วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ประชาธิปัตย์ คือ ศัตรูข้าว


26 มิถุนายน 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงดึกที่ผ่านมา นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัวhttps://www.facebook.com/oakpanthongtae โดยมีข้อความดังนี้



ศัตรูข้าว ย่อมต้องเป็น ศัตรูของชาวนา ด้วยครับ

เดิมศัตรูของชาวนาที่สำคัญๆมีเพียง เพลี้ยกระโดด และหอยเชอรี่ ที่คอยมากัดกินต้นข้าว ทำให้ผลผลิตของชาวนาลดลง ปัจจุบันผมไม่ทราบว่าจะต้องเพิ่ม "พรรคประชาธิปัตย์" เข้าไปเป็นศัตรูตัวสำคัญ ที่ทำให้รายได้ของชาวนาลดลง ด้วยหรือเปล่า??

หลายเดือนที่ผ่านมา "พรรคประชาธิปัตย์" ตะบี้ตะบันค้าน โครงการรับจำนำข้าว ว่าขาดทุนหลายแสนล้านบาท เดินสายพูดซ้ำๆแบบนี้ ทุกที่ทุกจังหวัด หาเสียงเลือกตั้งซ่อมเขตดอนเมือง ก็ยังคงวนเวียนพูดแต่เรื่องนี้ ทุกเมื่อเชื่อวัน

ประชาชนทั่วไป ไม่ทราบข้อเท็จจริง ไม่ทราบว่าที่โจมตีว่ารัฐบาล"ขาดทุน"นั้น ที่แท้จริงเป็นเรื่องของการใช้งบประมาณ เพื่อช่วยเหลือชาวนาที่ขายข้าวไม่มีกำไร พอฟังเรื่องโกหก ใส่สีตีไข่บ่อยๆเข้า ก็ชักจะเริ่มเชื่อว่ารัฐบาลบริหารผิดพลาด เริ่มเกิดกระแสว่ารัฐบาลไม่มีวินัยการเงินการคลัง ในขณะที่รัฐบาลเองก็มัวแต่ไปเถียงกับเขาว่า ขาดทุนไม่กี่หมื่นล้านเอง ไม่ถึง2แสน6หมื่นล้านเสียหน่อย จนลืมชี้แจงกับพี่น้องประชาชนไปว่า "ไม่ใช่รัฐบาลขาดทุน แต่เป็นเงินช่วยเหลือชาวนา ช่วยเหลือมาก ชาวนาก็ได้มาก ช่วยเหลือน้อย ชาวนาก็ได้น้อย" 

รัฐบาลต้องชี้แจงประชาชนทั่วไปให้เข้าใจ แลัวก็ต้องชี้แจงชาวนาให้เข้าใจด้วยครับ เราทำนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อชาวนา ควรอธิบายไปเลยให้ชัดเจนครับว่า ถ้าฝ่ายค้านไม่ออกมาตีรัฐบาลอย่างโง้นอย่างงี้ ป่านนี้รัฐบาลก็ยังคงรับจำนำที่15,000 บาทอยู่ครับ ไม่เห็นมีปัญหาอะไร แต่พอมาโจมตีกันจนรัฐบาลด่างพร้อยแบบนี้ ก็จำเป็นต้องปรับลดราคาลงมากันบ้าง 

การช่วยเหลือชาวนานั้น" คนไทยทั้งประเทศเห็นด้วย"ครับ มีเพียง2จุดเท่านั้นที่ทุกคนเป็นห่วงก็คือ

1. จุดสำคัญของเรื่องการจำนำข้าวนั้น อยู่ที่ว่า "จำนวนเงินเท่าไหร่ ที่ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าเหมาะสม ที่รัฐควรจะจ่ายเพื่อช่วยเหลือชาวนา" ถ้ายอดเงินรวมสูงเกินไปจำเป็นต้องปรับลด ก็ต้องอธิบายให้ชาวนาและพี่น้องประชาชนเข้าใจ ถ้าน้อยเกินไปไม่พอเยียวยาให้กับพี่น้องชาวนา ก็ต้องเพิ่มงบประมาณ

