วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

นายกยิ่งลักษณ์ กล่าวที่เจนีวา: ขอปกป้องประชาธิปไตยจากผู้มีจิตใจไม่เป็นประชาธิปไตย

นายก ยิ่งลักษณ์กล่าวที่เจนีวา: ขอปกป้องประชาธิปไตยจากผู้มีจิตใจไม่เป็นประชาธิปไตย

            นายกรัฐมนตรีกล่าวในที่ประชุม UNHRC ว่าสิทธิมนุษยชนเป็นหัวใจของประชาธิปไตย ไทยผ่านการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยหลายทศวรรษแต่การเดินทางยังไม่ราบรื่น จึงต้องปกป้องประชาธิปไตยจากผู้มีจิตใจไม่เป็นประชาธิปไตย 
          นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในที่ประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHRC) ที่เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อ 9 กันยายน 2556 (ที่มา: เฟซบุ๊ก Yingluck Shinawatra)
         วันนี้ (9 ก.ย.) ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวปาฐกถาต่อที่ประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 24 โดยมีการถ่ายทอดสดและบันทึกวิดีโอลงในเว็บไซต์ของสหประชาชาติ 

คำกล่าวนายกรัฐมนตรี 
ต่อที่ประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 24
9 กันยายน 2556
ท่านประธานฯ
ท่านผู้อำนวยการฯ
ท่านข้าหลวงใหญ่ฯ
ท่านผู้มีเกียรติ
สุภาพบุรุษและสุภาพสตรี
"ดิฉันรู้สึกยินดีที่ได้มีโอกาสมาเยือนสำนักงานสหประชาชาชาติ ณ นครเจนีวา แห่งนี้
ดิฉันรู้สึกเป็นเกียรติที่เป็นนายกรัฐมนตรีไทยคนแรกที่ได้มากล่าวต่อที่ประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน ดิฉันภาคภูมิใจที่ประเทศไทยมีส่วนร่วมของคณะมนตรีฯ ซึ่งก็เป็นเพียงส่วนเล็กๆเมื่อเทียบกับสำเร็จและความท้าทายต่างๆของท่านทั้งหลายในที่นี้ ที่เกี่ยวข้องในงานด้านสิทธิมนุษยชน
การมาประชุมครั้งนี้ ทำให้ดิฉันระลึกถึงความสำคัญของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal of Declaration of Human Rights)  ซึ่งมีการรับรองเมื่อ 65 ปีที่แล้ว คำว่า “ มนุษย์ทุกคนต่างเกิดมาอย่างเสรี และมีสิทธิและศักดิ์ศรีที่เท่าเทียมกัน” หมายความว่าประชาชนต่างเกิดมาด้วยสิทธิที่เท่าเทียมที่ไม่มีรัฐบาลไหนสามารถปฏิเสธได้
แต่เหตุการณ์ในซีเรีย และที่ต่างๆ แสดงให้เห็นว่าความเป็นจริงนั้นเป็นสิ่งที่แตกต่างไป  
ความท้าทายของการรักษาสิทธิของประชาชนยังคงน่าเป็นห่วง  แต่ประวัติศาสตร์เตือนเราว่าผู้ถูกกดขี่จะลุกขึ้นสู้ และพวกเราที่เชื่อในเสรีภาพจะต้องสามัคคีรวมตัวกันเป็นหนึ่งเพื่อสนับสนุน และในปัจจุบันที่เป็นยุคของการไหลเวียนของข้อมูลข่าวสารตลอดจนโซเชียลมีเดียต่างๆ ผู้ถูกกดขี่มีเครื่องมือใหม่ที่จะแสดงออกถึงความปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลง และรัฐบาลที่ไม่ตอบสนองต่อความปรารถนาของประชาชน ย่อมต้องเผชิญผลกระทบของการปฏิบัติการในการปกป้องคุ้มครองความคิดที่อิสระเสรี หลายคนต่างตั้งความหวังไว้ที่คณะมนตรีสิทธิมนุษยชน และประเทศไทยยินดีที่เห็นคณะมนตรีฯนี้รับแก้ปัญหาความท้าทายต่างๆในหลากหลายโอกาส
