วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

"เต็กลิ้ม"กร้าวไสหัว"หรั่ง ร็อกเคสต้า" ซบ "ยี้ห้อย"

http://www.internetfreedom.us/thread-14121.html
เผย “หรั่ง ร็อกเคสตร้า” มาร่วมเวทีไม่ได้เพราะติดงาน “ภูมิใจไทย”

นายสนธิ กล่าว มีคนถามว่าทำไมพันธมิตรฯ ไม่เชิญ “หรั่ง ร็อกเคสตร้า”มาขึ้นเวที ซึ่งเวลาไปถามหรั่ง เขาจะบอกว่าเพราะพันธมิตรฯ ไม่เชิญเขามา แต่พอทีมงานเราโทรศัพท์ไปเชิญให้มา หรั่งกลับบอกว่า มาไม่ได้ ติดรับงานพรรคภูมิใจไทยอยู่ เพราะฉะนั้นวันนี้ จึงเป็นการพิสูจน์ว่า ทุกคนที่มาอยู่ที่นี่จึงเหลือแต่พี่น้องที่รักกินจริงเท่านั้น วันนี้มาถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตที่จะต่อสู้เพื่อแผ่นดิน ใครจะมาร่วมต่อสู้กับเราก็มาขึ้นเวทีได้ เรายินดี แต่ถ้ามาห้อยโหนพวกเรา แล้วไปพูดลับหลังว่าเราไม่สนใจ ก็ไปลงนรกเสียเถอะ เรื่องแบบนี่จะต้องพูดกันให้ชัด


................................

สัจจธรรม เต็กลิ้ม ก็นายเหลือแต่"ซาก" ไม่มีเลือดให้สูบเหมือน"ไอ้ห้อย"มี่กำลัง อ้วนเอาๆ

เต็กลิ้มนายก็"สูบเลือด"ไอ้พวกควายเหลืองหน้าเวที ไปเรื่อยๆ แบ่งกับหมาลอง 2 คนก็พอ

คนหมดก็ให้"หมาลอง" ประกาศ"ชัยชนะ" ม้วนเสื่อกลับบ้าน ง่ายๆ เท่านั้นเอง

หลักฐานมัดตัว ฆาตกรสั่งฆ่าประชาชน ส่งศาลอาญาระหว่างประเทศ


[Image: 807216cf411dd0e49c6d991f84b103c7.jpg]

พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แถลงผลการประชุมศอฉ.วันที่ 17 พ.ค.เวลา 19.30 น. ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์(ร.11 รอ.)ว่า

ที่ประชุมศอฉ.เป็นห่วง และกังวลความปลอดภัยประชาชนทั่วไป เพราะมีข้อมูลข่าวสารชัดเจนว่า กลุ่มก่อการร้ายที่แยกราชประสงค์พยายามสร้างสถานการณ์ทำร้ายประชาชนทั่วไปให้ บาดเจ็บ และเสียชีวิต โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายหลักที่ขณะเปลี่ยนไปจากเจ้าหน้าที่เป็นประชาขนทั่วไป ผู้ชุมนุม หน่วยกู้ภัย และสื่อมวลชน ซึ่งมีข้อมูลข่าวสารชัดเจนว่า ตึกชีวาไท บริเวณแถวตึกเซ็นจูรี่ มีกลุ่มชายฉกรรจ์ 5-10 คน แต่งกายคล้ายทหารขึ้นไปซุ่มยิงที่บริเวณชั้น24 ถึงชั้นที่ 27 ซึ่งการซุ่มยิงส่งผลให้ผู้ที่ผ่านไปมาอาจได้รับอันตรายได้ แม้กระทั่งทหารที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งจากการสอบสวนเบื้องต้นจากนายกำปั้น บาซู และญาติผู้เสียชีวิตเป็นไปได้สูงว่า เกิดจากการซุ่มยิงจากตึกชีวาไท ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังเข้าไปกดดันตรวจสอบพื้นที่ แต่เนื่องจากตึกดังกล่าวยังก่อสร้างไม่เสร็จ มีผ้าใบสีดำคลุมทำให้ตรวจสอบค่อนข้างยาก ทางศอฉ.จึงขอเตือนว่า ผู้ไม่จำเป็นควรหลีกเลี่ยงพื้นที่ดังกล่าว

ทำไมพูดม้ากๆอย่างนั้นล่ะครับ ทำไมไม่บอกตรงๆว่าพวกพ้มเอาพรรคพวกขึ้นไปซุ่มยิงเอง เพื่อสกัดไม่ให้คนเข้าไปเพิ่มจำนวนให้ผู้ชุมนุมที่ราชประสงค์ ตามนโยบายกระชับพื้นที่ของนายหมาก อย่ามาพูดจิตวิทยาหมาๆเลย 

[Image: xz58v.gif]ที่ตึกชีวาไท แค่มีผ้าใบสีดำคลุม ทหารผู้กล้าถึงกับเข่าอ่อนเชียวหรือครับ 

ลองดูคลิบข้างล่างซิครับ เด็กๆวิ่งหนีลูกกระสุนกันกระเจอะกระเจิง



[Image: 4aeab1329ef11.gif]นอกเหนือจากการสร้างสถานการณ์ พยายามทำลายทรัพย์สินประชาชน ทรัพย์สินทางราชการ มีการจุดไฟเผายางรถยนต์ ปล้นสะดม ในเขตพื้นที่เรดโซนที่เจ้าหน้าที่กดดันให้อยู่ในพื้นที่กรอบสี่เหลี่ยม ตั้งแต่แยกราชเทวี ถ.มิตรสัมพันธ์ ถ.วิทยุ จนบรรจบที่สามย่าน ซึ่งหมายรวมถึงแยกราชปรารภด้วย สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นด้มีการทำร้าย ปล้นสะดม เผายาง เผาอาคาร ทำลายรถน้ำมันหวังให้เกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ กลุ่มก่อการร้ายที่สวมเสื้อแดงไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ เพราะพื้นที่ดังกล่าวยังไม่มีเจ้าหน้าที่เข้าไปปฏิบัติการในพื้นที่เลย และจะบอกว่า เป็นมือที่สามก็เป็นไปไม่ได้ เพราะเรามีข้อมูลยืนยันชัดเจนเป็นภาพคลิปวิดีโอ”พ.อ.สรรเสริญ กล่าว

ผมก็มีคลิบวิดีโอเหมือนกัน เรามาดูพร้อมกัน เป็นหลักฐานที่ชาวบ้านได้ถ่ายเอาไว้ 



[Image: 2wuo2.gif]หลังจากดูคลิบนี้แล้ว ท่านมีอะไรจะพูดอีกใหม ถ้าไม่มี พวกชาวบ้านเขากำลังสั่งจับพวกท่านขึ้นศาลระหว่างประเทศ ข้อหาสร้างสถานการณ์สังหารประชาชน ก่ออาชญากรรมต่อมนุษย์ชาติ โดยมอบหมายให้นายโรเบิร์ท อัมสเตอร์ดัม ทนายความเป็นผู้รับมอบอำนาจดำเนินการ

[Image: 77335_1.gif]คุณไก่อู ผมคิดว่าท่านรู้เรื่องราวดี เพราะท่านเป็นโฆษก ศอฉ. แต่ท่านต้องทำหน้าที่ ส่วนประชาชนเป็นผู้เสียหาย เขาทำมาหากินของเขาอยู่ดีๆ นายหมากกับพวก ส่งคนเข้าไปสร้างสถานการณ์ไล่ฆ่าถึงในชุมชน กลางวันแสกๆ ลูกเด็กเล็กแดงเดือดร้อนกันไปหมด ดูจากคลิบวิดีโอเขารู้ดีว่าใครทำ ไม่มีใครพูดว่าผู้ก่อการร้ายเสื้อแดงทำ เพราะลูกหลานของเขาเป็นคนเสื้อแดง

