วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2559

มี ม.44 ในมือ ประยุทธ์ ยัน รธน.ไม่ผ่านประชามติ ก็ต้องเริ่มร่างใหม่ และไม่ลาออก


พล.อ.ประยุทธ์ ยันหากร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ผ่านประชามติ ก็ต้องเริ่มร่างใหม่ ซึ่งตนจะไม่ลาออก และไม่มีใครสามารถปลดตนได้ เพราะตนมีอำนาจตามมาตรา 44 อยู่ แนะประชาชนอย่าให้ใครมาชี้นำ 
29 มิ.ย.2559 ช่วงบ่ายวันนี้  รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพมหานคร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. เป็นประธานพิธีเปิดงานเนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก ประจำปี 2559 “Go Wild For Life” หยุดซื้อ หยุดขาย หยุดฆ่า แก้ปัญหาสัตว์ป่าสูญพันธุ์
โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่งในพิธีเปิดงานดังกล่าวถึงการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญว่า ทุกคนต้องช่วยกันเดินหน้าประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แต่จะทำหรือไม่ทำก็เป็นเรื่องของรัฐบาลหน้า ตนไปบังคับใครไม่ได้ ประชาชนต้องรับผิดชอบเพราะเลือกมาเอง และถ้าทุกคนต้องการให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้าได้ ก็เชื่อว่าจะทำได้  ไม่ต้องมากังวลกับตน แต่ควรกังวลกับชีวิตตัวเองมากกว่า ที่เข้ามายืนตรงนี้  วันนี้ประเทศไทยต้องอดทน  อดทนกับสิ่งที่ผ่านมาและอดทนสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป เพื่ออนาคต ขอย้ำว่าตนจะใจร้ายกับคนร้ายเท่านั้น และทุกเรื่องต้องแก้ด้วยกฎหมาย ตนจะคุยกับคนที่ทำผิดกฎหมายไม่ได้ จะถูกหรือผิดต้องสู้คดี หากอยากให้ประเทศสงบเรียบร้อยต้องปรองดอง แต่เราจะไม่ปรองดองกับคนทำผิดกฎหมาย
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทุกคนมี 1 สิทธิ 1 เสียง ขออย่าให้ใครมาชี้นำ ซึ่งร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านความเห็นชอบหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของประชาชน  อยากให้ตัดสินใจด้วยตัวเอง รัฐบาลพยายามดูแลทำทุกอย่างเต็มที่ตามกฏหมาย ขอประชาชนอย่าเชื่อถ้อยคำบิดเบือน โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา และสาธารณสุข ทั้ง 2 เรื่อง รัฐบาลดูแลประชาชนอย่างเต็มที่ และดีกว่าเดิม และหากร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ผ่านประชามติ ก็ต้องเริ่มร่างใหม่ ซึ่งตนจะไม่ลาออก และไม่มีใครสามารถปลดตนได้ เพราะตนมีอำนาจตามมาตรา 44 อยู่ 
"ถ้ามันไม่ผ่านประชามติ ก็ทำใหม่ บอกยังงี้ ไปถามผมบ่อยนัก ก็ทำรัฐธรรมนูญใหม่ ตามกติกาเลือกตั้งก็ต้องมีรัฐธรรมนูญ จบไหม" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
 