การแก้ปัญหาสภาพความกดดันต่อสิทธิมนุษยชนนั้นมีความสำคัญที่คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนจะต้องแสดงข้อกังวลและการตอบสนองอย่างเป็นเอกภาพ การเปลี่ยนแปลงไม่สามารถบรรลุผลได้เพียงชั่วข้ามคืน แต่รัฐบาลต้องถูกตรวจสอบและตอบสนองอย่างรับผิดชอบ ทั้งนี้ เมื่อรัฐบาลใดประสบความล้มเหลว ชุมชนระหว่างประเทศไม่สามารถทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้
สถานการณ์เหล่านี้ไม่สามารถแก้ไขด้วยมติที่ประชุมแต่เพียงลำพัง คำพูดต่างๆทำให้เกิดความรู้สึกที่ดี แต่ด้วยการดำเนินการเท่านั้น ที่สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง ความท้าทายของเราคือ เราจะสร้างผลลัพธ์ที่จริงจังและนำมาซึ่งความแตกต่างในชีวิตของประชาชนหรือไม่ สิ่งนี้ต้องมีการเจรจาหารืออย่างจริงจังและมีพันธสัญญาต่อกันในการปฏิบัติการ
เป็นเรื่องจริงเช่นกันที่ว่า หลายประเทศขาดศักยภาพที่จะรับประกันการเคารพต่อสิทธิมนุษยชนและในการป้องกันความรุนแรงนั้น เราต้องส่งเสริมขีดความสามารถของรัฐบาลให้มากกว่าที่เป็นอยู่
นื่คือเหตุผลว่าทำไมประเทศไทยจึงได้เสนอข้อริเริ่มประจำปีเพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการและสร้างศักยภาพในงานของคณะมนตรีฯ  และเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยสนับสนุน Voluntary Fund for Technical Cooperation in the Field of Human Rights ซึ่งการสนับสนุนนี้เป็นการเพิ่มจากการสนับสนุนประจำปีที่ให้กับงานของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ (Office of the High Commissioner) ซึ่งเราหวังว่าประเทศต่างๆจะได้สนับสนุนและดำเนินการร่วมกันให้มากขึ้น
การเรียกร้องให้ทุกส่วนดำเนินการให้มากขึ้นและดียิ่งขึ้น ดิฉันไม่ได้หมายถึงเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะสิทธิทางการเมืองและพลเมือง ที่รวมถึงเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น แต่เรายังต้องแก้ปัญหาสิทธิทางสังคมและวัฒนธรรม และหาทางเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจสำหรับทุกคน เราจะต้องไม่ยอมรับการกีดกันแบ่งแยกในความไม่เท่าเทียมกัน
ในการนี้ คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนควรภาคภูมิใจกับความสำเร็จของ The Universal Periodic Review หรือ UPR ซึ่งถือเป็น เพชรยอดมงกุฏ ท่ามกลางเครืองมือของคณะมนตรีฯในการพัฒนางานสิทธิมนุษยชนโดยมีเป้าหมายคือ ทุกประเทศได้รับการตัดสินภายใต้มาตรฐานเดียวกัน ไม่มีใครที่มีความสมบูรณ์ แต่เราสามารถทำงานร่วมกันเพื่อปรับปรุงตนเอง
ประเทศไทยได้ดำเนินการตามกระบวนการ UPR เป็นเวลาเกือบ 2 ปีแล้ว และในการดำเนินการนี้ เราผ่านการประเมินตนเองและเราได้ดำเนินการแก้ปัญหาในประเด็นที่มีการแนะนำไว้อย่างต่อเนื่อง โดยมีความก้าวหน้าตามข้อเสนอที่เป็นที่ยอมรับและเราจะทำให้ดียิ่งขึ้น
ท่านประธานฯ
เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ประเทศไทยมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมากในเรื่องสิทธิมนุษยชน ของทุกคน แต่เราก็ตระหนักดีว่า ผู้ที่ขาดสิทธิขาดเสียงและผู้ที่มีความเปราะบางยังปรากฏอยู่รายรอบ
สตรีและเด็กยังคงตกเป็นเหยื่อของความไม่เท่าเทียม ความด้อยโอกาสและการปฏิบัติที่ทารุณโหดร้าย การค้ามนุษย์เป็นปัญหที่าสร้างความเจ็บปวดเสียหายทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก และมีผู้พิการอีกจำนวนมากยังไม่สามารถใช้ศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่
