วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สถานภาพการเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญของ ชัช ชลวร


สถานภาพการเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญของ ชัช ชลวร

Wed, 2013-05-29 09:20


ชัช ชลวร


โดย : ชำนาญ จันทร์เรือง

           หนึ่งในปัญหาที่ถาโถมใส่ศาลรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบันนอกเหนือจากความขัดแย้งในอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลรัฐธรรมนูญกับรัฐสภาแล้วก็คือสถานภาพของนายชัช ชลวร อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญที่ลาออกจากตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2554 และที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติคัดเลือกประธานฯคนใหม่โดยใช้วิธีสลับตำแหน่งกับนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ แล้วเสนอโปรดเกล้าฯ ซึ่งในที่สุดเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2554 ก็ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้นายชัชพ้นจากการเป็นประธานฯและแต่งตั้งให้นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ เป็นประธานฯแทน

         ประเด็นของความสงสัยจึงเกิดขึ้นและนำมาซึ่งการถกเถียงว่าสถานภาพของนายชัชว่ายังเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอยู่หรือไม่ เพราะนายชัชดำรงตำแหน่งไม่ครบวาระแต่มีการสลับตำแหน่ง ซึ่งไม่มีระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ



         ที่สำคัญก็คือหนังสือจากสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญไปยังวุฒิสภาเพื่อโปรดเกล้า 2 อย่าง คือ โปรดเกล้าฯให้พ้นจากประธานศาลรัฐธรรมนูญ และให้โปรดเกล้าฯเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งทำให้เห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญก็เล็งเห็นปัญหาอยู่ว่าการดำเนินการเรื่องนายขัชต้องดำเนินการ ๒ อย่าง แต่ในที่สุดทรงโปรดเกล้าฯให้นายชัชพ้นจากการเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่ไม่ได้ระบุว่าโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด(ที่มา: มติชนรายวัน,10 พ.ค.2556,หน้า 2)


ประเด็นข้อถกเถียง

           แนวความคิดเห็นแรก เห็นว่าการที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายชัชเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญเมื่อปี ๒๕๕๑ นั้นเป็นการทำให้นายชัชเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไปพร้อมกันแล้ว(มีสองสถานะแยกกัน – two in one) จึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีการโปรดเกล้าใหม่อีก กอปรกับเมื่อวุฒิสภาได้คัดเลือกได้ว่าที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 9 คนแล้ว 9คนนั้นเองก็ได้ประชุมกันเองก็ได้คัดเลือกให้หนึ่งในนั้นเป็นประธานฯแล้ว

           แนวความคิดเห็นที่สอง เห็นว่าการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายชัชเมื่อ 28 พฤษภาคม 2551นั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญซึ่งหมายความรวมถึงสถานะการเป็นตุลาการไปด้วย โดยไม่ได้ระบุให้นายชัชเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีกต่างหาก(มีสถานะเดียวคือเป็นประธานฯซึ่งมีคุณสมบัติเป็นตุลาการด้วย- one in two) เพราะฉะนั้นเมื่อต่อมามีการขอสลับตำแหน่งและขอลาออกจากการเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญเพื่อไปเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียว แต่ปรากฏว่าได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้พ้นจากประธานศาลรัฐธรรมนูญโดยไม่ได้มีการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายชัชเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีก นายชัชจึงต้องพ้นจากทั้งประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไปด้วย ไม่สามารถอนุมานหรือตีขลุมได้ว่านายชัชยังคงเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอยู่ ดังนั้น จึงถือว่านายชัชพ้นจากสถานะการเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแล้ว

ข้อกฎหมาย

1) รัฐธรรมนูญฯมาตรา 204 วรรคสาม บัญญัติว่า “ให้ผู้ได้รับการคัดเลือกตามวรรคหนึ่ง ประชุมและเลือกกันเองให้คนหนึ่งเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ แล้วแจ้งผลให้ประธานวุฒิสภาทราบ”

2)รัฐธรรมนูญฯมาตรา204วรรคสี่ บัญญัติว่า “ให้ประธานวุฒิสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ”

3)รัฐธรรมนูญฯมาตรา 209 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “นอกจากการพ้นตำแหน่งตามวาระ ประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพ้นจากตำแหน่งเมื่อ

ฯลฯ

(3)ลาออก

ฯลฯ”


ข้อวินิจฉัย

           พิเคราะห์แล้วเห็นว่ากรณีนี้สถานภาพของนายชัชได้สิ้นสุดสถานภาพการเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญของนายชัชนั้นได้สิ้นลงแล้ว แม้ว่าจะมีบางความเห็นโต้แย้งว่ากรณีนี้เทียบได้กับกรณีของการแต่งตั้งประธานศาลปกครองสูงสุด ซึ่งผมเห็นว่าไม่สามารถนำมาเทียบเคียงได้ เนื่องเพราะในขณะที่นายชัชได้รับการคัดเลือกระหว่างผู้ที่ผ่านการเห็นชอบจากวุฒิสภาเพื่อให้เสนอชื่อเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญนั้น สถานภาพของทั้ง 9 คน ยังไม่ได้เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญโดยสมบูรณ์เพราะทั้ง 9 คน ยังไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งฯแต่อย่างใด

          อีกทั้งมาตรา 98 วรรคสามแห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาศาลปกครอง พ.ศ.2542 ได้บัญญัติว่าเมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งตุลาการในศาลปกครองสูงสุดตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้คณะกรรมการคัดเลือกฯเป็นอันพ้นหน้าที่ และให้ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดคัดเลือกตุลาการในศาลปกครองสูงสุดด้วยกันเอง เป็นประธานศาลปกครองสูงสุดหนึ่งคน รองประธานศาลปกครองสูงสุดสองคน และตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุดสี่คนฯลฯ

          กอปรกับการพ้นตำแหน่งของประธานศาลรัฐธรรมนูญนั้นรัฐธรรมนูญมิได้ระบุไว้เป็นการเฉพาะแต่ระบุไว้รวมกับเงื่อนไขของการพ้นตำแหน่งของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ฉะนั้น เมื่อนายชัชยื่นลาออกจากตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญจึงเป็นการพ้นจากตำแหน่งจากการเป็นตุลาการศาลรัฐธรรรมนูญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

        ถ้ามองตามข้อวินิจฉัยนี้จะเห็นได้ว่าการที่คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้สลับตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญกับตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญของนายชัช ชลวรกับนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์นั้น มีปัญหาในความชอบด้วยกฎหมายอย่างแน่นอน

แล้วจะทำอย่างไร

         โดยทั่วไปแล้วมีปัญหาในเรื่องของความชอบด้วยกฎหมายของตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญแล้วมักจะเป็นหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญที่จะเป็นผู้วินิจฉัย แต่กรณีนี้ไม่สามารถยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ด้วยเหตุของการเป็นผู้มีส่วนได้เสียขององค์คณะของศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมดที่ได้มีมติในการสลับตำแหน่ง ที่สำคัญก็คือไม่มีบทบัญญัติใดที่ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญให้สามารถกระทำในกรณีนี้ได้

        ฉะนั้น ผู้ที่จะต้องมีหน้าที่รับผิดชอบในการวินิจฉัยหรือทำความชัดเจนในประเด็นข้อโต้เถียงนี้ย่อมหนีไม่พ้นจากวุฒิสภาที่จะต้องทำหน้าที่นี้ เพราะประธานวุฒิสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการตามรัฐธรรมนูญฯมาตรา ๒๐๔ วรรคสี่ นั่นเอง

       เมื่อวินิจฉัยแล้วก็ต้องยอมรับและปฏิบัติตาม หากวุฒิสภามีคำวินิจฉัยตามแนวความเห็นที่หนึ่งก็เป็นอันว่าจบเรื่อง แต่หากวุฒิสภามีคำวินิจฉัยว่าการสลับตำแหน่งนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องแสดงความรับผิดชอบ หรือหากวุฒิสภาไม่ยอมทำหน้าที่เป็นผู้วินิจฉัยวุฒิสภาก็ย่อมจะต้องเป็นผู้ที่จะต้องรับผิดชอบไปเต็มๆในฐานะที่เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการแล้วทำให้เกิดปัญหาขึ้น

       ส่วนผลของการที่ไม่รับผิดชอบของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหรือวุฒิสภาจะเป็นอย่างไรนั้น ฝากไว้เป็นการบ้านให้ท่านผู้อ่านคิดเอาเองก็แล้วกันนะครับ

