เจว็ด [จะเหฺว็ด] น. แผ่นไม้รูปคล้ายใบเสมา เขียนหรือแกะเป็นรูปเทพารักษ์
ประดิษฐานไว้ในศาลพระภูมิหรือศาลเจ้า มักทำเป็นรูปเทวดาถือ
พระขรรค์, โดยปริยายหมายความว่า ผู้ที่ได้รับยกย่องให้เป็นประธาน
หรือเป็นใหญ่ แต่ไม่มีอำนาจ เช่น ตั้งเป็นเจว็ดขึ้นไว้, ใช้ว่า ตระเว็ด หรือ
เตว็ด ก็มี.(4)
จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่า เจว็ด นั้นมีวิวัฒนาการมาจาก ผีเสื้อเมือง นั่นเอง สำหรับสาเหตุที่ เจว็ด เพี้ยนเสียงเป็น เตว็ด นั้น ก็เป็นไปตาม "กฎการกลายเสียงของกริมม์"(6) ด้วยเช่นกัน สาเหตุเพราะ คำว่า เจว็ด เสียง [จ] จัดอยู่ใน กลุ่มเสียง T มีลักษณะเป็นเสียงระเบิด ประเภท อโฆษะ เกิดเสียงที่ ฟันกับปุ่มเหงือก เช่นเดียวกับคำว่า คำว่า เตว็ด [ต] ก็จัดอยู่ใน กลุ่มเสียง T เพราะเป็นเสียงระเบิด ประเภท อโฆษะ เช่นเดียวกัน เพียงแต่ เกิดเสียงที่ เพดานแข็ง
สำหรับประเด็น ว่าด้วยเรื่องของ พัฒนาการทางด้านความเชื่อ ข้างต้น สอดคล้องกับทรรศนะที่ปรากฎ ในหนังสือ "การเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของพุทธศาสนาในสังคมไทย" ซึ่งปรับปรุงมาจากวิทยานิพนธ์ เรื่อง "การประยุกต์แนวความคิดเรื่องเกมภาษาของวิตเกนสไตน์ (Ludwig Wittgenstein)ในการอธิบายเรื่องของความหมายในภาษาศาสนาศึกษาเฉพาะกรณีภาของสำนักสันติอโศก" ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" ของ สุนัย เศรษฐบุญสร้าง หน้าที่ 83 ความว่า
"ศาสนาเป็นเครื่องมือที่อำนวยประโยชน์สำหรับการปูกฝังจริยธรรมเบื้องต้นเพื่อให้ผู้คนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างสงบ ไม่คิดต่อต้านเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครอง หรือผู้นำทางการเมือง ตลอดจนรูปแบบการพัฒนาของสังคมที่เป็นอยู่ อันก่อให้เกิดการรักษาโครงสร้างทางชนชั้นแบบเดิมไว้ (Status Quo) (9)
นอกจากนี้แล้ว สุนัย เศรษฐบุญสร้าง ยังได้แสดง ทรรศนะที่มีนัยยะสำคัญทางศาสนาไว้ในหน้าที่ 90 ความว่า
"การศึกษาศาสนาในเชิงความคิดอย่างเดียว ก็มีแนวโน้มที่จะเกิดการบิดเบือนเอาคำสอนทางศาสนาขั้นสูงไปใช้ในเหตุผลเพื่อปกป้องสถานะที่ได้เปรียบกว่าของผู้คนบางส่วนในสังคม(Status Quo) " (9)
สำหรับ ค่านิยมการบูชาผีบ้านผีเมือง การบูชาเทพเจ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น เทพารักษ์ หรือ เจว็ด นั้น ถึงแม้นว่าในกาลต่อมา เมื่อ พุทธศาสนา ได้เผยแผ่มายังประเทศไทย และกลายเป็นศาสนากระแสหลักของกลุ่มชนประเทศ แต่ทว่าค่านิยมในการบูชาผี บรรพบุรุษ ก็ยังคงมีหลงเหลืออยู่ในรูปของ เทพารักษ์ (เจว็ด) รวมถึงศาลพระภูมิเจ้าที่ จากนั้นจึงพัฒนา เป็นการบูชา พระพรหม พระนารายณ์ หรือ พระอิศวร อีกชั้นหนึ่ง สำหรับรูป เทพารักษ์ (เจว็ด) ในชั้นต่อมานี้ก็ถูกตีความตามหลักประติมานวิทยา (Iconography) "เพื่อปกป้องสถานะที่ได้เปรียบกว่าของผู้คนบางส่วนในสังคม (Status Quo)" (9) การตีความว่า เทพารักษ์ (เจว็ด ) ว่าคือปางหนึ่งของพระนารายณ์ ผู้ทรงอวตาร ยกตัวอย่างเช่น
