วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ประยุทธ์ยันทำทุกอย่างให้เปิดประเทศ ถามขี้ตกใจอะไรนักหนากับคำพูดปิดประเทศ

ที่มาภาพ : ศูนย์สื่อทำเนียบ

พล.อ.ประยุทธ์ ชี้คำพูดปิดประเทศ พูดในสภาฯ แต่สื่อเอาไปพูดข้างนอก ถ้าทำหุ้นตกก็ตกเพราะสื่อ อัดรัฐบาลที่มาจากเลือกตั้งพูดแย่กว่าอีก ยันสิ่งที่กำลังทำวันนี้กำลังทำให้เปิดประเทศ เพราะถูกปิดมานานด้วยความรู้สึก ความเกลียดชัง การทุจริต ไม่โปร่งใส
3 พ.ย.2558 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยชี้แจงถึงคำพูดในการประชุมมอบนโยบายแม่น้ำ5สาย ที่ระบุถึงการปิดประเทศหากบ้านเมืองไม่สงบว่า ขอร้องสื่อทุกสื่อว่าอย่าขายความขัดแย้ง เพราะถ้าขายความขัดแย้งก็เหมือนกับขายประเทศของท่านเอง ขอบอกเลยไม่ต้องมาว่าผมพูดเสียหาย หรือผมพูดแล้วหุ้นตก หุ้นมันตกมากี่วันแล้ว เขาก็รู้สิ่งที่ผมพูดความหมายคืออะไร ผมอยากจะเป็นอย่างนั้นหรือ ไม่มีใครอยากทำหรอก ผมพูดแต่เพียงว่าถ้ามันเป็นอย่างนั้น จะต้องไปถึงขั้นนั้นก็ตามใจ ใช่ไหมเล่า ชอบเอาประเด็นเหล่านี้ไปลง แทนที่จะมาสอนคนว่าทำอย่างนี้แล้วมันจะดี ผมจะได้ไม่หงุดหงิด
“ก่อนวันที่22พ.ค. มันเป็นอย่างนั้นอยู่หรือเปล่า ผมถามซิเป็นหรือเปล่า การใช้จ่ายงบประมาณทำไม่ได้ มันปิดหรือยังประเทศ มาประท้วงทั้งประเทศปิดหรือยัง นักท่องเที่ยวเขาไม่มาเพราะอะไร มันปิดอยู่แล้ว ผมพูดถึงว่า ถ้ามันไม่ช่วยกันตรงนั้น มันก็จะกลับไปปิดอย่างวันนั้น ไม่ใช่ผมจะไปปิด ผมจะปิดทำไมเล่า เอ้อคือมองต่อต้านทุกเรื่อง แม้กระทั่งพวกกันก็ต่อต้าน แล้วบอกเป็นพวกอย่างนี้เป็นพวกตรงไหนวะเนี่ย อะไรที่ผมพูดนิดๆหน่อยๆผิด เติมขยายเข้าไปเรื่อย ผมก็เป็นมนุษย์นะ ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งนะ ถ้าผมเป็นคนขี้หมากาไก่ จะด่าผมก็ด่ามาเถอะ ถ้าผมไม่ทำอะไรมาแสวงประโยชน์ก็ด่ามา ผมรับได้ทั้งหมด แต่นี่ผมทุ่มเททุกอย่าง แล้วมาว่าผมทุกวันอย่างนี้ จับเรื่องเล็กๆน้อยๆ มาว่าผมให้คนอื่นมาคอมเม้นด่าผมมันใช่ไหมหล่ะ เออมันน่ารังเกียจ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ ตอบเคลียร์เรื่องปิดประเทศแล้ว ถ้าหุ้นตกก็ตกเพราะสื่อ เพราะสิ่งที่ตนพูดในสภาฯ บางเรื่องเป็นเรื่องที่พูดได้ข้างใน แต่ก็ชอบเอาไปพูดข้างนอก และว่า พูดในสภาฯ เขาพุดได้หมด ไม่เคยฟังหรือ รัฐบาลที่มาจากเลือกตั้งพูดแย่กว่าอีก ยังฟังได้เลย คนสนใจแต่เรื่องแบบนี้หรือ ไม่สนใจเรื่องเปิดประเทศหรือ
ผู้สื่อข่าวระบุว่าคนตกใจที่ได้ยินคำพูดปิดประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า จะขี้ตกใจอะไรนักหนา ถ้าประชาชนสงสัยในคำพูด สื่อก็อธิบายไม่ได้เหรอ ถ้าสื่ออธิบายก็จบ
เมื่อถามว่าประชาชนอยากฟังคำอธิบายจากนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สำหรับตนเห็นว่า ถ้าจะให้เป็นอย่างนี้ต่อไปก็แล้วแต่ อยากจะปิดประเทศก็ปิดไป ก็อยู่กันแบบนี้กลายเป็นตนอยากอยู่ หรือตนจะปิดประเทศ แล้วมันปิดได้ไหมเล่า สิ่งที่กำลังทำวันนี้กำลังทำให้เปิดประเทศ ซึ่งมันถูกปิดมานานแล้ว ปิดด้วยความรู้สึก ความเกลียดชัง การทุจริต ไม่โปร่งใส อันนี้มันปิดอยู่แล้ว ตนอยากจะเปิดมันอยู่ ก็จะให้มันปิดอีก เพราะการจะเดินหน้าประเทศได้เลือกตั้งได้หรือไม่นั้น ตอนนี้ไม่ใช่ตนแล้ว ซึ่งตนพยายามทำให้เกิดการเลือกตั้งให้ได้ แต่ท่านก็ไปตรงนู้นค้านตรงนี้ค้าน ทุกคนใช้ความคิดตัวเองหมด แต่ไม่ย้อนกลับมาดูปัญหาของบ้านเมืองว่าอยู่ตรงไหน ถ้าทุกภาคส่วนไม่เข้าใจว่าปัญหาบ้านเราอยู่ตรงไหน
“ผมทำนายได้เลยไม่มีวันสำเร็จ ผมปรามาสไว้ตั้งแต่วันนี้เลย ไม่มีสำเร็จหรอก เพราะทุกคนก็จะเอาความคิดตัวเองเป็นที่ตั้ง ไอ้พวกหนึ่งก็จะเอาประชาธิปไตย ไอ้พวกหนึ่งเอาเลือกตั้งอย่างเดียว ผมถามว่าที่กำลังเถียงกันอยู่วันนี้ เคยมีใครสักคนมาพูดแบบผมพูด ว่าจะแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความเป็นธรรมอย่างไร ประชานิยมจะทำอีกหรือเปล่า มีแต่บอกจะทำอีก ท่านก็รับกรรมไปแล้วกันถ้าทำอีก จะผิดจะถูกผมไม่รู้ แต่เป็นปัญหาที่ผมแบกรับอยู่ในขณะนี้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวด้วยว่า ก.ค.60 ไปแล้ว ก็เขาเขียนกฎหมายไว้อย่างนั้น จะไปยังไงอย่างอื่น มันไปไม่ได้ อยู่ไปก็ไลฟบอยย์

