วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ดิอิโคโนมิสต์วิเคราะห์คำตัดสินศาลโลกกรณีข้อพิพาทปราสาทเขาพระวิหาร

ดิอิโคโนมิสต์วิเคราะห์คำตัดสินศาลโลกกรณีข้อพิพาทปราสาทเขาพระวิหาร

          ดิอิโคโนมิสต์ วิเคราะหฺ์ว่า การตัดสินของศาลโลกจะช่วยลดอารมณ์ความเกลียดชังของสองชาติได้เล็กน้อย แต่อีกตัวแปรหนึ่งคือสภาพการเมืองภายในประเทศไทยที่มีการปลุกเร้าอารมณ์และดึงเอาความเกลียดชังนักการเมืองมาเป็นเครื่องมือ ทำให้ถูกเพ่งเล็งและสร้างสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านได้ไม่เต็มที่
           14 พ.ย.2556 เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2556 เว็บไซต์นิตยสารดิอิโคโนมิสต์ เขียนบทวิเคราะห์เกี่ยวกับกรณีปราสาทเขาพระวิหารหลังจากการตัดสินของศาลโลกเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยระบุตามคำตัดสินของศาลว่าพื้นที่เขตป่าโดยรอบปราสาทเขาพระวิหารเป็นส่วนพื้นที่ของปราสาทซึ่งจัดเป็นของกัมพูชาเอง อย่างไรก็ตามศาลโลกยังได้กล่าวอีกว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรซึ่งกัมพูชาอ้างว่าเป็นของตนเองนั้นศาลไม่ได้ตัดสินยกให้กัมพูชา แต่ตัดสินให้ไปเจรจาตกลงกับทางการไทยเอง รวมถึงพื้นที่ 100 กม. โดยรอบเขตแดนด้วย
           ดิอิโคโนมิสต์ ระบุว่า การตัดสินในครั้งนี้หากมองในแง่ดี ประเทศไทยก็สามารถบอกได้ว่าเป็นการตัดสินในแบบที่ไม่ลำเอียงเข้าข้างกัมพูชาจากการที่ปฏิเสธข้อเรียกร้องของฝ่ายกัมพูชา และดูเหมือนว่าทั้งสองประเทศจะยอมรับผลการตัดสิน เจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงของไทยยังยิ้มขณะอยู่ในพิธีกรรม (ภาพ พล.ต.ธรากร ธรรมวินทร ผบ.กกล.สุรนารี กองทัพภาคที่ 2 สวม กอดกับ พล.อ.สไล ดึ๊ก ผบ.กองพลสนับสนุนที่ 3 ของกัมพูชา ระหว่างที่ทั้ง 2 ฝ่ายหารือพัฒนาความสัมพันธ์ ที่จุดประสานงานชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2556)
            ปราสาทเขาพระวิหารซึ่งเป็นที่สถิตย์ของพระศิวะตามตำนานฮินดูกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชามาเป็นเวลานาน ดิอิโคโนมิสต์ระบุว่า "ความตึงเครียดทวีเพิ่มมากขึ้นในช่วงปี 2551 เมื่อนายกรัฐมนตรีฮุนเซนของกัมพูชาได้ยื่นจดทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ทำให้รัฐบาลไทยในสมัยนั้นนำโดยพรรคประชาธิปัตย์รวมถึงกลุ่มผู้สนับสนุนทหารและ 'รอยัลลิสต์' ที่พยายามสร้างผลประโยชน์ทางการเมืองโดยอาศัยความขัดแย้งกับกัมพูชา"
          อิโคโนมิสต์ ระบุอีกว่า การตัดสินในครั้งนี้เป็นการเปิดโอกาสในการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งเป็นไปได้ที่จะทำให้ความเกลียดชังลดน้อยลง แต่การตัดสินมีขึ้นในช่วงที่รัฐบาลทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์กำลังประสบกับวิกฤติความชอบธรรมพอดี และกลายเป็นว่าฮุนเซน ซึ่งเพิ่งชนะการเลือกตั้งเมื่อเดือน ก.ค.อย่างเฉียดฉิวกลับสร้างความชอบธรรมให้ตนเองได้มากขึ้น ทำให้ตอนนี้การเมืองภายในของไทยจึงเป็นปัจจัยหลักต่อความสัมพันธ์ตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชา
           บทวิเคราะห์ยังได้กล่าวถึงการที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินพลาดท่าในกรณีร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งมุ่งหวังเปิดทางให้อดีตนายกฯ ทักษิณกลับมา เป็นการจุดฉนวนอารมณ์ให้กับกลุ่ม 'รอยัลลิสต์' จัด และชาตินิยมจัด รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งพากันออกมาชุมนุมบนท้องถนน ทำให้ยิ่งลักษณ์ไม่สามารถแสดงตัวเป็นมิตรกับกัมพูชามากเกินไปและหากเดินเกมพลาดในประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับพื้นที่เขตแดนไทยก็อาจทำให้กลุ่มชาตินิยมขุ่นเคือง ซึ่งมีโอกาสเปิดทางให้กับกองทัพสร้างความชอบธรรมในการแทรกแซงเพื่อหาโอกาสมีบทบาทในการเมืองไทย
            แม้ว่าจนถึงตอนนี้ประเทศไทยยังหลีกเลี่ยงการรัฐประหารได้ แต่ก็มีการปลุกเร้าอารมณ์โดยกลุ่มผู้ชุมนุม เช่น กลุ่มคนไทยรักชาติซึ่งเป็นกลุ่มย่อยที่แยกมาจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยซึ่งได้ออกมาชุมนุมเรียกร้องการปกป้องเขตแดนไทย แต่การกล่าวหาของพวกเขาที่บอกว่าการยอมรับผลการตัดสินของศาลโลกเท่ากับเป็นการ "ขายชาติ" นั้นดูจะใช้ไม่ได้นานเนื่องจากการตัดสินเป็นไปอย่างเที่ยงธรรม
          ดิอิโคโนมิสต์ ชี้ว่าเรื่องข้อพิพาทเขาพระวิหารถูกนำมาผูกโยงกับทักษิณเช่นเดียวกับเรื่องการเมืองไทย เมื่อทักษิณดูมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับฮุนเซน นำมาซึ่งความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้นในเขตชายแดน จนกระทั่งในยุคสมัยของยิ่งลักษณ์ซึ่งศาลโลกได้มีคำสั่งชั่วคราวให้ทั้งสองประเทศถอนทหารออกจากพื้นที่บริเวณ 17 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาท
           ภู โสธิรักษ์ อดีตผู้อำนวยการสถาบันกัมพูชาเพื่อสันติภาพและความร่วมมือ ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับปราสาทเขาพระวิหารและความขัดแย้งเรื่องพื้นที่ ระบุว่ามีความขัดแย้งสองช่วงใหญ่ๆ คือ ช่วงที่ศาลโลกได้ตัดสินให้ตัวปราสาทพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา เมื่อปี 2505 โดยอาศัยแผนที่ของอาณานิคมจากปี 2451 และช่วงที่สองคือหลังเกิดการรัฐประหาร 2549 ในไทย ทางกัมพูชาได้อ้างสิทธิในพื้นที่โดยอาศัยแผนที่เก่าของฝรั่งเศส ขณะที่ประเทศไทยอ้างตามแผนที่ปี 2550 ที่เขียนขึ้นฝ่ายเดียว
 
