วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ตอลีบันปากีสถานโจมตีโรงเรียนทำให้มีผู้เสียชีวิต 145 ราย


Wed, 2014-12-17 06:00

มือปืนกลุ่มตอลีบันในปากีสถานซึ่งกำลังถูกฝ่ายรัฐบาลปราบหนัก-ได้บุกโจมตีโรงเรียนซึ่งดำเนินงานโดยกองทัพปากีสถาน ผลทำให้มีผู้เสียชีวิต 145 ราย ส่วนมากเป็นนักเรียนในโรงเรียน ขณะที่มือปืนเสียชีวิต 9 ราย หลังกองกำลังฝ่ายรัฐบาลเข้าควบคุมสถานการณ์
16 ธ.ค. 2557 - เกิดเหตุมือปืนกลุ่มตอลีบันปากีสถาน บุกยิงโรงเรียนรัฐบาล "The Army Public School and Degree College" ที่เมืองเปชาวาร์ ห่างจากกรุงอิสลามาบัดไปทางทิศตะวันตก ซึ่งโรงเรียนดังกล่าวดำเนินงานโดยกองทัพปากีสถาน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 145 ราย ส่วนมากเป็นนักเรียนของโรงเรียน ทั้งนี้กลุ่มมือปืนมีการปะทะกับฝ่ายความมั่นคงปากีสถานด้วยโดยการปะทะกินเวลากว่า 8 ชั่วโมง
โดยพื้นที่ซึ่งมีความสูญเสียมากที่สุดคือหอประชุมใหญ่ของโรงเรียน ที่มีครูจากกองทัพปากีสถานเข้ามาสอนการปฐมพยาบาลให้กับนักเรียน
ขณะที่หลังเจ้าหน้าที่เข้าควบคุมสถานการณ์ทำให้ฝ่ายมือปืนเสียชีวิต 9 ราย ส่วนใหญ่ถูกสังหารโดนหน่วยคอมมานโดของรัฐบาล แต่มือปืนบางรายเลือกจบชีวิตตัวเองด้วยการจุดระเบิดพลีชีพ
ทั้งนี้โรงเรียนดังกล่าวมีนักเรียนประมาณ 2,5000 คน โดยโรงเรียนซึ่งตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มมือปืนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนเครือข่ายที่ตั้งอยู่ทั่วไปในปากีสถานในเมืองที่มีครอบครัวของเจ้าหน้าที่ทหารพักอาศัย ทั้งนี้นักเรียนที่มาจากครอบครัวทหารมีสิทธิพิเศษในการเข้าเรียน อย่างไรก็ตามนักเรียนจำนวนมากและครูในโรงเรียนมาจากพลเรือน
กระทรวงการต่างประเทศปากีสถานออกแถลงการณ์ว่าประณามเหตุโจมตีดังกล่าว โดยระบุว่า "ผู้ก่อการร้ายเหล่านี้เป็นศัตรูของปากีสถาน, ศัตรูของอิสลาม และศัตรูของมนุษยชาติ"
สำหรับกลุ่มตอลีบันปากีสถาน เป็นกลุ่มติดอาวุธที่มีเครือข่ายหลวมๆ และถูกกดดันอย่างหนักในปีนี้ เนื่องจากการแตกออกเป็นขั้วอำนาจภายใน และปฏิบัติการทางทหารของกองทัพปากีสถานบริเวณวาซีรีสถานเหนือ พื้นที่ตั้งของปากีสถานตอลีบัน เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งตามมาด้วยการที่กลุ่มตอลีบันปากีสถานก่อเหตุบุกโจมตีสนามบินการาจีเป็นการตอบโต้
ปฏิบัติการของกองทัพปากีสถานภายใต้รหัส Zarb-e-Azb ทำให้ฝ่ายปากีสถานตอลีบันเสียชีวิตมากกว่า 1,800 นาย และสามารถเข้าควบคุมพื้นที่วาซีรีสถานเหนือซึ่งเป็นพื้นที่อิทธิพลของกลุ่มตอลีบันปากีสถาน
โดยเหตุโจมตีโรงเรียนในเปชาวาร์ดังกล่าว แสดงให้เห็นว่ากลุ่มตอลีบันยังมีศักยภาพในการโจมตีเป้าหมายพลเรือ
แปลบางส่วนจาก Pakistani Taliban Attack on Peshawar School Leaves 145 Dead, New York Times, Dec 16, 2014