"“เจว็ด” ตามความหมายในพจนานุกรม คือ “รูปเทพารักษ์ที่ประดิษฐานไว้ในศาลพระภูมิหรือศาลเจ้า มักทำเป็นรูปเทวดาถือพระขรรค์และสมุด” เจว็ดเป็นแผ่นไม้รูปร่างคล้ายใบเสมาแต่มีลักษณะสูงเพรียวกว่า มักเขียนเป็นรูปเทวดายืนบนแท่น มือข้างหนึ่งถือพระขรรค์ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งนั้นถือสมุด บางกรณีเมื่อเชิญพระภูมิมาสถิตย์หลายองค์ก็สามารถตั้งเจว็ดหลายอันได้ในศาลเดียวกัน ตามคติพราหมณ์เชื่อว่า เทพารักษ์ทำหน้าที่พิทักษ์เหย้าเรือนและเขตที่ตั้งของบ้านผู้เป็นเจ้าของที่ดินตลอดจนผู้อาศัยให้พ้นภัยทั้งปวง คติดังกล่าวน่าจะมาจากคัมภีร์ภาติวัตปุราณะ เล่าเรื่องนารายณ์อวตารในปาง “วามนาวตาร” เพื่อปราบท้าวพลีเจ้านครบาดาล พราหมณ์จึงนับถือท้าวพลีโดยตั้งอยู่ในฐานะเจ้าแห่งที่ดิน โดยในบทโองการบูชาเทวดามีเนื้อความตอนหนึ่งกล่าวว่า “โอมพระภูมิพระธรณี กรุงพลีเรืองฤทธิ์” นอกจากนี้ตำนานพระภูมิเจ้าที่ซึ่งแต่งขึ้นเพิ่มเติมในสมัยหลังระบุว่า ท้าวพลีมีโอรสทั้งหมด 9 องค์ โดยโอรสองค์โตนามพระชัยมงคล มีหน้าที่รักษาเคหะสถานบ้านเรือน ในคัมภีร์ไตรภูมิกล่าวถึงภูมิเทวดาว่าเป็นเทวดาที่อยู่ในภูมิภาคปฐพี สิงสถิตย์อยู่ตามต้นไม้และภูเขา อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตด้วยว่าอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคติจากจีนก็เป็นได้ เนื่องจากตามคติความเชื่อของชาวจีนนั้น ก็มีเจ้าที่หรือภูมิเทวดาเป็นผู้รักษาทะเบียนมนุษย์ในอาณาบริเวณท้องที่ของตน โดยเจ้าที่จะคอยจดบันทึกบุญบาปของมนุษย์ไว้ในสมุด" (10)
ก็เมื่อระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราช (absolute monarchy) แพร่มายังไทย วรรณะกษัตริย์ ถือว่าเป็น สมมติเทพ หรือ องค์อวตาร องค์หนึ่งของพระนารายณ์ ด้วยเหตุนี้ พระนามของ พระมหากษัตริย์ไทยในสมัยก่อน จึงนิยมใช้พระนามของ พระนารายณ์ ประกอบพระนาม ยกตัวอย่างเช่น พระนาม พ่อขุนรามคำแหงมหาราช (พ่อขุน+ราม+กำแหง ราม ก็คือ รามาวตาร/พระนารายณ์อวตารมาเกิดเป็น มนุษย์ชื่อ ราม) หรือพระนาม พระบาทสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ก็มีพระนามพระนารายณ์ ประกอบพระนามด้วย ฉะนั้น เมื่อ ตีความทาง ประติมานวิทยา (Iconography) ว่าเทพารักษ์ (เจว็ด) คือ พระรายรายณ์ผู้ทรงอวตาร (วามนาวตาร) ฉะนั้น การกราบไหว้ นับถือ เทพารักษ์ (เจว็ด) ก็คือการกราบไหว้ พระราชา ซึ่งเป็น สมมติเทพ นั่นเอง กรณีดังกล่าวนี้จึงถือเป็นการตีความทาง ประติมานวิทยา (Iconography) "เพื่อปกป้องสถานะที่ได้เปรียบกว่าของผู้คนบางส่วนในสังคม(Status Quo)" (9) อย่างมีนัยยะสำคัญนั่นเอง
รูปภาพ เจว็ด ศิลปะรัตนโกสินทร์ ทำด้วยไม้ เลขทะเบียน รส.139 สูง 115.8 เซนติเมตร เจว็ด คือรูปเทพารักษ์ที่ประดิษฐานไว้ในศาลพระภูมิหรือศาลที่สร้างขึ้นในการประกอบพิธีทางศาสนาและความเชื่อต่างๆ เช่น หากทำเป็นรูปเทวดาถือคันไถ ก็จะใช้ในพิธีแรกนาขวัญ สำหรับเจว็ดชิ้นนี้เป็นรูปเทวดาถือสมุด อีกมือหนึ่งถือแส้ มีความหมายคล้ายกับพระภูมิเจ้าที่ของจีน ซึ่งมีหน้าที่รักษาทะเบียนมนุษย์ ผู้ใดในหมู่บ้านซึ่งอยู่ในท้องที่พระภูมิดูแลรักษาอยู่ มีการทำบุญหรือทำบาปก็จะถูกจดบันทึกไว้ในสมุดทะเบียนนั้นไว้ (11)