ย้ำรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์

พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวเปิดงานดังกล่าวตอนหนึ่งว่า จากจุดเริ่มต้นของความร่วมมือของนานาชาติทั่วโลกในด้านสิ่งแวดล้อมเมื่อปี 2515 องค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้วันที่ 5 มิ.ย.ของทุกปี เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 44 ปี โลกต้องเผชิญวิกฤตการณ์ทางสิ่งแวดล้อมมากมาย รวมทั้งปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อันเนื่องจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่รู้คุณค่า โดยเฉพาะปัญหาการลักลอบการค้าสัตว์ ตัดไม้พันธุ์หายาก และการลักลอบลำเลียงสัตว์ป่านำสัตว์ไปเป็นเมนูเปิบพิศดารมีจำนวนเพิ่มขึ้น จึงขอให้ทุกคนช่วยกันเป็นหูเป็นตาอย่านิ่งเฉย หากพบผู้กระทำความผิดให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย
ทั้งนี้ รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ให้ดำรงอยู่ในธรรมชาติ โดยเมื่อวันที่ 21 มิ.ย.ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษีกากำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าสงวน ได้แก่ วาฬบรูด้า วาฬโอมุระ ฉลามวาฬ และเต่ามะเฟือง จึงขอให้ทุกคนช่วยกันอนุรักษ์ และหาวิธีให้สัตว์ป่าสามารถอยู่ร่วมกับคนได้อย่างไม่รบกวนกัน ซึ่งสิ่งสำคัญต้องช่วยกันสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน พร้อมกับขอให้ทุกคนตระหนักถึงผลกระทบที่จะตามมาจากการทำลายสัตว์ป่า และทำลายทรัพยากรธรรมชาติ
 
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ในปี 2559 ได้กำหนดคำขวัญวันสิ่งแวดล้อมโลกไว้ว่า Go Wild For Life : หยุดซื้อ หยุดขาย หยุดฆ่า แก้ปัญหาสัตว์ป่าสูญพันธุ์ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า ด้วยการลดอาชญากรรมจากการซื้อขายที่ผิดกฎหมาย ในแต่ละปีมีสัตว์ป่าต้องสูญพันธุ์ และเสี่ยงต่อการใกล้จะสูญพันธุ์จากการลักลอบล่าสัตว์เพื่อการค้าที่ผิดกฎหมาย ซึ่งสัตว์ป่าบางชนิดมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อาหารช่วยรักษาสมดุลของประชากรสัตว์ให้สอดคล้องกับระบบนิเวศ เช่น ตัวนิ่มที่เป็นผู้ควบคุมปริมาณของแมลงในธรรมชาติ เพราะกินมดและปลวก ถึงปีละ 7 ล้านตัว เป็นต้น
 
และเนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก ประจำปี 2559 นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเชิญชวนให้คนไทยทุกคนร่วมมือ ร่วมใจกัน รักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในมหามงคลเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 70 ปี ในวันที่ 9 มิ.ย. 2559 และเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา ในวันที่ 12 สิงหาคม 2559 โดยเริ่มต้นจากการ หยุดซื้อ หยุดขาย หยุดล่า หยุดฆ่า สัตว์ป่าอย่างผิดกฎหมาย เพื่อความอุดมสมบูรณ์และความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ ให้เป็นมรดกแก่ลูกหลานต่อไปในอนาคต

ประยุทธ์ลั่นไม่ปรองดองกับคนผิดกฏหมาย เผยถูกกดดันจากข้างนอกเพื่อแลกกับความสงบ


ประยุทธ์ ระบุในหลวงไม่เคยมายุ่งกับการเมือง ยันไม่มีใครมาสั่งให้ตนยึดอำนาจหรือปล่อยอำนาจ มีแต่ประชาชนว่าจะให้ทำหรือเปล่า ลั่นไม่ปรองดอง ไม่คุยกับคนผิดกฏหมาย เผยกำลังถูกกดดันข้างนอก
29 มิ.ย.2559 ช่วงบ่ายวันนี้  ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพมหานคร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. เป็นประธานพิธีเปิดงานเนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก ประจำปี 2559 “Go Wild For Life” หยุดซื้อ หยุดขาย หยุดฆ่า แก้ปัญหาสัตว์ป่าสูญพันธุ์ 
โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวตอนหนึ่ง ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทำมาตลอด ระยะเวลาที่ทรงทำมา ท่านไม่เคยมายุ่งกับการเมือง
 