[Image: 24719.gif]เวลาปกติ ชาวบ้านเดินผ่านตึกหลังนี้เพื่อขึ้นรถเมล์ไปทำงานทุกวัน แม้มีเหตุการณ์ชุมนุมที่ราชประสงค์นานนับเดือน แต่วันดีคืนดีเมื่อรัฐบาลสั่งให้ยุติการชุมนุม ก็เริ่มมีกระสุนโปรยปรายลงมาจากบนตึก ซึ่งคุณไก่อูระบุเองว่ามีชายฉกรรจ์ 5-10 คน แต่งกายคล้ายทหารขึ้นไปซุ่มยิงที่บริเวณชั้น24ถึงชั้น27 จึงรู้ว่าเหตุการณ์แปลกๆประเภทนี้จะมาพร้อมกับการสลายการชุมนุม จึงย้อนกลับไปดูการสลายการชุมนุมเมื่อเดือนเมษายน ปี 2552 ก็มีคนลึกลับยิงใส่ชาวชุมชนนางเลิ้ง ยิงใส่สุเหร่า เหมือนกัน ไม่มีนักวิเคราะห์ตนใดคิดออก แต่จู่ๆมีคนออกมาสารภาพผ่านคลิบเสียงลึกลับได้ยินกันทั้งประเทศว่า ความวุ่นวายโกลาหลทั้งหลายทั้งปวงตัวเขาเป็นผู้วางแผนเองทั้งหมด เพื่อแก้ปัญหาผู้ชุมนุมขับไล่ตัวเขา

คุณไก่อูเคยฟังมาแล้วในที่ประชุม แต่อยากให้ฟังอีกรอบ

คลิบเสียงบอกว่า 


[Image: 62425_1.gif]ซึ่งผมกำลังขอให้ทางเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องปฏิบัติการใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบกับ​ผู้ชุมนุมนะครับ โดยเริ่มจากประมาณดึกของวันนี้ไปถึงวันพรุ่งนี้และให้มีการใช้อาวุธคลี่คลาย สภาพปัญหาต่างๆ ที่เป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ผมก็อยากจะเรียกร้องขอให้ท่านเข้ามาช่วยกันคิดวางแผนเพื่อที่สร้างสถานการณ์ต่างๆ ผมต้องการให้สถานการณ์เกิดความไม่สงบ ให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง

"ผมประสงค์ให้เกิดภาวะเช่นนั้น เพื่อสร้างเงื่อนไขเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม เกี่ยวกับแนวทางในการดำเนินการกับผู้ชุมนุมในการประกาศใช้พ.ร.ก.ภาวะฉุกเฉินร้ายแรงในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ฉะนั้นผมเรียนทุกท่านว่าทำอย่างไรก็ได้ เพื่อให้ผู้ชุมนุมพยายามที่จะสร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง เพื่อแสดงให้เห็นว่าพี่น้องประชาชนกำลังเดือดร้อนจากปัญหาการชุมนุม เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนทั่วไปและส่งผลกระทบอย่างมากต่อความเชื่อมั่น ภาพลักษณ์ของประเทศ อย่างแรกคือต้องการให้เกิดสภาพของความโกลาหลทั่วไป อ้างว่าแกนนำผู้ชุมนุมก็ได้มีการยั่วยุให้เกิดความรุนแรง ปั่นป่วนในบ้านเมืองเพื่อให้เป็นเครื่องมือเจ้าหน้าที่ประกาศใช้พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินได้ก็ยิ่งดีนะครับ

[Image: 9ssxt.jpg]

[Image: 45214_1.gif]คุณไก่อูบอกว่านั่นมันคลิบตัดต่อ นำมาเปิดผิดกฎหมาย เอ้า ผมขอช่วยผู้ชมเปิดให้ท่านฟังหน่อย มีในยูทูปเต็มไปหมด ไอซีทีบล้อกไม่หมดหรอก เขาลอกไปอัพกันเป็นร้อยๆชุดแล้ว แค่copy url นี้ไปpasteบนกูเกิ้ล แล้วคลิกตามรูป หรือ ไปวางที่ยูทูปโดยตรงก็ได้ โอ๋ ถ้าตัดต่อจริง คุณยอด คงไม่ร้องเสียงหลงวันอภิปรายในสภาหรอก 

[Image: diw12.gif] คนลึกลับบอกว่าเขาจำเป็นต้องใช้อาวุธแก้ปัญหาความขัอแย้งที่เกิดขึ้น วิธีการก็คือให้เจ้าหน้าที่ช่วยกันวางแผนสร้างเรื่อง ก็คือที่เอาชายฉกรรจ์ยิงใส่ประชาชน ยิงใส่ผู้ชุมนุม เพื่อให้เกิดความโกลาหลวุ่นวาย มีความรุนแรง พอมีคนตายชาวบ้านเดือดร้อน รัฐบาลจึงอ้างเหตุประกาศภาวะฉุกเฉินร้ายแรงได้

[Image: 87830_1.gif]ผมไปเปิดตำรากฎหมายดูว่ารัฐบาลทุยแลนด์ มีความจำเป็นอะไรต้องทำอย่างนี้ ก็เอาปืน เอาทหารไปไล่ยิงพวกที่เย้วๆอยู่เต็มราชประสงค์ พวกนั้นตาย บาดเจ็บมากๆเข้า ก็หนีไปเอง จะยากอะไร ปรากฎว่าทำไม่ได้ ผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ เพราะเขาชุมนุมด้วยความสงบ ทำไปทำมาประชาชนจะออกมาไล่หนักขึ้น ที่สำคัญคือ คนปกครองแผ่นดินสูงสุด จะอยู่เฉยไม่ได้ ต้องออกมาห้ามทัพ สร้างความปรองดอง เลือกตั้งใหม่ก็แพ้อีก

[Image: 81753_1.gif]ไปเปิด พรก.ฉุกเฉินร้ายแรง ก็ถึงบางอ้อ เขาเขียนทำนองว่า ถ้ามีคนเอาปืนไปไล่ยิงชาวบ้าน ยิงผู้ชุมนุม คือยิงทุกคนไม่เลือก เขาถือว่านั่นคือผู้ก่อการร้าย (ถ้ายิงแต่ผู้ชุมนุมเรียกว่าสลายการชุมนุม) ถ้ามีผู้ก่อการร้ายเกิดขึ้น กฏหมายเขาเขียนอีกให้อำนาจรัฐบาลสั่งทหารออกมาจากกรมกองออกมาปราบได้ (นั่นคือเขาเอาไว้ใช้ในสามจังหวัดภาคใต้ ที่มีโจรใต้ออกมาใช้อาวุธสงครามฆ่าคน แต่ท่านหมากถือโอกาสเอามาใช้ในกรุงเทพเฉยเลย)และทหารฆ่าคนได้ไม่ผิด เจ้าหน้าที่ก็ฆ่าผู้ก่อการร้ายไม่ผิด(ผู้ก่อการร้ายก็คือผู้ชุมนุมอีกนั่นแหละ ฆ่าได้ไม่ผิด หัวใสใหม คิดได้ยังไงนี่)

[Image: 215300733.gif]เขาคิดได้ยังไง ยิงคนลงคะแนนเสียงเลือกตั้งนี่นะ ยิงพวกเดียวกันปนเปกันไป นอกจากโกหกได้แนบเนียน ถึงจะอยู่ได้ และต้องโกหกผู้ปกครองแผ่นดินด้วย 


[Image: 45200_1.gif]คุณไก่อูครับ แค่นี้ยังโหดไม่พอ คนในคลิบยังสอนวิธีสร้างสถานการณ์ ว่าให้มีภาพผู้ชุมนุมเอาปืนไปยิงใส่กลุ่มคนที่มาต่อต้าน คือ เขาบอกพล้อตเรื่องให้ พวกท่านก็โหดน่าดู เอาชายชุดดำไปยิงระเบิดใส่กลุ่มคนที่สีลม ยิงใส่แฟลตตำรวจลุมพินี ยิงตำรวจที่ศาลาแดง (ถ้าเป็นปี2552 ยิงใส่ชุมชนนางเลิ้ง ยิงใส่สุเหร่า เข็นรถแก้สจอดหน้าแฟลตดินแดง) เสร็จแล้วกลัวคนจับได้ โน่นไปยิงหัวเสธแดงปิดปากไม่ให้พูด แล้วจับการ์ดของท่านมาสารภาพออกทีวี ผมละกลัวใจพวกคุณจริงๆ

