอร์ เพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ โดยนัดหมายกันตั้งแต่เวลา 10.00 น. มีนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เลขาธิการสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย และนายสมบูรณ์ ทองบุราณ อดีตสมาชิกวุฒิสภา เป็นแกนนำเคลื่อนไหว

       ด้านความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีรายงานว่า วันที่ 11 ธ.ค. นี้ จะเดินทางมาฮ่องกงอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมเสวนาโต๊ะกลมในหัวข้อ “สนทนากับทักษิณ”ตามคำเชิญของสถาบันเอเชียโซไซตี สำนักงานฮ่องกง โดย พ.ต.ท.ทักษิณจะพูดในฐานะอดีตผู้นำประเทศไทยที่มีความรู้เกี่ยวกับกิจการต่าง ประเทศ พูดถึงบทบาทของอาเซียน เศรษฐกิจในภูมิภาค ความร่วมมือกับประเทศต่างๆ ตลอดจนการแก้ปัญหาต่างๆ เช่นความยากจน

     ทั้งนี้ มีรายงานด้วยว่าบรรดา ส.ส. และรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยจองตั๋วเครื่องบินไปฮ่องกงอย่างคึกคักเพื่อเยี่ยมคารวะอดีตนายกรัฐมนตรี

     พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุว่า วันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็นวันที่ทุกคนมีความปลื้มปีติที่ได้เห็นพระองค์ทรงมี พลามัยที่สมบูรณ์ เป็นวันแห่งความสุขของคนไทยอย่างแท้จริง จึงควรใช้เป็นวันเริ่มต้นสร้างความปรองดองในชาติเพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว เพราะขัดแย้งกันมานานแล้ว

     “ประชาชนทุกคนต้องช่วยกัน อย่าเบื่อหน่ายการเมือง เพราะว่าการเมืองผูกโยงกับทุกองคาพยพของประเทศ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม ถ้าการเมืองดีทุกอย่างก็จะดี”

สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ งดพระราชกิจ 5 ธ.ค.


           
         สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์คณะแพทย์ถวายความ เห็นให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ งดพระราชกิจ 5 ธ.ค. หากเสด็จในการพระราชพิธีอาจจะต้องทรงฝืนกำลังพระวรกายเป็นอันมาก เนื่องจากทรงพระประชวรอยู่ พระพลานามัยก็ยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ อาจทำให้ทรงอ่อนเพลียและต้องทรงฟื้นฟูพระวรกายอีกเนิ่นนาน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลเปิดเผยเส้นทางขบวนเสด็จพระราชดำเนิน ออกจากโรงพยาบาลศิริราช 09.40 น. ผ่านราชดำเนิน นางเลิ้ง พระราม 5 ราชวิถี และอู่ทองใน ใช้ความเร็ว 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อให้พสกนิกรชื่นชมพระบารมีอย่างทั่วถึง ปลัดมหาดไทยยืนยันต่างจังหวัดไม่ห้ามจุดพลุเฉลิมฉลอง

         สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 12 คณะแพทย์ถวายความเห็นให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ งดพระราชกิจ 5 ธ.ค.

         แถลงการณ์ระบุว่า คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้รายงานว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระอาการทั่วไปดี ทรงพระดำเนิน ตลอดจนเคลื่อนไหวพระวรกายได้เกือบปรกติ แต่ยังมีพระพลานามัยไม่สมบูรณ์เต็มที่

         ในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จออกมหาสมาคม ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม ในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 5 ธ.ค. คณะแพทย์มีความเห็นพ้องต้องกันว่า แม้พระราชพิธีนี้จะเป็นพระราชพิธีสำคัญ แต่ก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร กอปรกับเป็นพระราชพิธีเดียวที่พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ต้องทรงยืนตั้งแต่ ต้นจนเสร็จพิธี เว้นแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์เดียวที่ประทับบนพระราชอาสน์
หากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะเสด็จพระราชดำเนินในการพระราชพิธีนี้ อาจจะต้องทรงฝืนกำลังพระวรกายเป็นอันมาก เนื่องจากทรงพระประชวรอยู่เป็นเวลาหลายเดือน แม้จะทรงทำกายภาพบำบัดด้วยการทรงพระดำเนินเป็นประจำ แต่พระพลานามัยก็ยังไม่สมบูรณ์เต็มที่

        การเสด็จพระราชดำเนินในพระราชพิธีนี้เป็นครั้งแรกอาจทำให้ทรงอ่อนเพลีย และต้องทรงฟื้นฟูพระวรกายอีกเนิ่นนานก็เป็นได้ คณะแพทย์จึงกราบบังคมทูลขอให้ทรงงดพระราชกิจครั้งนี้ และต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง ทั้งนี้ คณะแพทย์ได้นำความกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทราบฝ่าละอองธุลี พระบาทด้วยแล้ว จึงประกาศมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
พล.ต.ต.วรศักดิ์ นพสิทธิพร รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยว่า เส้นทางเสด็จพระราชดำเนินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันที่ 5 ธ.ค. นี้ ขบวนเสด็จฯจะเคลื่อนออกจากโรงพยาบาลศิริราชเวลา 09.40 น. ใช้เส้นทางจากโรงพยาบาลศิริราชผ่านถนนอรุณอมรินทร์ ขึ้นสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า เข้าสู่ถนนราชดำเนินกลาง ผ่านแยกสะพานผ่านฟ้า จากนั้นตรงเข้าสู่ถนนนครสวรรค์ เลี้ยวซ้ายบริเวณแยกนางเลิ้งเข้าสู่ถนนพิษณุโลก ขบวนเสด็จฯจะเลี้ยวขวาที่แยกพาณิชยการ ถนนพระราม 5 ผ่านแยกวัดเบญจมฯถึงแยกราชวิถี เลี้ยวซ้ายถนนราชวิถี เคลื่อนขบวนมาถึงแยกอู่ทองใน ก่อนที่ขบวนเสด็จฯจะเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนอู่ทองใน เข้าสู่พระที่นั่งอนันตสมาคมทางประตูทวยเทพสโมสร