กรณีการขีดเส้นเขตแดนโดยฝรั่งเศส
            ดิอิโคโนมิสต์ กล่าวอีกว่า เรื่องนี้ไม่เพียงแค่เป็นเรื่องในระดับปราสาทเขาพระวิหาร แต่ชนชั้นนำไทยมีแนวทางการเล่าประวัติศาสตร์ของชาติไทยผ่านเรื่องการเสียดินแดนให้กับต่างชาติและประเทศเพื่อนบ้านที่คิดไม่ซื่อ โดยปราสาทเขาพระวิหารเคยอยู่ในพื้นที่ของสยาม ในช่วงศตวรรษที่ 20 จึงถูกเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสบีบให้มอบพื้นที่จังหวัดพระตะบอง ศรีโสภณ และเสียมราฐ ให้กับกัมพูชาซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของฝรั่งเศส
             บทวิเคราะห์ในอิโคโนมิสต์ เปิดเผยว่า ผู้ทำแผนที่ของฝรั่งเศสพยายามปักเส้นเขตแดนตามแนวสันปันน้ำ (แนวสันเขาที่แบ่งลุ่มน้ำเวลาฝนตกให้ไหลออกไปสองฝั่ง) ของเทือกเขาพนมดงรักซึ่งตั้งขึ้นเป็นเขตแดนตามธรรมชาติระหว่างไทยกับกัมพูชา แต่เจ้าหน้าที่ 4 คนของฝรั่งเศสผู้เขียนแผนที่ก็ได้ขีดเส้นพรมแดนส่วนของปราสาทโดยให้เข้าไปในเขตของกัมพูชาอย่างไม่มีคำอธิบายซึ่งเป็นการวางเขตผิดด้านของสันปันน้ำ แต่ทางสยามก็ไม่ได้ท้าทายเรื่องการขีดเส้นของฝรั่งเศสมาตลอด 50 ปี แต่พวกเขาขอบคุณที่ชาวฝรั่งเศสช่วยทำแผนที่ให้ ซึ่งการที่ไทยเคยแสดงยอมรับแผนที่นี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้แพ้คดีเมื่อปี 2505
           การตัดสินของศาลโลกในครั้งแรก (ปี 2505) ให้ความชอบธรรมแก่การขีดเส้นของฝรั่งเศส แต่ดูเหมือนว่าการตัดสินครั้งหลังนี้มีการลดขนาดของเส้นที่ขีดลง และให้กัมพูชากับไทยหารือกันเรื่องการปักเขตแดนในส่วนที่ยังไม่ได้ปักเพื่อให้มีแผนที่ซึ่งยอมรับได้กับทั้งสองฝ่าย แต่คิดว่าคงจะหารือไม่เสร็จสิ้นภายในเร็ววันนี้