พล.ต.ท.ศรีวราห์ เผยมีซัดทอดไปมา 50 พล.ต.-พ.อ. เอี่ยว คดีผิด ม.112


3 พ.ย. 2558 ผู้จัดการออนไลน์เดลินิวส์Nation TV และสำนักข่าวไอเอ็นเอ็น รายงานตรงกันว่า พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รักษาราชการแทน รอง ผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าชุดสอบสวนคดีแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงตามมาตรา 112 กล่าวถึงความคืบหน้าคดีนี้ว่า ขณะนี้ทางกองทัพยังไม่ได้เข้ามาแจ้งความหรือร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อให้ดำเนินคดีกับนายทหารที่กระทำความผิดตามที่ปรากฏเป็นข่าว แต่อาจมีการไปร้องทุกข์ที่กองบังคับการปราบปราม แต่ตอนนี้เรื่องยังมาไม่ถึงตน อย่างไรก็ตาม ในสำนวนที่ตนรับผิดชอบอยู่นั้น มีการให้การพาดพิงว่า มีนายทหารทั้งยศ พล.ต. และ พ.อ. มาเกี่ยวข้องพัวพัน 40 - 50 นาย โดยเป็นการซัดทอดกันไปมา แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนที่จะสามารถออกหมายจับทหารคนใดได้ ทั้งนี้ ยืนยันว่า หากพบใครกระทำผิดก็จะต้องดำเนินการทั้งหมด โดยในสำนวนที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนนั้น ยืนยันว่า จะมีการออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติมแน่นอน แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นใคร คาดว่า อีก 1 - 2 วันนี้ จะมีความคืบหน้าในการออกหมายจับเพิ่มเติม ส่วนกรณีกระแสข่าวที่ว่ามีนายทหารยศ พล.ต. และ พ.อ. ที่เกี่ยวข้องได้หลบหนีออกนอกประเทศนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องของการสืบสวนต้องไปถามชุดสืบสวนของ พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก.
พล.ต.ท.ศรีวราห์ กล่าวว่า ตนได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ไปประสานเชิญคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มาให้ข้อมูลกับทางพนักงานสอบสวนในประเด็นเรื่องการติดตั้งเสาสัญญาณสื่อสาร และจะมีการเรียกตัวแทนของบริษัท สามารถ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAMART เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาให้ดำเนินการออกหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป
สำหรับกรณีของนายทหารยศ พ.อ. ถือเป็นนายทหารที่มีความสนิทสนมกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ระดับสูงที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว โดยพบว่า ก่อนที่จะเกษียณอายุราชการเพียงหนึ่งวัน ได้เซ็นคำสั่งให้นายทหารยศ พ.อ.นายนี้ ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งผู้บังคับการ ก่อนที่ ผบ.ทบ.คนปัจจุบัน จะออกคำสั่งใหม่ให้กลับไปดำรงตำแหน่งเป็นนายทหารฝ่ายเสธ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีเสาสัญญาณดังกล่าวนั้น มีข้อมูลปรากฏว่า พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา หรือสารวัตรเอี๊ยด ได้มีการย้ายเสาสัญญาณของตำรวจสื่อสารจากพื้นที่ย่านบางชัน มาติดตั้งบนอาคารตึกใบหยก 2 ย่านประตูน้ำ เพื่อใช้ในกิจการบางอย่าง โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบถึงผู้ที่เกี่ยวข้องในการกระทำครั้งนี้ต่อไป