--------------------

หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 29 พฤษภาคม 2556

เมื่อสุนัขรับใช้อำหมาตย์ อ้าง กายฟอกซ์ แบบหน้ามืดตา่มัว และบอดใบ้

ปรากฏการณ์ไทยกายฟอกซ์ : ภาวะหลังสมัยใหม่ที่คนไทยไม่อยากเรียน

เกริ่นนำ
          ที่ประเทศไทย ในสังคมจำลองอย่างระบบโซเชียลเน็ตเวิร์ก (Social Network) ได้เกิดปรากฎการณ์ “หน้ากากกายฟอกซ์” (Guy Fawkes mask) ซึ่งเคลื่อนไหวมาจากกลุ่มที่สนับสนุนให้ประชาชนต่อต้านรัฐบาลเผด็จการ และแน่นอน ผู้ริเริ่มเคลื่อนไหวเหล่านั้น คงได้รับอิทธิพลมาจากภาพยนตร์ เรื่อง วี ฟอร์ เวนเด็ตตา (V For Vendetta, 2005) เป็นส่วนใหญ่ และอาจรู้จักที่มาที่ไปทางประวัติศาสตร์เป็นส่วนน้อย ที่น่าสนใจ คือ “ภาวะลักลั่นย้อนแย้ง” ซึ่งแสดงให้เห็นร่องรอยความไม่ต่อเนื่องของระบบคิดที่ยืนอยู่บนรากฐานเดิมๆ ของโลกทัศน์เก่า กำลังเปิดเผยให้เราเห็นพรมแดนของการปะทะกันของโลกสมัยใหม่และหลังสมัยใหม่ โดยที่ “ความไม่ต่อเนื่อง”(Discontinuity) อันเป็นตัวแทนของโลกหลังสมัยใหม่ กำลังบ่งบอกเราว่า “ภาวะลักลั่นย้อนแย้ง” ของวาทกรรมทางการเมืองหรือแนวคิดทางการเมืองในประเทศไทย ไม่เพียงแต่เป็นตรรกะวิบัติ (Fallacy Logic) เท่านั้น ยังสะท้อนให้เห็นถึง “ความสับสนภายในตนทางจิตวิทยา” ซึ่งแสดงออกให้เห็นจากพฤติกรรมไม่ต่อเนื่องที่ยากจะอำพรางอีกด้วย เพราะการผลิตซ้ำผ่านระบบโซเชียลเน็ตเวิร์กเพื่อสร้างปรากฏการณ์สำหรับผู้ที่ไม่เข้าใจเรื่องการผลิตซ้ำแบบนักโฆษณาการตลาดมือทองแล้ว ก็จะเกิดภาวะที่จะยากควบคุมได้ ที่สุด การกระทำดังกล่าวย่อมกลายเป็นไม่สำเร็จตามความตั้งใจไป เพราะปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมีข้อจำกัดคือเรียกร้องให้มีการอธิบายอย่างหลังสมัยใหม่ (Post-Modern Trend) ซึ่งเป็นเรื่องที่นักคิดชาวไทยไม่คุ้นชิน กระนั้น การอธิบายแบบนี้ก็กลับลักลั่นย้อนแย้งในตัวเองอีก เพราะประเทศไทยมิได้ยอมรับเกี่ยวกับการคืนสิทธิความเท่าเทียมของมนุษย์ในประเทศนี้โดยการปฏิบัติ? แต่ก็นั่นแหละ “ความลักลั่นย้อนแย้ง เป็นงานของหลังสมัยใหม่โดยตรง”
เนื้อหา