เมื่อดิฉันเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย ดิฉันรู้สึกว่ายังมีผู้คนอีกหลายกลุ่มที่ยังไม่ได้รับสิทธิและโอกาสที่เท่าเทียมด้วยถูกจำกัด ดังนั้นดิฉันจึงสัญญาว่าจะทุ่มเททำงานเพื่อสร้างสิ่งที่ดีกว่าให้กับพวกเขาเพื่อสร้างโอกาสที่เท่าเทียมสำหรับทุกคน
ดิฉันได้ริเริ่มกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี เพื่อให้สตรีได้ใช้ศักยภาพที่เต็มเปี่ยม กองทุนได้จัดให้สตรีในชุมชนทั่วประเทศมีโอกาสที่จะพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ และสร้างโอกาสที่เท่าเทียม
นอกจากนี้ เราได้ตั้ง One Stop Crisis Centres (OSCC) เพื่อให้มีการปฏิบัติการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำหรับผู้ที่เดือดร้อน ทั้งจากการคุกคามทางเพศ ความรุนแรงภายในครอบครัว และการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น
โครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนาประเทศแรกๆที่ได้ดำเนินการ และมีมามากกว่า 10 ปี โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการทางสาธารณสุขที่มีคุณภาพ ทั้งนี้ มีการพัฒนายกระดับในเรื่องของสิทธิประโยชน์และการคุ้มครอง
ในทำนองเดียวกัน ดิฉันเพิ่งจัดให้มีการประชุมปฏิบัติการกับองค์กรระหว่างประเทศหลายแห่ง และมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงแนวทางที่จะทำงานร่วมกันในการดูแลแรงงานต่างด้าว รวมทั้ง การแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ รัฐบาลไทยได้ส่งเสริมให้แรงงานต่างด้าวจดทะเบียน เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองภายใต้หลักประกันสุขภาพ การลงทะเบียนยังจะช่วยป้องกันแรงงานต่างด้าวจาก การกดขี่และผิดกฏหมาย
สำหรับผู้พิการ ดิฉันได้สนับสนุนนโยบายและการปฏิบัติการให้ดำเนินการตามมาตรฐานสากลเพื่อคนพิการ (Universal Design) เพื่อลดลดอุปสรรคทางกายภาพ ผู้พิการต้องสามารถเข้าถึงบริการการเดินทางที่เท่าเทียม ตลอดจนสิทธิประโยชน์ทางสังคม และการสร้างรายได้
ดิฉันควรต้องกล่าวถึงความร่วมมือระดับภูมิภาคซึ่งมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการดำเนินการของคณะมนตรีฯ และส่งเสริมสิทธิมนุษยชนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสตรีและเด็ก จากความท้าทายที่หลากหลายระหว่างภูมิภาคถึงภูมิภาค จึงสำคัญยิ่งสำหรับคณะมนตรีฯในการทำงานร่วมกับองค์กรระดับภูมิภาคและกลไกสิทธิมนุษยชนต่างๆ
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การก่อตั้งคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลของอาเซียน ( ASEAN Intergovernmental Commission : AICHR ) ด้านสิทธิมนุษยชน และปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชนเป็นก้าวสำคัญเช่นกัน
ท่านประธานฯ
สิทธิมนุษยชนเป็นหัวใจของประชาธิปไตย และเป็นหน้าที่ของทุกคนที่ต้องยึดหลักประชาธิปไตย เราไม่สามารถและต้องไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่ขัดต่อหลักประชาธิปไตย และเราต้องคงไว้ซึ่งการสนับสนุนคุณค่าประชาธิปไตยด้วยการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