"ไม่มีใครมาสั่งผม ผมสั่งตัวผมเอง ผมพูดด้วยสัจจริง สั่งผมไม่ได้ทั้งนั้นล่ะ เรื่องอย่างนี้ใครมาสั่งผมได้ สั่งให้ผมยึดอำนาจ สั่งให้ผมปล่อยอำนาจ ไม่มีใครสั่งผมได้ มีแต่ประชาชนว่าจะให้ทำหรือเปล่า ถ้าไม่อยากให้ทำก็จะได้เลิก แล้วกลับไปอยู่ที่เดิม เพราะฉะนั้นทุกคนต้องมีความสมัครสมานสามัคคีตระหนักในหน้าที่ร่วมกัน" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
 
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า คนไทยทุกคนใจร้อน ถ้าจะแก้อะไรวันนี้พรุ่งนี้ต้องเสร็จ พร้อมยกเพลง "คืนความสุข" และกล่าวว่า "หลายคนก็ทวงถามเมื่อไหร่มึงจะไปสักที ขอเวลาไม่นานทำไมมันนานนัก 2 ปี แล้ว"
 
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ถามในที่ประชุมว่า "ไหนใครทวงให้ผมไปยกมือ ไม่ต้องกลัว วันนี้ให้ยกมือ เอาล่ะก็เป็นเรื่องของท่าน เพราะท่านมีสิทธิในประชามติ เพราะวันนี้ผมเป็นคนรักษากติกา เพราะฉะนั้นผมก็เต็มที่ของผมอยู่แล้วล่ะ เพราะฉะนั้นก็อย่าไปฟังคนบิดเบือน หลายอย่างไม่ใช่ข้อเท็จจริง 15 ปีก็ยังให้แถมไปยังอนุบาลด้วย ไปบิดเบือนว่าถ้าผมอยู่ต่อจะไม่ได้ จะไม่ได้ได้ไงคำสั่งก็ออกมาให้แล้ว กำลังหางบประมาณให้ดูแลอยู่ถึงอนุบาลเข้าไปอีก อีกเรื่องอะไรนะรักษาพยาบาล บัตรทองบัตรอะไรก็ไม่รู้ งดสักอย่างหรือยัง ก็มีแต่ทำต่อจะทำให้ดีขึ้น แค่นี้ก็บอดเบือนกันแล้ว เข้าใจไหม"
 

ยันไม่ปรองดอง กับคนผิดกฏหมาย ระบุกำลังโดนกดดันจากข้างนอก

"ความจริงผมเป็นคนใจดีไม่ใช่คนใจร้ายหรอก แต่ผมใจร้ายกับคนร้าย คนไม่ดีกับผมไม่ดีกับประเทศผมใจร้าย ผมบอกไว้ก่อน เพราะฉะนั้นอะไรต่างๆ ต้องแก้กันด้วยกฏหมายทั้งสิ้น มันถึงจะคุยกันรู้เรื่อง เพราะผมไปคุยเรื่องอื่นไม่ได้ คุยกับคนผิดกฏหมายไม่ได้ จะผิดจะถูกก็สู้คดีกันต่อไปให้มันชัดเจนขึ้น เข้าใจหรือยัง ไหนใครยอมไหม คุยกับคนผิดกฏหมายไม่ได้ จะผิดจะถูกก็สู้คดีกันต่อไปให้มันชัดเจนขึ้น เข้าใจหรือยัง ไหนใครยอมไหม คุยกันแล้วเลิกกันซูเอี๋ยกันทั้งประเทศ ผมถามท่านเพราะผมกำลังโดนกดกันข้างนอกอยู่ ว่าถ้าอยากให้ประเทศสงบเรียบร้อย ต้องปรองดอง ผมไม่ปรองดอง ผมไม่ปรองดองกับคนกระทำผิดกฏหมายไม่รับผิด ผมผิดหรือถูกนี่ ถ้าประชามติไม่ผ่านผมต้องลาออก เอะมาตรา 44 ผมมีหรือเปล่าตอนนี้ ไม่มีใครกำหนดผมได้หรอก ผมรับผิดชอบบอกไว้ก่อน"