1. การผลิตซ้ำเป็นคำสำคัญของศตวรรษที่ 21
        ในภาพยนตร์เรื่อง วี ฟอร์ เวนเด็ตตา จงใจแสดงให้เห็น “การผลิตซ้ำ” ของรัฐบาลเผด็จการ ในระดับที่เรียกว่า ครอบงำ ก็ว่าได้ ซึ่งการ “ผลิตซ้ำ” นี้มีผลโดยตรงต่อผู้บริโภคสื่อ หรือที่จะเรียกว่า ผู้เสพสัญญะ ก็ได้ บทพูดของท่านผู้นำในท้องเรื่องสะท้อนให้เห็นถึงอำนาจแห่งการกดบังคับอย่างชัดเจน เป็นต้นประโยคที่กล่าวว่า “Any unauthorized personnel, will be subject to arrest. This is for your protection.”(บุคคลที่ไม่ได้รับการอนุญาตจะถูกจับกุม เพื่อความปลอดภัยของคุณ) คำว่า “ความปลอดภัยของคุณ” เป็นสิ่งที่ตรงกับความรู้สึกเบื้องลึกของมนุษย์ที่รักตัวกลัวตาย แน่นอนที่สุด จะมีมนุษย์ส่วนหนึ่งเห็นด้วยที่จะฆ่าชีวิตมนุษย์อีกกลุ่มหนึ่งได้ด้วยคำๆนี้ นั่นเป็นตรรกะของโลกทัศน์เดิม “Disease-ridden degenerates. They had to go.” (ภัยร้ายของสังคมต้องหายไป) ซึ่งในศตวรรษที่ 21 เรื่องนี้ถูกพิสูจน์กันในระดับประสบการณ์และปฏิบัติการเชิงนโยบายแล้วว่า “ไม่จริง” เป็นศิลปะแห่งการชวนเชื่อรูปแบบหนึ่ง เราไม่อาจกำจัดสิ่งที่เรียกว่าภัยร้ายนี้ได้อย่างสิ้นซาก และในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีใครทำสำเร็จ แต่ที่สำเร็จคือการถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของ “พวกชาตินิยม” (Nationalism) เพราะการผลิตซ้ำแบบที่ว่า (ในภาพยนตร์เสนอให้เห็นว่าท่านผู้นำควบคุมสื่อและครอบงำประชาชนผ่านสื่อสารมวลชนทุกรูปแบบ) ทำให้เกิด “ภาวะเกินจริง/เสมือนจริง” (Hyper-reality) กล่าวคือ ไม่จำเป็นว่าสิ่งที่กำลังสื่ออยู่เป็นความจริงเอาเป็นว่าผลิตซ้ำให้มากพอจนเชื่อว่าจริงเป็นใช้ได้ 
2. ความจริงในโลกหลังใหม่ไม่ผูกขาดกับสัจธรรมหรือตัวแบบในอดีต
        โบดริยาร์ด (Baudrillard) นักคิดหลังสมัยใหม่เสนอว่า ผู้คนในศตวรรษนี้ ตกอยู่ภายใต้โลกที่เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ทางสัญลักษณ์ที่ถูกสร้างและผลิตซ้ำ นั่นคือโลกของการจำลองและสร้างภาพใหม่ (Simulacra and Simulation) กล่าวคือ ทุกอย่างถูก “ผสมใหม่” (Re-mix) และไม่จำเป็นว่าต้องสอดคล้องตรงกันกับความจริง แต่เป็นเรื่องของความเชื่อว่าจริง และจากนั้นก็เป็นขั้นตอนของการผลิตซ้ำ จนสามารถสถาปนาความจริงใหม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น แม้ว่าเรื่องของกายฟอกซ์และภาพยนตร์เรื่อง วี ฟอร์ เวนเด็ตตา จะย้อนแย้งกับการต่อต้านรัฐบาลเผด็จการมากเพียงไร แต่ถ้ามีการผลิตซ้ำที่มากพอ และการครอบงำที่เบ็ดเสร็จ ชุดความคิดนี้จะกลายเป็นความจริงใหม่ ถึงเราก็กล่าวหรือพิสูจน์ว่า เรื่องนี้ไม่จริงเมื่ออ้างหลักฐานจากต้นกำเนิดหรือจุดประสงค์ของการกำเนิด ก็ไม่อาจจะลบความจริงใหม่ที่ถูกสถาปนาขึ้นได้ เว้นแต่จะตกลงใจกันลดทอนความสำคัญของวาทกรรมนี้ลง เรื่องนี้ ใช้กับประวัติศาสตร์ที่ถูกสร้างใหม่ได้เช่นกัน เพราะประเด็นไม่ได้อยู่ที่อะไรจริงหรือเท็จอีกแล้วในศตวรรษที่ 21ประเด็นอยู่ที่เสพสัญญะมาอย่างไร? และอยากจะเชื่ออย่างไร? ฉะนั้น ความคิดแบบสมัยใหม่ (Modernity) แม้กระทั่งความคิดแบบปฏิฐานนิยม (Positivism) จึงขาดความต่อเนื่องไปโดยปริยายในศตวรรษที่ 21 เพราะความจริงเดิมถูกฉีกทึ้งและแบ่งออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ใครที่อ้างว่าเป็นความจริงแท้จึงน่าสงสัยมากในศตวรรษที่ 21 เพราะอาจเกิดปัญหาเรื่องการพิสูจน์ดังกล่าว นี่เป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในยุคนี้
3.โฉมหน้าที่ถูกเปิดเผยของปีศาจในคราบนักบุญ
          “That with devotion's visage and pious action, we do sugar o'er the devil himself.” (ใบหน้าที่เปี่ยมด้วยศรัทธาและความเคร่งศาสนา คือหน้ากากของปีศาจที่สร้างขึ้นในตน) ประโยคนี้ถูกใช้(ผลิตซ้ำ) ในภาพยนตร์เรื่อง วี ฟอร์ เวนเด็ตตาด้วย แต่เป็นประโยคที่ยืมมาจาก แฮมเล็ต ของ เช็กสเปียร์ (Hamlet III,I) ซึ่งตัวเอกของเรื่อง กลับใส่หน้ากากเสียเอง ทั้งยังพูดติดตลกว่า “I'm merely remarking upon the paradox of asking a masked man who he is.” (ไม่ย้อนแย้งหรือที่จะมาถามว่าคนใส่หน้ากากอย่างผมคือใคร?) บทสนทนานี้สะท้อนให้เห็นว่า เรามักสงสัยคนที่ปกปิดตัวเองเสมอ แต่ไม่สงสัยการปกปิดความชั่วร้ายที่ถูกสร้างขึ้นอย่างแนบเนียน ซึ่งความชั่วร้ายนั่นอาจมีผลกับเราเสียด้วย เรื่อง “หน้ากาก” (Mask) นี้ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึง ความไม่รู้อะไรจริงอะไรเท็จในศตวรรษนี้ได้ดี เพราะถ้าผ่านการผลิตซ้ำด้วยสื่อแล้ว อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น เราจะหาความจริงได้อย่างไร? ถึงแม้จะไม่ง่ายนักแต่เราอาจทำได้จากการวิเคราะห์วาทกรรม (Discourse Analysis) หรือไม่ก็รื้อดูที่มาที่ไปอันไม่ต่อเนื่องของระบบคิดตามแนวคิดหลังสมัยใหม่ ซึ่งวิธีการแบบสมัยใหม่ไม่รองรับในเรื่องนี้ เนื่องจากยังเรียกร้องจารีต แบบแผน ความสม่ำเสมอ จึงมีข้อด้อยทำให้ไม่เท่าทันความคิดที่ผันแปร ในศตวรรษที่ 21 นี้เองด้วยท่าทีแบบช่างสงสัย (Skeptics) ก็ได้ช่วยเผยโฉมหน้าของปีศาจในคราบนักบุญไม่มากก็น้อย นั่นเป็นสิ่งที่เราต้องการยอมรับ แต่ในชีวิตจริงการเปิดเผยเช่นนี้กลับเป็นสงครามแห่งการสาดโคลนผ่านสื่อไปเสียอีก?
4.การเล่นคำของหลังสมัยใหม่: การติดตามความซับซ้อนของมนุษย์?
          ข้อวิจารณ์สำคัญประการหนึ่งที่นักคิดหลายคนมีต่อแนวคิดหลังสมัยใหม่ คือ พฤติกรรมที่ราวกับเป็นการเล่นคำ ฟังแล้วไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนนัก (ปลายเปิด) หรือเป็นลักษณะการตั้งคำถามซ้อน (ตอบคำถามด้วยคำถาม) หรือแม้แต่การยินดีและเบิกบานที่จะใช้ตรรกะวิบัติบางประเภทอย่างมีศิลปะ รวมถึงการแสดงอารมณ์ความรู้สึกด้วย นั่นทำให้การสื่อสารผ่านแนวคิดหลังสมัยใหม่มีลักษณะที่ซับซ้อน (Complexity) หลายครั้งคลุมเครือ (Obscure) แต่ที่จริงแล้ว นั่นเป็นเพียงผลของความพยายามที่จะอธิบายสังคมหรือมนุษย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างซับซ้อนเท่านั้น เพราะในเมื่อประวัติศาสตร์เริ่มให้เบาะแสกับเราว่า บางสิ่งก็เป็นเรื่องที่ประกอบสร้างและผลิตซ้ำขึ้นโดยรัฐเพื่อให้เกิดผลทางจิตวิทยากับประชาชน และเรื่องนั้นห่างไกลจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงดังที่มีหลักฐานในประวัติศาสตร์ แบบนี้จึงทำให้การเสพสัญญะหรือข้อมูลสำเร็จรูปไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไป ทุกอย่างจึงมีบริบท (Context) ของมันเอง มีทิศทางและเจตนาที่แสดงออกผ่านประวัติศาสตร์ ซึ่งการถอดรื้อ-รื้อสร้าง (Re/Deconstruct) เป็นผลให้มีการนิยามหรือทบทวนความหมายเสียใหม่ เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ของมนุษย์และสังคมด้วยวิธีใหม่ๆ เป็นต้น การนิยามเรื่อง “ความเหนือจริง” (Hyper-reality)  ของโบดริยาร์ด นั่นเอง ตราบใดที่ยังมีระบบสังคมเงินเดือน มีผู้บริโภค มีสื่อสารมวลชน การบริโภคสัญญะย่อมเกิดขึ้นจริงวันยันค่ำ อาจกล่าวได้ว่า ถ้าเราไม่เปิดใจกับความซับซ้อนดังกล่าว เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า รู้เท่าทันโฆษณาชวนเชื่อ? ซึ่งก็เป็นภาพยนตร์เรื่องนี้อีกที่สร้างรูปแบบประโยคผ่านการเขียนบทได้อย่างน่าสนใจ ทั้งคลุมเครือและซับซ้อน
5.พรมแดนที่บีบคั้นให้ต้องคิดด้วยตัวเอง
          ภาพยนตร์เรื่องวี ฟอร์ เวนเด็ตตา มีฉากสำคัญที่ “วี” สร้างเรื่องขึ้นเพื่อให้สอนอะไรบางอย่างให้กับ “อีวี่” กล่าวคือ “วี” เองก็ใช้เรื่องที่ประกอบสร้างขึ้นเพื่อสอนให้อีวี่ได้เข้าใจอะไรบางอย่าง ซึ่งมิตินี้คู่ขนานกันไปกับภาพพจน์ของการประกอบสร้างเรื่องของรัฐบาลเผด็จบาลเพื่อครอบงำประชาชน ทั้งสองพฤติการณ์ล้วนเป็น “การประกอบสร้างขึ้น” ทั้งสิ้น หากแต่ ต่างเป้าหมายกัน โดยอ้างถึงคำกล่าวที่ว่า “that artists use lies to tell the truth.”(ศิลปินใช้เรื่องโกหกเพื่อบอกความจริง) และ “Because you believed it, you found something true about yourself.” (เพราะคุณเชื่อเรื่องโกหกนั่น ที่สุด คุณพบความจริงภายในตัวคุณ) ประเด็นจึงไม่ได้อยู่ที่ “จริงหรือเท็จ” อีกต่อไป หากแต่อยู่ที่ “ความจริงภายในตัว” ซึ่งถ้าเราคล้อยตามความคิดที่ว่า เป็นการยากมากที่เราจะรู้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จในโลกแห่งการผลิตซ้ำ สิ่งเดียวที่เราจะรู้ได้ชัดเจนคือความจริงภายในตัวเรา และภาพยนตร์ได้สะท้อนความกราดเกรี้ยวของอีวี่เป็นตัวแทนจิตใจของมนุษย์ทุกคนได้เป็นอย่างดี เงื่อนไขสำคัญที่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนนี้คือ “คิดด้วยตัวเอง” (จากห้องขัง) และ “สงบนิ่งไม่หวาดกลัว” ดังที “วี” บอกไว้ว่า “Beneath this mask there is an idea, and ideas are bulletproof.”(ภายใต้หน้ากากมีความคิด และหลายๆ ความคิดกันกระสุนได้) ประเด็นในภาพยนตร์ คือ เพื่อที่จะคิดเองได้นั้น (เสรีภาพ) จำเป็นต้องผ่านการตระหนักรู้ว่าเราเป็นผู้ถูกคุมขัง เป็นผู้ถูกกระทำ จนก้าวข้ามอารมณ์ความรู้สึกทั้งหลาย จนรู้ว่าอะไรจำเป็นกับชีวิตของเราที่สุด ไม่ใช่แค่เพียงกันเลียนแบบกันหรือเอาการตัดสินใจของคนหมู่มากมาเป็นที่ตั้งเท่านั้น
6.ภาวะย้อนแย้งของระบบคิด ความเกรี้ยวกราด และเรื่องโกหก?
        ปฏิเสธไม่ได้ว่าระบบโซเชียลเน็ตเวิร์ก (Social Network) ทำให้ข้อมูลกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และบางครั้งขาดบริบท (Context) ที่ควรจะเป็นไปโดยปริยาย ในทางปฏิบัติใครสักคนสามารถใช้เมาส์คัดลอกคำพูดเพียงประโยคเดียวของใครคนหนึ่งและนำไปตีความในทางไม่สร้างสรรค์ได้มากมาย รวมถึงการผลิตซ้ำเพื่อสื่อสารการตีความดังกล่าว ซึ่งในระบบเดียวกันนี้เอง จึงทำให้เกิดภาวะย้อนแย้งของระบบคิดอย่างสูงมากและเป็นที่ชัดเจนแล้วว่ามีผลทางจิตวิทยากับผู้ที่เสพสัญญะเหล่านั้น แน่นอนที่สุด ไม่ต่างอะไรจากการไฮด์ปาร์คเพื่อปลุกระดมประชาชนผู้กำลังอยู่ในความรู้สึกที่สับสน ให้ก่อเหตุรุนแรง ความกราดเกรี้ยวดังกล่าวเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นความไม่สำเร็จของเป้าหมายตามที่คิด และความยึดมั่นอยู่กับเรื่องโกหกหรือเรื่องจริงก็ทำบดบังปัญญาของผู้เสพสัญญะจาก “การคิดด้วยตัวเอง” เพราะที่จริง ลึกๆแล้วอาจเป็นไปได้ว่า ผู้เคลื่อนไหวมีความสับสนในตนเองอยู่ลึกๆ ว่า การแสดงออกหรือสื่อสารไปอย่างง่ายดายในที่สาธารณะนั้น เพื่อประโยชน์ของเพื่อนร่วมสังคม หรือเพื่อบอกต่อสังคมว่า ฉันยังอยู่ตรงนี้ โปรดสนใจฉัน? หรือไม่ก็เป็นเพียงแต่การร่วมกระแสในฐานะผู้บริโภคสัญญะคนหนึ่งเท่านั้น (เพื่อให้สังคมมองตนเองในทางที่ดี โดยไม่จำเป็นต้องเป็นทางที่จริง)
7.เสรีภาพในศตวรรษที่ 21 ย่อมซับซ้อนกว่านิยามในศตวรรษที่ 17
        ทั้งที่ผู้บริโภคกระตือรือร้นที่จะใช้เทคโนโลยีในการสื่อสารและรับบริการที่สะดวกสบายขึ้น ในขณะเดียวกันความรู้เกี่ยวกับพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ แม้กระทั่งเรื่องสิทธิเสรีภาพยังจำกัดวงอยู่แต่ในศตวรรษอดีต ด้วยเหตุที่ไม่ติดตามและจะติดตามในฐานะ “ลูกศิษย์ของสาขาวิชา” (Disciple of Discipline) เท่านั้น ซึ่งสำหรับหลังสมัยใหม่นั้นไม่จำเป็น เนื่องจาก ความรู้สามารถเรียบเรียงและสื่อสารออกมาแบบเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้ โครงสร้างไม่จำเป็นต้องเป็นโครงสร้างระดับมหึมาอีกต่อไป แต่เป็นอิสระต่อกันในระดับท้องถิ่นหรือหน่วยที่ย่อยไปกว่านั้นได้ แต่ในเชิงปรัชญาแล้ว ถ้าเรายังรู้จักแต่แนวคิดซึ่งอาจเหมาะสมมากๆ กับบริบทของศตวรรษนั้น แต่มีบางอย่างไม่เหมาะสมแล้วกับศตวรรษนี้ ก็อาจจะทำให้เกิดภาวะย้อนแย้งของระบบคิดดังกล่าว เพราะที่จริง วิธีการแก้ไขปัญหาที่นิยมมากหรือมักนำมาใช้เป็นตัวแบบในปัจจุบัน คือ การบูรณาการศาสตร์ ซึ่งควรจะเป็นการสร้างสรรค์การตั้งคำถามและตอบด้วยวิธีวิทยาที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ศึกษามากที่สุด ฉะนั้น เราคงหยุดอยู่ที่ ฮอบส์ (Hobbes) แล้วปวารณาตนเป็นศิษย์ของเขาแต่เพียงผู้เดียวก็คงไม่เหมาะ แม้กระทั่งจะมาหยุดที่ ฟูโกต์ (Foucault) และทำแบบเดียวกันนั้นก็คงไม่เหมาะ เพราะเป้าหมายคือการผลิตตัวแบบที่ใช้แก้ปัญหาสำหรับศตวรรษนี้ ในบริบทที่มีความซับซ้อน เชื่อมโยงที่สูงในสัดส่วนเดียวกันกับเทคโนโลยี นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ตัวแบบที่หนาแน่นด้วยความคิดแบบเก่า-ผูกขาดอำนาจหรืออนุรักษ์นิยมนับวันยิ่งบังคับใช้ไม่สำเร็จในสากลโลก เป็นต้น รัฐประหารในประเทศไทย ระบอบเผด็จการทหารของพม่า หรือแม้กระทั่งคอมมิวนิสต์ของประเทศจีน ที่จริงแม้กระทั่ง การสร้างเรื่องเสมือนจริงของอเมริกาด้วย อาจกล่าวได้ว่า วิธีเดิมๆใช้แก้ปัญหาไม่ได้ผลกับคนรุ่นใหม่อีกต่อไป
สรุป
       ปรากฏการณ์ไทยกายฟอกซ์สะท้อนให้เห็นความผิดปกติเกี่ยวกับการผลิตซ้ำของชาวไทย ซึ่งเป็นร่องรอยของความไม่รอบคอบด้านข้อมูลจนทำให้เกิดความลักลั่นย้อนแย้ง มีบางสถิติซึ่งชาวไทยเป็นผู้ครอบครองเป็นต้น จำนวนประชากรชาวไทยผู้ใช้เฟซบุ๊ก นั่นย่อมหมายถึงประสิทธิภาพในการผลิตซ้ำ บิดเบือนความหมาย และการแสดงให้เห็นถึงภาวะขาดความรู้ความเข้าใจในกระบวนของเทคโนโลยีอีกด้วย (ดังที่เป็นมาโดยตลอดในฐานะผู้บริโภคเทคโนโลยี มิใช่ผู้ประกอบสร้างเทคโนโลยี) นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมเราจึงถูกกดบังคับด้วยทุนจากผู้ปกครองหรือผู้มีอำนาจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมเราจึงไม่รู้ตนเองเลยว่ากำลังถูกกดบังคับอยู่ นั่นเพราะสายตาของเราเสพอยู่กับแต่สัญญะภายนอก และล่องลอยไปตามกระแสที่ตอบสนองปัจจัยทางจิตวิทยาของตนเอง โดยที่ไม่เคยผ่านกระบวนแบบ “อีวี่” ซึ่งจะนำไปสู่การถูกบีบบังคับให้คิดด้วยตนเอง เช่นนั้นเราก็ไม่ควรพูดถึงเสรีภาพ และเช่นนั้นก็ไม่ควรพูดว่าได้ดูและเข้าใจภาพยนตร์เรื่อง วี ฟอร์ เวนเด็ตตา จนนำมาเป็นสัญลักษณ์จะดีกว่า