ในขณะเดียวกัน ประชาธิปไตยไม่ใช่เพียงการชนะการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมาก แต่เป็นการใช้อำนาจในวิถีทางที่เคารพต่อเสียงส่วนน้อย ซึ่งหมายถึงผู้ที่อยู่ในอำนาจต้องไม่ยึดติดกับอำนาจและไม่นำความต้องการของใครคนใดคนหนึ่งยัดเยียดให้กับผู้อื่น ดิฉันเชื่อว่า การดำเนินการของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน และความร่วมมือในการแก้ปัญหาในเรื่องสิทธิมนุษยชนสามารถทำให้รัฐบาลตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนมากขึ้น และจะทำให้อำนาจเป็นของประชาชนเสมอไป
ประเทศไทยได้ผ่านความท้าทายในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาหลายทศวรรษ การเดินทางยังคงไม่ราบรื่น แม้แต่ขณะนี้ ดิฉันยังต้องปกป้องประชาธิปไตยจากผู้มีจิตใจที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
แท้จริงแล้ว ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ความยุติธรรม และนิติรัฐ นิติธรรม เป็นคุณค่าสากลที่เชื่อมประชาชนและประเทศต่างๆเข้าด้วยกัน ประเทศไทยตระหนักถึงความทุ่มเททั้งหลายในการกำหนดให้มนุษย์เป็นศูนย์กลางการพัฒนา เราสนับสนุนหลักคิดที่สะท้อนประเด็นเหล่านี้ ภายใต้วาระการพัฒนาภายหลังปี 2015 อย่างต่อเนื่อง
ท่านปะธานฯ
ดิฉันขอใช้โอกาสนี้กล่าวยกย่อง มาดาม Pilay (หมายถึง: Navi Pillay ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ) และองค์กรนี้
ในฐานะผู้นำสตรี ดิฉันได้แบ่งปันความปรารถนาที่แรงกล้าของเธอในต่อสู้กับความไม่เท่าเทียมทุกรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อสตรีและเด็ก และยังมีอีกมากที่เราสามารถแบ่งปันซึ่งกันและกันและเป็นพลังเพื่อการเปลี่ยนแปลง
ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเป็นสมาชิกที่มีบทบาทและเสนอบทบาทเป็นสะพานเชื่อมในคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน ประเทศไทยรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ดำรงตำแหน่งประธานคณะมนตรีในช่วงเวลาที่สำคัญของการทบทวนบทบาทนี้
เราจะยังคงทำงานอย่างสร้างสรรค์กับสำนักงานข้าหลวงใหญ่และขอแสดงความประสงค์ต่อพันธสัญญาที่มีต่อคณะมนตรีฯต่อไป ประเทศไทยได้เสนอตัวเป็นสมาชิกของคณะมนตรีฯในช่วงปี 2015-2017ความพยายามด้านสิทธิมนุษยชนของไทยในระดับประเทศและระหว่างประเทศเป็นกุญแจสู่เส้นทางประชาธิปไตยของประเทศ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความอดทนและความทุ่มเทอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างประชาธิปไตยให้เกิดขึ้น ประเด็นสำคัญคือ ประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่บ่มเพาะขึ้นในประเทศนั้นๆ แต่เราทุกคนสามารถเรียนรู้จากกันและกัน
ประเทศไทยหมายถึงแผ่นดินแห่งเสรีภาพ จึงเป็นเหตุผลว่าทำเราจึงสนับสนุน Universal of Declaration of Human Rights และเราคนไทยยึดมั่นเคียงคู่กับคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนและทุกคนที่เชื่อว่า มวลมนุษย์ทุกคนต่างเกิดมามีเสรีภาพ และมีสิทธิและศักดิ์ศรีที่เท่าเทียมกัน
ขอบคุณค่ะ"