        ทั้งนี้ ขบวนเสด็จฯจะใช้ความเร็วเพียง 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อให้ประชาชนที่เฝ้าฯรับเสด็จตลอดเส้นทางได้ชื่นชมพระบารมีอย่างใกล้ชิด

        นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ยืนยันว่า ไม่ได้ห้ามจุดพลุในงานวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค. เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะเมื่อคณะกรรมการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ 5 ธันวา แจ้งว่าห้ามจุดพลุเฉพาะบริเวณท้องสนามหลวง จึงได้แจ้งไปยังจังหวัดต่างๆหากจะจุดพลุให้ระมัดระวังอันตราย หากควบคุมดูแลได้ก็จุดได้

ข่าวลือ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสตร์ เสียชีวิต



          หลังมีกระแสข่าวลือออกมาหนาหูว่า พล.ต.สนั่น ขจรประศาสตร์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ได้เสียชีวิตลงแล้วหลังเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราชด้วยโรคถุงลม โป่งพอง
ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ออกมายืนยันว่า พล.ต.สนั่นยังรักษาตัวอยู่ที่หออภิบาลการหายใจ “บัญญัติ ปริชญานนท์” Respiratory Care Unit (RCU) ชั้น 2 ตึกอัษฎางค์ โดยอาการยังทรงตัวเหมือนเดิมและยังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ ซึ่งทางการแพทย์ถือว่าอาการทรงตัวของผู้ป่วยนั้นเป็นเรื่องที่ดี หัวใจและระบบไหลเวียนของเลือดยังคงทำงานได้ดีอยู่ ส่วนเรื่องสมองนั้นยังมีบางส่วนที่ทำงานได้ดี ถือว่าอาการไม่น่าเป็นห่วง กระแสข่าวการเสียชีวิตจึงไม่เป็นความจริง

ฆ่าคนตายโดยเจตนาชนักปักหลัง‘อภิสิทธิ์-สุเทพ’

ฆ่าคนตายโดยเจตนาชนักปักหลัง‘อภิสิทธิ์-สุเทพ’


         คณะพนักงานสอบสวน ที่ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ 3 ฝ่าย ได้แก่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตำรวจ และอัยการ ที่ประชุมมีมติให้แจ้งข้อกล่าวหากับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ว่าร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59, 83, 84 และ 288

         เสียงจากห้องแถลงข่าวของดีเอสไอ ส่งผลให้นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพมีสถานะเป็นผู้ต้องหา เท่าเทียมกับอีกฝ่ายที่ถูกกล่าวหาว่าเผาบ้านเผาเมือง ก่อการร้าย


      พลิกดูฐานความผิดตามข้อกล่าวหาในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 ระบุเอาไว้ว่า
บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่กรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้กระทำโดยไม่ มีเจตนา กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สึกนึกในการที่กระทำ และขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น






      ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้ กระทำโดยประมาท ได้แก่ กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่การกระทำ ให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้น โดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย

   มาตรา 83, 84 อยู่ในหมวดตัวการและผู้สนับสนุน
   มาตรา 83 กำหนดว่า ในกรณีความผิดใดที่เกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามกฎหมายกำหนดไว้
   มาตรา 84 ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด ไม่ว่าจะโดยการบังคับขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีการอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด  ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไปไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ ยังไม่ได้กระทำ หรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ในขณะที่มาตรา 288 อยู่ในหมวดความผิดต่อชีวิต ระบุว่า ผู้ใดฆ่าผู้อื่นต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15-20 ปี


      นี่เป็นเพียงคดีแรกที่พนักงานสอบสวนตั้งข้อกล่าวหาต่อนายอภิสิทธิ์และนาย สุเทพ ซึ่งเป็นไปตามตามแนวทางที่ศาลได้มีคำสั่งกรณีการเสียชีวิตของนายพัน คำกอง คนขับแท็กซี่  ที่เสียชีวิตหน้าคอนโดมิเนียมใกล้สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์ สถานีราชปรารภ เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2553 ระหว่างการกระชับพื้นที่ในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองของคนเสื้อแดง ที่พยานหลักฐานชี้ชัดว่าเสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติ ตามคำสั่งของ ศอฉ.  พนักงานสอบสวนให้นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพมารายงานเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาวันที่ 12 ธ.ค.


      แต่ดูตามรูปการณ์แล้วคงน่าจะมีการขอเลื่อนออกไปก่อน อย่างน้อยๆก็น่าจะยื้อให้ถึงวันที่ 21 ธ.ค. ที่จะเปิดสมัยประชุมรัฐสภา ซึ่งจะทำให้ทั้งสองคนได้รับเอกสิทธิ์ความเป็น ส.ส. คุ้มครอง ไม่ถูกดำเนินคดีระหว่างสมัยประชุมสภา เพื่อตั้งหลักหาแนวทางต่อสู้คดีกันต่อไป เพราะหลังจากนี้ศาลจะทยอยมีคำสั่งหลังการไต่สวนสาเหตุการตายของคนเสื้อ แดงออกมาอีกหลายศพ ทั้งนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพต้องถูกตั้งข้อหาฆ่าคนอื่นตายโดยเจตนาอีกหลาย คดี


     ส่วนผลสรุปของคดีนี้จะเป็นอย่างไรคงต้องใจเย็นๆ ติดตามกันไปเรื่อยๆ เพราะเป็นหนังชีวิตเรื่องยาวที่ต้องต่อสู้กันไปอีกเป็น 10 ปี