เอเอสทีวีประกาศขายสติกเกอร์ "กายฟอว์กส์"


เอเอสทีวีประกาศขายสติกเกอร์ "กายฟอว์กส์"

Fri, 2013-05-31 12:16


         เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์เชิญชวนให้ประชาชนซื้อสติ๊กเกอร์หน้ากากกายฟอว์กส์ ระบุเป็นสัญลักษณ์ต่อต้าน "รัฐบาลเผด็จการทักษิณ" และประกาศให้โลกรู้ถึงการใช้อำนาจมิชอบของรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" พร้อมลงท้ายว่าสามารถหาซื้อได้ที่ร้าน 'ASTV Shop' หรือแถมฟรีใน 'ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์'

          ต่อปรากฎการณ์ที่เมื่อวันที่ 25 พ.ค. ที่ผ่านมา ผู้ใช้เว็บโซเชียลมีเดีย ได้เปลี่ยนหน้าโพรไฟล์เป็นรูป หน้ากากกายฟอว์กส์ (The Guy Fawkes mask) และโพสต์ข้อความในเพจต่างๆ พร้อมกันว่า "ขณะนี้กองทัพประชาชนได้ลุกขึ้นมาแล้ว ข้าขอประกาศว่า ข้าจะล้มล้างระบอบทักษิณให้หมดสิ้นจากแผ่นดินไทย" โดยที่อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ระบุว่าปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะการปิดพื้นที่การเมืองนั้น [อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง]


       ภาพที่ปรากฏในพาดหัวข่าว "รวมปฏิบัติการ 'หน้ากาก V' !! ใน ASTVผู้จัดการออนไลน์ เชิญชวนประชาชนให้หาซื้อสติกเกอร์มาติดเพื่อเป็นสัญลักษณ์ต่อต้าน "รัฐบาลเผด็จการภายใต้ระบอบทักษิณ"

         ล่าสุดวันนี้ (31 พ.ค.) ASTVผู้จัดการออนไลน์ ได้รายงานข่าวโดยพาดหัวว่า ร่วมปฏิบัติการ 'หน้ากาก V' !! โดยมีข้อความว่า

        "ปฏิเสธไม่ได้ว่าปฏิบัติการ 'หน้ากากV' ที่ใช้หน้ากากขาวของ "กาย ฟอว์กส์" (Guy Fawkes) (ซึ่งมีต้นแบบมาจากภาพยนตร์เรื่อง 'V for Vendetta') อันเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อต้านผู้นำเผด็จการซึ่งกำลังกระหึ่มไปทั้งสังคมออนไลน์อยู่ในขณะนี้นั้นนับเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่รัฐบาลเพื่อไทยมิอาจมองข้าม อีกทั้งยังเป็นการประกาศให้ประชาคมโลกรับรู้ถึงพฤติกรรมการในการใช้อำนาจโดยมิชอบของรัฐบาลเพื่อไทย ภายใต้การนำของ 'น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' นายกรัฐมนตรี

         'ASTVผู้จัดการ' ขอเชิญท่านร่วมขยายเครือข่ายปฏิบัติการ 'หน้ากาก V' จากโลกไซเบอร์ สู่ท้องถนนและทุกซอกมุมในสังคม ด้วยการติด 'สติกเกอร์หน้ากากV' เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อต้านรัฐบาลเผด็จการภายใต้ระบอบทักษิณ ซึ่งเดินหน้าทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องโดยไม่ฟังเสียงประชาชน" ข้อความใน ASTVผู้จัดการออนไลน์ระบุ

          ทั้งนี้ท้ายข่าวได้เชิญชวนให้ประชาชนมาซื้อ 'สติ๊กเกอร์กายฟอว์กส์" ที่ 'ASTV Shop' บ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ โดยเริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันนี้ (31 พ.ค.) หรือซื้อ “ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์” ฉบับล่าสุดที่มีสติ๊กเกอร์แถมในเล่ม

ม.112 แจ้งจับผู้ใช้เฟซบุ๊กที่พิษณุโลก - มุกดาหาร

ขึ้นโรงพัก-ใช้ ม.112 แจ้งจับผู้ใช้เฟซบุ๊กที่พิษณุโลก - มุกดาหาร


Fri, 2013-05-31 17:35

        ใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฟ้องคนเล่นเฟซบุ๊ก 2 กรณี - รายแรก "คณะคนรักในหลวงฯ" ขึ้นโรงพักฟ้องที่พิษณุโลก อีกรายเป็น ส.ส.ประชาธิปัตย์ "สาธิต ปิตุเตชะ" ไป สน.ดุสิตฟ้องแกนนำ นปช.มุกดาหารเล่นเฟซบุ๊กหมิ่นเบื้องสูง พร้อมติงซีทีไอซีทีตั้งงบ 335 ล้านบาทจัดการความผิดคอมพิวเตอร์ แต่เว็ยหมิ่นยังอื้อ