จาตุรนต์ เจอ ส.ส. ปชป. เป่านกหวีดไล่ ปรามคนเชียร์รัฐบาลอย่าไปโต้ตอบ

จาตุรนต์ เจอ ส.ส. ปชป. เป่านกหวีดไล่ ปรามคนเชียร์รัฐบาลอย่าไปโต้ตอบ

            คลิปว่อนเน็ต ส.ส. –อดีต ส.ส. ประชาธิปัตย์ รุมเป่านกหวีดจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาฯ เจ้าตัวบอกตกใจนิดหน่อย อยากถาม ‘ทำไมเอากันขนาดนี้’ ปรามคนเชียร์รัฐ อย่าก่อกวน ตอบโต้หรือใช้ความรุนแรงกับกลุ่มต้านรัฐบาล
             13 พ.ย. 2556 เมื่อวันที่ 13 พ.ย. เฟซบุ๊ก Vittayen Muttamara ของนายวิทเยนทร์ มุตตามระ ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมบลูสกาย เผยแพร่คลิป เป็นเหตุการณ์ที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีกว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ถูกกลุ่มคนที่มีทั้งหญิงและชายเป่านกหวีดไล่ขณะเดินออกจากโรงแรมรอยัล ปรินเซส ไปขึ้นรถยนต์ส่วนตัว โดยมีผู้ติดตามประมาณ 2-3 คน จากนั้นคลิปดังกล่าวได้กลายเป็นคลิปที่แพร่หลายอยู่ในโซเชียลมีเดีย และมีสื่อหลายสำนักนำไปรายงานต่อ
คลิปจากยูทูบ เรื่องเล่า เช้านี้
           ผู้เล่นทวิตเตอร์ @kengnaka ได้เผยแพร่ภาพโคลสอัพ กลุ่มบุคคลที่เป่านกหวีด พบว่าเป็น เป็น ส.ส. และอดีต ส.ส. ของพรรคประชาธิปัตย์ ได้แก่ นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ส.ส. กทม., นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย อดีต ส.ส.ตรัง นายพุทธิพงษ์  ปุณณกันต์ อดีต ส.ส. กทม. นายชุมพล จุลใส อดีต ส.ส.ชุมพร และ ส.ส. หญิงอีกรายคือ อรอนงค์ การญจนชูศักดิ์ ส.ส. กรุงเทพฯ เขต 1 
            ทั้งนี้ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย และนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ได้ลาออกจากการเป็น ส.ส. เพื่อมาสู้กับประชาชนในการชุมนุมต่อต้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรมซึ่งปักหลักชุมนุมกันอยู่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยขณะนี้
ภาพจากทวิตเตอร์ @kengnaka
              เว็บไซต์คมชัดลึกรายงานสัมภาษณ์ นายจาตุรนต์ ระบุว่า คาดไม่ถึงว่าจะมีการใช้วิธีแบบนี้ในลักษณะที่เอาจริงเอาจังมาก และคาดไม่ถึงจะเจอกับตัว ซึ่งการเดินทางไปดังกล่าวนั้นเป็นงานส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง โดยเดินทางไปทานอาหารกับบุคคลที่จะขอให้มาช่วยคิด หรือขอความร่วมมือในการพัฒนาส่งเสริมการพูดภาษาอังกฤษ ซึ่งไม่คิดว่าออกมาเจอเหตุการณ์มีคนมาร่วมเป่านกหวีดยกใหญ่ด้วยท่าทางถมึงทึง แต่ก็ตั้งสติได้ เพราะรู้อยู่แล้วว่า จะมีการเป่านกหวีดเวลาไปเจอรัฐมนตรี ทั้งนี้ ในตอนเกิดเหตุ ตนได้ย้ำกับตำรวจติดตามว่า ให้รีบขึ้นรถ ไม่ให้ต่อล้อต่อเถียงหรือมีเรื่องมีราวต่อกัน แต่ก็รู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ทักทายกับผู้ที่มาเป่านกหวีด อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่าไม่ควรเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ โดยเฉพาะเกิดเหตุบริเวณหน้าโรงแรม ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาทำธุรกิจ การทำแบบนี้เป็นการสร้างบรรยากาศที่ไม่เป็นผลดีต่อนักธุรกิจ
            “การทำแบบนี้กับนักการเมืองด้วยกันเป็นเรื่องเล็กมาก แต่ก็ตกใจนิดหน่อย เพราะผมจำได้ว่าผู้ที่มาเป่านกหวีด อย่างน้อย ๆ ก็เป็นนักการเมืองด้วยกัน ซึ่งบางคนก็รู้จักกันอย่างดี รู้จักมานานเป็นนักการเมือง ก็เสียดายเหมือนกัน อยากลงไปทักทายว่า พี่ทำไมเอากันขนาดนี้ เราก็รู้จักกันมานานแล้ว ไม่น่าจะทำขนาดนั้น แต่บังเอิญว่า ผมรีบจริง ๆ และไม่อยากให้คนที่ไปด้วยเกิดปัญหาจึงรีบเดินทางมา ซึ่งเท่าที่ดูเป็นอดีต ส.ส.แต่คงไม่ต้องระบุนาม ผมเห็นเป็นเรื่องไม่ร้ายแรง เพียงแต่คาดไม่ถึงและรู้สึกว่า เป็นวิธีการหนึ่งในการกดดัน หรือให้เกิดความสนใจและเป็นประเด็น เพียงแต่หลายคนที่มามีท่าทางถมึงทึง คนทั่วไปไม่คุ้นเคยก็อาจจะตกใจนิดหน่อยหากเจอเหตุการณ์แบบนั้น แต่บังเอิญผมเข้าใจว่านี่ก็เป็นเกมการเมืองอย่างหนึ่งจึงไม่รู้สึกอะไร ซึ่งผมก็ไม่ได้ตกใจไม่ได้เสียขวัญอะไรก็แค่ตกใจว่าคนดี ๆ อยู่แท้ ๆ ทำไมทำแบบนี้ ซึ่งส่วนตัวคิดว่าไม่ควรใช้วิธีเช่นนี้ เพราะทำให้บรรยากาศไม่ดี เกิดความรู้สึกขัดแย้งบาดหมางกันเสียเปล่า ๆ”นายจาตุรนต์ กล่าว
           นายจาตุรนต์ กล่าวต่อว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการจัดตั้งและเตรียมการมาโดยเฉพาะ ไม่ใช่ความไม่พอใจตามธรรมชาติที่เกิดขึ้น แต่ต้องการสร้างประเด็นทางการเมือง เพราะมีการบันทึกภาพบันทึกเสียง เพื่อใช้โฆษณาต่อให้เป็นเรื่องได้เยาะเย้ย หรือให้รู้ว่ามีคนต่อต้านรัฐมนตรี ต่อต้านรัฐบาล แต่ความจริงเท่าที่ดูจะเป็นลักษณะแกนนำด้วยซ้ำที่นำมา ซึ่งที่โดนอาจ เพราะสถานที่ที่ไปทานข้าวก็อยู่ไม่ไกลกับพื้นที่ชุมนุมและเป็นสถานที่ที่นักการเมืองไปกันบ่อย และคงไม่ต้องเพิ่มความระมัดระวังอะไร เพราะเขาไม่ได้ถึงขั้นทำร้ายอะไร แค่เป่านกหวีดให้พอรำคาญ บางทีหากเป็นรัฐมนตรีคนอื่นอาจจะต้องดูผู้ติดตามอย่าให้มีการตอบโต้ หรือมีความรุนแรงต่อกันขึ้น
เรียกร้องคนที่สนับสนุนรัฐบาลอย่าตอบโต้หรือก่อกวนกลุ่มต้านรัฐบาล

          "สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ขอเรียกร้องกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลอยู่ทั้งกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กลุ่มเสื้อแดงหรือประชาชนที่สนับสนุนก็ตามไม่ควรใช้วิธีก่อกวน หรือใช้ความรุนแรง รวมถึงใช้วิธีตาต่อตาฟันต่อฟันกับฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาล แต่ควรใช้สันติวิธีควรอดกลั้นอดทน เพราะไม่มีประโยชน์อะไรยิ่งหากมีความขัดแย้งรุนแรงจะยิ่งตรงกับวัตถุประสงค์" นายจาตุรนต์ กล่าว
 

ศาลรธน.ไม่รับคำร้องเรืองไกร กรณี 'อภิสิทธิ์-สุเทพ' จัดตั้งศาล ปชช. เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง


ศาลรธน.ไม่รับคำร้องเรืองไกร กรณี 'อภิสิทธิ์-สุเทพ' จัดตั้งศาล ปชช. เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง

Thu, 2013-11-14 03:11

          ศาล รธน.ระบุการชุมนุมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมยังเป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ เครือข่ายราษฎรอาสาฯ ร้องเพิกถอนร่างแก้ไข รธน.ม.190 ขณะที่แดง กวป.ร้องศาล รธน. สั่งให้ยุติการชุมนุม-ยุบ ปชป.
         13 พ.ย.2556 - ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทยรายงานจากสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญว่า ในการประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ไม่รับคำร้องกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เข้าข่ายกระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 หรือไม่ จากกรณีจัดตั้งศาลประชาชนและจะใช้อำนาจศาลประชาชน ไปพิพากษาคดีบุคคลอื่นตามอำเภอใจและขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งคุ้มครองฉุกเฉินไปยังนายสุเทพ และนายอภิสิทธิ์ ให้หยุดการกระทำดังกล่าว รวมถึงสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ ตามรัฐธรรมนูญ วรรคสาม และสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 วรรคสี่
ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า การชุมนุมของนายสุเทพ และนายอภิสิทธิ์ เป็นการชุมนุมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิด เนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. ...และเป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธตามที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ จึงยังไม่มีมูลกรณีที่เป็นการกระทำฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคหนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย ส่วนประเด็นคำขออื่นไม่จำเป็นต้องพิจาณา