พร้อมหรือยัง มาฟังคลิบโหดมันฮาต่อกันนะครับ

[Image: 47_80838_206cf1fcaf5f00e.gif] ผมก็อยากให้ท่านสร้างสถานการณ์ต่างๆ ทำให้มีภาพผู้ชุมนุมเอาปืนไปยิงใส่กลุ่มคนที่มาต่อต้านผู้ชุมนุม ซึ่งพอเหตุการณ์มันลุกลามปั๊บ เราประกาศใช้พ.ร.ก.มันก็จะได้รับการยอมรับบทบาทและความร่วมมือจากพี่น้อง ประชาชน หลังที่มีการสลายการชุมนุมไปแล้วปรากฏว่ามีผู้เสียชีวิตจากการปฏิบัติการของเจ้าหน้า​ที่ในช่วงที่มีการปฏิบัติการสลายการชุมนุม ถ้าหากว่ามีผู้ชุมนุมเสียชีวิตหลังจากที่มีปฏิบัติการต่างๆ ในเรื่องของทหาร พวกเราทุกคนต้องพยายามที่จะปกปิดการให้ข่าวที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการของเจ้าหน้​าที่ ผมขอกำชับว่าการปฏิบัติการใดๆ นั้นต้องระมัดระวังให้มากที่สุด พยายามให้ข่าวไปในทางที่ดี ถ้ามีสถานีไหนได้มีส่วนที่เสนอความรุนแรงจากภาครัฐ ขอให้เจ้าหน้าที่ไปปิดสถานีวิทยุ โทรทัศน์ วิทยุกระจายเสียงทันที ระงับการดำเนินการของสถานีเหล่านั้นไว้ก่อน 


....ให้มีภาพผู้ชุมนุมเอาปืนไปยิงใส่กลุ่มคนที่ต่อต้านผู้ชุมนุม Confusedคนต่อต้านผู้ชุมนุมคือคนเสื้อเหลืองพวกเดียวกับท่าน ที่สีลมตายไปหลายคน ที่นางเลิ้งเคยตายไป1-2 คน (2552) ถ้าเขารู้ความจริงพวกท่านโดนกระทืบตายแน่นอน 

[Image: boxing_hi.gif]...พอเหตุการณ์มันลุกลามปั้ป เราประกาศใช้พรก. มันก็จะได้รับการยอมรับบทบาทและความร่วมมือจากพี่น้อง ประชาชน.Coolคิดได้อย่างไรนี่ ท่านฆ่าทั้งพวกเดียวกันและศัตรูของท่านเพื่อให้ได้รับการยอมรับ คือช่วยลงคะแนนให้ท่านอีกครั้งต่อไป ผมขนลุกขนพองไปหมด พระแม่ธรณืบีบมวยผมช่วยลูกด้วยเถิด รายการนี้เสธแดงและนายหรั่ง นายหมู นายหมา ลูกน้องการ์ดรับเละอีกเช่นเคย ก็มีผีเสธแดงไว้ให้โยนบาปใส่นี่ ถึงต้องเก็บท่าน แผนเป็นอย่างนี้นี่เอง 
[Image: 58038_1.gif]ถ้ากล้าทำได้ขนาดนี้ เรื่องเผาเซ็นทรัลเวิร์ลด์เป็นเรื่องจิ้บๆ หมูๆ ใช่ใหมท่านไก่อู


http://www.oknation.net/blog/SIAM1932/20...17/entry-6
http://www1.mod.go.th/opsd/omdweb/html/govlaw.htm

“จตุพร”แกนนำ นปช. ปราศรัย อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย 19/02/2554 Asia Update TV
http://www.internetfreedom.us/thread-14085.html












รัฐบาลเหนื่อย วิกฤต"ของแพง" ( รัฐบาลโจรเตรียมหนี ) ข่าวสดเช้านี้
http://www.internetfreedom.us/thread-14088.html
วันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7388 ข่าวสดรายวัน


รัฐบาลเหนื่อย วิกฤต"ของแพง"




ในทางการเมืองถึงจะมีการส่งสัญญาณจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ว่าพร้อมจะยุบสภาเลือกตั้งใหม่ภายในครึ่งปีแรกของปีนี้

รวมถึง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ที่ออกมาประสานเสียงการันตีว่า การยุบสภาเกิดขึ้นแน่นอนก่อนเดือนมิ.ย.

แต่ ถ้ามองลึกลงไปถึงเงื่อนไข 3 ประการ ที่นายกฯอภิสิทธิ์ เคยกำหนดไว้เป็น"โรดแม็ป" ไปสู่การยุบสภา คือ การแก้ไขปัญหาเศรษฐ กิจ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง

หลายคนอาจไม่แน่ใจว่าการยุบสภาเลือกตั้งใหม่จะเกิดขึ้นภายในครึ่งปีนี้หรือไม่เกินเด​ือนมิ.ย.ตามที่"มาร์ค-เทพเทือก" ประกาศไว้หรือไม่

อย่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญถึง จะผ่านที่ประชุมรัฐสภา วาระ 3 ไปแล้ว แต่ยังติดขัดจากการที่พรรคฝ่ายค้านยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ

ทำให้กระบวนการนำร่างขึ้นทูลเกล้าฯ ต้องระงับไว้ก่อน

ขณะ เดียวกันปัญหาความสงบเรียบร้อยในบ้านเมืองที่เกี่ยวโยงไปถึงการชุมนุมของ กลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่มนปช. ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติง่ายๆ แม้จะอยู่ภายใต้พ.ร.บ. ความมั่นคงก็ตาม

โดยเฉพาะการชุมนุมของกลุ่ม พันธมิตรฯ ยังมีความเสี่ยงต่อการเกิดความรุนแรงสูงกว่าการชุมนุมของกลุ่มนปช. ถึงจะมีจำนวนน้อยกว่าหลายเท่าตัว

นอกจากนี้เงื่อนไขร้อนๆ ที่กำลังลุกลามกลายเป็นปัญหาการเมืองภายใน ซึ่งหลายคนกำลังจับตาว่าจะส่งผลสะเทือนต่อเสถียรภาพของรัฐบาลรุนแรงมากน้อย ขนาดไหน

นั่นก็คือปัญหาเศรษฐกิจที่ก้าวเข้าสู่ยุค"ข้าวยากหมากแพง" และกำลังขยายตัวรวด เร็วเหมือนไฟลามทุ่ง สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนทั่วทุกหย่อมหญ้า

จะทำให้กำหนดช่วงเวลาการยุบสภาต้องยืดยาวออกไป หรือในทางกลับกัน อาจส่งผลให้การเลือกตั้งใหม่เดินทางมาถึงเร็วขึ้น

ยังเป็นเรื่องยากจะคาดเดา



จากคำกล่าวของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ที่ว่ารัฐบาลต้องแก้ปัญหา ของแพงให้ได้ก่อนแล้วค่อยยุบสภา ถึงจะได้คะแนนนั้น

ไม่ ต่างจากคำรับสารภาพว่าปัญหาสินค้าประเภทอาหารพาเหรดขึ้นราคา กำลังเป็นปัญหาใหญ่ซ้ำเติมรัฐบาล ทั้งยังส่งผลต่อคะแนนนิยมของรัฐบาลอีกด้วย

จาก เดิมที่มีอยู่สารพัดปัญหารุมกระหน่ำรอบทิศ ทั้งกรณีพิพาทกับกัมพูชา ไฟใต้ การโยกย้ายข้าราชการไม่เป็นธรรม การทุจริตคอร์รัปชั่น ฯลฯ

โดยเฉพาะปัญหาน้ำมันปาล์มราคาแพงและขาดตลาด

ภาพ ประชาชนหาเช้ากินค่ำต้องมาเข้าคิวซื้อ ถึงขั้นแย่งชิงชกต่อยกัน กว่าจะได้น้ำมันมาทำอาหารกินแค่ขวดสองขวด เป็นภาพที่ไม่ค่อยเห็นบ่อยนักในสังคมไทย ที่เคยได้ชื่อเป็นสังคมโอบอ้อมอารี แบ่งปันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

แต่นั่นยังไม่หนักสาหัสเท่ากับการ ที่มีข่าวนักการเมืองบางคนในซีกรัฐบาล เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์บนความทุกข์ยากของประชาชนครั้งนี้

แม้ภาพภายนอกจะฉายให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลในการแก้ปัญหา