เจว็ด (บางทีอาจเรียกว่า ตระเว็ด หรือ เตว็ด ก็มี) หรือตัวองค์พระภูมิ ถือเสมือนตัวแทน เทวดา หรือ เจ้าที่ นาม พระชัยมงคล เดิมจะเป็นภาพเทวดาบนแผ่นไม้รูปวงรีมีฐานตั้งปัจจุบันเจว็ดประจำศาลมักจะใช้เป็นรูปหล่อทองเหลือง ดูเปล่งปลั่งคล้ายทอง ในหัตถ์ขวาถือพระขรรค์ หัตถ์ซ้ายถือถุงเงิน เชื่อว่าท่านจะคอยประทานเงินให้แก่ผู้เป็นเจ้าของที่ เดิมหัตถ์ซ้ายของเทวดาจะถือสมุด (หนังสือ) ซึ่งคนในสมัยก่อนน่าจะตระหนักว่าความรู้สำคัญกว่าเงินทองเพราะหนังสือก่อให้เกิดความรู้สติปัญญา เพื่อใช้เลี้ยงชีพต่อไปภายภาคหน้า" (12)
สำหรับสิ่งที่ เทพรักษ์ (เจว็ด) ถืออยู่นั้น ก็จะเห็นได้ว่า มีทั้งถือคันไถ บ้างก็ถือ พระขรรค์และแส้ บ้างก็ถือ พระขรรค์และสมุด/หนังสือ บ้างก็ถือ พระขรรค์และถุงเงินแต่การตีความทางประติมานวิทยา ที่ว่า
"ในหัตถ์ขวาถือพระขรรค์ หัตถ์ซ้ายถือถุงเงิน เชื่อว่าท่านจะคอยประทานเงินให้แก่ผู้เป็นเจ้าของที่ เดิมหัตถ์ซ้ายของเทวดาจะถือสมุด (หนังสือ) ซึ่งคนในสมัยก่อนน่าจะตระหนักว่าความรู้สำคัญกว่าเงินทองเพราะหนังสือก่อให้เกิดความรู้สติปัญญา เพื่อใช้เลี้ยงชีพต่อไปภายภาคหน้า" (12)
นั้นคือทรรศนะเก่า สำหรับทรรศนะใหม่ตาม สมมติฐานของผู้เขียนนั้นมีอยู่ว่า "หากเจว็ด ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์แทน ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช ดังนั้นสิ่งที่ เจว็ดถือก็จะต้องแฝงนัยยะทางการเมือง" สมมติฐานนี้สอดคล้องกับ ทรรศนะของ จำนง เทพหัสดิน ณ อยุธยา ซึ่งปรากฎอยู่ในหนังสือ อำนาจอยู่หนใด ชีวประวัติเหมือนนวนิยายของนักปกครอง 7 ท่าน หน้า 161 ความว่า
"มาถึงบัดนี้ท่านผู้อ่านคงจะแยกแยะความแตกต่างระหว่าง อำนาจและบารมีได้ เป็นเวลาร่วม 2000 ปีแล้วที่สัญลักษณ์ แส้ และถุงเงิน ของโรมัน หมายถึงอำนาจอยู่ตลอดมา ในทุกวันนี้อาจแปลงโฉมเป็น ปืนและเงิน พูดให้นิ่มนวลหน่อยก็คือ พระเดช พระคุณ หรือ ให้โทษได้ ให้คุณได้ นั่นเอง สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงพ้นจากภาวะ เจว็ด ก็เพราะจับจุดทั้งสองนี้ได้ การตั้งกองทหารมหาดเล็ก โดยใช้ปืนแบบยุโรปกับการเข้าคุมการคลังแผ่นดิน โดยให้มีงบประมาณแผ่นดิน นี่คือ แส้และถุงเงิน ทรงทำได้สำเร็จและมีอำนาจ" (13)
จะเห็นได้ว่า เทพารักษ์ (เจว็ด) พัฒนามาจาก ผีเสื้อเมือง (ผีบรรพบุรุษ) และถูกทำให้กลายเป็นสัญลักษณ์ ของ ระบอบราชาสิทธิราชไปในที่สุด สิ่งที่ เทพารักษ์ (เจว็ด) ถือ ก็คือ พระเดช และพระคุณ แห่ง ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช นั่นเอง
***********
ทรรศนะ+บทความที่จะประกอบเพิ่มเติมในบทความ
1ทรรศนะของมหาตมะคานธีที่มี ต่อ ศาสนาพุทธ/พระพุทธเจ้า จากในหนังสือ สามรัตนบุรุษ ของอินเดีย โดย ดร.กรุณา กุศาสัย (หนังสืออยู่บ้าน)
2. พระพรหม แบบพุทธ และแบบพราหมณ์ ในหนังสือ เทวนิยาย โดย ส.พลายน้อย