2. จุดที่รัฐบาลต้องระวัง โดยเฉพาะ "อาปู" ต้องแสดงภาวะผู้นำที่เด็ดขาดก็คือ อย่าปล่อยให้ คนจำพวก เพลี้ยกระโดด, หอยเชอรี่ มากัดกินงบประมาณที่รัฐจัดสรรมาเพื่อช่วยเหลือชาวนาเป็นอันขาด จัดตั้งทีมตรวจสอบเอาแบบรัดกุมเลยครับ การหาผลประโยชน์จากคนยากคนจน เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ โครงการใหญ่ใช้งบประมาณมากขนาดนี้ หากมีการรั่วไหลต้องจับให้ได้ และต้องจัดการลงโทษขั้นเด็ดขาดเลยครับ

ถ้ารัฐบาลทำใน2ข้อนี้ได้ รับรองผ่านฉลุยครับ เรื่องจำนำข้าวประเด็นหลักๆ ก็มีเพียงเท่านี้ ควรอธิบายกันให้ชัดเจน เสร็จแล้วจะได้เอาเวลาไปทำอย่างอื่น นโยบายรัฐบาลนี้ดีอยู่แล้ว อย่าปล่อยให้ฝ่ายค้านมาตีกินฟรีๆ เสียคะแนนนิยมไปเปล่าๆแบบนี้ 

พี่ๆชาวนาน่าจะเห็นใจ และอยู่ฝั่งเดียวกันกับรัฐบาลครับ ไม่เคยมีรัฐบาลไหนที่มีนโยบายดีๆ ให้กับพี่น้องชาวนามากขนาดนี้ พรรคฯไหนทีี่ทำประโยชน์ให้ พี่น้องชาวนาก็ควรสนับสนุน ส่วนใครที่ขัดขวางนโยบายที่เป็นประโยชน์ ก็ควรถูกชาวนาด่า จะได้เลิกตีกิน เลิกพูดเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่นเสียที ถ้าผมเป็นชาวนาผมจะไปประท้วงที่พรรคประชาธิปัตย์นู่นเลยครับ มีอย่างที่ไหนปลูกข้าวให้กินมาทั้งชีวิต พอจะลืมตาอ้าปากได้ กลับมาค้านกันแบบนี้ ไม่เห็นใจกันเล้ยย...ปั๊ดโธ่!!

รบกับเพลี้ยกระโดด หอยเชอรี่ ผลผลิตลดลง ชาวนาก็เหนื่อยมากพอแล้วครับ
มาเจอขบวนการ สกัดรายได้ชาวนา กันแบบนี้เข้าไปอีก ชาวนาไทยเราคงต้องลำบากกันไปอีกนาน

โจมตีรัฐบาลเพื่อหาคะแนนทางการเมือง แบบที่ชาวไร่ชาวนาไม่ต้องเดือดร้อนไปด้วย ทำเป็นป่ะครับ "พรรคประชาธิปัตย์"

ดีเอสไอ สั่งฟ้อง “มาร์ค-เทือก” ‘ฐานฆ่า-พยายามฆ่า’ ส่งต่ออัยกาi




วันที่ 26 มิถุนายน 2556 (go6TV) -  พนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ นำสำนวนการสอบสวน ในคดีการเสียชีวิตของ นายพัน คำกอง ด.ช.คุณากร ศรีสุวรรณ และการบาดเจ็บสาหัสของ นายสมร ไหมทอง แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการณ์แห่งชาติ หรือ นปช. ในระหว่างการชุมนุมทางการเมือง เมื่อปี 2553 จากการกระทำของเจ้าหน้าที่ทหารภายใต้คำสั่งของ ศอฉ. พร้อมนัดหมาย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตผู้อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉูกเฉิน หรือ ศอฉ. ผู้ต้องหาในคดีนี้ ในฐานะเป็นผู้กำหนดนโยบายและตัดสินใจในการออกคำสั่ง ส่งมอบให้กับ พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ เพื่อให้มีความเห็นทางคดี เนื่องจาก การกระทำของ นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เข้าลักษณะเป็นความผิดอาญา ฐานร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าและพยายามฆ่าคนตาย โดยเจตนาเล็งเห็นผล

รู้ทันหน้ากากขาว

รายงานพิเศษ รู้ทันหน้ากากขาว




การพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับ ถึงพฤติกรรมการใช้หน้ากากขาวปิดบังโฉมหน้าที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้ ก่อนลงมือปล้นร้านเซฟเว่น อีเลฟเว่น ย่านดอนเมือง  ถือเป็นลางร้ายของการใช้หน้ากากขาวเป็นสัญลักษณ์ของการล้มล้างรัฐบาลอย่างแท้จริง