คณะ กรรมการนโยบายน้ำมันปาล์มแห่งชาติที่มี นาย สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง นั่งเป็นประธาน ได้อนุมัตินำเข้าน้ำมันปาล์มจากต่างประเทศถึง 2 ครั้ง ครั้งแรก 3 หมื่นตัน ครั้งที่สอง 1.2 แสนตัน

ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ ภายใต้การดูแลของพรรคภูมิใจได้สั่งผลิตน้ำมันปาล์มฝาสีฟ้า กระจายออกจำหน่ายให้ประชาชนซื้อได้ง่ายในราคาถูก

แต่ก็ดูเหมือนสถานการณ์จะไม่คลี่คลายง่ายๆ

ท่ามกลางกระแสข่าวนับวันยิ่งหนาหูว่า ปาล์มน้ำมันเป็นพืชเศรษฐกิจของภาคใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่การเมืองของพรรคประชาธิปัตย์

มีนักการเมืองระดับ "คีย์แมน" ของพรรค ถือครอง พื้นที่สวนปาล์มจำนวนหลายหมื่นไร่ผ่านเครือญาติที่เป็นนอมินี

ได้รับประโยชน์เต็มๆ ด้วยการร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตดำเนินการกักตุนสินค้าน้ำมันปาล์มไว้เพื่อเก็งกำไร จากการขึ้นราคาและการนำเข้า



จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจึงพอสรุปได้ว่า ปัญหาน้ำมันปาล์มถูกยกระดับขึ้นเป็นปัญหาทางการเมืองเรียบร้อยแล้ว

จุด เริ่มมีมาตั้งแต่ นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์จากพรรคภูมิใจไทยออกมาตอบโต้กับส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ว่าด้วยเรื่อง "ต้นน้ำ-ปลายน้ำ" ของปัญหา

ตามมาด้วยพรรคเพื่อไทยที่ ระบุถึงนักการเมืองชื่อย่อ "ส" อยู่เบื้องหลังการกักตุน ทั้งยังเสนอให้นายกฯอภิสิทธิ์ ดึงกระ ทรวงพาณิชย์กลับมาดูแลเอง

ในฐานะเป็นนักการเมืองอักษรนำหน้า "ส" ทำให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ถึงกับนั่งไม่ติด

จำเป็นต้องสั่งการให้กรมสอบ สวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบว่า มีใครได้รับประโยชน์จากปัญหาน้ำมันปาล์มขาดตลาด

อย่างไรก็ตาม ถ้าหากย้อนไปดูผลงานการสอบสวนคดี 91 ศพเหยื่อเดือนพฤษภาคม 2553 ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของดีเอสไอเช่นกัน

ก็พอเห็นถึงแนวโน้มว่าผลตรวจสอบปัญหาน้ำมันปาล์มจะออกมาอย่างไร

หลังการผ่านร่างพ.ร.บ.งบประมาณกลางปีวงเงินกว่า 1 แสนล้านบาท

การ แต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการกลางปีในเดือนเม.ย.ที่จะถึงนี้ รวมถึงการจัดทำร่างงบประมาณรายจ่ายปี 2555 ถูกมองว่าเป็นเป้าหมาย ต่อไปของรัฐบาลในการ "ทิ้งทวน" ก่อนกลับลงสู่สนามเลือกตั้ง

ในจังหวะที่วิกฤตการณ์น้ำมันปาล์มครั้งนี้

อีก มุมหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นถึงการแสวงหาผลประโยชน์ของนักการเมืองบนความทุกข์ ร้อนของประชาชน เพื่อใช้เป็นทุนรอนสำหรับการเลือกตั้ง ซึ่งกำลังจะมีขึ้นในอนาคตไม่ใกล้ไม่ไกล

แต่เมื่อทุกอย่างถูกเปิดโปงถึงขั้นนี้แล้ว

การ ชิงยุบสภาเร็วกว่ากำหนดกลางปี อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่รัฐบาลเลือกเดิน เพื่อตัดปัญหาการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน และการชุมนุมของคนเสื้อแดง ในวาระครบรอบ 1 ปีเหตุการณ์เดือนเม.ย.-พ.ค.2553

เพราะถ้าปล่อยให้ทุกอย่างไหลไปรวมใน ช่วงเวลาเดียวกันแล้ว ต่อให้มีการแก้ไขกฎกติกาเลือกตั้งเอื้อประโยชน์ให้กับตนเองขนาดไหน ประชาชนคงไม่ยอมง่ายๆ แน่

ความหวังที่พรรคประชาธิปัตย์จะได้กลับมาจัดตั้งรัฐบาล จึงอาจเป็นเรื่องห่างไกลเกินจริง
เจอแล้ว .. ไอ้กะเทยบ้าสงคราม

http://www.internetfreedom.us/thread-14094.html
ที่มา: ASsTV 19 กุมภาพันธ์ 2554

กองทัพไทยตกลงหยุดยิง 8 ข้อ กับกัมพูชาแล้ว สองฝ่ายยังคงกำลังทหารในพื้นที่ต่อไปจนกว่าจะเจรจาตกลงกันได้ ด้านลูก “ฮุนเซน” สงสัยทำไมรัฐบาลไทยปล่อยให้ผู้ชุมนุมโจมตีกัมพูชาและพ่ออย่าง ชี้ปัญหาเกิดจากคนเหล่านี้

ด้านพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวว่า รัฐบาลไม่ควรเจรจาหยุดยิงกับทางกัมพูชา เพราะหากพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหารสงบ ก็จะกลายเป็นพื้นที่สันติภาพ และสามารถขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกได้

#######################################

กระเทยหน้าจืด ป่นเทพ พัวพงษ์พันธ์
[Image: IMG0692050.JPG]

เขายิงกันตายไปไม่รู้เท่าไหร่ ชาวบ้านทั้งไทย เขมร ต่างอยู่ด้วยความหวาดผวา บ้านช่อง - เศรษฐกิจพังพินาศ ต้องอพยพไร้ที่อยู่อาศัย ... พวกมรึง เห็นเป็นเรื่อง
สนุก เพื่อสนองตัณหาของตัวเอง ใช้สมองโง่ ๆ ที่มีแต่ขี้เลื่อย ทึกทักเอาเองว่าถ้าเกิด
สงคราม ก็จะขัดขวางไม่ให้เขาขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้ ทั้ง ๆ ที่ปราสาทเขาพระวิหาร
เขมรเขาขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกไปแล้ว ตั้งแต่ปี 2551.. ไอ้ควาย

ไอ้ป่นเทพ มรึงกระหายสงครามจริงนะ ... ถ้างั้น อย่ามัวแต่เห่าอยู่ข้างทำเนียบ รีบนำทัพ
ฝูงควาย ลงไปประท้วงกันที่ภูมิซรอลเลยเร็ว ๆ ... ท่านฮุนมาเน็ต และชาวบ้านบริเวณนั้น
เขารอต้อนรับพวกมรึงอยู่น่ะ


นี่ก็มีสไนเปอร์


กรณีพื้นที่พิพาท4.6 ตร.กม.บนเขาพระวิหาร กัมพูชานำขึ้นศาลโลกอีกครั้งแน่นอน

http://www.internetfreedom.us/thread-14110.html
จากคำแถลง ของนายกฯ ฮุนเซน เมื่อ 17 กพ 54
มติชนแปลมา ค่อนข้างชัดเจน
[Image: ?di=6129817340612]
link
http://www.matichon.co.th/news_detail.ph...catid=0202
นายกฯ ฮุนเซนได้ตอบคำถามของผู้สื่อข่าวตอนท้ายด้วยว่า
คณะผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายของกัมพูชาและที่ปรึกษากฎหมายระหว่างประเทศ กำลังเตรียมร่างคำร้องอยู่ คงไม่ใช้เวลามากนัก
กัมพูชาจะยื่นตีความฝ่ายเดียว หลัง การประชุมที่จาร์กาต้า22 กุมภาพันธ์นี้


ตอนแรกเคยสงสัยว่าจะยื่นได้หรือไม่ คุ้นๆว่าเคยผ่านตาที่ใหนมาก่อนเลยค้นดู
พวงทอง ภวัครพันธุ์ บอกว่าทำได้ ดูตามนี้ครับ
[Image: ?di=8129817350612]
link
http://www.prachatai.com/journal/2010/08/30556

ก็ดีครับ จะได้จบๆกันไป ชาวบ้านจะไม่เดือดร้อน

แต่ถ้ากัมพูชาได้ไป (เป็นไปได้สูงมาก)
อาจมีทารกรัฐมนตรี ร้องดิ้นพราดเหมือนถูกแย่งของเล่น
หรืออาจมีแรงฮึดตามที่พ่อแม่มันสั่งให้เอา

ฉิบหายเท่าไหร่ไม่ว่า ก็ต้องใช้กำลังทหารยึด
ทีนี้ละ ได้เจ๊งจริงกันทุกฝ่ายแน่นอน

Irving Langmuir << ปรีชายิ่ง


Biography

Irving LangmuirIrving Langmuir was born in Brooklyn, New York, on January 31, 1881, as the third of four sons of Charles Langmuir and Sadie, neé Comings. His early education was obtained in various schools and institutes in the USA, and in Paris (1892-1895). He graduated as a metallurgical engineer from the School of Mines at Columbia University in 1903. Postgraduate work in Physical Chemistry under Nernst in Göttingen earned him the degrees of M.A. and Ph.D. in 1906.