#illridewithyou ต้านกระแสเกลียดชังชาวมุสลิมหลังเหตุจับตัวประกันในซิดนีย์

เกิดแฮชแท็ก #illridewithyou หลังจากที่ชาวมุสลิมในออสเตรเลียกังวลว่าจะถูกปลุกกระแสสร้างความเกลียดชังและหวาดกลัวอย่างไม่มีเหตุผล ผลพวงจากกรณีผู้ก่อเหตุจับตัวประกันในคาเฟ่ที่ซิดนีย์อ้างว่าเป็นคนหัวรุนแรงทางศาสนา แต่ก็มีผู้วิจารณ์ว่าแฮชแท็กนี้เน้นย้ำความไม่เท่าเทียมกันของคนผิวขาวและคนชายขอบ
16 ธ.ค. 2557 จากเหตุการณ์ที่มีชายผู้หนึ่งอ้างตัวเองว่าเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลามจับพนักงานและลูกค้าเป็นตัวประกันในร้านลินด์คาเฟ่ นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ทำให้ผู้คนบางส่วนเกรงว่าจะเกิดการเหมารวมผู้นับถือศาสนาอิสลามและการฉวยโอกาสของกลุ่มขวาจัด จึงมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตส่วนหนึ่งพยายามต้านทานกระแสความหวาดกลัวอิสลามอย่างไม่มีเหตุผลด้วยแฮชแท็ก #illridewithyou
หลังเหตุการณ์ที่ลินด์คาเฟมีตัวประกันเสียชีวิต 2 คน และอีกหลายคนได้รับบาดเจ็บ ส่วนผู้ก่อเหตุถูกเจ้าหน้าที่ยิงเสียชีวิตในขณะที่มีการพยายามเข้าช่วยตัวประกัน ผู้ก่อเหตุมีชื่อว่า มาน ฮารอน โมนีส์ ซึ่งน่าจะเป็นผู้นับถืออิสลามนิกายซุนนีแบบสุดโต่งเมื่อดูจากเนื้อหาในโซเชียลมีเดียของเขา ทางด้านโทนี แอบบอตต์ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียกล่าวว่าโมนีส์เป็นคนที่มีประวัติก่ออาชญากรรมรุนแรง เป็นคนหัวรุนแรงและมีจิตใจไม่ปกติ อย่างไรก็ตามชายผู้นี้ปฏิบัติการด้วยตนเองและไม่ได้เกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อการร้ายอย่างกลุ่ม 'ไอซิส' หรือ 'ไอเอส'
เหตุการณ์นี้ยังทำให้ชาวมุสลิมในออสเตรเลียรู้สึกหวาดวิตกว่าพวกตนเองจะถูกเกลียดชังเพราะถูกมองอย่างเหมารวมกับผู้ก่อเหตุที่มีแนวคิดหัวรุนแรง ในช่วงที่กำลังมีรายงานข่าวการจับกุมตัวประกันแบบมีผู้หญิงที่สวมฮิญาบถูกถ่มน้ำลายใส่และมีกลุ่มขวาจัดเรียกร้องให้มีการชุมนุมต่อต้านตามมัสยิด ทำให้มีผู้คนจำนวนหนึ่งสร้างแฮชแท็ก #illridewithyou ที่แปลว่า "ฉันจะไปด้วยกันกับเธอ" เพื่อแสดงความอดทนอดกลั้นต่อความแตกต่างและต่อต้านการเหยียดชาวมุสลิม ซึ่งประโยคดังกล่าวได้แรงบันดาลใจจากเรื่องเล่าของผู้ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กที่ชื่อ 'Rachael Jacobs'
ผู้ใช้ 'Rachael Jacobs' เล่าว่ามีผู้หญิงซึ่งคาดว่าเป็นชาวมุสลิมนั่งข้างๆ เขาในรถไฟค่อยๆ ถอดฮิญาบลงอย่างเงียบๆ จากนั้นเมื่ออยู่ที่สถานีรถไฟเขาวิ่งตามเธอไปแล้วพูดให้เธอสวมฮิญาบไว้แบบเดิมและเขาจะเดินไปด้วยกันกับเธอเองจากนั้นหญิงผู้นั้นก็เริ่มร้องไห้แล้วกอดเขาไว้ประมาณ 1 นาทีจากนั้นจึงเดินออกไปคนเดียว
จากเรื่องราวดังกล่าวนี้ทำให้มีชาวออสเตรเลียราวหลายหมื่นคนร่วมแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับชาวมุสลิมที่อยู่ร่วมประเทศด้วยแฮชแท็ก #illridewithyou ซึ่งมีคำอธิบายแฮชแท็กนี้ว่าเป็นการโต้ตอบการเหยียดเชื้อชาติศาสนาและความเกลียดชัง เนื่องจากหลังเกิดเหตุจับตัวประกันในคาเฟ่ลินด์ชาวออสเตรเลียบางคนที่ "ดูเหมือนชาวมุสลิม" หรือมีการแต่งกายบ่งบอกศาสนาไม่อยากใช้ขนส่งมวลชนสาธารณะเพราะกลัวถูกเหมารวม จึงขอให้ผู้ที่ต้องการเดินทางด้วยบริการสาธารณะที่ต้องการเพื่อนร่วมเดินทางด้วยโพสต์แฮชแท็กดังกล่าว
แม้ว่าจะเป็นแนวคิดที่ดูดีแต่ #illridewithyou ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยคนบางส่วนว่าเป็นการเน้นย้ำอภิสิทธิ์ของประชากรที่เป็นผู้ชายผิวขาวในฐานะเป็นผู้ที่มีสิทธิ "ปกป้อง" ชนชายขอบในสังคม อีกทั้งยังไม่ได้ทำให้เกิดการหารือกันอย่างจริงจังในเรื่องความเป็นธรรมในสังคมสำหรับผู้ที่มีเชื้อชาติและศาสนาต่างกัน อย่างไรก็ตามมีผู้โต้แย้งคำวิจารณ์ว่าคนที่ริเริ่ม #illridewithyou เป็นคนแรกเป็นคนผิวสี และการรณรงค์นี้ก็อาจจะทำให้ประชาชนบางกลุ่มรู้สึกปลอดภัยขึ้น