  
          โพสต์ทูเดย์ รายงานเมื่อวันที่ 30 พ.ค. ที่ผ่านมากลุ่ม "คณะคนรักในหลวงจังหวัดพิษณุโลก" นำโดยนางแน่งน้อย อัศวกิตติกร และนายทวี ทองถัน ได้เดินทางไปยัง สภ.อ.เมืองพิษณุโลก เพื่อแจ้งความ โดยกล่าวหาว่ามีบุคคลใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งลงข้อความ-รูปภาพ เข้าข่ายผิด ม.112 ตามประมวลกฎหมายอาญา โดยขอให้ตำรวจตรวจสอบและดำเนินคดี

         ด้าน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.พิษณุโลก ได้คัดลอกและเผยแพร่ข่าวดังกล่าวลงในเฟซบุคบัญชีของเขา โดยมีผู้ใช้เฟซบุคจำนวนมากเข้าไปกดไลค์ และโพสต์สนับสนุนการกระทำของกลุ่มคนดังกล่าว


          ขณะเดียวกันวันนี้ (31 พ.ค.) เดลินิวส์ รายงานว่า นายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ เดินทางพร้อมนำเอกสารหลักฐานเข้าพบ พ.ต.อ.ภัทรภณ สนิทวงศ์ ณ.อยุธยา ผกก.สน.ดุสิต เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับนายวรินทร์ อัฐนาค คณะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้านการแก้ปัญหาความยากจน และเป็นแกนนำคนเสื้อแดง จ.มุกดาหาร โดยกล่าวหาว่ามีการโพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กผิด ม.112 ประมวลกฎหมายอาญา แต่ข้อความดังกล่าวนายสาธิตระบุว่าไม่สามารถเปิดเผยได้

           นายสาธิต กล่าวผ่านโพสต์ทูเดย์ด้วยว่า กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ตั้งงบจำนวน 335 ล้านบาท เกี่ยวกับการจัดการความผิดด้านคอมพิวเตอร์ แต่พบว่ามีคดีหมิ่นประมาทกษัตริย์ รัชทายาท กลับไม่มีทีท่าลดลง และเมื่อไปเปิดดูจำนวนความผิดก็ยังเต็มไปหมด หากเปิดในเฟซบุ๊กก็จะพบอย่างแพร่หลาย จึงอยากรู้ว่าทำไมการกระทำความผิดยังมีสูง แต่การปิดกั้นและการดำเนินคดีกลับน้อยลง ซึ่งถ้าหากเปิดตอนนี้ก็จะพบการกระทำความผิด

คุณรู้จัก "กาย ฟอว์กส์" ดีแค่ไหน ?



บก.ลายจุด ให้สัมภาษณ์DNN





รู้จักกับ "กาย ฟอว์กส์" หน่อยไหมครับ




ถูกใจหน้านี้ · วันเสาร์ 

"กาย ฟอคส์ (Guy Fawkes) ต้นฉบับ และ แบบไทยๆ"

          ความแปลกประหลาดอย่างหนึ่งของคนรักเจ้า/เกลียดทักษิณ (หรือที่หลายคนเรียก "สลิ่ม") คือ คนเหล่านี้มักจะเอาสิ่งสิ่งของความคิดจากชาติอื่นแล้วมาตีความให้เข้ากับความคิดของตัวเอง โดยไม่ได้ศึกษาหรือคำนึงถึงความหมายต้นฉบับ หรือความเป็นมาของสิ่งของความคิดนั้นๆเลย แม้บางครั้งสิ่งหรือความคิดนั้นจะตรงกันข้ามกับสิ่งที่ตนเองพยายามนำเสนอก็ตาม

          หน้ากากกาย ฟอคส์ (Guy Fawkes) เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่คนรักเจ้าชอบเอามาทำเป็นสัญลักษณ์ของตัวเองทั้งที่ต้นฉบับ กาย ฟอคส์ เป็นคนที่พยายามจะฆ่ากษัตริย์ ส่วนที่เป็นหน้ากากกาย ฟอคส์ ในเวลาต่อมาก็เอามาจากภาพยนตร์เรื่อง V For Vendetta ที่เป็นการต่อสู้กับเผด็จการที่ไม่มีใครเลือกมา สู้เพื่อเสรีภาพและความเท่าเทียม

        ซึ่งขบวนการ Anonymous เอามาเป็นสัญลักษณ์ในการประท้วงรัฐบาลหรือกฎหมายที่เป็นเผด็จการ ด้วยควาามคิดแบบอนาธิปัตไตย (Anarchy)

        แต่คนรักเจ้าไทยกลับเอามาเป็นสัญลักษณ์ในการล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ใช้วาทกรรมกษัตริย์นิยม (Royalism) หรือ ชาตินิยม (Nationalism) เพื่อคืนอำนาจให้กับชนชั้นสูงที่ไม่ได้มาจากการเลือกของประชาชน เรียกร้องการแทรกแซงของเผด็จการทหาร แถมเอามาปกป้องกฎหมายอย่าง ม.112 ที่ทำลายสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกที่ถูกประนามจากทั่วโลกอีกด้วย

        หน้ากาก กาย ฟอคส์ ของประเทศอื่นเขาสู้เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน แต่ กาย ฟอคส์ แบบไทยๆกลับต่อสู้ดึงอำนาจออกไปจากประชาชน...ย้อนแย้งสิ้นดี

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

https://www.facebook.com/notes/chotisak-onsoong/หน้ากาก-กาย-ฟอคซ์-และพวก-กษัตริย์นิยม/487665351290647

ชาวบ้านตะโกนว่า ทหารเผา ทหารเผา




      คลิปนี้ที่เพิ่งนำลงเผยแพร่ในยูทูป ภาพไม่ชัดเจนนัก โดยมีเสียงคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตะโกนว่า"ทหารเผาๆทหารเผาตึก" 

      ในคลิปมีเสียงบรรยาย(หรือกำลังโทรศัพท์อยู่)ของผู้ถ่ายคลิปว่า เป็นตึกที่กำลังก่อสร้างย่านดินแดง ทหารได้เผาเพื่อสร้างสถานการณ์ โดยมีเสียงยิงปืนออกมาเป็นระยะๆ

      อนึ่งสำหรับเหตุการณ์เพลิงไหม้ในช่วงเกิดเหตุพฤษภา 2553 ย่านดินแดงนั้น เกิดเหตุที่คอนโดฯชิวาทัยที่กำลังก่อสร้าง ย่านดินแดง และเหตุการณ์เผาตึกร้าง โดยทหารได้จับกุมเด็กชายคนหนึ่ง


********
เรื่องเกี่ยวเนื่อง จนท.CTWเบิกความกลางศาลคดีเผา เผยมีชายชุดดำคล้ายทหารพรานขว้างระเบิดในอาคาร

       เวบไซต์ประชาไท รายงานว่า เมื่อ 19 ก.ค.54 ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ห้องพิจารณาคดี 501 มีการสืบพยานโจทก์ในคดีเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ คดีหมายเลขดำที่ อ.2478/2553 ซึ่งพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ฟ้อง นาย สายชล แพบัว อายุ 28 ปีอาชีพรับจ้าง และนายพินิจ จันทร์ณรงค์ อายุ 26 ปี อาชีพรับจ้าง ในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ร่วมกันเผาทรัพย์โรงเรือนอันเป็นที่เก็บสินค้าของผู้อื่นเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย โดยมีการสืบพยานโจทก์ 3 ปาก ได้แก่ นายธีรพงษ์ เมธาพันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายก่อสร้างของห้างเซ็น , นางนงเยาว์ ฟูพรรณ เลขานุการผู้จัดการห้างเซ็น สาขาราชประสงค์ และนายชูพันธ์ อนงค์จรรยา ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายอาคารและสถานที่ ของห้างเซ็นทรัลเวิลด์

        นายชูพันธ์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายอาคารและสถานที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งเป็นพยานคนเดียวในวันนี้ที่อยู่ในที่เกิดเหตุ เบิกความว่า ในวันที่ 19 พ.ค.53 เวลาประมาณบ่ายโมงได้ประจำการอยู่ที่ลานจอดรถใต้ดินชั้นบี1 บริเวณห้องเก็บอุปกรณ์ดับเพลิง และทราบข่าวว่า แกนนำ นปช.ได้ประกาศสลายการชุมนุม เข้ามอบตัวแล้ว จากนั้นประมาณ 10 นาทีก็ได้รับแจ้งว่าฝั่งห้างเซ็นถูกไฟไหม้ จึงนำหน่วยผจญเพลิง 5 คน ไปช่วยเสริมกำลังดับไฟที่ห้างเซ็น ระหว่างทางเห็นมีการนำยางรถยนต์มาเผาบริเวณถนนราชดำริหลายจุด ทั้งยังมีการนำกระดาษมาสุมเป็นกองเล็กๆ เผาอยู่หน้าประตูห้างเซ็นทรัลเวิลด์ มีการทุบกระจกร้าน Adidas ด้วย เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุได้ไปสมทบกับทีมของทางห้างเซ็นช่วยกันดับไฟ เสร็จแล้วจึงถอนตัวออกมา จากนั้นได้รับแจ้งอีกว่า บริเวณประตูถนนพระราม 1 ถูกทุบและเผา เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุพบว่าสปริงเกอร์ทั้งหมดทำงาน กระจายน้ำในการดับไฟแล้ว แม้ตัวอาคารจะโดนตัดไฟเนื่องจากมีคำสั่ง ศอฉ.มาก่อนหน้าหลายสัปดาห์แล้วก็ตาม