"อภิสิทธิ์" แกว่งปากแขวะสมาร์ทเลดี้ "พานทองแท้" สวนกลับแนะประกวด "เลดี้สมาร์ก"


"อภิสิทธิ์" แกว่งปากแขวะสมาร์ทเลดี้ "พานทองแท้" สวนกลับแนะประกวด "เลดี้สมาร์ก"

          8 กันยายน 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 17.50น. ที่ผ่านมา นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ดร.ทักาิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความส่วนตัวลงผ่านเฟซบุ๊ก Oak Panthongtae Shinawatra โดยมีข้อความดังนี้


คนประเภทนี้จัดอยู่ในจำพวก "เข้าแก๊งค์ไหน หัวหน้าตายหมด"ครับ

        เป็นลูกน้องอยู่ดีไม่ว่าดี ดันหยิบเอาคำพูดโง่ ๆ ของหัวหน้า ที่อุตส่าห์แอบไปไปพูดเอามันในเวทีเล็กๆแล้ว แต่ลูกน้องดันบ้องตื้นเอาคำพูดที่แสดงถึง ความมีวุฒิภาวะต่ำของหัวหน้าตัวเอง มาประจานต่อหน้าสาธารณะชนให้ชาวบ้านเขาด่าเล่น

         กรอบความคิดของคนพวกนี้ เขามักจะคิดว่า คนที่พูดจาฉะฉานแบบนักโต้วาที ออกเสียงอักขระคำควบกล้ำชัดเจน สามารถพูดจาปราศรัยปากเปล่าได้โดยไม่ต้องจดโน้ต หรือคนที่พูดภาษาอังกฤษชัดเปรี๊ยะแบบศิษย์เก่าอ๊อกซ์ฟอร์ด คือเทพมาเกิด จะต้องมีความฉลาดล้ำเหนือกว่าใครเขา

       ต่อไปนี้คือข้อเท็จจริง ที่เป็นรูปธรรมครับ ไม่ใช่การกล่าวหาลอยๆประเภท ผ่าความจริงจนกระทั่ง แทบจะไม่มีข้อเท็จจริงหลงเหลืออยู่ ถ้าคุณคือผู้ที่ยอมรับความจริงไม่ได้ ขอแนะนำว่าอย่าอ่านต่อ ถ้าคุณคือคนที่มีแต่ความอิจฉาริษยา อยากเป็นนายกฯจนตัวสั่น ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งนายกฯ โดยไม่สนใจว่าประเทศชาติจะฉิบหายอย่างไร ถึงขั้นต้องแนะนำว่าห้ามอ่านครับ เพราะอาจทำให้ต้องนอนไม่หลับ ร้องไห้ทั้งคืนก็เป็นได้ ข้อเท็จจริงที่ว่านี้คือ.....

        .....อาปูคือนายกฯหญิงคนแรกของเมืองไทย อาปูชนะการเลือกตั้งแบบขาวสะอาด อาปูก้าวสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อย่างถูกต้องทำนองคลองธรรม ไม่ต้องพึ่งใบบุญใครในค่ายทหาร อาปูมีคู่ท้าชิงเป็นชายอกสามศอก ที่ชื่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ชาวบ้านเขาก็รู้ว่า นายอภิสิทธิ์ฯอยากเป็นนายกฯมากขนาดไหน แต่นายอภิสิทธิ์ฯก็ต้องผิดหวัง เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่เขาไม่เลือกครับ