Returning to America, Dr. Langmuir became Instructor in Chemistry at Stevens Institute of Technology, Hoboken, New Jersey, where he taught until July 1909. He then entered the Research Laboratory of the General Electric Company at Schenectady where he eventually became Associate Director.

Langmuir's studies embraced chemistry, physics, and engineering and were largely the outgrowth of studies of vacuum phenomena. In seeking the atomic and molecular mechanisms of these he investigated the properties of adsorbed films and the nature of electric discharges in high vacuum and in certain gases at low pressures.

His work on filaments in gases led directly to the invention of the gasfilled incandescent lamp and to the discovery of atomic hydrogen. He later used the latter in the development of the atomic hydrogen welding process.

He was the first to observe the very stable adsorbed monatomic films on tungsten and platinum filaments, and was able, after experiments with oil films on water, to formulate a general theory of adsorbed films. He also studied the catalytic properties of such films.

Langmuir's work on space charge effects and related phenomena led to many important technical developments which have had a profound effect on later technology.

In chemistry, his interest in reaction mechanism caused him to study structure and valence, and he contributed to the development of the Lewis theory of shared electrons.

Among the awards made to him were: Nichols Medal, (1915 and 1920); Hughes Medal (1918); Rumford Medal (1921); Cannizzaro Prize (1925); Perkin Medal (1928); School of Mines Medal (Columbia University, 1929); Chardler Medal (1929); Willard Gibbs Medal (1930); Popular Science Monthly Award (1932); Nobel Prize in Chemistry (1932); Franklin Medal and Holly Medal (1934); John Scott Award (I937); "Modern Pioneer of Industry" (1940); Faraday Medal (1944); Mascart Medal (1950). In addition, he was a Foreign Member of the Royal Society of London, Fellow of the American Physical Society, Honorary Member of the British Institute of Metals, and of the Chemical Society (London). He had served as President of the American Chemical Society and as President of the American Association for the Advancement of Science.

Honorary degrees were bestowed upon Langmuir by the following colleges and universities: Northwestern, Union, Edinburgh (Scotland), Columbia, Kenyon, Princeton, Lehigh, Harvard, Oxford, Johns Hopkins, Rutgers, Queens (Canada), and Stevens Institute of Technology.

Dr. Langmuir's hobbies were mountaineering, skiing, flying, and, most of all, to understand the mechanism of simple and familiar natural phenomena. He married Marion Mersereau in 1912. They had a son, Kenneth, and a daughter, Barbara. After a short illness, he died on August 16, 1957.
From Nobel Lectures, Chemistry 1922-1941, Elsevier Publishing Company, Amsterdam, 1966
This autobiography/biography was written at the time of the award and first published in the book seriesLes Prix Nobel. It was later edited and republished in Nobel Lectures. To cite this document, always state the source as shown above.

มาช่วยคิดแทนอำมาตย์...หลังจากการประกาศอิสรภาพของคนเสื้อแดง (19 ก.พ.54)

http://www.internetfreedom.us/thread-14118.html
[Image: r2226646044.jpg]

หากคุณเป็นอำมาตย์ อยู่บนที่สูง ย่อมรู้สึกสัมผัสถึงความหนาวเหน็บที่คุณจตุพร
ในฐานะแกนนำ ได้ออกมาแสดงจุดยืนของคนเสื้อแดงเป็นครั้งแรก หลังจากถูกปราบ
ได้รับบาดเจ็บและล้มตายไปหลายพันคน ซึ่งเวลาผ่านไปเพียงแค่ 9 เดือนเท่านั้น
การหยิบยื่นความตายให้คนเสื้อแดง ไม่สามารถหยุดยั้งความกล้าและหยิบยื่นความกลัว
ให้กับพวกเขาได้เลยหรือ? เพราะภาพของคนเสื้อแดง ที่มาร่วมชุมนุมนั้น คือ ของจริงล้วนๆ

ดังนั้นความกลัว ย่อมบังเกิดแก่พวกอำมาตย์และความอำมหิตย่อมอำมหิตมากยิ่งขึ้นต่อไป
อย่างแน่นอน ตราบใดที่อำมาตย์ยังคิดทวนกระแสโลก เมื่อบวกกับเหตุการณ์ในหลาย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆด้วยแล้ว... กลัวขนาดที่ว่า อำมาตย์ตนใดอยู่บน
ตึกสูง ก็แทบอยากมุดลงมาอยู่ห้องใต้ดิน, ใครที่อยู่บนเตียง ก็อยากจะลงมาหลบอยู่
ใต้เตียงและใครที่นั่งบนวีลแชร์โดยมีคนเข็นให้ ก็แทบจะเข็นล้อวีลแชร์แอบหนีไปด้วยตนเอง
เหมือนกับคนที่แบกโอ่งน้ำหรือตู้เย็น ขณะเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้....ประมาณนั้นเลยทีเดียว!

[Image: r2446419676.jpg]

คำปราศัยของคุณจตุพรเมื่อวานนี้ คือ ของจริง ที่กลั่นกรองมาจากส่วนลึกของจิตใจ
ของคนเสื้อแดงทุกคน มิใช่ของคุณจตุพรเพียงคนเดียว...นั่น คือ คนเสื้อแดง
"สุดที่จะอดทนต่อไปได้อีกแล้ว" หมายความว่า คนเสื้อแดงตัดสินใจพร้อมที่จะชนะ!
พร้อมที่จะชน! จะฆ่าเท่าไร ก็ฆ่าไป เพื่อแลกกับความเป็นไทก็ยอม "กูไม่กลัวมึง"
และวันที่ 12 มีนาคม พร้อมที่จะออกมาให้ฆ่าอีกครั้งแล้ว...แล้วอำมาตย์จะวางแผน
ในการรองรับสถานการณ์นี้อย่างไร?

ความจริง ก็มิใช่เรื่องของคนเสื้อแดงที่จะไปคิดแทนอำมาตย์แต่อย่างไร?
...แต่เพราะปัจจุบันนี้ อำมาตย์ คือ ศัตรูของคนเสื้อแดงหรือคนไทย ที่ถูกกดขี่มา
หลายศตวรรษที่ผ่านมา....ซึ่งอำมาตย์เขาคิดก้าวหน้าไปมากกว่าเราหลายช่วงก้าวเสมอ
เขาจึงปกครองและกดขี่เราได้....

ใครจะรู้ว่า? บ้านเมืองของเรากำลังเจริญก้าวหน้าอยู่ดีๆ กลับถูกกลุ่มคนพวกนี้ลุกขึ้นทำรัฐประหาร
ใครจะรู้ว่า? ประชาชนออกมาเรียกร้องชุมนุมอยู่ดีๆ รัฐบาลกลับเอาทหารออกมาเข่นฆ่าประชาชน
พร้อมถูกใส่ร้ายด้วยข้อหาหนักและถูกขังลืมและก็ไม่ได้รับการเยียวยาใดๆ
ฯลฯ

สิ่งเหล่านี้....ประชาชนคนไทย ไม่ได้คิดและหาทางป้องกันไว้เลย จนทำให้เกิดบทเรียน
ครั้งแล้วครั้งเล่า จากตำราในรูปแบบเล่มเดิมๆ

และมา ณ ตอนนี้ สถานการณ์ได้ที่ คนเสื้อแดง ได้เดินทางมาถูกทางในสิ่งที่เหมาะที่ควรแล้ว
ซึ่งคนเสื้อแดงเอง คิดก้าวหน้าไปมาก เห็นได้จาก....