        ผู้ช่วยผู้จัดการฯ เบิกความต่อว่า จากนั้นได้เห็นคนที่บุกรุกเข้ามาในห้างประมาณ 5-6 คน จึงร่วมกับ รปภ.ภายในห้างเชิญตัวออก พร้อมกำชับกับชายคนหนึ่งในนั้นว่า “ขอร้องอย่าซ้ำเติมกันเลย ทางห้างเสียหายเยอะแล้ว” ซึ่งทั้งหมดก็ยอมออกโดยดี จากนั้นเจ้าหน้าที่ของห้างได้รวมกลุ่มกันบริเวณดังกล่าวประมาณ 50 คนเพื่อเฝ้าดูสถานการณ์ ขณะเดียวกันเริ่มเห็นกลุ่มควันขนาดใหญ่ในตัวห้างเซ็น เมื่อไปดูพบเห็นคนนำถังแก๊สโยนเข้าไปในอาคาร โดยกลุ่มผู้กระทำการ 3-4 คน คนใส่หมวกไหมพรมปกปิดใบหน้า จากนั้นไม่นานมีคนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ประมาณ 40-50 คน เดินเข้ามาบริเวณหน้าประตูอีกด้านหนึ่งบางคนถือไม้ ถืออิฐ ขว้างเข้ามา บางคนยิงหนังสติ๊กเข้ามาใส่กลุ่มเจ้าหน้าที่ดับเพลิงของห้าง แต่ไม่ได้เข้ามาภายในอาคาร กระทั่งมีกลุ่มชายชุดดำ แต่งกายคล้ายทหารพรานจำนวนหนึ่งแหวกฝูงชนขึ้นมาแล้วขว้างระเบิดลูกเกลี้ยงเข้ามาภายในบริเวณที่เจ้าหน้าที่ห้างยืนอยู่ จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 8-9 คน และนำส่งโรงพยาบาลในเวลาต่อมา


              บิ๊ก CTW ย้ำแดงบริสุทธิ์ เป็นแพะรับบาปเหมือนเสื้อแดง แฉห้างถูกแก๊งอาวุธหนักเผา สอดรับปากคำรปภ.+หลักฐานภาพชุด อุบมีVDOทีเด็ด 



             สุทธิธรรม จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหารบริษัทกลุ่มเซ็นทรัล :ไม่รู้ว่าใครเผา ถ้ารู้ว่าใครเผาก็ไม่รู้อีกว่าใครสั่งเผาอีก ถามว่าเรากลัวเสื้อแดงไหม เราไม่กลัว มีความเสี่ยงเดียวกับเสื้อแดงคือหากรัฐบาลยังคุยไม่รู้เรื่อง เขาก็ถือโอกาสหา แพะรับบาป เราไม่ได้เกี่ยวกับเสื้อแดงเลย เรากับเสื้อแดงก็รักกันดี 

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ BizWeek 


หมายเหตุไทยอีนิวส์:เมื่อวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา นายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ ส.ว.ศรีสะเกษ ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามสถานการณ์บ้านเมือง วุฒิสภา ได้เชิญตัวแทนกรรมการผู้จัดการเซ็นทรัลเวิลด์ให้ข้อมูล ว่า การพยายามลอบเผาห้าง ไม่ได้เกิดขึ้นในระหว่างที่กลุ่มเสื้อแดงชุมนุม และตลอดเวลาที่มีกลุ่มผู้ชุมนุมบริเวณดังกล่าว ผู้ชุมนุมก็มีความสัมพันธ์ที่เป็นไปได้ด้วยดีกับทางห้าง มีคนกลุ่มหนึ่งพยายามเผามาแล้วหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากมีหน่วยรักษาความปลอดภัยคอยป้องกันเหตุจำนวนหลายร้อยคน

หลังจากนั้นกลุ่มคนดังกล่าว พร้อมกับถืออาวุธครบมือเข้ามาภายในเซ็นทรัลเวิลด์ จนสามารถบีบให้หน่วยรักษาความปลอดภัยยอมจำนน และสามารถเผาได้สำเร็จ

เรื่องนี้สอดคล้องกับที่นายสุทธิธรรม จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหารบริษัทกลุ่มเซ็นทรัล ให้สัมภาษณ์ไว้หลังเหตุเผาห้างไม่ถึง 2 เดือน เราจึงนำมานำเสนอให้ท่านผู้อ่านได้พิจารณาอีกครั้ง


นายสุทธิธรรม จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหารบริษัทกลุ่มเซ็นทรัล จำกัด เปิดใจกับหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ BizWeek เมื่อ 12กรกฎาคม 2553 หรือเกือบ 2 เดือนให้หลังการเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ (CTW) มีความน่าสนใจดังต่อไปนี้ 

เขาเห็นว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่า ยังไม่หนักที่สุดที่เคยเจอ เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ไฟไหม้ศูนย์การค้าเซ็นทรัลชิดลม เมื่อปลายปี 2538 ซึ่งตอนนั้นต้องถือว่า "หนักที่สุด" แล้ว

ทว่า เหตุการณ์นี้ถือว่า “ตื่นเต้นที่สุด”

“ที่บอกว่าตื่นเต้นที่สุด เพราะไม่รู้ว่าพอเกิดขึ้นแล้วจะเกิดอะไรต่อไม่รู้ว่าใครเผา ถ้ารู้ว่าใครเผาก็ไม่รู้อีกว่าใครสั่งเผาอีก อย่างเซ็นทรัลชิดลมไฟไหม้เราก็รู้ว่าไหม้เพราะอะไร ไหม้หมดเลยต้องปิดร้านไปเป็นปีเสียหายมาก แต่โอเคก็ได้เงินประกันมาพอสมควรถึงแม้จะไม่คุ้ม กับธุรกิจที่ต้องหยุดชะงัก ต้องเริ่มใหม่”


“ถามว่าเรากลัวเสื้อแดงไหม เราไม่กลัว มีความเสี่ยงเดียวกับเสื้อแดงคือหากรัฐบาลยังคุยไม่รู้เรื่อง เขาก็ถือโอกาสหา แพะรับบาป เราไม่ได้เกี่ยวกับเสื้อแดงเลย เรากับเสื้อแดงก็รักกันดี เรากับเสื้อเหลืองก็รักกันได้ เราไม่มีสีเสื้อ”
เขาว่าอย่างนั้น

เขายังเข้าใจเปรียบเปรยท่าทีของรัฐในการแก้ไขปัญหาเพลิงไหม้ที่เซ็นทรัลเวิลด์ช่วงที่ผ่านมาว่า

“เหมือนเราจ่ายภาษีให้รัฐบาลไปซื้อปืน แต่เขาไม่ซื้อปืนมาใช้กับเรา เรากลับถูกคนเอาปืนมายิง เพราะเราไม่มีไลเซ่นใช้ปืน ถ้ารัฐบาลไม่ทำ ต่อไปเราก็ต้องมีปืนแทนรัฐบาล” นั่นหมายถึง การเพิ่มดีกรีของระบบรักษาความปลอดภัย


@เบื้องหลังเหตุการณ์ที่ "ตื่นเต้นที่สุด"

      สุทธิธรรมเล่าว่า วันแรกที่กลุ่มคนเสื้อแดงเคลื่อนขบวนมาชุมนุมประท้วงที่สี่แยกราชประสงค์ เป็นวันแรกเช่นกัน ที่ผู้บริหารกลุ่มเซ็นทรัล ไหวตัวไปตั้งศูนย์บัญชาการ หรือ "วอร์รูม" นอกพื้นที่ที่เขาไม่ขอเปิดเผยสถานที่ แต่จากการสอบถามคนในวงการค้าปลีก ระบุว่า พื้นที่บริเวณเซ็นทรัล ลาดพร้าว น่าจะเป็นชัยภูมิที่เหมาะสมที่สุดแล้วที่จะตั้งเป็นศูนย์บัญชาการ เพราะอยู่ใจกลางเมือง และห่างจากจุดที่มีการชุมนุมพอสมควร

"เรามีวอร์รูมตั้งแต่เดินขบวน บอกไม่ได้เป็นความลับ วอร์รูมจะมีเจ้าหน้าที่ประจำ 24 ชั่วโมง มีผู้บริหารระดับหนึ่งประจำอยู่เพื่อประเมินสถานการณ์ก่อนรายงานตรงถึงผู้บริหารระดับสูงได้ทุกเมื่อ เช่น เหตุการณ์แบบนี้จะเปิดหรือปิดห้างกี่โมง วอร์รูมเราจะมี Message ถึงเราตลอดทุกสิบนาที หรือทุกครึ่งชั่วโมง แล้วแต่ความเคลื่อนไหว" สุทธิธรรม เล่าและว่า ตอนที่เกิดเหตุการณ์บอร์ดชุดเล็ก ชุดใหญ่ เรียกประชุมด่วนกันหมด


         เขายังบอกว่า รู้สึกตกใจเมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมย้ายมาชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์ ยิ่งเมื่อการชุมนุมเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผู้ประกอบการศูนย์การค้าขนาดใหญ่ละแวกนั้นเริ่มนั่งไม่ติด ต้องนัดรวมตัวเพื่อพูดคุยกันเป็นระยะ อาทิ สยามเซ็นเตอร์ (ชฎาทิพ จูตระกูล) สยามพารากอน (ศุภลักษณ์ อัมพุช) และ เกสร (ชาย ศรีวิกรม์) เป็นต้น

       "คุณแป๋ม (ชฎาทิพ) อยากให้ผมไปประชุมที่สยาม ผมก็บอกว่า ไม่มีใครอยากไป เสี่ยง ใกล้ไป ก็บอกว่าประชุมที่ลาดพร้าวดีที่สุด ก็ประชุมกันหลายครั้งหลายครา ประชุมว่าเราต้องทำอะไรเหมือนๆ กัน และพอเลิกชุมนุมแล้วจะเป็นอย่างไร ต้องช่วยพนักงาน ช่วยผู้ที่เกิดปัญหาอย่างไร

       เราไม่เคยคิดว่าจะมีการเผา เพียงคิดกลัวว่าจะมีคนบุกเข้าไปขโมยของ บางคนก็คิดว่า เดี๋ยวจะเลิกๆ ชุมนุม แล้ว เราเตรียมตัวกวาดถนน กวาดบ้าน ก็ไม่เลิกอีกแล้ว"

สุทธิธรรม ยังเล่าถึง วินาทีที่เห็นห้างสรรพสินค้าเซนถูกเผาว่า..