ไอลอว์ยัน ม.61 พ.ร.บ.ประชามติฯ ขัดหลักเสรีภาพ ขอทุกฝ่ายใจกว้างเปิดรณรงค์ได้


โครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) ยืนยัน พ.ร.บ.ประชามติฯ มาตรา 61 ขัดหลักเสรีภาพ ขอทุกฝ่ายเปิดให้ประชาชนรณรงค์ได้
29 มิ.ย.2559  จากกรณีเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ที่ผ่านมา ผู้ตรวจการแผ่นดินได้มีมติเอกฉันท์เห็นว่า มาตรา 61 วรรคสอง ของ พ.ร.บ.ประชามติมีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเนื้อหาในวรรคสองมีการบัญญัติคำว่า "รุนแรง ก้าวร้าว หยาบคาย" นั้น มีความไม่ชัดเจนและคลุมเครือ นำไปสู่ความสับสนของประชาชน ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น และอาจทำให้การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ดำเนินการโดยดุลพินิจของตัวเอง จนทำให้กระทบสิทธิของประชาชนที่อาจนำไปสู่ความเสียหาย จึงเห็นควรส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เฉพาะมาตรา 61 วรรคสอง ส่วนข้อความในมาตรา 61 วรรคสาม และวรรคสี่ นั้นที่ประชุมเห็นว่าเป็นเรื่องของบทกำหนดโทษ ซึ่งเป็นดุลพินิจของผู้ออกกฎหมาย และเป็นดุลพินิจของศาลที่จะพิจารณา โดยคำร้องดังกล่าวเป็นของ จอน อึ๊งภากรณ์  ผู้อำนวยการโครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)
โดยวันนี้ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ว่า พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559 ม.61 วรรคสอง ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ (ชั่วคราว) 2557 ม.4 จึงไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญดังกล่าว
ล่าสุด ไอลอว์ ออกคำชี้แจงว่า เนื่องจากขณะนี้เรายังไม่ทราบเหตุผลที่แท้จริงในคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คน ในประเด็นนี้ เราทราบเพียงผลคำวินิจฉัยจากข่าวประชาสัมพันธ์ของสำนักงาน ศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้นว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ พ.ร.บ.ประชามติฯ มาตรา 61 วรรคสอง ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว ปี 2557 
ไอลอว์ขอยืนยันตามที่ได้ยื่นคำร้องไปแล้วว่า พ.ร.บ.ประชามติฯ มาตรา 61 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติห้ามการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญและการทำประชามติที่ผิดไปจากข้อเท็จจริง หรือมีลักษณะรุนแรง ก้าวร้าว หยาบคาย ปลุกระดม หรือข่มขู่ โดยมีอัตราโทษจำคุกสูงถึง 10 ปีนั้น เป็นกฎหมายที่ขัดต่อหลักเสรีภาพการแสดงออกซึ่งเป็นหลักการที่อยู่คู่กับการเมืองการปกครองไทยมาทุกยุคสมัยและเป็นหลักการพื้นฐานที่มนุษยชาติยอมรับกันโดยทั่วไป 
 
การที่มาตรา 61 วรรคสอง บัญญัติถึงการกระทำอันเป็นความผิดโดยใช้ถ้อยคำที่กว้างและคลุมเครือ เช่น คำว่า "รุนแรง" "ก้าวร้าว" "ปลุกระดม" ซึ่งเป็นคำที่ไม่เคยมีนิยามอยู่ในกฎหมายฉบับใดมาก่อน ทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้าใจได้ว่าการแสดงออกอย่างใดจะผิดกฎหมายหรือไม่ ขัดต่อหลักการของกฎหมายอาญาที่ต้องชัดเจนแน่นอน ส่วนการแสดงออกด้วยถ้อยคำที่ "หยาบคาย" นั้น ตามปกติแล้วแม้จะเป็นสิ่งที่ไม่สมควร แต่ก็ไม่ใช่การกระทำที่ต้องมีโทษทางกฎหมาย ขณะที่บทกำหนดโทษของความผิดตามมาตรา 61 วรรคสอง ก็เป็นโทษที่รุนแรงเกินไป ไม่ได้สัดส่วนกับการกระทำที่เป็นเพียงแค่การแสดงออกซึ่งความคิดเห็นโดยสงบ อัตราโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปีนั้น เทียบได้กับความผิดฐานฆ่าคนตายโดยประมาท หรือฐานทำให้หญิงแท้งลูกและถึงแก่ความตาย การบัญญัติมาตรา 61 วรรคสองเช่นนี้ จึงเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนเกินขอบเขต โดยไม่มีเหตุอันสมควร
 
ไอลอว์ เห็นว่า บรรยากาศการพูดคุยเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ และการทำประชามติทุกวันนี้เป็นไปอย่างเงียบเหงาผิดปกติ ทั้งที่ใกล้ถึงเวลาลงประชามติแล้ว โดยที่ประชาชนที่มีความคิดเห็นทั้งเห็นด้วยและไม่เห้นด้วยต่างไม่กล้าแสดงออก ถกเถียง หรือทำกิจกรรม ดังที่มีตัวอย่าง การจับกุมดำเนินคดีกับนักกิจกรรมที่แจกเอกสารแสดงเหตุผลไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ และมีผู้ถูกคุมขังอยู่อย่างน้อย 7 คนในปัจจุบัน บรรยากาศเช่นนี้ย่อมไม่ส่งผลดีต่อการทำประชามติที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 7 สิงหาคม 2559 และมีแต่จะทำให้ผลการลงประชามติไม่เป็นที่ยอมรับทั้งโดยประชาชนชาวไทยและประชาคมโลก
 
ไอลอว์ ไม่มีความประสงค์จะสร้างความไม่สงบเรียบร้อยในการทำประชามติ และไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองจนนำไปสู่ความรุนแรง แต่เรายืนยันที่จะทำกิจกรรมทางสังคมและใช้ช่องทางตามกฎหมายทุกวิถีทางที่มีอยู่ต่อไป เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญและการจัดทำประชามติได้อย่างเสรี เพื่อให้การจัดทำประชามติที่จะเกิดขึ้นสามารถสะท้อนเจตจำนงของประชาชนได้อย่างแท้จริง
 
ในระหว่างที่พ.ร.บ.ประชามติฯ มาตรา 61 ยังไม่ถูกยกเลิกโดยศาลรัฐธรรมนูญ ก็ยังเป็นไปได้ที่บรรยากาศการทำประชามติจะดีขึ้น หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง คสช. และ กกต. เปิดให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นและทำกิจกรรมรณรงค์ได้อย่างเต็มที่ ไม่บังคับใช้กฎหมายที่ไม่มีความชอบธรรม ยกเลิกการปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นทุกรูปแบบ เลิกจับกุมประชาชนจากการแสดงความคิดเห็น ปล่อยตัวผู้ถูกคุมขังและยุติการดำเนินคดีที่กำลังเกิดขึ้นด้วย

ปล่อยลูกโป่งที่เชียงใหม่ #รณรงค์ไม่ผิด เรียกร้องปล่อยตัวผู้รณรงค์ประชามติ


นักศึกษา อาจารย์ นักวิชาการ และนักกิจกรรมในจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมปล่อยลูกโป่ง #รณรงค์ไม่ผิด เพื่อยื่นยันสิทธิในการรณรงค์ประชามติร่างรัฐธรรมนูญ และกล่าวคำว่า "ปล่อยเพื่อนเรา" พร้อมกัน เรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้รณรงค์ประชามติ
29 มิ.ย. 2559 เมื่อเวลา 18.00 น. ที่บริเวณอ่างแก้ว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กลุ่มนักศึกษา อาจารย์ นักวิชาการ และนักกิจกรรมในจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมปล่อยลูกโป่ง #รณรงค์ไม่ผิด เพื่อยื่นยันสิทธิในการรณรงค์ ประชามติร่างรัฐธรรมนูญ โดยได้กล่าวคำว่า "ปล่อยเพื่อนเรา" พร้อมกัน
ในเพจสมัชชาเสรีแห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เพื่อประชาธิปไตย รายงานด้วยว่ ในกิจกรรมดังกล่าว มีทหารและตำรวจนอกเครื่องแบบเข้าสังเกตุการณ์ กิจกรรมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เวลาประมาณ 19.00 ผู้เข้าร่วมต่างแยกย้ายเดินทางกลับ

พลทหารร้องประยุทธ์ หลังคดีถูกนายพลนอกราชการล่ามไว้กับยางรถยนต์ไม่คืบ


30 มิ.ย.2559 จากกรณีเมื่อวันที่ 20 ส.ค.ปีที่แล้ว พลทหารเอนก พลทองวิจิตร พร้อมด้วยญาติและทนายความ เข้าร้องทุกข์ถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ศูนย์บริการประชาชนฯ  สำนักงานปลัดสำนักนายกฯ  โดย พลทหารเอนก ระบุว่า เป็นทหารประจำการอยู่ที่ศูนย์การฝึกทหารใหม่สัตหีบ จ.ชลบุรี ผู้บังคับบัญชาส่งตัวมาช่วยทำงานให้กับนายทหารนอกราชการ ยศ พล.ร.ต.ที่บ้านพักย่านพุทธมณฑลสาย 4 จ.นครปฐม ถูกมอบหมายให้ทำงานไม้ซึ่งเป็นงานที่ไม่มีความชำนาญ กระทั่งถูกนายทหารนอกราชการเจ้าของบ้านนำโซ่มาผูกเอวกับยางล้อรถยนต์ ได้รับความทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจจนทนไม่ไหว ต้องหลบหนีออกมาเมื่อวันที่ 18 ส.ค.ที่ผ่านมา และได้ร้องไปถึงผู้เกี่ยวข้องเพื่อปลดโซ่ที่ล่ามออกแต่ไม่เป็นผล จึงมาร้องขอความเป็นธรรมกับนายกฯ เพราะเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย
ล่าสุดวันนี้ (30 มิ.ย.59) ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า ที่ศูนย์บริการประชาชน พลทหารเอนก ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อขอความเป็นธรรมติดตามความคืบหน้าคดีที่ได้แจ้งความดำเนินคดีต่อ พล.ร.ต.เบญจพร บวรสุวรรณ นายทหารนอกราชการ ข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว และทำร้ายรางกาย กรณีล่ามโซ่พลทหาร อเนกไว้กับยางรถยนต์ จนต้องหนีออกมาพร้อมยางรถยนต์เพื่อมาขอความเป็นธรรมที่ศูนย์ดำรงธรรมจนได้รับการช่วยเหลือเมื่อช่วงเดือน ส.ค.ปี 2558 แต่คดีความไม่มีความคืบหน้า
โดย ยศธวิชัย กิมมูล ทนายความ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวได้แจ้งความไว้ที่ สภ.โพธิ์แก้ว จ.นครปฐม และมีการส่งเรื่องต่อไปยังพนักงานอัยการแล้ว แต่มีการสั่งการให้พนักงานสอบสวนสอบเพิ่มเติมอีกหลายประเด็น เมื่อติดตามความคืบหน้าก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ จึงเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะผู้ต้องหาเป็นนายพลผู้มีอิทธิพล จึงจำเป็นต้องมาขอให้นายกฯ ให้ความเป็นธรรมในเรื่องดังกล่าวด้วย และจากการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ทหาร จากกระทรวงกลาโหมที่มาประจำศูนย์บริการประชาชนก็รับปากว่าจะติดตามเรื่องนี้ให้ จากนี้คงไปพบพนักงานอัยการเพื่อสอบถามว่าคดีดำเนินการไปถึงไหนอีกครั้ง ยืนยันว่าจะสู้คดีให้ถึงที่สุดเพราะมั่นใจในพยานหลักฐาน