ครม.เห็นชอบแก้ กม.-เพิ่มอำนาจสันติบาลขอหมายค้นต่อศาล


Wed, 2014-12-17 09:12

มติ ครม. เห็นชอบตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอแก้ไข กม.แบ่งส่วนราชการตำรวจ 2 ฉบับ โดยเพิ่มอำนาจตำรวจสันติบาลให้ปฏิบัติงานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพื่อให้สามารถขอหมายค้นต่อศาลได้เมื่อมีเหตุจำเป็นเร่งด่วน
17 ธ.ค. 2557 - ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. เว็บไซต์รัฐบาลไทย รายงานว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เสนอแก้ไขกฎหมาย ได้แก่ ร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และ ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) ตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) เสนอ แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้  
โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เสนอว่า ในปัจจุบันกองบัญชาการตำรวจสันติบาลซึ่งมีภารกิจในการสืบสวนหาข่าวด้านความมั่นคงของประเทศ ไม่มีอำนาจหน้าที่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เป็นเหตุให้เมื่อมีเหตุจำเป็นที่จะต้องทำการค้นโดยเร่งด่วน เจ้าหน้าที่ของกองบัญชาการตำรวจสันติบาลไม่สามารถขอออกหมายค้นได้ ทำให้การปฏิบัติงานสืบสวนหาข่าวเป็นไปอย่างล่าช้าและขาดความคล่องตัว
ดังนั้น เพื่อให้การปฏิบัติภารกิจตามอำนาจหน้าที่ของกองบัญชาการตำรวจสันติบาลมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลยิ่งขึ้น สมควรเพิ่มอำนาจหน้าที่ให้กองบัญชาการตำรวจสันติบาล รวมทั้งหน่วยงานระดับกองบังคับการในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสันติบาลที่มีอำนาจหน้าที่ในการสืบสวน ให้สามารถปฏิบัติงานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาดังกล่าว จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวง รวม 2 ฉบับ ที่ สกค. ตรวจพิจารณาแล้วมาดำเนินการ
ทั้งนี้มีการเพิ่ม ข้อความ "ปฏิบัติงานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา" เข้าไปในอำนาจหน้าที่ของตำรวจสันติบาล โดยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 60 (อ่านกฎหมายที่เกี่ยวข้อง) กำหนดให้การออกหมายค้นต้องมีการประทับตราของศาล
โดยรายละเอียดการเพิ่มเติมในร่างกฎหมายใหม่มีดังนี้
000
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวง
1. แก้ไขปรับปรุงพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2552 มาตรา 5 ดังนี้
เดิม
มาตรา 5 ส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
ข. กองบัญชาการหรือส่วนราชการที่มีฐานะเทียบเท่ากองบัญชาการ มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(22) กองบัญชาการตำรวจสันติบาล มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(ฉ) ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศตามอำนาจหน้าที่

ร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ที่ขอแก้ไข
มาตรา 5 ส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
ข. กองบัญชาการหรือส่วนราชการที่มีฐานะเทียบเท่ากองบัญชาการ มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(22) กองบัญชาการตำรวจสันติบาล มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(ฉ) ปฏิบัติงานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กฎหมายว่าด้วยสัญชาติและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศตามอำนาจหน้าที่
ฯลฯ
2. แก้ไขปรับปรุงกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2552 ข้อ 3 ดังนี้
เดิม
ข้อ 3 ส่วนราชการในสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
2. กองบัญชาการ
(14) กองบัญชาการตำรวจสันติบาล
(ก) กองบังคับการอำนวยการ มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
8) ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติ และกฎหมายอื่นที่ให้มีอำนาจหน้าที่หรือดำเนินการอื่นที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ
(ข) กองบังคับการตำรวจสันติบาล 1 มีอำนาจหน้าที่ ดังนี้ต่อไปนี้
1) ดำเนินงานเกี่ยวกับงานด้านการข่าวของบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่มีพฤติการณ์เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศในเขตอำนาจการรับผิดชอบ
(ค) กองบังคับการตำรวจสันติบาล 2 มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไป
1) ดำเนินการเกี่ยวกับงานด้านการข่าวเฉพาะด้านตลอดจนงานการข่าวอาชญากรรม   ข้ามชาติ การก่อการร้ายสากล งานการข่าวระหว่างประเทศ  ตลอดจนการประสานงานการข่าวระหว่างประเทศ
(จ) กองบังคับการตำรวจสันติบาล 4 มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
1) ดำเนินการเกี่ยวกับงานวางแผน กำหนดหัวข้อข่าว  รวบรวม จัดเก็บ วิเคราะห์ประมวลผลและประเมินสถานการณ์ข่าวกรอง  รวมถึงงานการผลิตและกระจายข่าวกรองของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ที่ขอแก้ไข
ข้อ 3 ส่วนราชการในสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
2. กองบัญชาการ
(14) กองบัญชาการตำรวจสันติบาล
(ก) กองบังคับการอำนวยการ มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
8) ปฏิบัติงานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  กฎหมายว่าด้วยสัญชาติและกฎหมายอื่นที่ให้มีอำนาจหน้าที่หรือดำเนินการอื่นที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงประเทศ
(ข) กองบังคับการตำรวจสันติบาล 1 มีอำนาจหน้าที่ ดังนี้ต่อไปนี้
1) ดำเนินงานเกี่ยวกับงานด้านการข่าวของบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่มีพฤติการณ์เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศในเขตอำนาจการรับผิดชอบ
3) ปฏิบัติงานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(ค) กองบังคับการตำรวจสันติบาล 2 มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไป
1) ดำเนินการเกี่ยวกับงานด้านการข่าวเฉพาะด้านตลอดจนงานการข่าวอาชญากรรมข้ามชาติ การก่อการร้ายสากล งานการข่าวระหว่างประเทศ  ตลอดจนการประสานงานการข่าวระหว่างประเทศ
2) ปฏิบัติงานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(จ) กองบังคับการตำรวจสันติบาล 4 มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
1) ดำเนินการเกี่ยวกับงานวางแผน กำหนดหัวข้อข่าว  รวบรวม จัดเก็บ วิเคราะห์ประมวลผล และประเมินสถานการณ์ข่าวกรอง  รวมถึงงานการผลิตและกระจายข่าวกรองของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
2) ปฏิบัติงานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

ผบ.ทบ.ยัน ไม่เคยใช้ ม.112 แกล้งใคร สั่งติดตาม ‘สมศักดิ์ เจียมฯ’ แนะใครทำผิดก็อย่าไปเข้าข้าง


              ผบ.ทบ. เผยกองทัพติดตามผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันฯ ที่หลบหนีอยู่ ยันคนส่วนใหญ่ยังรักสถาบัน มีเพียงบางคนที่คิดไม่เหมือน ระบุไม่ดำเนินการนอกกฎหมายหรือใช้ ม.112 กลั่นแกล้งใคร ติดตามสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล แนะใครทำผิดก็อย่าไปเข้าข้าง

