วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2558

พยานโจทก์รับ ‘บก.ลายจุด’ มีสิทธิต้านรัฐประหารตาม รธน. นัดต่อไป 15 ก.ย.


24 ส.ค. 2558 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า วันนี้(24 ส.ค.58) ศาลทหารกรุงเทพนัดสืบพยานโจทก์ในคดีที่ บก.ลายจุด หรือ สมบัติ บุญงามอนงค์ ถูกฟ้องว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 เวลา 08.30 โดยพยานโจทก์ คือ พ.ต.ท.วันพิชิต วัฒนศักดิ์มณฑา ผู้ช่วยเจ้าพนักงานผู้ตรวจค้นและพบตัว สมบัติ
ตุลาการศาลทหารกรุงเทพออกนั่งพิจารณา เวลา 09.30 น. พ.ต.ท.วันพิชิต ขึ้นเบิกความต่อศาลว่า ได้รับทราบจากผู้บังคับบัญชาว่า สมบัติ เป็นบุคคลผู้ถูกเรียกให้รายงานตัวต่อ คสช. ตามประกาศ คสช.ฉบับที่ 3/2557 ลำดับที่ 60 ลงวันที่ 23 พ.ค. 2557 แต่ไม่ไปรายงานตัวตามประกาศดังกล่าว ตนจึงได้รับคำสั่งให้สนธิกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหาร ให้เข้าทำการตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าจะพบตัว สมบัติ และได้พบตัวของ สมบัติ ในพื้นที่เป้าหมายจริง เจ้าหน้าที่ทหารจึงได้อาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึก ม.8 และ ม.9 ในการควบคุมตัว สมบัติ วันที่ 5 มิ.ย. 2557 ที่ จ.ชลบุรี โดยเจ้าหน้าที่ผู้ทำการจับกุมไม่มีหมายจับ ไม่มีหมายค้น ไม่แจ้งข้อกล่าวหา และไม่แจ้งสิทธิแก่ผู้ถูกจับกุม ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยึดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ตรวจค้นพบ ดำเนินการเก็บ และนำส่งของกลางต่อพนักงานสอบสวนเพื่อตรวจพิสูจน์ต่อไป
ทั้งนี้ พ.ต.ท.วันพิชิต ตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า พยานไม่ทราบว่าการรัฐประหารจะถือว่ามีผลสมบูรณ์เมื่อใด รวมถึงรับตามที่ทนายถามค้านว่า การกระทำของ สมบัติ ที่ออกมาต่อต้านการทำการรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองของ คสช. เป็นการกระทำโดยสันติวิธี ตามสิทธิที่ได้รับการรับรองโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 และ พ.ศ.2550 ซึ่งถือเป็นประเพณีการปกครองประเทศ ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ม.69 ที่ระบุให้บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใดๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ และ ม.70 ที่ระบุว่า บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้
นอกจากนี้ พยานโจทก์ยังยอมรับตามที่ทนายถามค้านอีกว่า จำเลยมีสิทธิที่จะได้รับการคุ้มครอง ตาม ม.4 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ที่บัญญัติว่า ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค บรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทย ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่แล้ว ย่อมได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ตุลาการศาลทหารไม่อนุญาตให้ผู้สังเกตการณ์จดบันทึกระหว่างพิจารณา และการสืบพยานบุคคลปากดังกล่าวยังไม่เสร็จสิ้น ศาลจึงได้เลื่อนออกไปสืบอีกในนัดหน้า วันที่ 15 กันยายน 2558 เวลา 08.30 น. โดยที่ฝ่ายโจทก์ยังมีพยานบุคคลที่จะต้องนำเข้ามาสืบอีกทั้งหมดจำนวน 8 ปาก