โฆษก ตร.ยันยังไม่มีหมายจับนายทหาร ส่วน พล.ต.อ.ประวุฒิ ยังไม่ยื่นหนังสือลาออก
วันเดียวกัน (3 พ.ย.58) สำนักข่าวไทย รายงานด้วยว่า พล.ต.อ.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปฏิเสธว่ายังไม่มีการออกหมายจับผู้ต้องหาในคดีหมิ่นสถาบัน นายทหารยศพลตรี ตามที่มีข่าวว่าถูกนายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือหมอหยอง หนึ่งในผู้ต้องหาในคดีความผิดหมิ่นสถาบันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 พาดพิง ว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง ส่วนนายทหารยศพันเอกที่คาดว่ามีเกี่ยวข้องกับคดีนี้ได้หลบหนีออกประเทศไปแล้วหรือไม่อยู่ระหว่างตรวจสอบ
พร้อมยืนยันว่า พล.ต.อ.ประวุฒิ ถาวรศิริ ที่ปรึกษา สบ 10 ยังไม่ได้ยื่นหนังสือลาออกจากราชการ และวันนี้ก็ยังไม่ได้เดินทางมาปฏิบัติหน้าที่ ส่วนกระแสข่าวที่ว่า พล.ต.อ.ประวุฒิ ยังคงมีการสั่งงานภายในสำนักงานนั้นไม่ทราบ และหาก พล.ต.อ.ประวุฒิ ขาดงานครบ 15 วัน นับจากวันที่ 2 พฤศจิกายน 2558 ก็จะมีความผิดทางวินัยและให้ออกจากราชการ แต่ส่วนตัวเชื่อว่า พล.ต.อ.ประวุฒิ เป็นข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่ มีดุลยพินิจ อาจจะมีสาเหตุจำเป็นที่ไม่ได้มาปฏิบัติหน้าที่ ส่วน พล.ต.อ.ประวุฒิ จะยังคงรับผิดชอบกิจกรรม Bike for Dad หรือปั่นเพื่อพ่อ ในฐานะตัวแทนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือไม่ ต้องสอบถามกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ข่าวสดเปิดหลักฐาน ‘พันเอก’ พัวพัน ‘แก๊งหมอหยอง’ เผ่นออกนอกประเทศแล้ว
วันเดียวกัน(3 พ.ย.58) ข่าวสดออนไลน์ รายงานด้วยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจค้นเข้าเมือง อ.แม่สอด จ.ตาก รายงานผู้บังคับบัญชาว่า ตรวจสอบพบนายทหารยศพันเอก ที่ทางกองทัพติดตามตัวมาสอบสวน เนื่องจากมีข้อมูลพาดพิงกับแก๊งของนายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือหมอหยอง ผู้ต้องหาคดี 112 ได้เดินทางออกนอกประเทศตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยในเวลา 06.35 น. พบพันเอกคนดังกล่าวผ่านจุดตรวจสะพานมิตรภาพไทย-พม่า ตม.จว.ตาก ตม.5
Nation TV รายงานด้วย โดยระบุข่าวจากคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนเปิดเผยว่าภายในสัปดาห์นี้พนักงานสอบสวนจะนำสำนวนการสอบสวนเสนอต่อศาลเพื่อพิจารณาขออำนาจศาลอนุมัติหมายจับนายทหารชั้นสัญญา บัตรยศ พันเอก นายหนึ่ง โดยมีพฤติกรรมเกี่ยวกับการร่วมหาผลประโยชน์จากบริษัทเอกชนและการจำหน่ายเสื้อในโครงการ สำคัญโครงการหนึ่งรายงานข่าวระบุอีกว่าการสืบสวนทราบว่านายทหารชั้นสัญญาบัตรนายนี้ ไหวตัวเดินทางออกนอกประเทศไทยอย่างถูกต้องโดย ผ่านทางด่านตรวจคนเข้าเมืองแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งการเดินทางออกนอกประเทศไทยเมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่นายสุริยัน หรือ หมอหยอง และ พ.ต.ต. ปรากรม วารุณประภา อดีต สว.กก.1 บก.ปอท. ถูกควบคุมตัวแล้ว ซึ่งขณะนี้ยังไม่พบข้อมูลว่านายทหาร นายดังกล่าวเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยแต่อย่างใด