            17 ธ.ค. 2557 พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) กล่าวถึงการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันที่หลบหนีอยู่ในและนอกประเทศ ว่า กองทัพติดตามเรื่องนี้อยู่ ยอมรับว่าการละเมิดสถาบันมีมานานแล้ว ซึ่งสร้างความกังวลใจต่อนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล แต่ยืนยันว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศยังรักและเคารพสถาบัน มีเพียงบางคนที่คิดไม่เหมือนคนส่วนใหญ่ ไม่คิดว่าสถาบันมีความเสียสละและทำเพื่อประชาชนมายาวนาน ขอความร่วมมือคนส่วนใหญ่ช่วยกันดูแลปกป้องสถาบัน อย่าปล่อยให้เป็นภาระของทางราชการอย่างเดียว

          ส่วนที่เกรงว่าจะใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กลั่นแกล้งทางการเมือง ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า การบังคับใช้กฎหมายจะเป็นไปตามที่จำเป็น แต่ถ้าไม่ใช้เลยจะทำให้สิ่งไม่ดีลุกลามมากยิ่งขึ้น แต่ไม่ดำเนินการนอกกฎหมายหรือกลั่นแกล้งใครแน่นอน

          “สังคมต้องย้อนกลับไปดูว่าก่อนวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นบ้าง ผู้หญิง คนชรา เสียชีวิตจากความขัดแย้งในสังคม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และรัฐบาลทำให้ทุกอย่างกลับมาสงบสุข หรือต้องการให้เกิดการยิงระเบิดเอ็ม 79 ไปตามจุดต่าง ๆ อีก ขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลนี้มีคุณธรรม ไม่เคยใช้กฎหมายกลั่นแกล้งใครและใช้เท่าที่จำเป็น” พล.อ.อุดมเดช กล่าว
พล.อ.อุดมเดช ยืนยัน ว่า “ตั้งแต่ รัฐบาล และ คสช.เข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน ไม่เคยใช้กฎหมายมากลั่นแกล้งใครเลย และยังขอให้มั่นใจด้วยว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันมีคุณธรรม และความยุติธรรมในการดูแลบ้านเมือง"

            พล.อ.อุดมเดช กล่าวถึง กรณีนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ประจำคณะศิลปศาตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นั้น ว่า ทางฝ่ายความมั่นคงก็ได้ติดตาม  ถ้าพบว่าทำผิดหรือละเมิด สังคมก็ต้องช่วยกันดู รวมทั้งการโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กก็ต้องพิจารณาว่าเหมาะสมหรือไม่ ทั้งนี้ขอย้ำว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามกระบวนการกฎหมาย ใครทำผิดก็อย่าไปเข้าข้าง ฉะนั้นถ้าเราช่วยกัน สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ก็ลดน้อยไปเอง

ด้านสมศักดิ์ โพสต์ เฟซบุ๊ก กรณีข่าวที่ ผบ.ทบ. กล่าวถึงตนเอง ด้วย ดังนี้

‘จอม’ แจงเป็น "แพะรับบาปทางการเมือง" หลังถูกกล่าวหาเป็นเหตุ ‘ข่าวลือ’ จนหุ้นตก

จอม เพชรประดับ เผยคำชี้แจงกรณีถูกกล่าวหา เป็นเหตุก่อข่าวลือจนทำให้หุ้นไทยร่วงรุนแรง หลังเปิดเผยบทสัมภาษณ์อ้างแหล่งข่าวระดับสูงในราชสำนัก และ สัมภาษณ์จักรภพ ระบุทำหน้าที่สื่อมวลชน และตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ “สถาบันพระมหากษัตริย์” ด้วยความรัก ความศรัทธา
หลังจากเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นปิดตลาดลบ 36.46 จุด ดัชนี 1,478 จุด มูลค่าซื้อขาย 1 แสนล้าน โดยลงอย่างหนักในช่วงบ่ายกว่า 130 จุด จนกระทั่งวันต่อมา พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกรัฐบาล ได้เปิดเผยถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดการเทขายหุ้นดังกล่าว โดยอ้างว่ามีสาเหตุมาจาก รายการ Thaivoicemedia โดย จอม เพชรประดับ ที่เปิดเผยบทสัมภาษณ์อ้างแหล่งข่าวระดับสูงในราชสำนัก และ สัมภาษณ์จักรภพ เพ็ญแข ทำให้เกิดข่าวลือไม่เหมาะสม ส่งผลให้ตลาดหุ้นเกิดปัญหา
ล่าสุด จอม เพชรประดับ ได้เผยแพร่คำชี้แจงของตนเองถึงกรณีที่ถูก พล.ต.สรรเสริญ กล่าวหาดังกล่าว ในเว็บไซต์ Thaivoicemedia.com และ เฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Jom Petchpradab’ โดยระบุว่า “เป็นอีกครั้งครับ ที่ผมต้องกลายเป็น "แพะรับบาปทางการเมือง" ในสงครามการแย่งอำนาจของการเมืองไทย ขอโปรดให้ความเป็นธรรม และกรุณารับฟังคำชี้แจงนี้ของผมบ้างครับ”
คำชี้แจง
จอม เพชรประดับ
กรณีถูกกล่าวหา เป็นเหตุทำให้หุ้นไทยร่วงรุนแรง เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557