ญาติเด็กสุพรรณยัน เด็ก 19 ปีโพสต์ภาพผู้ต้องสงสัย ไม่ได้ขู่วางระเบิด

ภาพจากเพจตำรวจภูธรภาค 7 : ส่วนกลาง

24 ส.ค. 2558 เฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘ตำรวจภูธรภาค 7 : ส่วนกลาง’ โพสต์ภาพ พร้อมรายงานว่า วันนี้(24 ส.ค.58) เวลา 10.10 น. พล.ต.ท.วีรพงษ์ ชื่นภักดี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติภาค 7 (ผบช.ภ.7) และคณะร่วมแถลงข่าวการจับกุม นายธัณธร (สงวนนามสกุล) อายุ 19 ปี ในคดีนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จฯ จากกรณีโพสต์ข้อความข่มขู่วางระเบิด ตามความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์สุพรรณบุรี
กรมประชาสัมพันธ์,  เดลินิวส์ และมติชนออนไลน์ รายงานว่า ธัณธรถูกกล่าวหาในความผิดตามมาตรา 14 (2) ของพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 แกล้งบอกเล่าความเท็จให้เลื่องลือ เป็นเหตุให้ประชาชนตื่นตกใจ และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์เป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน มีโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท เขาถูกจับกุมตามหมายจับศาลจังหวัดสุพรรณบุรี ที่ 307/2558 ลง 23 ส.ค. 2558
พล.ต.ต.มงคล เปิดเผยว่า มีผู้ใช้เฟซบุ๊กว่า "ระเบิด กรุงเทพมหานคร" และ "กรุงเทพ โดนระเบิด" มีการโพสต์ข้อความลักษณะข่มขู่ว่าจะมีการวางระเบิด บริเวณตลาดนัดเปิดท้าย ห้างโลตัส สาขาสุพรรณบุรี ช่วงทางเข้า โรงแรมเลิศธานี ซึ่งต่อมาพบวัตถุต้องสงสัยจริงในบริเวณดังกล่าว จากนั้นหน่วย EOD ของจังหวัดสุพรรณบุรีได้ทำการเก็บกู้และทำลาย โดยพบว่าไม่ใช่วัตถุระเบิด จึงสืบทราบและเข้าจับกุมผู้ต้องหารายนี้
โดยในชั้นจับกุมตัว นายธัณธร ให้การรับสารภาพว่าเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2558 เวลาประมาณ 19.00 น. ขณะที่นั่งดื่มสุราอยู่บริเวณริมถนนหน้าตลาดนัดเปิดท้ายหน้าห้างโลตัส พบเห็นนาย Devan George Willam ชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่โรงเรียนกาญจนาภิเษก สุพรรณบุรี ซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเดินผ่านมา จึงถ่ายรูปและโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กซึ่งปัจจุบันได้ลบไปแล้ว และภูธรจังหวัดสุพรรณบุรี ได้ดำเนินการสืบสวนขยายผลอย่างต่อเนื่องต่อไป หากพบพยานหลักฐานอื่นเพิ่มเติม จะได้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาดต่อไป
ด้านขนิษฐา แซ่กาว ลูกพี่ลูกน้องของผู้ต้องหาให้สัมภาษณ์ "ประชาไท" ว่า ในช่วงเที่ยงวานนี้ (23 ส.ค.) ตำรวจนอกเครื่องแบบที่รู้จักกับคนในหมู่บ้าน 1 คน ได้มาที่บ้านพักของผู้ต้องหาและแจ้งว่าจะนำตัวผู้ต้องหาไปสอบปากคำกรณีไปโพสต์ภาพทำให้บุคคลอื่นเสียหาย โดยแจ้งว่าไม่ใช่คดีใหญ่โตอะไร แม่และญาติของผู้ต้องหาจึงไม่ได้ตามไป จนกระทั่งเวลาประมาณ 16.00 น.เห็นว่านานผิดสังเกต ญาติจึงติดตามไปยัง สภ.สุพรรณบุรี และได้ทราบว่าตำรวจจะแจ้งข้อกล่าวหาความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
ขนิษฐากล่าวว่า น้องของเธอเล่าให้ฟังว่า เขาโพสต์รูปของชาวอังกฤษคนดังกล่าวจริงโดยแจ้งว่าอาจเป็นผู้ต้องสงสัยวางระเบิด น้องชายโพสต์จะด้วยจินตนาการเกินเลยหรือคึกคะนองก็ไม่ทราบได้ แต่จากนั้นมีเพจชื่อ ระเบิด กรุงเทพฯ นำภาพไปตัดต่อเพิ่มเติม และมีการเขียนด้วยว่าจะมีการวางระเบิดใน 5 จังหวัดหนึ่งในนั้นคือสุพรรณบุรี ในเรื่องนี้น้องชายของเธอยืนกรานปฏิเสธว่าไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเพจดังกล่าว
เธอกล่าวอีกว่า นอกจากนี้หลังธัณธรโพสต์รูปผู้ต้องสงสัยไม่กี่ชั่วโมง ในช่วงแรกก็มีคนมากมายโพสต์ขอบคุณที่ช่วยเป็นหูเป็นตา จากนั้นเริ่มมีกระแสคนเข้ามาต่อว่าด่าทอเนื่องจากมีลูกศิษย์ของชาวอังกฤษคนดังกล่าวมาเห็นเข้าและชี้แจงว่าชายชาวอังกฤษเป็นอาจารย์สอนที่สุพรรณฯ นี้เอง ธัณธรจึงลบโพสต์นั้นแล้วโพสต์ชี้แจงว่าไม่ได้มุ่งหมายหมิ่นประมาทผู้ใด และขอโทษต่อบุคคลที่เขาทำให้เกิดความเสียหาย
“เขาทำแค่นี้เขาก็รับแค่นี้ เมื่อวานญาติๆ ก็พยายามชี้แจงกับตำรวจแต่ตำรวจบอกว่าแล้วแต่ว่าทหารจะเชื่อหรือไม่ เราถามว่าทำไมไม่ไปจับเจ้าของเพจที่เขียนปล่อยข่าวเรื่องระเบิดชัดเจน ตำรวจก็บอกว่าเพราะยังจับไม่ได้ แล้วเลยจับน้องแถลงข่าวใหญ่โตแบบนี้” ขนิษฐากล่าว
“เราไม่รู้ว่าระหว่างสอบสวนเจ้าหน้าที่พูดจาแบบไหน และเจ้าตัวเซ็นยอมรับอะไรไปบ้าง เพราะไม่มีทนาย ไม่มีญาติอยู่ด้วยเลย” ขนิษฐากล่าวและว่าขณะนี้ญาติๆ พยายามรวบรวมหลักทรัพย์เพื่อนำไปประกันตัวธัณธรที่ศาลจังหวัดในวันพรุ่งนี้ หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจคุมขังเขาไว้ที่สถานีตำรวจครบ 48 ชม.และเตรียมนำตัวผู้ต้องหาไปขออำนาจศาลฝากขัง
ทั้งนี้ หลังเหตุการณ์ระเบิดที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์จนมีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก เมื่อวันที 17 ส.ค. ที่ผ่านมา มีผู้ถูกจับกุมหรือควบคุมตัวเกี่ยวกับการโพสต์เฟซบุ๊กแล้วอย่างน้อย 2 ราย คือ ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ 'วิชเวช พรพรหมรักษา'  หรือ นายพงศ์ภพ บุญสารี ชายวัย 36 ปี อาชีพพนักงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งได้โพสต์เตือนข่าวระเบิดก่อนน้าที่จะเกิดเหตุ แต่ยังไม่มีการตั้งข้อกล่าวหา (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)
นอกจากนี้ วันที่ 22 ส.ค. ที่ผ่านมา สภ.พระนครศรีอยุธยา พล.ต.ต.ศานิตย์ มหถาวร รอง ผบช.ภ.1 และคณะ ร่วมกันสอบสวนตัวนายต้น นามสมมุติ อายุ 17 ปี นักศึกษาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ใน จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นผู้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ขู่วางระเบิดห้างสรรพสินค้าจำนวนหลายจุด โดยข้อความระบุว่า "จุดต่อไปคืออยุธยา กูได้วางไว้ที่โลตัสชั้นใต้ดิน1 ลูกหน้าโรงหนัง 2 ลูก ทางเข้า 3 ลูก  ที่ตลาดเจ้าพรหม 3 ลูก โรงเรียนอนุบาลในฝัน 2 ลูก” จนมีการแชร์ต่อไปทั่วสร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชน และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องเข้าตรวจสอบตามจุดต่างๆ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีกับนายต้นตาม มาตรา 384 ผู้ใดแกล้งบอกเล่าความเท็จให้เลื่องลือจนเป็นเหตุให้ประชาชนตื่นตกใจต้องระวางโทษจำคุกหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับและความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา14  ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นำเข้าคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)

กทม. แจงเหตุกล้องวงจรปิดไม่ชัดเพราะเน้นจับภาพกว้าง


25 ส.ค. 2558 จากกรณีเหตุระเบิดที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์เมื่อสัปดาห์ก่อน จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก รวมทั้งเหตุระเบิดที่ท่าน้ำสาทรนั้น ประเด็นหนึ่งที่ถูกหยิบยกมาวิพากษ์วิจารณ์คือความคมชัดของภาพผู้ต้องสงสัยที่ได้จากกล้องวงจรปิดหรือกล้องซีซีทีวี บริเวณโดยรอบที่เกิดเหตุ
วานนี้(24 ส.ค.58) โพสต์ทูเดย์ และมติชนออนไลน์ รายงาน คำชี้แจงในประเด็นดังกล่าวของ ไตรภพ ขันตยาภรณ์ ผู้อำนวยการกองพัฒนาระบบจราจร สำนักการจราจรและขนส่ง กรุงเทพมหานคร กำกับดูแลงานกล้องซีซีทีวี โดย ไตรภพ ระบุว่า สาเหตุที่กล้องซีซีทีวีของกรุงเทพมหานครจับภาพไม่ชัดเจน เมื่อเทียบกล้องซีซีทีวีของตำรวจที่จับภาพเลขทะเบียนรถที่กระทำผิดอย่างชัดเจน เนื่องจากลักษณะการทำงานของกล้องซีซีทีวีต่างกัน โดยกล้องของตำรวจเป็นระบบบันทึกภาพเจาะจงเป็นช็อตๆ เพื่อระบุผู้กระทำผิดอย่างชัดเจน กล้องมีความละเอียดสูง ราคาตัวละประมาณ 100,000 กว่าบาท
“อย่างกล้องของตำรวจที่ว่านั้นเป็นกล้องที่มีความละเอียดสูงมาก ตกราคาประมาณตัวละแสนกว่าบาท ขณะที่กล้องซีซีทีวีของกรุงเทพมหานครที่ใช้อยู่ตัวละไม่ถึงสี่หมื่นบาทเท่านั้น เพราะลักษณะงานคนละแบบกัน  แต่หากต้องการใช้แบบเฉพาะเจาะจงจริงๆ อย่างวันนี้ต้องการจับภาพให้ชัดเจนตรงจุดไหน  ก็สามารถทำได้โดยเปลี่ยนระบบที่เป็นมุมกว้างทั่วไปมาเป็นระบบโฟกัสเฉพาะจุดได้” ไตรภพ กล่าว
โดยข้อมูลการจัดซื้อกล้องซีซีทีวีล่สุดของ กทม. เกิดขึ้นในช่วงปี 2557-2558 จำนวนกว่า 10,000 ตัว ความละเอียดสูง 5 ล้านพิกเซล ติดตั้งตามแยกใหญ่ๆ ราคาอยู่ที่ 30,000 บาทต่อตัว ยังไม่รวมกับกล้อง IR Bullet กล้องอินฟาเรดที่สามารถมองเห็นได้ในเวลากลางคืน
ผบ.ตร. ระบุสภาพการทำงาน วงจรปิดเสียครึ่งๆ
ขณะที่ มติชนออนไลน์และผู้จัดการออนไลน์ รายงาน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยถึงปัญหาการติดตามผู้ต้องสงสัยกับความขัดข้องทางเทคนิคโดยเฉพาะกล้องวงจรปิด ว่าทุกวันนี้ติดตามคนร้ายจากกล้องซีซีทีวี ระหว่างทางมี 20 ตัว แต่เสียไป 15 ตัว ใช้ได้ 5 ตัว ก็กระโดดไปกระโดดมา มีส่วนที่หายไป ตำรวจมานั่งจินตนาการว่าตรงนั้นคืออะไร ทำให้ต้องเสียเวลาสร้างจินตนาการ ตรวจสอบสิ่งที่ไม่ใช่
“เคยดูหนังซีเอสไอไหม คล้ายอย่างนั้น แค่เราไม่มีเครื่องมือเลย ทุกวันนี้ตำรวจไทยทำงานด้วยความรู้ความสามารถ เชี่ยวชาญ ประสบการณ์ จินตนาการ ครีเอตสถานการณ์สร้างเรื่องสร้างสตอรีขึ้นมา มันน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ยกตัวอย่างทุกวันนี้เราติดตามคนร้ายจากกล้องซีซีทีมี ระหว่างทางมี 20 ตัว แต่เสียไป 15 ตัว ใช้ได้ 5 ตัว ก็กระโดดไปกระโดดมา มีส่วนที่หายไป ตำรวจมานั่งจินตนาการว่าตรงนั้นคืออะไร ต้องเสียเวลาสร้างจินตนาการ ตรวจสอบสิ่งที่ไม่ใช่ แต่ถ้ามีเครื่องมือที่ว่าจะสามารถบอกได้เลยว่าคนร้ายไปโผล่จุดไหนบ้าง เช่น เห็นที่ราชประสงค์ ไปโผล่สีลม แต่กล้องเสียทั้งหมด บังเอิญกล้องดุสิตธานีใช่ได้ ไปโผล่หัวลำโพง โดยเราต้องใช้ทั้งซีซีทีวี พยานและหลายอย่างประกอบเพื่อให้น้ำหนักของพยานหลักฐาน ซีซีทีวีไม่ใช่คำตอบสุดท้าย” พล.ต.อ.สมยศกล่าว
แจงปฏิบัติการปิดเมืองค้นรังโจร เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับคนไทยและนักท่องเที่ยว
สำหรับความคืบหน้า พล.ต.อ.สมยศ ระบุว่า เมื่อวันที่ 18 ส.ค.ว่า ที่ผ่านมาตำรวจทำงานอย่างเต็มที่ ทั้งปฏิบัติการเชิงรุกในการป้องกันปราบปรามเพื่อสร้างขวัญกำลังใจและการสืบสวนสอบสวนเพื่อติดตามจับกุมคนร้าย ส่งทีมงานติดตามสืบสวนคนต้องสงสัยทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด ตามแนวทางการสืบสวนตามคำบอกเล่า และข้อมูลที่ประชาชนผู้หวังดีให้ข่าวสารถึงบุคคลต้องสงสัยว่าหลบไปพำนัก ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบเพื่อให้สิ้นสงสัย
สำหรับการปล่อยแถวเจ้าหน้าที่เปิดปฏิบัติการปิดเมืองค้นรังโจร พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ชาวไทยและนักท่องเที่ยวในการดูแลความปลอดภัย แสดงว่ารัฐบาลโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง เอาใจใส่ มุ่งหวังให้เกิดความเชื่อมั่น เชื่อใจรัฐบาล มั่นใจเจ้าหน้าที่รัฐว่าดูแลความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวได้ อย่างไรก็ตาม การสืบสวนคลี่คลายคดีทุกอย่างมีจุดหมาย มีเหตุผล ไม่เปิดเผย
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวถึงความช่วยเหลือจากต่างชาติและการนำเครื่องมือที่ทันสมัยมาช่วยในการสืบสวนว่า ขณะนี้มีมิตรประเทศหลายประเทศให้ความร่วมมือในการสนับสนุน ขณะมีบริษัทเอกชนที่ทำธุรกิจด้านเครื่องมือเหล่านี้นำเครื่องมือมานำเสนอให้ทดสอบ โดยช่วงวันที่ 22-23 ส.ค.ที่ผ่านมาหลายบริษัทนำเครื่องมือมาให้ดู เราดูว่าทำประโยชน์อะไรได้บ้าง ต่อเชื่อมกับสิ่งที่เรามีหรือไม่ ขณะนี้มีหลายสิ่งที่เรารออยู่ มีหลายสิ่งที่เราส่งไปตรวจสอบที่ต่างประเทศ อยู่ระหว่างรอตอบกลับมา ยอมรับว่าตอนนี้เรายังไม่มีอุปกรณ์ ที่มีศักยภาพในการตรวจสอบ ปัจจุบันการเดินทางเข้าออกประเทศไทย ตรวจสอบ เพียง ชื่อ วันเดือนปีเกิด พาสปอร์ต เราตรวจสอบได้เท่านั้น แต่ปัจจุบันบางประเทศใช้ไบโอแมทริกส์ที่ตรวจสอบรูปหน้า ลายพิมพ์นิ้วมือ และแววตา ขณะนี้ตนทำเรื่องขออนุมัติจัดซื้อจัดหาไว้ใช้ที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ทั่วประเทศ และตำรวจทุกหน่วยสามารถใช้ได้

ธนาพลโพสต์เฟซบุ๊กทหาร 'เยี่ยม' ฟ้าเดียวกัน แจงแนะนำตัวหลังปรับกำลัง

ภาพจากเฟซบุ๊กธนาพล อิ๋วสกุล

25 ส.ค.2558 ธนาพล อิ๋วสกุล บ.ก.บห.วารสารฟ้าเดียวกัน โพสต์ในเฟซบุ๊กเมื่อช่วงบ่ายระบุว่า เวลาประมาณ 13.45 น. มีทหารจากกองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 5 เกียกกาย (ปตอ.พัน.5) จำนวน 5 นายแวะไปเยี่ยมที่สำนักงานวารสารฟ้าเดียวกัน โดยแจ้งว่าเป็นการมาแนะนำตัวตามปกติ เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนกำลังและหน้าที่ความรับผิดชอบ
ทั้งนี้ ธนาพล ถูกจับกุมพร้อมอภิชาติ พงษ์สวัสดิ์และคนอื่นๆ ที่ทำกิจกรรมชูป้ายต้านรัฐประหารที่หน้าหอศิลป์หลังการยึดอำนาจ 1 วัน (23 พ.ค.2557) เขาถูกควบคุมตัวที่ค่ายทหารในกรุงเทพฯ ก่อนย้ายไปที่กองปราบฯ ในวันรุ่งขึ้น จากนั้นชื่อของเขาปรากฏอยู่ในคำสั่ง คสช.ที่เรียกบุคคลต่างๆ เข้ารายงานตัวด้วย เขาจึงถูกนำตัวไปควบคุมตัวต่อที่ค่ายทหารในจังหวัดราชบุรี โดนควบคุมตัวอีก 7 วัน จนถูกปล่อยตัวในวันที่ 30 พ.ค.2557 แม้ไม่มีการแจ้งข้อหาใดๆ แต่มีเงื่อนไขห้ามเคลื่อนไหวทางการเมือง
ต่อมาวันที่ 5 ก.ค.2557 นายทหารได้นัดเขากินกาแฟ แต่ปรากฏว่าท้ายที่สุดเขาถูกควบคุมตัวอีกครั้ง โดยทหารอ้างว่าเขาโพสต์เฟซบุ๊กวิจารณ์ คสช.และนโยบายต่างๆ ของคสช. ซึ่งอาจเข้าข่ายการยั่วยุปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยก สุดท้ายทหารปล่อยตัวในวันที่ 9 ก.ค.พร้อมเงื่อนไขห้ามเคลื่อนไหวทางการเมือง
หลังจากนั้นเขายังคงถูกติดตามและแจ้งเตือนจากเจ้าหน้าที่อีกหลายครั้ง เช่น กรณีทหารรู้สึกไม่สบายใจและขอให้เขาลบสเตตัสในเฟซบุ๊กที่เขียนเล่าเรื่อง  “เก็บตกงานพบปะ สนทนา กับนักเขียน ประจักษ์ ก้องกีรติ” (19 ต.ค.57) กรณีทหารและตำรวจขอความร่วมมือไปยังผู้จัดงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติให้ประสานบูธฟ้าเดียวกันเพื่อหยุดจำหน่ายเสื้อยืด 3 แบบชั่วคราว เนื่องจากเกรงว่าอาจกระทบต่อความมั่นคง
=============
ข้อความต้นฉบับจากเฟซบุ๊ก ธนาพล อิ๋วสกุล
วันนี้ (อังคารที่ 25 สิงหาคม 2558 ) ประมาณ 13.45 น. มีทหารจาก ปตอ. พัน 5 เกียกกาย จำนวน 5 นาย แวะมาที่ออฟฟิศฟ้าเดียวกัน
มาแนะนำตัวปกติ เนื่องจากไดัมีการปรับเปลี่ยนกำลังและหน้าที่ความรับผิดชอบ
หลังจากที่เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2558 ได้แวะมารอบหนึ่งแล้ว
นายทหารเหล่านี้ปฏิบัติตามหน้าที่ เช่นเดียวกับที่ไปเยี่ยมหลายคนที่เคยโดนเรียกไปรายงานตัว ในระแวกสนามบินน้ำ เห็นว่ามีบ้านคุณณัฐวุฒิ ใสเกื้อ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยนี้ด้วยเช่นกัน
หลังจากแนะนำตัวและให้เบอร์โทรเรียบร้อย ทางทหารก็ซักถามตามระเบียบ
ถาม - ตอนนี้มีน้องทัศนะคติอย่างไรต่อรัฐบาลชุดนี้
ตอบ - พูดแบบไม่โกหก ก่อนรัฐประหารผมไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร ตอนนี้ก็ยังคงไม่เห็นด้วย แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะรัฐบาลได้คุมกำลังไว้หมดแล้ว
ถาม -- มีข้อเสนออะไรให้รัฐบาล
ตอบ -- เลือกตั้งโดยเร็วที่สุด
ก่อนแยกย้ายกันผมฝากอวยพรให้จับคนร้ายก่อวินาศกรรมราชประสงค์เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2558 โดยเร็ว เพราะเป็นปัญหาใหญ่ของรัฐบาล
===========