การประกาศไม่ยอมรับการให้ประกันตัวแกนนำ 2 คน ซึ่งจะนำความมาสู่การขัดแย้งของคนเสื้อแดงในอนาคต
และประการที่สอง ก็ คือ การประกาศต้านการทำรัฐหารของ นปช. ซึ่งเป็นหมากเด็ด
ที่อำมาตย์ไม่สามารถกระชับอำนาจของเอง ด้วยการทำรัฐประหาร ทั้งๆที่เตรียมการ
ไว้พร้อมหมดแล้ว จนต้องหยุดชะงัก เพราะหากกระทำลงไป อาณาจักรแหลมทอง
ของอำมาตย์แห่งนี้ ต้อง "ล่มสลาย" อย่างแน่นอน!

ไหนจะกระแสโลก(ปัจจัยภายนอก)บีบรัดเข้ามาทุกขณะ ไหนจะเป็นกลุ่มคนเสื้อแดง
ที่ขยายตัวมากขึ้นทุกๆวัน(ปัจจัยภายใน) และภัยจากเศรษฐกิจที่ล้มเหลว ซึ่งมาจากการ
บริหารและกำกับของอำมาตย์เอง และที่สำคัญที่สุด! ก็ คือ คนเสื้อแดงที่ประกาศต้าน
รัฐประหาร มิได้ต้านรัฐประหาร เพื่อช่วยรัฐบาลของคนเสื้อแดงเอง แต่เป็นรัฐบาลของ
อำมาตย์ที่ตั้งมากับมือของอำมาตย์ทั้งสิ้น

นี่คือ "อุดมการณ์ของคนเสื้อแดง" ที่อำมาตย์จะต้องกลัวและรู้สึกหนาวเป็นอย่างยิ่ง
และยิ่งเมื่อได้ยิน คำประกาศอิสระภาพของคนเสื้อแดงเมื่อวานนี้ ก็ต้องยิ่งหนาวเข้ากระดูก!
เพราะมันเลยคำว่า "เ้พื่อทักษิณ" ที่่เคยใส่ร้ายอย่างได้ผล...ไปจนสุดขอบโลกแล้ว

รู้เขา! รู้เรา!.....รบร้อยครั้ง! ชนะร้อยครั้ง!
แล้วคุณรู้มั๊ย? ขณะนี้....อำมาตย์กำลังคิดอะไรอยู่?
เป็นคำถาม...ให้ฝากทุกคนต้องช่วยกันหาคำตอบ!

ภาพของป๋าหย๋าม
ฝากรูป

สุติบัตร มาร์ค




ฝากรูป
สุวรรณภูมิ ติดท็อปไฟว์สนามบินดีเด่นของโลก

โฆษกท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 
เผย สนามบินสุวรรณภูมิติดอันดับ 5 ของโลก ท่าอากาศยานดีเด่น ที่เข้าประกวดกว่า 154 แห่ง ทั่วโลก


นางสาววิไลวรรณ นัดวิไล โฆษกท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดเผยว่า เอซีไอ ได้ประกาศผลการจัดอันดับท่าอากาศยานดีเด่น ในกลุ่มท่าอากาศยาน ที่มีผู้โดยสารมากกว่า 40 ล้านคนต่อปี ซึ่งท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อยู่ในอันดับ 5 ของโลก โดยมีท่าอากาศยานที่เข้าร่วม การจัดอันดับในประเภทนี้ จำนวน 13 แห่ง ส่วนอันดับ 1 - 4 ในกลุ่มนี้ คือ ท่าอากาศยานฮ่องกง ท่าอากาศยานปักกิ่ง ท่าอากาศยานดูไบ และท่าอากาศยานดัลลัส ตามลำดับ


โฆษกท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวอีกว่า ในปี 2552 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้รับการจัดอันดับจาก เอซีไอ ให้อยู่ในอันดับที่ 6 ของกลุ่มท่าอากาศยานที่มีผู้โดยสาร 25 - 40 ล้านคนต่อปี แต่ในปี 2553 สุวรรณภูมิมีผู้โดยสารใช้บริการมากขึ้นกว่า 42.7 ล้านคนต่อปี จึงทำให้สุวรรณภูมิถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มท่าอากาศยาน ที่มีผู้โดยสารมากกว่า 40 ล้านคน


สำหรับการจัดอันดับท่าอากาศยานดีเด่นของโลก จะมีการประกาศผลเป็นประจำทุกปี โดยแบ่งรางวัลออกเป็นประเภทต่าง ๆ เช่น ตามภูมิภาค ตามขนาดของท่าอากาศยาน รวมทั้งการให้รางวัลท่าอากาศยานดีเด่น โดยรวมของโลก ซึ่งขณะนี้มีท่าอากาศยาน ที่เข้าร่วมประกวดกว่า 154 แห่ง จากทั่วโลก 


เครดิต
http://hilight.kapook.com/view/56322




สนามบินสุวรรณภูมิ "สนามบินแห่งความภูมิใจของคนไทย"
ผลงานที่ดี ของ นายกฯทักษิณ ชินวัตร 



[Image: 1241192759.jpg] [Image: alexpixsbtw03jm2.jpg]
[Image: alexpixsbtw02lc0.jpg] [Image: 18900.jpg] [Image: 526_economy_0059_001.jpg][Image: alexpixsbatc03ji3.jpg]
[Image: 18901.jpg] [Image: sblcpano06lbrssa2.jpg]

ถ้าไม่มีท่านทักษิณ จะมีวันนี้มั้ย...คิดถึงท่านทักษิณมากๆ..Heart

คำร้องขอให้ตัดสิทธิ์ผู้พิพากษาฮันส์-ปีเตอร์ คาอูล (Hans-Peter Kaul)
ในการพิจารณาคดีคนเสื้อแดง

http://robertamsterdam.com/thai/?p=707

Read more from โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม


16 กุมภาพันธ์ 2554

ฯพณฯ ลูอิส โมเรโน-โอแคมโป

อัยการ

ศาลอาญาระหว่างประเทศ

ตู้ไปรษณีย์ 19519

2500 ซีเอ็ม

กรุงเฮก

ประเทศเนเธอร์แลนด์
เรื่อง คดีระหว่างแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ
และคำร้องต่ออัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ
ให้ทำการสอบสวนสถานการณ์ในราชอาณาจักรไทย
กรณีการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ซึ่งยื่นเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2554

เรียน ท่านอัยการ

เราขอยื่นบันทึกฉบับนี้ต่อท่านเพื่อขอให้ท่านใช้อำนาจตามกฎหมาย
ในการขอให้ศาลอาญาระหว่างประเทศ
มีคำสั่งห้ามผู้พิพากษาฮันส์-ปีเตอร์ คาอูล (Hans-Peter Kaul)
มิให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณาคดีที่ระบุข้างต้น
เนื่องจากมีพฤติการณ์ที่อาจทำให้มีข้อสงสัยในความเป็นกลางของผู้พิพากษาท่านดังกล่าว​
(มาตรา 41.2 (60) ของสนธิสัญญากรุงโรม) ด้วยเหตุผลที่ว่า
“มีการแสดงความเห็นผ่านทางสื่อมวลชน
หรือโดยการเขียนบทความใดๆ
หรือโดยการแสดงออกในที่สาธารณะ
ซึ่งหากพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ของการแสดงออกดังกล่าวแล้ว
อาจมีผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อหน้าที่ในการวางตนเป็นกลาง
ในการพิจารณาพิพากษาคดีของบุคคลดังกล่าว” (กฎข้อ 34.1 (ดี))

เราขอยื่นคำร้องก่อนที่ท่านอัยการจะเริ่มการสอบสวน
กรณีการกระทำความผิดตามที่ร้องขอ ด้วยเหตุผลสองประการ
ประการแรก ตามกฎข้อ 34.2 กำหนดว่า “การร้องคัดค้านคุณสมบัติผู้พิพากษา
ในกระทำเป็นลายลักษณ์อักษรทันทีที่ทราบเหตุแห่งการกระทำนั้น”
ประการที่สอง ในฐานะที่เป็นองค์คณะผู้พิพากษาในการพิจารณาคดีเบื้องต้น
ผู้พิพากษาคาอูล อาจเข้ามีส่วนร่วมในการวินิจฉัยเบื้องต้น
ในเรื่องที่เกี่ยวกับการอนุมัติการสอบสวนตามมาตรา 15.4 ของสนธิสัญญากรุงโรม
และการพิจารณาเรื่องเขตอำนาจของศาลในคดีนี้ตามมาตรา 19 ของสนธิสัญญากรุงโรม