        "สะเทือนใจ ทุกคนยืนน้ำตาปริบ ร้องไห้ไปหลายคน ก็เห็นแล้วตกใจ จริงๆ เป็นเหตุสุดวิสัย ทำใจว่าเราต้องสู้ต่อไป เสียหายจุดนี้ไม่เท่ากับเสียหายทั้งกลุ่ม แต่ก็ไม่ใช่จิ๊บจ๊อย ก็พอสมควร แต่พอถอยหลังแล้วต้องกลับมาสู้ต่อ เราสูญเสียลูกค้าให้คนอื่นไป เราเรียกกลับมาอย่างไร"

        เขาเห็นว่า วงเงินประกันที่ทำไว้ยังไงก็ “ไม่ครอบคลุม” ความเสียหายที่เกิดขึ้น 

       “ยังไงก็ไม่มีทาง Cover เพราะทำประกันไว้น้อยมาก คร่าวๆ เรารู้อยู่แล้วว่าไม่พอ”


*********


          มติชนออนไลน์รายงานข่าวว่า นายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ ส.ว.ศรีสะเกษ ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามสถานการณ์บ้านเมือง วุฒิสภา กล่าวถึงกรณีที่ 1 ในข้อกล่าวหาถอดถอนนายกรัฐมนตรีของ ส.ส.ฝ่ายค้าน ระบุเรื่องการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ในการป้องกันและระงับเหตุวางเพลิงเซ็นทรัลเวิลด์ ราชประสงค์ ว่า ได้เชิญตัวแทนกรรมการผู้จัดการเซ็นทรัลเวิลด์ให้ข้อมูลกับคณะกรรมการ ได้รับทราบว่า มีกลุ่มคนหนึ่งพยายามเผาเซ็นทรัลเวิลด์มาแล้วหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากมีหน่วยรักษาความปลอดภัยคอยป้องกันเหตุจำนวนหลายร้อยคน 

         หลังจากนั้นกลุ่มคนดังกล่าว ไม่ทราบว่าเป็นกลุ่มไหน ได้เพิ่มจำนวนคนมากขึ้น พร้อมกับถืออาวุธครบมือเข้ามาภายในเซ็นทรัลเวิลด์ จนสามารถบีบให้หน่วยรักษาความปลอดภัยยอมจำนน และสามารถเผาได้สำเร็จ

        "ตัวแทนกรรมการผู้จัดการเซ็นทรัลเวิลด์ ให้ข้อมูลกับเราว่า การพยายามลอบวางเพลิง ไม่ได้เกิดขึ้นในระหว่างที่กลุ่มเสื้อแดงชุมนุม แต่เกิดขึ้นหลังจากที่แกนนำกลุ่มเสื้อแดงเข้ามอบตัวแล้ว และตลอดเวลาที่มีกลุ่มผู้ชุมนุมบริเวณดังกล่าว ผู้ชุมนุมก็มีความสัมพันธ์ที่เป็นไปได้ด้วยดีกับทางห้าง โดยทางห้างได้อำนวยความสะดวกให้ผู้ชุมนุมเข้าห้องน้ำด้วย นอกจากนี้ ตัวแทนของห้างยังระบุว่า มีคลิปวีดีโอที่บันทึกภาพของกลุ่มคนที่วางเพลิงไว้ด้วย แต่จนถึงขณะนี้ทางห้างยังไม่ได้ส่งมาให้ทางคณะกรรมการ" นายจิตติพจน์กล่าว

        นายจิตติพจน์ กล่าวต่อว่า การประชุมคณะกรรมการฯ วันที่ 10 มีนาคม ทางคณะกรรมการฯ เชิญเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) เข้าชี้แจงถึงความคืบหน้าของคดีกลุ่มคนเสื้อแดง รวมถึงจะเชิญนางธิดา ถาวรเศรษฐ แกนนำกลุ่มนปช. ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มนปช. ว่าต่อจากนี้จะมีการเคลื่อนไหวอย่างไรต่อไป

ก่อนหน้านี้หนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับวันที่ 8 ธันวาคม 2553 ได้ไปทำข่าวสอบถามเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของห้างฯถึงเหตุการณ์ข้อเท็จจริงในวันนั้นว่าเกิดอะไรขึ้นแน่?..

- รปภ.เซ็นทรัลเวิลด์แฉวันเผา

         ผู้สื่อข่าวได้ไปที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ถ.ราชดำริ ภายหลังจากมีภาพเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553 ที่แยกราชประสงค์ ภายในห้างเซ็นทรัลเวิลด์ แพร่ในเฟซบุ๊ก ช่วงที่มีศอฉ.เข้าเคลียร์พื้นที่ภายในห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ก่อนเกิดไฟไหม้ขึ้น ทั้งที่ศอฉ. เข้าไปในพื้นที่แล้ว เพื่อติดตามสอบถามเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) ถึงเหตุการณ์ดังกล่าว

         นายเอ (นามสมมติ) กล่าวว่าตนเข้าปฏิบัติหน้าที่ในช่วงเช้า สังกัดบริษัท อาร์ทีเอสการ์ด จำกัด ซึ่งห้างเซ็นทรัลเวิลด์จะจ้างบริษัทรักษาความปลอดภัยสองแห่ง ดูแลพื้นที่ โดยมีบริษัท อาร์ทีเอสการ์ด จำกัด ดูแลพื้นที่ด้านนอก ลานจอดรถ และรอบห้างทั้งหมด ส่วนบริษัท จีโฟร์เอส การ์ด จำกัด ดูแลเฉพาะส่วนภายในอาคารทั้งหมด 

        ในเวลาดังกล่าวตั้งแต่ช่วงเช้า ตนได้ปฏิบัติหน้าที่อยู่ด้านหลังห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ช่วงเช้าก็ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงอะไร แต่หลังจากเวลา 13.00 น. ได้ทราบข่าวว่าได้มีเจ้าหน้าที่เคลื่อนที่นำกำลังมาบริเวณถึงหน้าถนน บริเวณสยามพารากอน จากนั้นก็มีเสียงปืนและเสียงระเบิดดังขึ้นเป็นระยะ ตนจึงให้รปภ.รอบบริเวณห้างลงไปอยู่ด้านล่างเพื่อความปลอดภัย โดยปิดล็อกประตูทางเข้าออกห้างทั้งหมด จนกระทั่ง เวลา 16.30 น. ได้มีกลุ่มทหารพร้อมอาวุธปืนบุกเข้ามาเคลียร์ในพื้นที่ห้างสั่งให้นอนหมอบกับพื้นและสั่งให้รปภ.ทุกคนติดบัตร ก่อนปล่อยตัวออกไปจากพื้นที่ ซึ่งมีรปภ.บางคนไม่มีบัตรก็ไม่สามารถออกจากพื้นที่ได้ถูกควบคุมตัวแยกไว้ 

- ถูกทหารคุมตัวออกจากห้าง

         นายเวียน (นามสมมติ) กล่าวว่า อยู่สังกัดรปภ.บริษัท อาร์ทีเอสการ์ด ช่วงเกิดเหตุปฏิบัติหน้าที่อยู่ด้านห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ถ.ราชดำริ ตนอยู่ประตูทางเข้าออกห้างช่วงเช้าไม่มีเหตุการณ์อะไร จนมาช่วงบ่ายสังเกตเห็นกลุ่มคนเสื้อแดงได้วิ่งแตกฮือกระจัดกระจายหนี เนื่องจากช่วงนั้นเริ่มมีเสียงระเบิดและปืนดังขึ้น ตนได้รับแจ้งทางวิทยุจากหัวหน้าให้ปิดประตูทางเข้าออกห้าง และให้หลบลงมาอยู่ด้านล่าง หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงปืน เสียงระเบิด เป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่อง โดยไม่กล้าออกมาดูด้านบนว่ามีเหุตการณ์อะไรเกิดขึ้น 

          จนเวลา 17.00 น. จึงออกจากพื้นที่ได้ โดยมีทหารมาควบคุมพื้นที่ห้างและสั่งให้ทุกคนติดบัตร จึงออกจากพื้นที่ได้ ส่วนภายในห้างตอนนั้นไม่มีคนเสื้อแดงหรือประชาชนหลบอยู่ในห้างแต่อย่างใด และยังไม่มีไฟไหม้