เพราะหากเป็นมวลชนทั่วไป ก็คงไม่มีใครเอาหน้ากากคนตาย สัญลักษณ์การล้มเจ้าในอังกฤษ มาปิดบังใบหน้าที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้ เพียงเพื่อจะเรียกร้องความสนใจจากสื่อมวลชน
ซึ่งจะว่าไปแล้ว คนส่วนใหญ่ของประเทศต่างรู้ดีว่า โฉมหน้าที่แท้จริงภายใต้หน้ากากขาว ก็คือกลุ่มคนหน้าเดิม ที่ถูกกลุ่มนายสนธิ ลิ้มทองกุล ใช้ ASTV ล้างสมองให้เกลียดชังพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร อย่างไร้สติ ตั้งแต่ก่อนการรัฐประหาร เมื่อปี 2549

และผลจากการถูกล้างสมองครั้งนั้น ทำให้คนกลุ่มนี้ไม่ต่างอะไรจากหุ่นยนต์ และได้ใช้ความพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า ในการล้มล้างทุกรัฐบาล ที่อยู่ฝ่ายพันตำรวจโททักษิณ ขณะเดียวกัน ก็คอยทำหน้าที่ปกป้องรัฐบาลนายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ รวมทั้งองค์กรอิสระ  และ รัฐธรรมนูญปี 50 ที่กำเนิดจากการรัฐประหาร

ซึ่งจะเห็นได้ว่า ไม่ว่ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์จะสร้างความเสียหายใหญ่หลวงแค่ไหนให้กับประเทศ เช่น ขายสินทรัพย์ ปรส.ขาดทุนกว่า 6 แสนล้านบาท / ทุจริตโครงการไทยเข้มแข็ง- ถนนปลอดฝุ่น-รถเมล์ NGV-  ซื้อครุภัณฑ์ผิดวัตถุประสงค์- สร้างโรงพักร้าง  หรือ เทกระจาดกว่าแสนล้านในการประชุม ครม.นัดสุดท้าย โดยไม่มีการตรวจสอบ  ฯลฯ แต่คนกลุ่มนี้กลับมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาและสามารถเข้าใจได้

ต่างกับรัฐบาลฝ่ายพ.ต.ท.ทักษิณ ที่แม้จะผิดพลาดเพียงเล็กน้อย แต่คนกลุ่มนี้ก็จะมองว่าเป็นความผิดใหญ่หลวง ให้อภัยไม่ได้  ต้องขับไล่สถานเดียว

โดยในช่วงแรก ๆ พวกเขาได้ใช้เสื้อเหลืองเป็นสัญลักษณ์ เพื่อให้คนหลงเชื่อว่า  การล้มล้างรัฐบาลพันตำรวจโททักษิณคือการปกป้องสถาบัน

แต่พอสังคมเริ่มรู้ความจริงว่า ไม่มีใครคิดล้มสถาบัน นอกจากเครือข่ายเสื้อเหลืองเอง ที่ดึงสถาบันมาเป็นเครื่องมือ พวกเขาก็เปลี่ยนสัญลักษณ์จากการใช้เสื้อเหลืองมาเป็นเสื้อหลากสี หรือ ม๊อบสลิ่มทันที
โดยได้แสดงพลังล้มล้างรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาแล้ว เมื่อครั้งชุมนุมแช่แข็งประเทศไทย ที่สนามม้านางเลิ้ง แต่ด้วยพลังที่ทดถอย  ทำให้พวกเขาระดมพลได้เพียง 10,000 คน ก่อนจะสลายตัวไป และนั่นก็น่าจะเป็นตัวเลขที่แท้จริงของกลุ่มต่อต้านรัฐบาล

แม้ม๊อบสนามม้าจะล้มเหลว  แต่ก็ยังไม่ละความพยายาม  โดยคราวนี้พวกเขามาในชุดผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย หรือ ผรท.ตัวปลอม  เพื่อให้สังคมรู้สึกว่ามีคนกลายกลุ่มร่วมต่อต้าน  

แต่การนำชุด ผรท.ตัวปลอมมาสวมใส่ ก็ยิ่งสร้างความขบขัน รวมทั้งสร้างความเคลือบแคลงให้กับสังคม เนื่องจากขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงกับจุดยืนของ ผรท.ตัวจริง