คำร้องเรียนของเรามาจากพื้นฐานของข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้

เมื่อเดือนมกราคม 2554ไม่นานก่อนที่เราจะยื่นคำร้องขอต่ออัยการในศาลอาญาระหว่างประเทศ
แต่ในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นที่รับรู้กันทั่วไปในประเทศไทยว่า
กำลังจะมีการยื่นคำร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ
ผู้พิพากษาคาอูลได้เดินทางมายังประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมในการสัมมนา
เรื่อง “สิทธิมนุษยชนและศาลอาญาระหว่างประเทศ”
ซึ่งจัดร่วมกันโดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และสถานทูตเยอรมัน

ในวันที่ 21 มกราคม 2554 หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ได้ตีพิมพ์
บทสัมภาษณ์ผู้พิพากษาคาอูล (ตามเอกสารแนบหมายเลข A)
เมื่อมีการสอบถามผู้พิพากษาคาอูลถึงคำร้องของ นปช.
ที่จะยื่นต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ ปรากฏข้อมูลว่า
ผู้พิพากษาคาอูลได้ตอบว่า
“อัยการทราบดีอยู่ว่าประเทศไทยไม่ได้เป็นรัฐภาคีของสนธิสัญญากรุงโรม . . .
ดังนั้น ศาลไอซีซีไม่สามารถมีอำนาจในการพิจารณาคดี
ที่มีการฟ้องว่ามีการกระทำผิดกฎหมายในประเทศไทยได้
จนกว่าประเทศไทยจะให้สัตยาบันต่อสนธิสัญญากรุงโรม”

“ผมขอชี้แจงให้ชัดเจนว่า
ศาลไม่มีอำนาจพิจารณาคดีทำผิดกฎหมายอาญาที่เกิดขึ้นในประเทศไทย
แม้ว่าการกระทำผิดดังกล่าวจะถึงขั้นที่เรียกได้ว่า
เป็นอาชญากรรมต่อมนุษย์ชาติตามมาตรา 7 ของสนธิสัญญาดังกล่าวก็ตาม”

ในทำนองเดียวกัน
เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2554 ผู้พิพากษาคาอูลได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส
(ตามเอกสารแนบหมายเลข B) ซึ่งในระหว่างการให้สัมภาษณ์ดังกล่าว
ปรากฏว่าผู้พิพากษาคาอูลได้ให้สัมภาษณ์ดังนี้

“ . . . เป็นเรื่องที่ไร้สาระ ทำไมถึงเป็นเรื่องที่ไร้สาระ เพราะ[ทนายของ นปช.] ต้องรู้ดีว่า
ตราบเท่าที่ประเทศไทยไม่ได้เป็นภาคีของสนธิสัญญากรุงโรม
ศาลอาญาระหว่างประเทศไม่มีทางที่จะเข้าแทรกแซงนโยบายภายในประเทศของไทย
ข้าพเจ้ายินดีที่ได้ชี้แจงข่าวสารที่มีความสำคัญเช่นนี้
เพราะมีคนจำนวนมากในประเทศนี้ที่ไม่เข้าใจระบบของสนธิสัญญา
ดังนั้น ความเข้าใจของมหาชนจะต้องไม่ถูกนำไปในทางที่ผิด
เพราะความเชื่อผิดๆ
ซึ่งกำลังมีผู้ชี้นำความคิดเห็นของมหาชนไปในทางที่ไม่เกี่ยวข้องและไม่สามารถทำได้”

“อย่างที่ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้ว และจะขอย้ำเป็นครั้งที่สาม
ศาลไอซีซีจะมีความเกี่ยวข้องกับประเทศไทยได้
ถ้าคนไทยและรัฐบาลไทยทำการตัดสินใจที่จะเข้าเป็นภาคีของไอซีซี”

คำพูดของผู้พิพากษาคาอูล ได้ก่อให้เกิดอคติต่อความเข้าใจของสาธารณชน
ในการยื่นคำร้องเรียนนี้แล้ว
รัฐบาลและสื่อที่ให้การสนับสนุนรัฐบาลได้อ้างอิง
ถึงคำพูดของผู้พิพากษาคาอูลมากมายหลายครั้ง
โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะดิสเครดิตกระบวนการของ นปช.
ที่จะยื่นคำร้องต่อศาลไอซีซี ยกตัวอย่างเช่น
ในวันที่ 31 มกราคม 2554 หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ (ตามเอกสารแนบท้ายหมายเลข ซี)
รายงานว่า:

“เมื่อวันจันทร์ ทนายความของ นปช. ได้ยื่นฟ้อง
นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่อศาลอาญาระหว่างประเทศที่กรุงเฮก
โดยขอให้มีการสอบสวนการกระทำผิดอาญาต่อมนุษยชาติ
ในช่วงการสลายการชุมนุมเดือนเมษายน-พฤษภาคม ปีที่แล้ว”

โดยก่อนหน้านี้
ผู้แทนของศาลไอซีซีได้แจ้งต่อขบวนการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงว่า
ศาลไอซีซีไม่มีอำนาจพิจารณาความผิดที่ถือเป็นเรื่องทางการเมืองในประเทศไทย
เพราะประเทศไทยยังไม่ได้ไห้สัตยาบันในสนธิสัญญาที่ลงนามไว้ตั้งแต่ปี 2548”

ต่อมาในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2554 บทบรรณาธิการของบางกอกโพสต์
(ตามเอกสารแนบท้ายหมายเลข ดี) ได้กล่าวหาคำฟ้องของ นปช. ว่า
“ราคาถูกและไร้ยางอาย” โดยอ้างว่าทนายความที่ยื่นคำร้องต่อศาลไอซีซีนั้น
“รู้ดีอยู่ว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของศาลไอซีซีได้บอกแล้วว่า
ศาลไม่มีอำนาจพิพากษาคดีและไม่มีอำนาจพิจารณาคดีนี้
และไม่มีทางที่จะยินยอมที่จะรับพิจารณาคดี”
บทบรรณาธิการดังกล่าวยังระบุด้วยว่า
แม้จะมีการยื่นคำขอแล้ว
“เพราะไอซีซีได้แถลงออกมาเองว่า จะไม่รับพิจารณาคดีดังกล่าว”

ไม่เคยมีการแถลงการณ์ใดๆ
จากผู้พิพากษาท่านอื่นหรือบุคคลากรท่านอื่นๆ ของศาลไอซีซี
เกี่ยวกับคำฟ้องของ นปช.
การที่สื่ออ้างอิงดังกล่าวจึงอ้างอิงจากคำสัมภาษณ์ของผู้พิพากษาคาอูลเท่านั้น

ถ้าคำให้สัมภาษณ์ของผู้พิพากษาคาอูลถูกต้องตามความเป็นจริง หมายความว่า
เขาได้แสดงความเห็นต่อสาธารณะโดยเป็นการพิพากษาตัดสินคดีแทนศาลไอซีซีแล้ว
ในประเด็นเรื่องเขตอำนาจศาล
การแสดงความเห็นก่อนการพิจารณาคดี
จึงทำให้ผู้พิพากษาคาอูลไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้พิพากษาในคดีนี้

มาตรา 41.2 (60) ของสนธิสัญญากรุงโรมระบุว่า
“ผู้พิพากษาจะต้องไม่พิจารณาคดีที่อาจมีข้อสงสัย
ในเรื่องความเป็นกลางของบุคคลดังกล่าว”
กฎข้อ 34 (1) (ดี) ของกฎการพิจารณาคดีและพยานหลักฐานกำหนด
เรื่องคุณสมบัติของผู้พิพากษาโดยผู้พิพากษาที่มีพฤติกรรม
“แสดงความคิดเห็นผ่านช่องทางสื่อมวลชน
โดยการเขียนหรือโดยการแสดงออกในที่สาธารณะ
ในลักษณะที่อาจส่งผลกระทบต่อความเป็นกลาง”