         ส่วนนายเทียน (นามสมมติ) รปภ.จีไฟร์เอส การ์ด กล่าวว่าช่วงเช้าตนปฏิบัติหน้าที่อยู่ชั้น 6 ของห้างเซ็นทรัลเวิลด์ โดยมองออกทางกระจกหน้าห้างสังเกตเห็นกลุ่มคนเสื้อแดงวิ่งหนีกันอลหม่าน และมีเสียงปืน เสียงระบิดดัง และได้รับคำสั่งจากหัวหน้าเช่นกันแจ้งให้ลงมาอยู่ข้างล่างจนเวลา 17.00 น. จึงออกจากพื้นที่ได้ 

        และนายพง(นามสมมติ) รปภ.บริษัทจีไฟร์เอสการ์ด กล่าวเช่นกันว่าตนอยู่ชั้น 1 ก็ได้รับคำสั่งจากหัวหน้าแจ้งให้ปิดประตูห้าง จากนั้นได้ยินเสียงปืนเสียงระเบิดดังถี่ขึ้นตลอด และต้องหลบลงมาอยู่ชั้นใต้ดินจนเวลา 16.00 น.ถึงออกจากพื้นที่เช่นกัน

*******
ภาพชุดที่เผยแพร่ทางเฟซบุ๊ค

          รูปที่ 1 วันที่ 19 พ.ค. 53 หลังเสื้อแดงสลายการชุมนุมราชประสงค์ ทหารคุมพื้นที่ได้หมด ในเวลา 14.26 มีคนเดินเข้ามาในห้างฯ (เป็นเจ้าของร้านค้าในเวิร์ลเทรด มาดูร้าน)



รูปที่ 2 คนที่เดินเข้ามาโดนยิงสกัดที่ขา



รูปที่ 3 มีเพื่อนเข้ามาช่วยคนโดนยิงเจ็บออกไป



รูปที่4 ขณะที่คนที่ยืนดูอยู่ก็โดนยิงไล่


รูปที่5 อยู่ข้างในไม่ได้ โดนยิงไล่ ต้องรีบออกมา


รูปที่ 6 โดนยิงด้วยลูกซองเม็ดเล็ก ไม่เจตนาฆ่า แต่ไล่ให้ออกไปจากห้าง


รูปที่7-8 ส่วนข้างนอกก็มีการยิงสกัด เพื่อไม่ให้รปภ.เข้าไปรักษาความปลอดภัยในห้างได้





รูปที่ 8เอาทหาร ศอฉ.ตรึงกำลังรอบห้างฯ



รูปที่ 9-ในที่สุดรปภ.และพนักงานต้องเดินทางออกอย่างเดียว



จะสังเกตเห็นว่ามีทหารศอฉ.ปะปนอยู่กับพนักงานห้าง(เหน็บวิทยุสื่อสารสีแดง)


รูปที่10-มียิงออกมาข้างนอก


รูปที่11 -เห็นคนยิงบนสถานีรถไฟฟ้า ทหารกระหรี่แน่ๆ ที่ยิงประชาชนได้



รูป12 -เมื่อเคลียร์หมด คนในให้ออก คนนอกห้ามเข้าแล้วก็ เผา!


รูป13-ศอฉ.ควบคุมพื้นที่ได้หมด ในระหว่างนั้น




          รูปที่ 14-16-หลังเหตุการณ์เพลิงไหม้ห้าง ทหารตำรวจได้เข้าไปตรวจสอบพื้นที่ในวันที่ 21 พ.ค.(ข้อสังเกตคือพวกเหน็บวิทยุสื่อสารสีแดง แบบเดียวกับตอนไล่คนออกจากห้างก่อนเผา)







รูปที่17-พบศพสุดท้าย ตายเนื่องจากขาดอากาศหายใจ
รูปที่ 18เป็นนักศึกษาจากราษีไศล ศรีสะเกษ

****


          ถวายพระพร-นายอนันต์ เกษเกษมสุข กรรมการผู้จัดการ พร้อมผู้บริหาร บริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพานดอกไม้หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และ ลงนามถวายพระพรให้ทรงหายจากพระอาการประชวร ณ อาคาร 100 ปี สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี โรงพยาบาลศิริราช เมื่อเร็วๆนี้ (ภาพข่าว:RYT9)

          เซ็นทรัลเวิลด์ส่อแววแห้วเคลมประกัน 3 หมื่นล้าน "เทเวศประกันภัย"บริษัทที่รับทำประกันชี้ฝรั่งที่เป็นบริษัทรับประกันภัยต่ออ้างเข้าข่ายก่อการร้าย แนะหากอยากได้ให้ฟ้องร้องศาลตัดสิน กินเวลานาน5-7ปี แต่ยินดีจ่ายในส่วนประกันภัยก่อการร้าย3.3พันล้าน แต่เสียหายจริงอ้างไม่เกิน2พันล้านจะจ่ายปีหน้า 

           มติชนออนไลน์ รายงานว่า กรณีการชุมนุมม็อบเสื้อแดงเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดเหตุเพลิงไหม้ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งมีบริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน (Industrial All Risk : IAR) ให้กับบริษัทเซ็นทรัลพัฒนา ผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ทุนประกันเกือบ 3 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นพื้นที่ศูนย์การค้าเซ็นเวิลด์ทุนประกัน 1.3 หมื่นล้านบาท และรับประกันก่อการร้ายกับห้างสรรพสินค้าเซนมูลค่า 3.3 พันล้านบาท 

         ขณะที่บริษัท ไทยเศรษฐกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) รับประกันภัยก่อการร้าย ทุนประกัน 3.5 พันล้านบาท



        นาย อนันต์ เกษเกษมสุข กรรมการผู้จัดการ เทเวศประกันภัย กล่าวว่า ล่าสุด บริษัทรับประกันภัยต่อต่างประเทศ (รีอินชัวเรอส์) มีจุดยืนว่า ความเสียหายของเซ็นทรัลเวิลด์ เกิดจากภัยก่อการร้าย ดังนั้น เซ็นทรัลอาจจะไม่ได้รับความคุ้มครองจากการทำประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน เนื่องจากกรมธรรม์ประเภทนี้จะคุ้มครองภัยที่เกิดจากการโจรกรรม หรือจลาจล และสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินผู้เอาประกันภัย รวมถึงความสูญเสียจากการหยุดชะงักของธุรกิจ (Business Interruption) จนทำให้ผู้เอาประกันภัยต้องสูญเสียรายได้ แต่ไม่รวมภัยจากการก่อการร้าย ซึ่งมีความรุนแรงในระดับที่สูงกว่า

         "ที่ บริษัทคาดว่าจะไม่คุ้มครอง เพราะรีอินชัวเรอส์เข้ามาพิสูจน์หลักฐานต่างๆ อย่างละเอียดแล้วพบว่าเข้าข่ายก่อการร้ายจริงๆ โดยดูจากบริบทรอบข้าง ไม่ได้ยึดคำประกาศของรัฐบาลเป็นหลัก นอกจากนี้ ตามเงื่อนไขของประกัน IAR จะมีหมายเหตุว่า ไม่คุ้มครองภัยที่เกิดจากการก่อการร้าย เพราะเป็นภัยเฉพาะเจาะจง โดยยึดจากตัวอย่างเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน 2544 หรือ 9/11 ในสหรัฐอเมริกา เป็นต้นมา และเหตุการณ์นี้เขาก็สรุปว่ารุนเเรงกว่าจลาจล"นายอนันต์กล่าว

        นายอนันต์กล่าวว่า หากเซ็นทรัลพัฒนาเห็นว่า น่าจะมีข้อสรุปที่ดีกว่า และยังรู้สึกสงสัยกับจุดยืนของรีอินชัวเรอส์ ประกอบกับเห็นว่าค่าเสียหายที่จะได้รับจากการประกันก่อการร้ายต่ำกว่าค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าน่าจะไม่ต่ำกว่า 5-6 พันล้านบาท เซ็นทรัลก็อาจนำเรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการศาลได้ โดยให้ศาลฎีกาเป็นผู้พิจารณาคดีความ ซึ่งอาจใช้เวลา 5-7 ปี ทั้งนี้ เห็นว่าทางรีอินชัวเรอส์น่าจะพร้อมชี้แจงกับผลสรุปดังกล่าว

        นายอนันต์กล่าวว่า ในส่วนของห้างสรรพสินค้าเซนที่ทำประกันก่อการร้ายมูลค่า 3.3 พันล้านบาท ซึ่งผลจากการประเมินความเสียหายคืบหน้าไปกว่า 95% ในเบื้องต้นพบว่า มูลค่าความเสียหายกว่า 2 พันล้านบาท ซึ่งยังไม่เกินทุนประกัน โดยบริษัทจะรอข้อสรุปที่เหลือก่อนจ่ายค่าสินไหมทดแทน ซึ่งคาดว่าจะสามารถจ่ายได้ไม่เกินไตรมาส 1 ปีหน้า

เวบไซต์ของเทเวศประกันภัยเปิดเผยว่า กลุ่มผู้ถือหุ้น ของบริษัทประกอบด้วย

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช 27,600 หุ้น คิดเป็น 0.23%
สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ 11,787,261 หุ้น คิดเป็น 98.227%
ผู้ถือหุ้นอื่นๆ 185,139 หุ้น คิดเป็น 1.543%

รวม 12,000,000 หุ้น คิดเป็น 100.00%


            เทเวศประกันภัยระบุไว้ในเวบไซต์ว่า เป็นบริษัทของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ฯ