กรณี พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกรัฐบาล ให้สัมภาษณ์สื่อในประเทศไทยว่า ผม (นายจอม เพชรประดับ) เป็นสาเหตุของการปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ จนสร้างความตื่นตระหนก ทำให้หุ้นไทยร่วงลงอย่างรุนแรงที่สุดในรอบ 6 ปี เรื่องนี้ สร้างความไม่สบายใจและเป็นกังวลให้กับผมอย่างยิ่ง เพื่อความเป็นธรรมในการประกอบวิชาชีพของผมเอง และบุคคลที่ถูกพาดพิงถึงในการสัมภาษณ์ของผม จึงขอใช้โอกาสนี้ ชี้แจงทำความเข้าใจดังนี้
  •  ประเด็นแรก – เรื่องข่าว “เบื้องหลัง สมเด็จพระบรม ทรงหย่า กับหม่อมศรีรัศมิ์” ที่อยู่ในเวปไซด์ “Thaivoicemedia.com” นั้น เป็นการอ้างแหล่งข่าวระดับสูงในราชวงศ์ ซึ่งข่าวนี้ ผมได้พูดคุยกับบุคคลที่เป็นแหล่งข่าวระดับสูงในราชวงศ์จริง และเหตุที่ได้นำเสนอข่าวนี้ออกไป เพราะเห็นว่า เป็นข้อมูลที่จะทำให้ประชาชนได้เข้าใจกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในราชวงศ์ ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่กำลังให้ความสนใจและต้องการที่จะรับรู้อย่างยิ่ง อีกทั้งเห็นว่า เป็นข้อมูลที่จะทำให้ประชาชนเข้าใจ สมเด็จพระบรมฯ มากยิ่งขึ้น เพราะข่าวที่ออกมาโดยส่วนใหญ่อาจจะทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจได้ว่า “หม่อมศรีรัศม์” เป็นฝ่ายถูกกระทำ

           รวมทั้งการพูดถึงพระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถที่ทรงมีพระอาการดีขึ้นเป็นลำดับแล้วนั้น ก็ถือเป็นข่าวดีสำหรับคนไทย
           ผมตระหนักดีว่า จำเป็นที่จะต้องระบุชื่อแหล่งข่าวอย่างชัดเจน ในทุกข่าวที่นำเสนอ แต่กรณีนี้ผมพิจารณาแล้วเห็นว่า หากระบุชื่อจริงลงไป ก็จะสร้างความเสียหาย และส่งผลกระทบต่อบุคคลที่เป็นแหล่งข่าวอย่างมาก แม้จะเป็นการพูดด้วยความปรารถนาดีและด้วยความรัก ห่วงใยต่อองค์รัชทายาทก็ตาม ซึ่งนี่ก็คือความรับผิดชอบที่สำคัญของสื่อมวลชนด้วยเช่นเดียวกัน
  • ประการที่สอง – เกี่ยวกับ “สถาบันพระมหากษัตริย์” ผมได้แสดงทรรศนะ ความคิด ความเชื่อของผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปแล้วหลายครั้ง ผมยืนยันอีกครั้งว่า ผมเป็นคนไทย คนหนึ่ง ที่มีสำนึกรักและศรัทธา สถาบันพระมหากษัตริย์ มาโดยตลอด แต่ในความเป็นสื่อมวลชน ก็ต้องอยู่กับข้อเท็จจริง ความเปลี่ยนแปลงผลิกผันของสังคมโลกยุคใหม่ และความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมไทยยุคปัจจุบัน ที่ต้องการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร การตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ ตรวจสอบ ในทุกเรื่อง ทุกประเด็นที่ส่งผลและเป็นปัจจัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขา

         “สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย” ซึ่งถูกสร้างให้กลายเป็นศูนย์รวมแห่งความศรัทธาสูงสุดของคนไทยทั้งชาติ เป็นใจกลางของความเป็นประเทศไทย จึงถูกท้าทายด้วยปรากฎการณ์ใหม่นี้ วัฒนธรรมของสังคมใหม่ ที่เน้นการตั้งคำถาม การตรวจสอบ การวิพากษ์วิจารณ์ เป็นปรากฎการณ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และได้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางทั้งภายในประเทศและในต่างประเทศ ในฐานะของสื่อมวลชน ซึ่งต้องทำงานบนพื้นฐานความสนใจและความเปลี่ยนแปลงใน สังคมโลกยุคปัจจุบัน จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องนำเสนอ หรือพูดถึงปรากฎการณ์ดังกล่าว
         แม้เป็น “สื่อมวลชน” แต่ด้วยความเป็น “คนไทย” การตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ “สถาบันพระมหากษัตริย์” ก็เป็นไปด้วยความรัก ความศรัทธา และด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้ “สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย” ดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงในผืนแผ่นดินไทย การที่คนไทยจำนวนมากให้ความสนใจใคร่รู้ในสถาบันอันเป็นสิ่งศรัทธาสูงสุดเวลานี้ จนนำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์ การตรวจสอบ การตั้งคำถาม ล้วนแล้วอยู่บนความปรารถนาดีที่ต้องการช่วย พยุงให้สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ผ่านพ้นช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ไปให้ได้อย่างปลอดภัยนั่นเอง นี่คือความเชื่อมั่นและความรู้สึกนึกคิดของผมต่อ “สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย”
  •  ประการที่สาม – การสัมภาษณ์ คุณจักรภพ เพ็ญแข อดีตนักการเมือง ที่ลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศ ในประเด็น “ความเปราะบางของสถาบันกษัตริย์ไทย” เป็นเหตุผลที่ต่อเนื่องจากคำอธิบายดังกล่าวข้างต้น และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ คุณจักรภพ ให้สัมภาษณ์ในเชิงการตั้งคำถาม การวิพากษ์วิจารณ์ต่อสถาบันกษัตริย์ไทย แต่ได้ทำมาแล้วหลายครั้ง ในการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมา ก็ไม่ได้ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยดิ่งร่วงลงอย่างที่สุดแต่อย่างใด

  • ประการที่สี่ – คุณสรรเสริญ แก้วกำเนิด หรือแม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้นำรัฐบาลเผด็จการทหารไทย พยายามยัดเยียดให้ผมเป็น “ทาสรับใช้ระบอบทักษิณ” ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าชิงชังอย่างยิ่ง ทั้ง ๆ ที่ผมพยายามอธิบาย ชี้แจง และได้พิสูจน์ตัวเองในเรื่องนี้มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง

           การทำหน้าที่สื่อมวลชนของผม ต้องใช้ความอดทน และพยายามอย่างยิ่ง ที่ต้องมั่นคงอยู่กับข้อเท็จจริง สร้างความเป็นธรรม และพยายามรักษาปกป้อง สิทธิเสรีภาพ ความเท่าเทียม ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ตามวิถีทางประชาธิปไตย แต่ก็ไม่วายต้องถูกต้องผลักไสให้ไปอยู่กับฝ่ายฝั่งตรงกันข้ามเสียทุกครั้ง
          คงจำกันได้ ในยามที่บ้านเมืองอยู่ภายใต้อำนาจของ “ระบอบทักษิณ” ผมเองก็ถูกกระทำและถูกขัดขวางการทำหน้าที่สื่อมวลชน จนไม่อาจปฎิบัติหน้าที่ต่อไปได้จากอำนาจของฝ่าย “ระบอบทักษิณ” ด้วยเหมือนกัน
         เป็นความไม่เป็นธรรมสำหรับผม อย่างยิ่ง ที่กลุ่มอำนาจทั้งหลายที่ขัดแย้ง และพยายามแย่งอำนาจกันเอง แต่กลับทำให้ผมกลายเป็น “แพะทางการเมือง” เสียทุกครั้ง แม้ในยามนี้ที่ชีวิตของผมต้องประสบกับความยากลำบากอย่างที่สุด ในเวลานี้ ผมไม่เคยได้รับความช่วยเหลือ จาก คุณทักษิณ ชินวัตร หรือแม้แต่กลุ่มการเมืองใด ๆ เลย มีเพียงเพื่อนพี่น้องคนไทยที่ห่วงใย และรักในบ้านเมืองไทยเท่านั้นเองที่คอยให้ความเมตตาช่วยเหลือผมอยู่ในขณะนี้
           ผมขอวิงวอนว่า อย่าทำให้การปฎิบัติหน้าที่สื่อมวลชนของผมไปให้เครดิตกับ ระบอบทักษิณ หรือกลุ่มการเมืองใดอีกเลย
  •  ประการสุดท้าย – ความผิดพลาด และล้มเหลวในการบริหารประเทศ ของ รัฐบาลเผด็จการทหาร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีหลายเรื่อง หลายประเด็น ล้วนแล้วสร้างความเสียหายต่อคนไทยอย่างรุนแรงอยู่ในเวลานี้ พล.อ.ประยุทธ์ และบุคคลที่อยู่ในคณะรัฐบาลควรจะหันกลับมาพิจารณาตัวเองมากว่า แทนที่จะโยนความผิดพลาดนี้ให้กับ ผม หรือ บุคคลอื่น

         พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้อำนาจสูงสุดมาด้วยการทำรัฐประหาร ซึ่งไม่ชอบธรรมอยู่แล้ว แต่หากต้องพิสูจน์ความเสียสละและความจริงใจที่ต้องการทำเพื่อประเทศชาติอย่างแท้จริง ก็ต้องพิสูจน์ด้วยการกระทำ และด้วยจิตใจที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ที่สำคัญต้องมีความรับผิดชอบในความผิดที่เกิดขึ้น กรณีหุ้นดิ่งลงเหวอย่างรุนแรงที่สุดในรอบ 6 ปี เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ที่ผ่านมา ในเบื้องต้น พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องโยนความรับผิดชอบนี้ไปที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ในฐานะผู้รับผิดชอบเบื้องต้นมากกว่า แทนที่จะเอา ผม ไปเป็นแพะ เหมือนกับความล้มเหลวอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ท่านมีอำนาจสูงสุดในประเทศ
           ขอย้ำและขอยืนยันอีกครั้งว่า แม้ผมไม่สามารถอยู่ในประเทศอันเป็นที่รักของผมได้ แต่ก็ยังคงยืนยันที่จะทำหน้าที่สื่อมวลชนไทย เพื่อเรียกร้อง ปกป้อง สิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค ความเท่าเทียมในความเป็นมนุษย์ให้กับคนไทยทั้งแผ่นดินต่อไป เพื่อวันหนึ่งคนไทยทั้งประเทศจะได้ภาคภูมิใจในการเป็นเจ้าของประเทศไทยที่แท้จริง แม้สุดท้ายผมเองอาจจะไม่มีวันกลับมาตายในแผ่นดินอันเป็นที่รักของตัวเองก็ตาม
ด้วยความรักและความปรารถนาดีต่อทุกคน
จอม เพชรประดับ

3 เครือข่ายคนจนรุมทวงสัญญา คสช.



พีมูฟ สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ และสมัชชาคนจน กรณีเขื่อนปากมูล รุมถามเมื่อไรถึง "จะทำตามสัญญา" พร้อมออกแถลงการณ์ ชี้รัฐต้องเคารพสิทธิชุมชน
17 ธ.ค. 2557 – วันนี้กลุ่มขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากแผนแม่บทป่าไม้ สมัชชาคนจน กรณีเขื่อนปากมูล และกลุ่มสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ กระจายตัวเข้าทวงสัญญาจาก คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี และรัฐสภา พร้อมเสนอให้มีการพลักดันการออกกฏหมายปฏิรูปที่ดิน 4 ฉบับ และเร่งการดำเนินการเแก้ไขปัญหากรณีเขื่อนปากมูล
ที่รัฐสภา เวลาประมาณ 12.00 น. กลุ่มขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) และเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากแผนแม่บทป่าไม้ ได้เข้ายื่นหนังสือ ต่อนายเทียนฉาย กีระนันท์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ เพื่อขอให้มีการแก้ไขของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่ง คสช. ที่ 64 และ66/2557 และแผ่นแม่บทป่าไม้  และได้เข้ายื่นหนังสือต่อ สมชาย แสวงการ คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อให้มีการระงับและทบทวนการบังคับใช้แผนแม่บท บัญญัติสิทธิชุมชนไว้ในกฏหมายรัฐธรรมนูญ พร้อมทั้งให้มีการผลักดันการออกกฏหมายปฏิรูปที่ดิน 4 ฉบับ (พรบ.สิทธิชุมชนฯ พรบ.ธนาคารที่ดิน พรบ.ภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า พรบ.กองทุนยุติธรรม)
ที่จังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (ส.ก.น) ได้ทำกิจกรรมเดินก้าวที่ 4 มายังศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ และยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีผ่านศูนย์ดำรงธรรม เพื่อติดตามผลการเจรจา ซึ่งตัวแทนรัฐบาลรับปากว่าจะมีการทบทวนแผนแม่บทป่าไม้ พ.ศ.2557 ตามข้อเสนอของ สกน. และขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) แต่วันนี้ผ่านมา 1 เดือนแล้วยังไม่เกิดผลในทางปฏิบัติ อีกทั้ง เดินก้าวที่ 4 ไปยังมลฑลทหารบก 33 เพื่อยื่นหนังสือถึงหัวหน้า คสช.
ที่จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มสมัชชาคนจน กรณีเขื่อนปากมูล ราว 20 คน ได้เดินทางเข้ามาที่ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี และขอเข้าพบกับ เสริม ไชยณรงค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อขอให้ทางจังหวัดประสานกับ ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หลังจากที่ทางกลุ่มได้ยื่นหนังสือถึง ปนัดดา เมื่อหนึ่งเดือนก่อน เพื่อขอให้มีการเจรจาแก้ไขปัญหาผลกระทบจากกรณีเขื่อนปากมูล แต่ปัจจุบันยังไม่ได้มีการดำเนินการแก้ไขปัญหา หรือพูดคุยเจรจากันแต่อย่างใด พร้อมฝากคำถามไปยัง ปนัดดา ว่าจะสามารถเปิดการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาได้เมื่อใด
ขณะเดียวกันก็ได้มีการยื่นหนังสืออีกฉบับ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลไทยแสดงท่าทีในการคัดค้านให้ รัฐบาลลาว ชะลอการสร้างเขื่อนดอนสะฮอง เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อความหลากหลายของพันธ์ปลาในแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาขา เพราะจะทำให้เส้นทางการเดินทางเพื่อวางไข่ และสืบพันธุ์ของปลาจะถูกปิดกั้นลง และถึงที่สุดจะส่งผลให้วิถีชีวิตของชาวบ้านริมฝั่งแม่น้ำเปลี่ยนแปลงไป
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ขณะที่ชาวปากมูนเข้าไปยังศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อรอพบผู้ว่าราชการจังหวัด ได้มีการเปิดห้องรับรองให้ชาวบ้านเข้าไปนั่งรอ แต่มีชาวบ้านพบว่าผู้ว่าฯ กำลังจะลงลิฟต์เพื่อออกจากตึก จึงได้เข้าไปสอบถาม และได้มีการตกลงกับชาวบ้านว่า จะให้รองผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้รับเรื่องไว้แทน เนื่องจากตนติดภาระกิจ
ภายหลังจากการพูดคุยกับ คันฉัตร ต้นเสถียร รองผู้ว่าราชการจังหวัด ได้มีข้อตกลงว่าจะมีการประสานงานให้รัฐบาลรับทราบ และจะแจ้งความคืบหน้าภายใน 15 วัน  
ขณะเดียวกัน เมื่อเวลาประมาณ 13.30 น. ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา กลุ่มขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม พร้อมด้วยองค์กรเครือข่าย ได้ร่วมกันประกาศแถลงการณ์ ต่อกรณีผลกระทบจากการประกาศใช้ คำสั่ง คสช. ที่ 64 และ 66/2557 และแผนแม่บทป่าไม้ โดยมีเนื้อหาดังนี้

แถลงการณ์ฉบับที่ 6
รัฐต้องหยุด !!! เข่นฆ่า คุกคาม ชุมชนด้วยแผนแม่บทป่าไม้
ยืนหยัดเพื่อ “สิทธิชุมชน” หยุด “ปล้นที่ดินคนจน”
              พวกเราขบวนการประชานเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-move) เป็นส่วนหนึ่งของผู้ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติการของหน่วยงานรัฐภายใต้คำสั่ง คสช.ที่ 64 และ 66 / 2557 รวมทั้งแผนแม่บทการแก้ไขปัญหาการทำลายทรัพยากรป่าไม้ การบุกรุกที่ดินรัฐและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน พ.ศ. 2557 จากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ซึ่งได้เผชิญกับประสบการณ์อันโหดร้าย เจ็บปวด  รวมถึงความสูญเสียที่ได้รับจากการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่รัฐที่กำลังพยายามทุกวิถีทางที่จะแย่งยึดแผ่นดินที่เราอยู่อาศัยทำกินมาแต่บรรพบุรุษ ด้วยการจับกุม ข่มขู่ คุกคาม ทำลายบ้านเรือนทรัพย์สิน และพืชผลอาสิน ของเราอยู่ตลอดเวลา
             ภายใต้การต่อสู้เรียกร้องอันยาวนานของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม และองค์กรเครือข่าย พวกเราได้ข้อสรุปร่วมกันว่า ในท่ามกลางภาวะวิกฤติ ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับโลก อันเกี่ยวข้องกับการลดลงของทรัพยากรป่าไม้  การแย่งยึดที่ดินในนามของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และข้อกล่าวอ้างในการพัฒนา การก่อสร้าง และการผลักดันโครงการขนาดใหญ่เพื่อความเจริญของประเทศชาติ การแสวงหาผลกำไรสูงสุดของภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรมเกษตรขนาดใหญ่ การทำเหมืองแร่ การก่อสร้างเขื่อน การพัฒนาเมือง รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ฯลฯ ล้วนแล้วแต่ผลักไสให้คนจนและเกษตรกรรายย่อยต้องตกเป็นจำเลยของสังคมและเผชิญกับชะตากรรมอันเลวร้ายเพียงลำพัง
           การปราศจากซึ่งรัฐธรรมนูญที่ให้ความเคารพและคุ้มครอง “สิทธิชุมชน” ส่งผลให้การปฏิบัติการตามคำสั่ง คสช. และแผนแม่บทดังกล่าว เป็นไปด้วยความรุนแรงและไร้ความปราณี ชุมชนเกษตรกรรายย่อย ชาวไร่ ชาวนา บนที่สูง ที่ราบ และชายฝั่ง  หรือแม้กระทั่งคนจนเมืองต่างถูกกีดกัน  ผลักดัน ให้อพยพโยกย้าย และละเมิดสิทธิในที่ดิน ทรัพยากร ชีวิต ทรัพย์สิน และอิสรภาพในชีวิต โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคอีสาน เราพบว่ามีชาวบ้านซึ่งเป็นผู้ยากไร้ถูกดำเนินคดีแล้วมากกว่า 300 คน ในข้อหาบุกรุก และอีกกว่า 1,700 ครอบครัว ที่ถูกประกาศยึดคืนพื้นที่ทำกิน และออกหมายเรียกไปรับทราบข้อกล่าวหา และคาดว่าในเดือนมกราคม ถึงเดือน มีนาคม 2558 จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 35,000 ครอบครัว
              การปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่รัฐดำเนินไปอย่างเลือดเย็นและไร้ความเป็นธรรม การเลือกปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมระหว่างชุมชนผู้ยากไร้กับนักลงทุน และผู้มีอิทธิพล
           ผลกระทบจากแผนแม่บทฯและการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่รัฐ ในนามการหยุดยั้งการบุกรุกและการทวงคืน “ผืนป่า” อันเป็นแผ่นดินและถิ่นอาศัยของพวกเรา ได้ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในชีวิต ทรัพย์สิน และการดำรงวิถีชีวิตอย่างปกติสุขของพวกเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็ก ผู้หญิง และคนชรา ชนเผ่า คนพื้นเมือง และชาติพันธ์ ที่อ่อนไหวเปราะบางต่อการอพยพโยกย้าย อันเนืองมาจากการไล่รื้อบ้านเรือน และยึดคืนผืนดินทำกิน
             การดำเนินการดังกล่าวนอกจากส่งผลโดยตรงต่อวิถีการดำรงชีพ การประกอบอาชีพ แล้วยังส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจของคนจน รวมทั้งการดำรงอยู่  และการถ่ายทอดประเพณีวัฒนธรรมอีกด้วย
            การข่มขู่ จับกุมคมขัง การใช้กฎหมายและวิธีการนอกกฎหมาย จากการปฏิบัติการนอกเหนือจากส่งผลสะเทือนต่อการปกป้องสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นคุณค่าสากล ขัดต่อหลักรัฐธรรมนูญในการปกป้องสิทธิของพลเมืองในประเทศแล้ว ยังส่งผลต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลและความเชื่อมั่นต่อแนวทางการปฏิรูปและการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ที่รัฐบาลและสภาปฏิรูปแห่งชาติกำลังดำเนินการอยู่อีกด้วย
            ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ซึ่งอยู่ในขบวนการต่อสู้ผลักดันให้เกิดการปฏิรูป การจัดการทรัพยากร ด้วยการกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม การสร้างแนวคิด สิทธิ รูปแบบใหม่ในรูปแบบกรรมสิทธิ์ร่วม หรือโฉนดชุมชน เพื่อแก้ปัญหาที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน
           เราขอเรียกร้องรัฐบาล สภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาปฏิรูปแห่งชาติ และกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ดังนี้
  • 1.ยุติปฏิบัติการทั้งหมดที่ส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อชีวิต ที่อยู่อาศัย ทรัพย์สิน ของประชาชน และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างยุติธรรม ชะลอการดำเนินกระบวนการทางกฎหมายในคดีความอันเนื่องมาจากปฏิบัติการฯ
  • 2.ระงับและทบทวนการบังคับใช้แผนแม่บท และจัดกระบวนการให้ผู้ได้รับผลกระทบมีส่วนร่วมในกระบวนการทบทวนและแก้ไขแผนแม่บทอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม
  • 3.ในระดับนโยบาย ผลักดันให้บัญญัติสิทธิชุมชน รวมทั้งคุ้มครองสิทธิชุมชนในการจัดการที่ดิน ป่าไม้ และทรัพยากรธรรมชาติไว้ในรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน
  • 4.ในเชิงกลไก ให้มีการทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน ป่าไม้ และทรัพยากรธรรมชาติ ปรับปรุงให้มีความทันสมัย และผลักดันกฎหมายที่ส่งเสริม คุ้มครอง การจัดการที่ดินโดยภาคประชาชน ได้แก่ พรบ.จัดเก็บภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้า , พรบ.จัดตั้งธนาคารที่ดิน และพรบ.สิทธิชุมชนในการจัดการที่ดินและทรัพยากร

 ด้วยความเชื่อมั่นในพลังประชาชน
17 ธันวาคม 2557
  • ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม  (ขปส.)
  • เครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด (คปบ.)     
  • เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน (คปอ.)
  • สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ(สกน.)     
  • สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้(สกต.)          
  • เครือข่ายชุมชนเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง (คปสม.)
  • เครือข่ายสลัม 4 ภาค
  • เครือข่ายป่าชุมขนรอยต่อ5จังหวัดภาคตะวันออก
  • เครือข่ายปัญหาที่ดินเทือกเขาบูโด-สุไหงปาดี