         ผู้ที่ชอบตีโพยตีพาย คิดไปเองว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่น ฉลาดล้ำกว่าคนอื่น เป็นผู้แพ้แต่ดันไปกระแนะกระแหนผู้ชนะว่าโง่นั้น ต้องระวังความโง่มันจะย้อนเข้าตัวครับ แข่งขันกันทางการเมือง ตัวเก็งแคนดิเดทนายกฯก็มีเพียงแค่2คน ยิ่งลักษณ์ฯ กับ อภิสิทธิ์ฯ ต้องมีคนหนึ่งแพ้ คนหนึ่งชนะ

          ถ้าหากคนชนะไปเยาะเย้ยคนแพ้ว่าโง่ สังคมก็จะประณามครับ ถือว่าไม่ใช่ลูกผู้ชาย ไม่มีน้ำใจเป็นนักกีฬา แต่เหตุการณ์นี้กลับยิ่งตาลปัตรหนักกว่าเดิมอีก คนชนะอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว ก้มหน้าก้มตาตั้งใจทำงาน แต่คนแพ้กลับมาพูดจาเยาะเย้ยถากถางคนชนะว่าโง่ ถ้าเขาย้อนกลับมาว่า ถ้าคนชนะยังเรียกว่าโง่ แล้วคนแพ้จะเรียกว่าอะไรดี

ใครตอบได้ขอ 3 คำครับ

       ปล. ถ้าโพสต์นี้ มีลิ่วล้อออกมาตะแบงว่าไม่ได้กระแนะกระแหนว่าใคร ต้องขอแนะนำให้ผู้พูดไปหากระโปรงมาใส่ แล้วก็สมาร์ทเลดี้ อะไรนี่ไม่ต้องไปประกวดแล้วเชิญไปประกวด เลดี้สมาร์ก แทนละกันครับแม้

"สื่อฯฮ่องกง" ยกย่อง "นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ประสบความสำเร็จในการสร้างความปรองดองภายในประเทศ


"สื่อฯฮ่องกง" ยกย่อง "นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ประสบความสำเร็จในการสร้างความปรองดองภายในประเทศ




วันที่ 8 กันยายน 2556 (go6TV) นิตยสารชื่อดังรายสัปดาห์ของฮ่องกง ตีพิมพ์ภาพนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร พาดหัวข่าวว่า นายกฯไทยประสบความสำเร็จในการสร้างความปรองดองประเทศไทย

นิตยสารรายสัปดาห์ชื่อดัง Yazhou Zhoukan The International Chinese Newsweekly ฉบับวันที่ 25 สิงหาคม 2556 ได้เผยแพร่บทความชัยชนะของนายกรัฐมนตรีไทย ในการสร้างความปรองดองให้แก่ประเทศไทย

โดยในบทความดังกล่าว ได้เขียนวิเคราะห์ถึงเหตุการณ์การเมืองไทย ตั้งแต่ประเทศไทยเกิดรัฐประหารเมื่อปี 2549 จนเกิดกลุ่มการเมืองภาคประชาชนเสื้อเหลือง-แดง จนได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่เป็นน้องสาวของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร

บทวิเคราะห์กล่าวว่านายกรัฐมนตรีผู้หญิงคนนี้ ใช้ความนุ่มนวลและความจริงใจในการสร้างโอกาสให้กับประเทศ ด้วยการเชิญทุกภาคส่วนเข้าร่วมพูดคุย ตลอดจนเชิญอดีตนายกรัฐมนตรี โทนี แบลร์ อดีตประธานาธิบดีฟินแลนด์ ตลอดจนนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างสันติภาพช่วงการเปลี่ยนผ่าน และนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ สามารถสร้างโอกาสเหล่านี้ได้ด้วยความอดทนและด้วยบุคลิกนุ่มนวล จึงทำให้ผู้นำภาคการเมือง ภาคธุรกิจในประเทศไทยทุกภาคส่วนให้ความร่วมมืออย่างดียิ่งในการเริ่มต้นพูดคุยสันติภาพภายในประเทศไทย