อดีต ส.ส.กทม.ประชาธิปัตย์ ร้องป.ป.ช.สอบ รองผู้ว่าฯกทม ทุจริต-รวยผิดปกติ


เมื่อวันที่ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)  ผ่าน พ.ต.อ.อิทธิพล กิจสุวรรณ ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงาน ป.ป.ช. ขอให้ตรวจสอบนายจุมพล สำเภาพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร  ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และร่ำรวยผิดปกติ  จากกรณีการบริหารงานใน กทม. หลายกรณีที่น่าเชื่อว่ามีการกระทำผิดตามข้อกล่าวหา
นายวิลาศ กล่าวว่า ประกอบด้วย  1. กรณีการจัดซื้อเครื่องจักรกลจำนวนมาก  โดยสำนักงานเขตต่าง ๆ ซึ่งมีราคาแพงเกินจริง และไม่ค่อยได้ใช้งาน  โดยที่มีการออกหนังสือเวียนไปยังสำนักงานเขตเพื่อให้ทำหนังสือแสดงความต้องการเครื่องจักรดังกล่าวเสนอต่อ กทม.  ซึ่งอาจจะมีการตกลงและมีผลประโยชน์ร่วมกับบริษัทผู้ขายเครื่องจักร  2.กรณีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ กทม.ในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายโยธาของเขตต่าง ๆ  ที่มีนายหน้าติดต่อซื้อขายตำแหน่ง  มีการเรียกรับเงินในการแต่งตั้งโยกย้าย  จึงขอให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบเส้นทางเงินในกรณีนี้ด้วย
3.กรณีพาทีมงานไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นที่มีการซื้อสินค้าครั้งเดียวมูลค่า 5 ล้านบาท  เพื่อให้เข้าเงื่อนไขรายการช็อปดิวตี้ฟรี บินฟรีญี่ปุ่น ทำให้ได้บัตรโดยสารฟรี 100 ใบ 4.กรณีจ้างเหมาก่อสร้างสวนสาธารณะและลานกีฬาเฉลิมพระเกียรติ วงเงินในการก่อสร้าง 71 ล้านบาท โดยที่บริษัทที่ได้รับงานมีความสนิทกับรองผู้ว่าฯ กทม. และภายหลังมีการแก้ไขสัญญา ผ่อนปรนการตรวจสอบการก่อสร้างด้วย
5.กรณีบริษัทขายเครื่องจักรให้ กทม.นำหัวหน้าเขตทั้ง 50 เขต ไปดูงานรถดูดไขมันที่ประเทศเยอรมันเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา จึงขอให้ตรวจสอบกรณีผลประโยชน์ทับซ้อน และ 6.กรณีนายจุมพลเดินทางไปต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเยอรมันและฝรั่งเศส ซึ่งในการเดินทางแต่ละครั้งจะมีบริษัทจ่ายค่าใช้จ่ายให้ ซึ่งอาจจะเข้าข่ายเอื้อประโยชน์บริษัทเอกชนในการซื้อเครื่องจักรกลหรือไม่ ซึ่งล่าสุดมีการเดินทางไปเมื่อวันที่ 15 ก.ย.ที่ผ่านมา
นายวิลาศ กล่าวอีกว่า ในการร้องเรียน ป.ป.ช.ในครั้งนี้ เพื่อขอให้มีการตรวจสอบ เพราะเอกสารหลักฐานบางอย่าง ป.ป.ช.มีอำนาจในการเรียกดู   และอยากให้เรียกผู้ถูกกล่าวหามาชี้แจงในการดำเนินการหลายกรณี เพราะเห็นว่ามีพฤติกรรมผิดปกติ
“ผมพร้อมที่จะเข้าให้ปากคำ เพื่อให้ข้อมูลต่อ ป.ป.ช.ในเรื่องดังกล่าว นอกจากนั้นหากหลังจากนี้มีสภาผู้แทนราษฎร  และผมได้เป็นกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริต สภาผู้แทนราษฎร  ก็ยืนยันว่าจะเรียกสอบเรื่องร้องเรียนใน กทม.ที่เหลืออีก  เพราะที่ยื่นให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบในวันนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น” นายวิลาศ กล่าว