เครือข่ายราษฎรอาสาฯ ร้องเพิกถอนร่างแก้ไข รธน.ม.190
วันเดียวกัน นายบวร ยสินทร ประธานเครือข่ายราษฎรอาสาปกป้อง 3 สถาบัน ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 เข้ายื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้วินิจฉัยว่า การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา190 ที่จำกัดอำนาจรัฐสภาในการพิจารณาให้ความเห็นชอบการทำหนังสือสัญญาของฝ่ายบริหาร ซึ่งนายประสิทธิ์ โพธสุธน ส.ว.สุพรรณบุรี ยื่นร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญดังกล่าว นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา นายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานรัฐสภา และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ร่วมดำเนินการแก้ไข เข้าข่ายกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองโดยวิธีการที่ไม่ได้เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 68 หรือไม่
คำร้องของนายบวรระบุว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ดังกล่าว นอกจากสมาชิกรัฐสภาจะยกอำนาจที่เป็นของรัฐสภาไปให้ฝ่ายบริหารแล้ว ยังเป็นการตัดสิทธิรับรู้ของประชาชนผ่านการประชุมของรัฐสภา ถือว่าการทำหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาในกรณีนี้ไม่เป็นไปโดยสุจริต เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ อันเป็นความผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 122 และแม้ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 จะเริ่มโดยสมาชิกรัฐสภา แต่ก็ทำเพื่อประโยชน์ฝ่ายบริหารโดยตรง นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำฝ่ายบริหาร จึงไม่อาจปฏิเสธถึงการมีส่วนเกี่ยวข้องผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตรา 190 นี้ จึงขอให้ศาลวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 และสั่งให้บุคคลทั้งหมดยกเลิกการกระทำดังกล่าวและสั่งเพิกถอนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาในวาระ 3 เมื่อวันที่ 4 พ.ย. ไม่ว่าจะอยู่ในขั้นตอนใดทันที
 
แดง กวป.ร้องศาล รธน.สั่งให้ม็อบยุติการชุมนุม-ยุบ ปชป.
วันเดียวกัน นายศรรักษ์ มาลัยทอง โฆษกกลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ กวป. และนายหนึ่งดิน วิมุตตินนท์ ทนายความชมรมผู้รักความเป็นธรรม ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้วินิจฉัยการกระทำของ พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ พร้อมพวก ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์และได้ลาออกจากการเป็น ส.ส. รวม 9 ราย และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่ากระทำการเข้าข่ายเป็นการล้มล้างการปกครองหรือกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองโดยวิถีทางที่มิได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 หรือไม่
นายศรรักษ์กล่าวว่า การชุมนุมของกลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ หรือ กปท. มีลักษณะคู่ขนานแบ่งงานกันทำร่วมกับนายสุเทพและพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นผู้นำการชุมนุมกลุ่มประชาชนต่อต้านร่าง พ.ร.บนิรโทษกรรม เข้าข่ายกระทำความผิดฐานเป็นกบฏตามมาตรา 113 มาตรา 116 มาตรา 83 มาตรา 86 ของประมวลกฎหมายอาญา เมื่อวันที่ 12 พ.ย. กปท. ได้ออกประกาศปฏิวัติยึดอำนาจรัฐโดยประชาชนนั้นถือว่าไม่ได้มีเจตนาที่จะติชมโดยสุจริต แต่มุ่งหมายที่จะล้มล้างรัฐบาล เพราะมีการข่มขู่ว่าหากนายกรัฐมนตรีไม่หยุดงาน รวมทั้ง ผบ.ทุกเหล่าทัพและปลัดกระทรวงทุกกระทรวงไม่มาเข้าพบคณะเสนาธิการร่วม กปท. ภายใน 4 ชม. จะเคลื่อนพลประชาชนไปในแต่ละกระทรวง ยึดอำนาจรัฐโดยเร่งด่วนเพื่อรักษาอธิปไตย
นายศรรักษ์กล่าวอีกว่า การชุมนุมต่อต้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่มีนายสุเทพเป็นแกนนำ ได้ประกาศบนเวทีเมื่อวันที่ 12 พ.ย. ให้หน่วยราชการ เอกชน หยุดงานทั่วประเทศระหว่างวันที่ 13-15 เพื่อมาร่วมชุมนุม รวมทั้งให้นักธุรกิจ ห้างร้าน เอกชน ชะลอการชำระภาษีกลางปี ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือว่าเข้าข่ายเป็นการล้มล้างการปกครอง จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยและสั่งให้ผู้ถูกร้องทั้งหมดยุติการชุมนุม พร้อมมีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ ตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 5 ปี และขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวฉุกเฉินสั่งให้ผู้ถูกร้องทั้งหมดยุติการชุมนุมไว้จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย

เรียบเรียงจาก : สำนักข่าวไทย

ยังไม่เกิดหยุดงานทั่วประเทศตามที่ 'สุเทพ' เชิญชวน - เล็งนัดใหม่ศุกร์นี้

ยังไม่เกิดหยุดงานทั่วประเทศตามที่ 'สุเทพ' เชิญชวน - เล็งนัดใหม่ศุกร์นี้
           สุเทพ เทือกสุบรรณนัด 15 พ.ย. ชวน ปชช.ร่วมชม 'พาเหรด' จะมีเชิดสิงโต-แตรวง-กลองยาว ส่วนสถานการณ์หยุดงานวันแรก ไฟฟ้า-ประปายังบริการปกติ รถเมล์-รถไฟไม่หยุด 'ชัชชาติ' บอกไม่ห้ามถ้าจะร่วมชุมนุมเพราะเป็นเรื่องส่วนบุคคล นครบาลจะดำเนินคดีเฉพาะรถกีดขวางจราจร - เตรียมเรียก 'สุเทพ' รับทราบข้อหา
ประชาชนเข้าร่วมการชุมนุมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม 
เมื่อ 11 พ.ย. ที่ ถ.ราชดำเนิน 
(แฟ้มภาพ/ประชาไท)
                ตามที่เมื่อวันที่ 11 พ.ย. สุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศชุมนุมต่อจนกว่าร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมจะหายไปจากสารบบ มีการนำ 9 ส.ส.ประชาธิปัตย์เพื่อมานำการต่อสู้ และมีการประกาศ 4 มาตรการอารยะขัดขืน ได้แก่ หนึ่ง หยุดงาน หยุดเรียน ระหว่างวันที่ 13-15 พ.ย. สอง หยุดชำระภาษี สาม ปักธงชาติ ตามบ้านเรือนหรือพาหนะ และให้พกนกหวีด สี่ ถ้าพบเห็นนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และผู้เกี่ยวข้องไม่ต้องพูดด้วย แต่ให้เป่านกหวีดใส่นั้น(อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