3.พระธรรมธีรราชมหามุนี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.9).โลกทีปนี.กรุงเทพฯ : ดอกหญ้า, 2538 . พิมพ์ครั้งที่ 4 (320 หน้า)
อ้างอิง
(1) รวมเสียง และพระธรรมเทศนา ท่านพุทธทาส ภิกขุ. [cited 2008 October 23]. Available from: URL; http://www.geocities.com/putthatat/
(2) เขมาเขมสรณทีปิกคาถา. ชมรมพระพุทธศาสนา เอไอเอ. 2008 October [cited 2008 October 24]. 1 (32) ; (1 screens). Available from: URL;http://www.aia.or.th/prayer32.htm
(3) เทพารักษ์ประจำพระนคร, กรุงเทพมหานคร .เวปไซต์หอมรดกไทย. 1999 August [cited 2008 October 23]. 9 (4) ; (10 screens). Available from: URL; http://www.tv5.co.th/service/mod/heritage/nation/bangkok/index4.htm
(4) พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ฉบับออนไลน์ [cited 2008 October 23]. Available from: URL; http://rirs3.royin.go.th/new-search/word-search-all-x.asp
(5) อุดม วโรตม์สิกขดิตถ์. ภาษาศาสตร์เหมาะสมัยเบื้องต้น. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : ต้นธรรม ; 2537.
(6) สุทธิวงศ์ พงษ์ไพบูลย์. บาลีสันสกฤตที่สัมพันธ์กับภาษาไทย. พิมพ์ครั้งที่ 1.กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช , 2523.
(7) รังสรรค์ จันต๊ะ. เค้าบ้าน เค้าผี เสื้อบ้าน เสื้อเมือง ระบบครอบครัวและการจัดองค์กรชุมชน ในเขตเศรษฐกิจวัฒนธรรมภาคเหนือตอนบน. นิตยสาร วารสารเมืองโบราณ ปีที่ 33 ฉบับที่ 1 (1 มกราคม - มีนาคม 2550). 2007 January-February [cited 2008 October 23]. 33 (18) ; (10 screens). Available from: URL; http://www.muangboranjournal.com/modules.php?name=Sections&op=listarticles&secid=39
(8) เที่ยวตลาดน้ำแวะนมัสการพระที่วัดโชติทายกราม . 2005 September [cited 2008 October 23]. (10 screens). Available from: URL; http://www.212cafe.com/boardvip/view.php?user=history&id=45
(9) สุนัย เศรษฐบุญสร้าง. การเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของพุทธศาสนาในสังคมไทย. พิมพ์ครั้งที่ 1.--กรุงเทพฯ ; ฟ้าอภัย,2542.
(10) Little Jazz (นามแฝง). พระพรหมมาพระภูมิถอย. Little Corner. 2007 May [cited 2008 October 25]. 2 (50) ; (13 screens). Available from: URL; http://gotoknow.org/blog/littlecorner/170947
(11) ไม้จำหลัก, เจว็ด. เวปไซต์พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร. [cited 2008 October 26]. (5 screens). Available from: URL; http://www.thailandmuseum.com/bangkok/maijamlak.htm
(12) เรื่องของศาลพระภูมิ. เวปไซต์มูลนิธิสายใจไทยฯ. 2003 July [cited 2008 October 26]. 5 (10) ; (0 screens). Available from: URL; http://kanchanapisek.or.th/kp4/buddish.htm
(13) จำนง เทพหัสดิน ณ อยุธยา, อำนาจอยู่หนใด ชีวประวัติเหมือนนวนิยายของนักปกครอง 7 ท่าน.--พิมพ์ครั้งที่ 1.--กรุงเทพฯ : พัฒนา, 2533.