รายละเอียดบทวิเคราะห์ทั้งหมด จะนำมาเผยแพร่ให้ท่านได้ทราบต่อไป




















ม็อบหน้า ปตท. ชกกันเองเลือดสาดเจ็บ 1 แถมโดนจับข้อหาบุกรุกอีก 2


กัดกันเอง! ม็อบหน้า ปตท. ชกกันเองเลือดสาดเจ็บ 1 แถมโดนจับข้อหาบุกรุกอีก 2 คน
ผู้ได้รับบาดเจ็บจากการชกต่อยกันเอง



          วันที่ 9 กันยายน 2556 (go6TV) เมื่อเวลา 17.35 น. เกิดเหตุกลุ่มผู้ประท้วงม็อบสวนลุมและม็อบกลุ่มสภาประชาชนของนายสมาน ศรีงาม ชกต่อยกันหน้าสำนักงานใหญ่ ปตท. มีผู้บาดเจ็บ 1 ราย

         ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การชุมนุมที่หน้าสำนักงานใหญ่บริษัท ปตท. ได้เกิดเหตุชกต่อยกันขึ้น ระหว่างม็อบของสวนลุมพินี กับม็อบของสภาประชาชน ซึ่งจากคำบอกเล่าของผู้สื่อข่าวในเหตุการณ์ ได้อธิบายว่า วันนี้ มีม็อบที่มารวมตัวกันอยู่ประมาณ 5 กลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มก็ต่างใช้เครื่องขยายเสียงพูดปราศัยโจมตี ปตท. กรณีขึ้นราคาค่าแก๊ส LPG อย่างดุเดือด และขณะที่การชุมนุมกำลังดำเนินไปจวนจะเสร็จสิ้นแล้วนั้น สมาชิกกลุ่มสภาประชาชน ของนายสมาน ศรีงาม ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะคือ แต่งชุดสีขาว โกนศีรษะคล้ายนักบวช ได้ไปหยิบเอาบันไดจากในรถ มาพาดกับกำแพงของบริษัท ปตท. และปีนขึ้นไปนั่งอยู่บนรั้วแหลมของอาคาร ปตท. โดยที่มีผู้สนับสนุนกลุ่มนายสมานต่างช่วยกันจับบันใด ให้สมาชิกเดินขึ้นไปทีละคน กลุ่มม็อบสนามหลวง ซึ่งเห็นการกระทำดังกล่าว ก็ได้เข้าไปห้ามปรามไม่ให้กระทำการละเมิดกฏหมาย แต่กลุ่มนายสมานไม่ฟัง จนเกิดการโต้เถียงปะทะคารมกันไปมาสองกลุ่มอยู่ประมาณ 10 นาที เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อสมาชิกจากกลุ่มสภาประชาชน ก็โมโหวิ่งปรี่เข้าไปชกหน้ากลุ่มม็อบสวนลุมที่ยืนด่าอยู่ และมีเหตุการณ์ตะลุมบอนกันอยู่ครึ่งหนึ่ง ก่อนมวลชนจะมาช่วยกันแยกคู่กรณีให้แยกจากกัน ซึ่งในขณะที่กลุ่มมวลชนทะเลาะชกต่อยกันอยู่ด้านนอก สมาชิกกลุ่มสภาประชาชนก็ได้ปีนรั้วข้ามเข้าไปในอาคาร ปตท. และถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับไปได้ 2 คน ท่ามกลางเสียงก่นด่า-สมน้ำหน้า ของม็อบสวนลุมด้านนอก ผู้ชุมนนุมม็อบสวนลุมบางส่วน ได้ตะโกนผ่านไปในรั้วว่า "ไอ้โง่ ไอ้ควาย สมน้ำหน้าแม่ง ทำอะไรโง่ๆ ให้แม่งคิดคุกไป ไอ้ควาย ไม่ต้องไปประกันแมร่งมัน"

สมาชิกสภาประชาชน ปีนรั้วบุกรุกเข้าไปในสำนักงานใหญ่ ปตท.

แห่กันปีนรั้วเข้าไปในสำนักงานใหญ่ ปตท. ถูกรวบตัว 2 ข้อหาบุกรุก