สภาอุตสาหกรรม หอการค้า ไม่เอาด้วยมาตรการหยุดงาน-ไม่ชำระภาษี
ภายหลังมาตรการดังกล่าวมีการประกาศออกไป ข่าวสดออนไลน์เมื่อ 13 พ.ย. ได้เผยแพร่คำให้สัมภาษณ์ของอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่าไม่ได้ตอบรับกับข้อเสนอหยุดงาน และเสียภาษี โดยพยุงศักดิ์ระบุด้วยว่าถ้าไม่เสียภาษีก็จะเป็นการคอร์รัปชั่นอีกประเภทหนึ่ง

มหาดไทยระบุไฟฟ้า-ประปาทำงานตามปกติ - ชุมนุมได้หลังเวลางาน
ขณะที่ในวันที่ 13 พ.ย. ซึ่งเป็นวันแรกของการใช้มาตรการหยุดงาน 3 วันที่สุเทพประกาศนั้น สำนักข่าวแห่งชาติรายงานคำให้สัมภาษณ์ของ จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย ที่ระบุว่า ได้พูดคุยกับ สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าฝ่ายผลิต และสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการประปานครหลวงแล้ว ซึ่งสหภาพแรงงานได้รับว่าจะไม่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน โดยเฉพาะการให้บริการประชาชนจะยังคงให้บริการตามปกติ ส่วนการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการชุมนุมเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่สามารถกระทำได้ แต่ขอให้ดำเนินการหลังเลิกงานแล้ว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวด้วยว่า อธิบดีกรมการปกครองส่วนท้องถิ่นได้ยืนยันแล้วว่า องค์กรต่าง ๆ ในสังกัดจะไม่มีการหยุดทำการ เนื่องจากไม่เห็นด้วย

ชัชชาติระบุรถเมล์-รถไฟเดินตามปกติ ไปร่วมชุมนุมได้ตามสิทธิส่วนบุคคล
ส่วนสถานการณ์ด้านกิจการขนส่งสาธารณะนั้น สำนักข่าวไทย รายงานด้วยว่า ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม กล่าวว่า หน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวกับระบบขนส่งในสังกัดกระทรวงคมนาคมยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ ไม่มีการหยุดงาน ส่วนพนักงานรัฐวิสาหกิจที่จะเข้าร่วมชุมนุมนั้นเป็นสิทธิส่วนบุคคล กระทรวงไม่ได้คัดค้านหรือบังคับ แต่ขอให้เป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่ดำเนินการในนามขององค์กร และพนักงานต้องคำนึงถึงหน้าที่หลักในการบริการประชาชน ขณะที่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (THAI) ชี้แจงว่า ยังคงปฏิบัติการบินตามปกติ ไม่มีผลกระทบต่อการทำการบินและจำนวนเที่ยวบินที่ให้บริการ
สำนักข่าวไทย รายงานด้วยว่า ด้านวีระพงษ์ วงศ์แหวน ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ยืนยันยังไม่มีมติปล่อยรถช้าตามมาตรการอารยะขัดขืน พร้อมเรียกประชุมกรรมการบริหารสหภาพฯ รับฟังความเห็น ย้ำทุกวันนี้รถให้บริการช้าเพราะมีจำนวนน้อยและจอดเสียอยู่แล้วมากถึง 800 คัน

มหาวิทยาลัยสังกัด สกอ. ไม่มีการปิดการเรียนการสอน
อนึ่ง สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ออกประกาศเมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2556 แจ้งไปยังสถาบันอุดมศึกษาจากกรณีที่มีผู้แอบอ้างใช้ชื่อ สกอ.ออกประกาศ ปิดการเรียนการสอนในระหว่างวันที่ 13-15 พฤศจิกายนนี้ โดยทางสกอ.ยืนยันว่าไม่เคยออกประกาศดังกล่าวและขอให้สถาบันอุดมศึกษาในสังกัดและกำกับเปิดการเรียนการสอนตามปกติ (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)

นครบาลระบุจะดำเนินคดีเฉพาะรถที่กีดขวางการจราจรเท่านั้น
สำนักข่าวแห่งชาติ รายงานว่า พล.ต.ต.อดุลย์ ณรงค์ศักดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ระบุว่าการดำเนินคดีกับสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ส.ส. พรรคประประชาธิปัตย์ ฐานยุยงปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง และยุยงให้หยุดงานนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างสอบปากคำพยาน ถอดเทปการปราศรัย และรวบรวมพยานหลักฐาน ก่อนออกหมายเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาต่อไป
นอกจากนี้ ยังสั่งการให้ตำรวจจราจร จับกุมและดำเนินคดีฐานผิดพระราชบัญญัติจราจร และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และ 117 กับรถที่มีการติดธงสัญลักษณ์ธงชาติ และเข้ามาก่อความวุ่นวาย โดยจอดกีดขวางการจราจรโดยทันที พร้อมยืนยันว่า จะไม่ดำเนินคดีกับรถที่ไม่กระทำผิดกฎจราจร แม้จะมีการติดธงสัญลักษณ์ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม หนังสือพิมพ์แนวหน้า ได้นำไปรายงานข่าวโดยคาดเคลื่อนจากที่ บช.น.แถลง โดยพาดหัวข่าวว่า "บช.น.สั่งทุกสน.จับรถติดธงชาติ ยัดเยียดข้อหาป่วนเมืองทำรถติด"

สุเทพนัดใหม่ 15 พ.ย. เชิญชวนประชาชนมาร่วม "พาเหรด"
ส่วนสถานการณ์ชุมนุมที่ ถ.ราชดำเนิน เมื่อคืนวานนี้นั้น (13 พ.ย.) ช่วงเวลาประมาณ 20.30 น. สุเทพ เทือกสุบรรณ ได้ขึ้นปราศรัยตอนหนึ่งกล่าวว่า ได้บอกการต่อสู้ทั้งหมดต้องจบภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ หลายคนสงสัยว่าจะจบอย่างไร สู้ด้วยมือเปล่าจะชนะอย่างไร โดยสุเทพได้ยกประวัติมหาตมะ คานธีมาเล่าให้ผู้ชุมนุมฟังว่า มหาตมะ คานธี ได้นำประชาชนสู้ด้วยมือเปล่า จนอินเดียได้รับเอกราช และเมื่อเขามาเป็นแกนนำก็จะถามความเห็นพี่น้องทุกขั้นตอน ทุกระดับของการต่อสู้ โดยขอนัดวันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันที่เราจะใช้มาตรการอารยะขัดขืนด้วยการหยุดงานเป็นวันสุดท้าย มาประเมินหัวใจ ประเมินความคิด และจะมาปรึกษากันว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร
สุเทพได้นัดประชาชนที่อยู่ต่างจังหวัดให้จัดกระเป๋าแล้วเดินทางมาชุมนุมที่ ถ.ราชดำเนินให้มาก่อนเวลา 18.00 น. สุเทพกล่าวด้วยว่าจะมีนิสิต นักศึกษา อาจารย์ที่นัดหมายไว้แล้วมาร่วมชุมนุมด้วย จะมีโรงเรียน มหาวิทยาลัยต่างๆ มาเดินพาเหรด อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ผู้นี้ระบุด้วยว่า จะมีพี่น้องชุมชนใน กทม. จะเอาขบวนเชิดสิงโตมาเดินนำ มีวงดุริยางค์ มีกลองยาว "รับรองไม่เหงา" สุเทพกล่าว
"วันที่ 15 พฤศจิกายน เป็นวันนัดหยุดงานวันสุดท้าย ขอเชิญชาว กทม. ใครมีธุระที่ต้องออกจากบ้านวันศุกร์ให้รีบทำวันพฤหัสบดี เพราะวันศุกร์รถติดทั่งกรุงเทพฯ แน่นอน ท่านไปทำงานไม่สะดวกแน่ วิธีที่ดีที่สุด จอดรถไว้ที่บ้าน นั่งแท็กซี่มา พรุ่งนี้กลางวันผมจะซักซ้อมขอ 3 ช่องจราจร ไม่มีแผงเหล็กมากั้น เปิดให้ริ้วขบวนเดินได้สะดวก หลัง 6 โมงเย็นเราจะปรึกษากันว่าเราจะจัดการอย่างไรกับยิ่งลักษณ์ และตระกูลชินวัตร" สุเทพกล่าว

พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ อ่านคำแถลงการณ์ของกองทัพประชาชน ประกาศสถานการณ์ปฏิวัติประชาชน ปฏิรูปประเทศไทย เมื่อวันที่ 13 พ.ย. 56 ที่เวที กปท. เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ (ที่มา: FMTV)
 กปท.ประกาศสถานการณ์ปฏิวัติประชาชน คปท.จะไปปราศรัยสีลมค้าน ม.190
สำหรับสถานการณ์ชุมนุมของกลุ่มอื่นๆ นั้น ที่เวทีสะพานผ่านฟ้าลีลาศ กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.) นำโดย พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ และ พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ ได้อ่านประกาศ "สถานการณ์ปฏิวัติประชาชน ปฏิรูปประเทศไทย"  โดย พล.อ.ปรีชา ปราศรัยว่า "ผมอยากแจ้งให้ท่านทราบว่า ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในสถานการณ์ปฏิวัติประชาชน ปฏิรูปประเทศไทย มาตั้งแต่เมื่อ 11 พ.ย. เวลา 15.30 น." (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง)
ขณะที่เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ซึ่งชุมนุมที่สะพานมัฆวานรังสรรค์นั้น เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่า นิติธร ล้ำเหลือ ที่ปรึกษา คปท. ปราศรัยว่า จะมีการเดินขบวนจากสะพานมัฆวานรังสรรค์ไปที่ ถ.สีลม ในวันที่ 14 พ.ย. เพื่อคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 และเรียกร้องให้พาวีระ สมความคิด ซึ่งถูกคุมขังในกัมพูชา กลับประเทศไทยโดยเร็ว

"ทูตวีรชัย" ตอกหน้า ศิริโชค มั่วแผนที่ !!!


"ทูตวีรชัย" ตอกหน้า "ศิริโชค" มั่วแผนที่!!! "ผิดข้อเท็จจริงสิ้นเชิงและกระทำโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อการเจรจาในอนาคต"



            เมื่อเวลา 23.50 น. วันที่ 13 พ.ย. ที่รัฐสภา นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ ในฐานะหัวหน้าคณะสู้คดีปราสาทพระวิหาร ลุกขึ้นชี้แจงต่อรัฐสภากรณีที่นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ นำแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนมาแสดงในสภาเพื่อประกอบการอภิปราย ว่าผิดข้อเท็จจริงอย่างสิ้นเชิง ผิดตั้งแต่ก้าวเท้าออกจากบ้าน

            นายวีรชัย กล่าวว่า "แผนที่ดังกล่าวเป็นสิ่งที่คณะทำงานสู้คดีของไทยใช้เวลาหลายปีเพื่อทำลายหลักฐานชิ้นนี้ที่ทำขึ้นตามความอำเภอใจของกัมพูชา และไทยสามารถทำได้แล้วตามที่ปรากฏในคำพิพากษาศาลโลกข้อ 99 ที่ระบุว่าการกล่าวอ้างแผนที่นี้ของกัมพูชาไม่ได้รับการพิจารณา แต่นายศิริโชคกลับไปหยิบขึ้นมาอีก โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะมีต่อการเจรจาระหว่างสองประเทศในอนาคต ซึ่งอาจทำให้ฝ่ายกัมพูชาที่ชมการถ่ายทอดสดการประชุมสภาครั้งนี้ดูอยู่ นำไปกล่าวอ้างในการเจรจากับไทยได้ว่า แม้แต่ส.ส.ของไทยยังใช้แผนที่ 1 ต่อ 2 แสนของกัมพูชามาแสดง ดังนั้นตนขอสงวนสิทธิ์ในรัฐสภา ว่าการกล่าวอ้างดังกล่าวเป็นเฉพาะความเห็นเฉพาะของส.ส.เพียง 1 คน ไม่มีผลผูกพันในการเจรจาที่ต้องเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ"

..หนึ่งดวงดาว ร่วงหล่น หนึ่งต้นธาร จักผลิบาน เป็นพลุไฟ ส่องใจเมือง..





“ หล่นลงแล้วอีกดวง ร่วงอีกดาว
อีกคราว อีกหน ของคนกล้า
อีกหนึ่ง ธงธรรม นำประชา
พรากจากมิทันลา โอ้อาลัย

'วรพล พรหมิกบุตร'
คือคบจุดแสงจ้า มิสาไถย์
ส่องเถื่อนทางข้างแรม เติมแต้มไฟ
สว่างไทย สว่างทาง สว่างวิธี

ให้เห็นหน้า เห็นหลัง เห็นงั่งเง่า
เห็นโครงเค้าคนคดผู้กดขี่
ฉีกหน้ากากซากอธรรม อันย่ำยี
ส่องชี้ ฉายชัด ยืนหยัดนำ

'วรพล พรหมิกบุตร'
คบที่จุด ไฟที่จ่อ ต่อคืนค่ำ
ที่เหน็บหนาวยาวยืด ที่มืดดำ
จักเรืองแรงแสงลำ สุกฉ่ำนาน

โอ้ ถนนประชาธิปไตย ไฟอีกดวง
หล่นร่วงอีกคราวให้กล่าวขาน
หนึ่งนักสู้ หนึ่งคน หนึ่งต้นธาร
จักปลุกอีกแสนล้าน ขึ้นต้านอธรรม ”

………………………………………

สุขุมพจน์  คำสุขุม
(..หนึ่งดวงดาว ร่วงหล่น หนึ่งต้นธาร
จักผลิบาน เป็นพลุไฟ ส่องใจเมือง..)!

ผู้ปกครองนักเรียนแห่แจ้งความเอาผิด 9ผอ. ลูกหาบเทพเทือก สั่งปิดโรงเรียนสนองม็อบประชาธิปัตย์


ผู้ปกครองนักเรียนแห่แจ้งความเอาผิด 9ผอ. ลูกหาบเทพเทือก สั่งปิดโรงเรียนสนองม็อบประชาธิปัตย์




           ผู้ปกครองนักเรียนเมืองคอน แห่แจ้งความดำเนินคดีทีมบริหารเทศบาลและผอ.โรงเรียน ฐานละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

            จากกรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ และแกนนำม็อบราชดำเนินต่อต้านรัฐบาล ได้ประกาศมาตรการอารยะขัดขืน 4 ข้อ โดยเฉพาะขอให้หยุดการเรียน การสอน หยุดงาน 3 วัน ระหว่างวันที่ 13-15 พ.ย.56 โดยในพื้นที่จ.นครศรีธรรมราช ไม่มีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนปฏิบัติตามคำประกาศของนายสุเทพเลย ยกเว้นโรงเรียนสังกัดเทศบาลนครนครศรีธรรมราช จำนวน 9 โรง ประกอบด้วยโรงเรียนเทศบาลวัดศาลามีชัย เทศบาลวัดท้าวโคตร เทศบาลวัดเสมาเมือง เทศาลวัดมเหยงค์ เทศบาลวัดเสาธงทอง เทศบาลวัดศรีทวี เทศบาลวัดใหญ่ เทศบางวัดท่าโพธิ์ และโรงเรียนสาธิตเทศบาลวัดเพชรจริก โดยโรงเรียนทั้ง 9 โรงดังกล่าว ได้แจ้งเด็กนักเรียนและปกครองอย่างกะทันหัน เมื่อช่วงเย็นวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา ว่าโรงเรียนปิด 3 วัน โดยอ้างว่าครูติดประชุม

            โดยในส่วนของผู้ปกครองนักเรียนได้รับผลกระทบเป็นจำนวนนับพันราย เนื่องจากทางโรงเรียนไม่ได้แจ้งล่วงหน้าเหมือนทุก ๆ ครั้งที่ทางโรงเรียนจะมีหนังสือแจ้งไปยังผู้ปกครองให้ทราบล่วงหน้าอย่างร้อย 3-5 วัน จึงเชื่อว่าการสั่งปิดโรงเรียนสังกัดเทศบาลนคร นครศรีธรรมราช พร้อมกัน 9 โรง มีเบื้องหน้าเบื้องหลังเพื่อสนองคำสั่งทางการเมือง ให้เป็นไปตามคำประกาศมาตรการอารยะขัดขืนของนายสุเทพอย่างแน่นอน บรรดาผู้ปกครองเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างมาก ที่นำเอาเรื่องการศึกษาของเด็กและเยาวชนไปใช้ต่อรองเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง

           ดังนั้นเมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 13 พ.ย. นายสมจิต ถาวรพันธ์ อายุ 54 ปี อยู่บ้านเลขที่ 77 หมู่ 12 ต.ช้างซ้าย อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช และบรรดาผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครนครศรีธรรมราช เกือบ 10 คน อาทิ นายสุนทร ธรรมรัตน์ อายุ 69 ปี นายพิเชฐ กวีวงศ์ประวัติ อายุ 48 ปี นายสุนทร กลับสติ อายุ 48 ปี นายชนะ สนิทใจ อายุ 59 ปี นายกิตติศักดิ์ เพียงพิมพ์ อายุ 36 ปี เดินทางเข้าแจ้งความกับพ.ต.ท.นิติ บุญจันทร์ รอง ผกก.หัวหน้าพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครศรีธรรมราช เพื่อให้ดำเนินคดีกับนายเชาวน์วัศ เสนพงศ์ นายกเทศมนตรีนครนครศรีธรรมราช นายมาโนช เสนพงศ์ รองนายกเทศมนตรี ฝ่ายการศึกษาเทศบาลนคร นครศรีธรรมราช นายสมหวัง สิทธิประพันธ์ ผอ.กองการศึกษาเทศบาลนครนครศรีธรรมราช และผู้อำนวยการโรงเรียนสังกัดเทศบาลนคร นครศรีธรรมราชทั้ง 9 โรง ในข้อหาละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

           นายสมจิตเปิดเผยว่า ตนเลี้ยงดูลูก 2 คน ไม่มีแม่บ้าน ลูกของตนเรียนอยู่โรงเรียนเทศบาลวัดเสมาเมือง ตามปกติตนไปทำงานในต่างจังหวัด และจะกลับมารับลูกในตอนเย็นของทุกวัน เมื่อทางโรงเรียนสั่งปิดอย่างกะทันหัน ทำให้ตนไม่สามารถไปทำงานได้ ในขณะที่ผู้ปกครองคนอื่นๆ ก็ได้รับความเดือดร้อนในลักษณะเดียวกัน ซึ่งตามปกติหากทางโรงเรียนจะปิดเรียนจะต้องมีการแจ้งเป็นหนังสือไปยังผู้ปกครองล่วงหน้า 3-7 วัน เพื่อให้ผู้ปกครองทราบล่วงหน้าและเตรียมพร้อมในการไปรับส่งบุตรหลาน แต่การแจ้งกับนักเรียนในเย็นวันที่ 12 พ.ย.56 ให้ไปบอกพ่อแม่ว่าโรงเรียนปิด 3 วัน ระหว่างวันที่ 13-15 พ.ย.56 จึงเชื่อว่ามีเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างแน่นอน

           “โดยเฉพาะการสนองคำสั่งของนายสุเทพที่นำมวลชนออกมาประท้วงกดดันขับไล่รัฐบาลอยู่ในขณะนี้ เป็นพฤติกรรมทางการเมืองที่เอาเรื่องการศึกษาของเด็กและเยาวชนไปเป็นข้อต่อรองเพื่อผลประโยชน์ในทางการเมือง นับเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง โดยเป็นที่น่าสังเกตว่าข้ออ้างของผู้อำนวยการโรงเรียนสังกัดเทศบาลนคร นครศรีธรรมราชทั้ง 9 โรง ที่ว่าปิดโรงเรียนเพราะครูประชุมนั้นเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น เพราะมันสอดคล้องกับคำสั่งของนายสุเทพ ที่ต้องการให้ปิดโรงเรียน 3 วันพร้อมกันทั้ง 9 โรงอย่างกะทันหัน ผู้บริหารเทศบาลฯจะอ้างว่าไม่รู้เรื่องไม่ได้"

           นายสมจิตกล่าวอีกว่า การที่นายมาโนชออกมาอ้างว่าผู้บริหารเทศบาลฯไม่ได้สั่งปิด และการสั่งปิดโรงเรียนอยู่ในดุลยพินิจและอำนาจของ ผอ.นั้น เป็นข้ออ้างที่ตื้นเกินไป อย่าคิดว่าประชาชนไม่รู้ เพราะคนนครศรีธรรมราชทราบกันเป็นอย่างดีว่านายเชาวน์วัศและนายมาโนช เสนพงศ์ เป็นพี่ชายและน้องชายของนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ออกมาร่วมเคลื่อนไหวคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จึงขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีกับนายนายเชาวน์วัศและนายมาโนช นายสมหวัง รวมทั้งผู้อำนวยการโรงเรียนสังกัดเทศบาลนคร นครศรีธรรมราชทั้ง 9 โรง ในข้อหาละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และข้อหาอื่นๆ ทุกข้อหา รวมทั้งขอให้กระทรวงมหาดไทยตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในการสั่งปิดโรงเรียนสังกัดเทศบาลนคร นครศรีธรรมราชทั้ง 9 โรงด้วย

           ผู้สื่อข่าวรายงานว่าได้มีผู้ปกครองอีกนับสิบคน เดินทางเข้าแจ้งความเอาผิดกับผู้บริหารเทศบาลนครนครศรีธรรมราช และผู้อำนวยการโรงเรียนสังกัดเทศบาลนคร นครศรีธรรมราชทั้ง 9 โรง แต่ทางพ.ต.ท.นิติแจ้งว่าในวันนี้ขอรับแจ้งความและสอบสวนปากคำผู้เสียหายในชุดแรก 6 คนให้เสร็จสิ้นเสียก่อน หลังจากนั้นจะดูในข้อกฎหมายอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่งว่านอกจากข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าและปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 157 แล้วผู้ถูกกล่าวยังเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายในข้อหาใดอีกบ้างหรือไม่ จากนั้นจึงทำการลงบันทึกประจำวัน โดยคดีนี้เป็นคดีที่ผู้ปกครองแจ้งความเอาผิดกับกลุ่มบุคคลกลุ่มเดียวกันในความผิดเดียวกัน จึงน่าจะรวมเป็นคดีเดียวกันทั้งหมด โดยผู้เสียหายหลายคนที่สามารถมาแจ้งความร่วมเป็นผู้เสียเพิ่มเติมในภายหลังได้.

อารยะขัดขืนวันแรกสุดกร่อย! "ม็อบนัดหยุดชุมนุม" หน้าเวทีเหลือ 100 คน ส่วนประชาชนทำงานปกติ


อารยะขัดขืนวันแรกสุดกร่อย! "ม็อบนัดหยุดชุมนุม" หน้าเวทีเหลือ 100 คน ส่วนประชาชนทำงานปกติ


             วันที่ 13 พฤศจิกายน 2556 (go6TV) - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการชุมนุมของ "ม็อบประชาธิปัตย์" หลังจากประกาศ "อารยะขัดขืน" วันแรกมีผู้เข้าชุมนุมบางตา ล่าสุดกองบังคับการตำรวจจราจร แจ้งว่า กลุ่มผู้ชุมนุมที่แยกอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มียอดผู้มาชุมนุมอยู่ที่ประมาณ 100 คน โดยการจราจร ถนนราชดำเนินกลาง จาก แยกคอกวัว มุ่งหน้า แยกอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย รถสามารถวิ่งได้ตามปกติ


สู้ไปก็ไม่ชนะ! "ม็อบอาชีวะ" ดื่มเบียร์เมาปลิ้นย้อมใจ ชาวบ้านเอือมส่งรูปว่อนเน็ต


            ชาวบ้านเอือม! ส่งภาพม็อบอาชีวะดื่มเบียร์เมาปลิ้น คาชุดนักศึกษา วอนส.ส.ประชาธิปัตย์ออกมาตรการดูแลลูกหาบ

           ประชาชนแอบใช้กล้องบึนทึกภาพพฤติกรรมม็อบอาชีวะ คาชุดนักศึกษา 7-8 คน นั่งดื่มเบียร์อย่างไม่เกรงใจสายตาผู้คนที่ผ่านไปมา ข้างสะพานเทวกรรม บริเวณเวทีปราศรัย "ม็อบอาชีวะ" โดยหลังจากดื่มเบียร์ก็เริ่มเมาส่งเสียงคุยกันเสียงดังลั่น โดยผู้บันทึกภาพเห็นเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม จึงส่งภาพให้กับผู้สื่อข่าว และอยากวิงวอนผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะบรรดาส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ให้ดูแลลูกหาบและลิ่วล้อบริเวณเวทีปราศรัยด้วย