ในคดีนี้ มีข้อสงสัยอย่างสมควรเกี่ยวกับความเป็นกลางของผู้พิพากษาคาอูล
เพราะได้มีการแสดงความคิดเห็นผ่านทางสื่อมวลชน
โดยแสดงจุดยืนว่าศาลไอซีซี “ไม่สามารถมีอำนาจในการพิจารณาคดี”
กรณีของการกระทำความผิดต่อมนุษยชาติที่เกิดขึ้นในประเทศไทย
เพียงเพราะไทยไม่ได้เป็นภาคีต่อสนธิสัญญากรุงโรม

คำแถลงดังกล่าวของผู้พิพากษาคาอูลไม่เพียงแต่เป็นการด่วนสรุป
ซึ่งสร้างความเสียหายต่อผู้เสียหายและต่อกระบวนการยุติธรรม
แต่ยังเป็นคำแถลงที่ไม่ถูกต้องในสาระสำคัญ
ทั้งนี้เพราะปรากฏชัดเจนว่าผู้พิพากษาท่านนี้ไม่ทราบถึงพยานหลักฐานชิ้นสำคัญ
ที่ระบุในคำฟ้องของ นปช. ว่า
นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของไทยซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาว่า
กระทำความผิดเป็นบุคคลสัญชาติอังกฤษ
ซึ่งสหราชอาณาจักรเป็นประเทศที่เป็นภาคีของสนธิสัญญากรุงโรม
ดังนั้น คำฟ้องของ นปช. จึงเข้าเงื่อนไขเรื่องเขตอำนาจศาล
ในกรณีของสัญชาติตามมาตรา 12.2 (บี) ของสนธิสัญญา
นอกจากนี้
ผู้พิพากษาคาอูลยังไม่ได้คำนึงถึงประเด็น
ที่รัฐบาลไทยในอนาคตอาจยอมรับเขตอำนาจของศาลไอซีซี
ตามมาตรา 12.3 ของสนธิสัญญาดังกล่าว
และยังไม่ได้พิจารณาถึงประเด็นเรื่องสิทธิของคณะมนตรีความมั่นคง
ในการเข้าพิจารณาคดีนี้ตามมาตรา 13 (บี) ของสนธิสัญญา

ตามมาตรา 36 (3) ของสนธิสัญญากรุงโรม
ผู้พิพากษาจะได้รับเลือกจากบรรดาบุคคลที่มีจริยธรรมสูง มีความเป็นกลาง และมีศักดิ์ศรี
โดยมีคุณสมบัติตามที่ระบุในกฎหมายของแต่ละประเทศ
ที่เขามีสัญชาติในการที่จะเป็นผู้พิพากษาในศาลสูงสุดของประเทศนั้นๆ”

นอกจากนี้ มาตรา 40 (2) ของสนธิสัญญากรุงโรมได้ระบุไว้ว่า
“ผู้พิพากษาจะต้องไม่มีส่วนในกิจกรรม
ซึ่งอาจจะเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม
หรืออาจกระทบต่อความเชื่อมั่นในความเป็นอิสระ”

กฎข้อ 34 (1) (ดี) ของกฎของไอซีซีว่าด้วยกระบวนวิธีพิจารณาและพยานหลักฐาน
ได้ระบุสาเหตุของการคัดค้านคุณสมบัติผู้พิพากษาไว้ดังนี้
“ห้ามผู้พิพากษาแสดงความคิดเห็นผ่านช่องทางสื่อมวลชน
โดยการเขียน
หรือการแสดงออกในที่สาธารณะในลักษณะที่อาจกระทบต่อความเป็นกลาง”

ประเด็นนี้สอดคล้องกับมาตรา 41 (2) ของสนธิสัญญา
ซึ่งกำหนดว่า “ผู้พิพากษา” จะต้องไม่มีส่วนร่วมในคดีที่มีข้อสงสัยในเรื่องความเป็นกลาง”

ความเป็นกลางและความเป็นอิสระของตุลาการเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน
ตามมาตรา 6 ของสนธิสัญญาแห่งยุโรปว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
ซึ่งมีผลต่อกระบวนการพิจารณาคดีของศาลไอซีซี
ในคดีที่เป็นบรรทัดฐานระหว่าง Hauschildt V. Denmark
ซึ่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหภาพยุโรป (ECHR) ได้วินิจฉัยว่า

“การพิจารณาเรื่องความเป็นกลางตามวัตถุประสงค์ของมาตรา 6 วรรค 1
จะต้องคำนึงถึงการตรวจสอบทางความคิดเห็น (Subjective Test)
ซึ่งหมายถึง พื้นฐานความเชื่อของบุคคลที่มีต่อผู้พิพากษาคนใดคนหนึ่ง
ในคดีใดคดีหนึ่งและยังต้องคำนึงถึงการตรวจสอบทางภาวะวิสัยด้วยว่า
ผู้พิพากษาคนหนึ่งคนใดได้ดำเนินการใด
ที่จะเป็นหลักประกันที่เพียงพอในเรื่องของความเป็นกลาง”

“สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ คือ
ความเชื่อมั่นซึ่งศาลในสังคมประชาธิปไตยจะต้องสร้างความเชื่อมั่นแก่สาธารณชน…..
ด้วยเหตุนี้ในกรณีที่มีเหตุผลที่ควรเชื่อที่ทำให้มีความวิตกว่า
ผู้พิพากษาคนหนึ่งคนใดขาดความเป็นกลาง สิ่งที่ต้องใช้ในการตัดสินคือ
เหตุแห่งความวิตกนั้นสามารถมีหลักฐานยืนยันได้หรือไม่”

ด้วยเหตุนี้ ในรัฐที่เป็นประชาธิปไตย
หน้าที่ของศาลไม่เพียงแต่ต้องจัดให้มีความยุติธรรม
แต่ต้องดำเนินการให้เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า
ได้มีการให้ความยุติธรรมแล้วด้วย เมื่อคำนึงถึงคำให้สัมภาษณ์ของผู้พิพากษาคาอูล
ซึ่งเป็นการด่วนสรุปความเห็นทางกฎหมาย
หรือด่วนให้คำวินิจฉัยก่อนการสืบพยานในประเด็นเรื่องเขตอำนาจศาลนี้
จึงมีเหตุอันสมควรที่อาจจะทำให้เกิดข้อสงสัย
ในเรื่องความเป็นกลางของผู้พิพากษารายนี้ได้

ดังนั้น ก่อนที่ผู้พิพากษาคาอูล
จะมีโอกาสที่จะวินิจฉัยประเด็นเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนี้
จึงจำเป็นต้องมีการดำเนินการให้เขา “ไม่มีคุณสมบัติ” [ในการเป็นผู้พิพากษาในคดีนี้]
ตามเงื่อนไขแห่งสนธิสัญญากรุงโรม

อัยการของศาลไอซีซี
มีอำนาจและหน้าที่ในการดำเนินการร้องขอให้มีการกำหนดว่า
เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะนั่งพิจารณาคดีนี้เมื่อมีพฤติกรรมต่างๆ
ที่เข้าเงื่อนไขตามที่กำหนดไว้ในสนธิสัญญา
เราจึงขอเรียกร้องให้ท่านอัยการใช้อำนาจ
ในการร้องขอต่อศาลอาญาระหว่างประเทศในการกำหนด
ให้ผู้พิพากษาคาอูลไม่มีคุณสมบัติที่จะนั่งพิจารณาพิพากษาในคดีนี้

นอกจากนี้ ตามกฎข้อ 34 (2) ของกฎว่าด้วย
การพิจารณาคดีและพยานหลักฐานของไอซีซี
เราขอร้องให้มีการส่งสำเนาคำร้องนี้ให้แก่ผู้พิพากษาคาอูลด้วย

ขอแสดงความนับถือ

โรเบิร์ต อาร์. อัมสเตอร์ดัม

สำนักกฎหมายอัมสเตอร์ดัม แอนด์ เพรอฟ

ศาสตราจารย์ ดัก แคสเซล

จี. เจ. อเลกซานเดอร์ คนูป

สำนักกฎหมายคนูป แอนด์ พาร์ทเนอร์

ทนายความของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ


http://robertamsterdam.com/thai/?p=707