เช้านี้ ‘พันธ์ศักดิ์’ พลเมืองรุกเดิน#2 ตอนเมื่อเผด็จการใช้ศาลทหารตัดสินพลเมือง


4 พ.ย. 2558 หลังจากระหว่างวันที่ 14-16 มี.ค.ที่ผ่านมา พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ หนึ่งในผู้ต้องหาคดีฝ่าฝืนประกาศ คสช. จากการจัดกิจกรรม ‘เลือกตั้งที่(รัก)ลัก)’ หน้าหอศิลปวัฒนธรรมเมื่อ 14 ก.พ. ที่ผ่านมา ได้เดินเท้าภายใต้ชื่อกิจกรรม ‘พลเมืองรุกเดิน’ เพื่อเรียกร้องให้ยุติการนำพลเมืองขึ้นดำเนินคดีในศาลทหาร จากหน้าโรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดนนทบุรี เพื่อ สน.ปทุมวัน การเดินเท้าดังกล่าวทำให้ พันศักดิ์ หมายจับศาลทหารลงวันที่ 17 มี.ค. ซึ่งถูกตั้งข้อหาอีก 3 ข้อหาได้แก่
1.ขัดประกาศ คสช. ฉบับที่ 7
2.พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14
3.ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 หรือความผิดฐานกระทำให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน (อ่านข่าวก่อนหน้านี้)
ล่าสุดเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘พลเมืองโต้กลับ Resistant Citizen’ ได้เผยแพร่กิจกรรม พลเมืองรุกเดิน#2 เมื่อเผด็จการใช้ศาลทหารตัดสินพลเมือง ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จัดโดยพลเมืองโต้กลับร่วมกับประชาธิปไตยใหม่และประชาธิปไตยศึกษา ในวันที่ 4 พ.ย.2558 นี้
โดยระบุว่า จากพลเมืองรุกเดินครั้งที่ 1 แล้วถูกตั้งข้อหาความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงเป็นคดีต้องขึ้นศาลทหาร คราวนี้เป็นนัดแรกที่ศาลนัดสอบคำให้การ ซึ่งก่อนหน้านี้ พันธ์ศักดิ์ ต้องไปศาลมาแล้วว่า 10 ครั้ง
พลเมืองรุกเดินครั้งที่ 2 สมาพันธ์ จะรุกเดินอีกครั้ง เพื่อย้ำเตือนว่าบ้านนี้เมืองนี้มีความไม่เป็นธรรมอย่างไร รวมทั้งมีกิจกรรมของพลเมืองโต้กลับดังนี้ 4 พฤศจิกายน 2558 ณ ลานปรีดี ม.ธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์)
โดย เวลา 08.00 น.  พันธ์ศักดิ์  ออกเดินจากบ้าน ที่ อ. บางบัวทอง
จากนั้นเวลา 16.00-18.00 น. ดนตรี บทกวี ปราศรัยทางการเมือง ณ ลานปรีดี ม.ธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) 18.00-20.00 น. กิจกรรมเสวนา "ศาลทหาร กระบวนการยุติธรรมในยุคเผด็จการ" และ 20.00-24.00 น. ฉายหนังสั้น/หนังการต่อสู้ทางการเมือง

 
สำหรับพันธ์ศักดิ์ เขาเป็นบิดาของ สมาพันธ์ ศรีเทพ หรือเฌอเด็กหนุ่มผู้ถูกยิงเสียชีวิตให้เหตุการณ์กระชับวงล้อม 15 พ.ค. 53