แน่นอนว่า เมื่อมุก ผรท.ตัวปลอมขายไม่ออก พวกเขาก็จำเป็นที่จะต้องหาของเล่นใหม่มาดึงดูดสื่อมวลชนอีกครั้ง

โดยได้งัดเอาวิธีที่คนไทยคาดไม่ถึง นั่นก็คือการใช้หน้ากากขาว สัญลักษณ์การล้มเจ้ามาปิดบังใบหน้าตัวเองเอาไว้ เพื่อไม่ให้รู้ว่า แท้ที่จริงก็คือคนเสื้อเหลืองกลุ่มเดิมนั่นเอง

แต่ด้วยนิสัยคนไทย ที่ไม่ชอบการใส่หน้ากากเข้าหากัน เพราะมันหมายถึงการซ่อนเร้น หลอกลวง หรือ ต้มตุ๋น ซึ่งคล้ายกับพวก 18 มงกุฎ หรือ โจรมิจฉาชีพ ที่มักปกปิดใบหน้าของตัวเอง ก่อนลงมือก่อเหตุร้าย
จึงทำให้สังคมเริ่มตั้งคำถามถึงจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของกลุ่มหน้ากากขาว ว่าต้องการสิ่งใดกันแน่
เพราะหากเป็นการเคลื่อนไหวปกติ  ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องใช้ใบหน้าคนตายมาปิดใบหน้าตัวเองเอาไว้
และนั่นคือความผิดปกติอย่างยิ่งของกลุ่มต่อต้านรัฐบาล ที่นับวันก็จะยิ่งถูกตั้งคำถาม หรือ ถูกต่อต้านจากสังคม

เพราะแค่การใช้หน้ากากขาวมาเป็นสัญลักษณ์เพียง 3 ครั้ง ก็เริ่มมีการกระทบกระทั่งกับประชาชนทั่วไป ที่สัญจรบนถนน  โดยหน้ากากขาวบางรายถึงขนาดเตรียมกระบองไว้ทำร้ายผู้ที่เห็นต่าง
จนกระทั่งเกิดเหตุคนร้ายใส่หน้ากากขาวปล้นร้าน 7-11 ย่านดอนเมือง โดยไม่เกรงกลัวว่าจะถูกจับตัวได้ เพราะมีหน้ากากปิดบังใบหน้าเอาไว้

ขณะเดียวกัน ก็เริ่มมีหน้ากากขาวอีกกลุ่มหนึ่ง ออกมาชูป้ายสนับสนุนระบอบทักษิณ หรือ เรียกร้องให้นำ พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้าน โดยดำเนินการทุกอย่างเหมือนกลุ่มหน้ากากขาว เพียงแต่ข้อเรียกร้องต่างกัน
จึงเป็นไปได้ว่า  หากกลุ่มต่อต้านรัฐบาล ยังไม่ยุติการใช้หน้ากากขาวเป็นสัญลักษณ์ ก็จะมีกลุ่มหน้ากากขาวเกิดขึ้นอีกมากมาย เพื่อเลียนแบบ หรือ เสียดสี ซึ่งนอกจากจะไม่เกิดผลดีต่อการเมืองในระบอบประชาธิปไตยแล้ว

ยังมีโอกาสเกิดเหตุแทรกซ้อนได้ง่าย  เพราะการชุมนุมที่ใช้หน้ากากปิดบังใบหน้า ทำให้ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร และไม่รู้ว่าใครเป็นแกนนำ หากถูกยั่วยุให้เกิดการปะทะกับกลุ่มที่เห็นต่าง ก็อาจจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้

และที่เลวร้ายกว่านั้น หากมีคนใช้หน้ากากขาวปิดบังโฉมหน้าตัวเองเอาไว้ แล้วก่อเหตุรุนแรง หรือ ก่อเหตุปล้นทรัพย์ระหว่างการชุมนุม  แล้วใครจะรับผิดชอบ เพราะไม่มีแกนนำ

จึงสมควรแล้วหรือไม่  ที่จะต้องใส่หน้ากากเข้าหากัน เพียงเพราะความเห็นต่างทางการเมือง  และ สมควรแล้วหรือไม่ ที่คนบางกลุ่มคิดจะใช้หน้ากากขาวเป็นเครื่องมือสร้างสถานการณ์  เพียงเพื่อจะต่อต้านรัฐบาล ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน