วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557

นักศึกษาญี่ปุ่นชูข้อความและสัญลักษณ์เพื่อแสดงความห่วงใยคนไทย



นักศึกษาชาวญี่ปุ่นซึ่งศึกษาเรื่องไทยและอาเซียน เผยแพร่ภาพแสดงข้อความเพื่อแสดงความห่วงใยคนไทย โดยถือป้ายกระดาษอ่านได้ว่า "ความหลงของมนุษย์" "ถือว่าอำนาจ" "ทำอะไรถูกหมด" และถือหนังสือ "ปีศาจ-1984-แลไปข้างหน้า" พร้อมชูสามนิ้ว
15 ธ.ค. 2557 - ผู้สื่อข่าวได้รับภาพซึ่งส่งมาจาก กลุ่มนักศึกษาชาวญี่ปุ่น ผู้ศึกษาเรื่องไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อยู่ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เป็นภาพการแสดงข้อความและสัญลักษณ์ โดยระบุว่าเพื่อแสดงความห่วงใยต่อคนไทย
ภาพแรก เป็นนักศึกษาสามคน แต่ละราย ใส่หน้ากากเขียนข้อความำว่า "ตื่นแล้ว ตื่นแล้ว" "Freedom of Speech" และ "ลาก่อย มนุษยภาพ" โดยทั้งสาม นั่งถือป้ายข้อความอ่านจากซ้ายไปขวาว่า "ความหลงของมนุษย์" "ถือว่าอำนาจ" "ทำอะไรถูกหมด
อีกชุดภาพหนึ่ง นักศึกษากลุ่มเดียวกัน มือขวาชูสามนิ้ว มีซ้ายชูหนังสือคนละเล่ม จากซ้ายไปขวา เป็นหนังสือ "ปีศาจ" ผลงานเสนีย์ เสาวพงศ์, "1984" ผลงานจอร์จ ออร์เวลล์ และ "แลไปข้างหน้า" ผลงานของ "ศรีบูรพา" ซึ่งเป็นนามปากกาของกุหลาบ สายประดิษฐ์

มองอนาคต 30 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ถ้าพวกเขาไม่โดนอุ้มหาย


จะเป็นอย่างไรถ้าโลกนี้ไม่การอุ้มหาย? รวบรวมกิจกรรมรำลึก 2 ปีของถูกบังคับให้หายไปของ สมบัด สมพอน นักพัฒนาสังคมประเทศลาว คนรุ่นใหม่ยัน "2 ปีเราไม่ลืม"
15 ธ.ค. 2557 เมื่อวานนี้ ที่ห้องโถง สำนักงานกลางนักเรียนคริสเตียน ได้มีการจัดงานเสวนาในหัวข้อ “ถ้าโลกนี้ไม่มีการอุ้มหาย Imagine there’s no abduction”  โดยเครือข่ายคนหนุ่มสาวลุ่มน้ำโขง ร่วมกับสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล และมูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพ เพื่อรำลึก 2 ปี ที่สมบัด สมพอน ถูกบังคับให้หายตัวไป ซึ่งมีผู้ร่วมเสวนาคือ เปรมฤดี ดาวเรือง โครงการฟื้นฟูนิเวศในภูมิภาคแม่น้ำโขง (เพื่อนร่วมงานสมบัด สมพอน) ประทับจิต นีละไพจิตร ผู้แทนมูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพ (บุตรสาวของสมชาย นีละไพจิตร) และวีดีโอสัมภาษณ์ครอบครัวของ บิลลี่ พอละจี รักจงเจริญ รวมอยู่ในงานเสวนาด้วย
30 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ถ้าพวกเขายังอยู่กับเรา
“ถ้าอีก 30 ปีข้างหน้า เราไม่สูญเสียอ้ายสมบัด เราก็จะไม่สูญเสียเยาวชนที่มีพลังและความคิดสร้างสรรค์ คนรุ่นใหม่เหล่านี้เป็นกำลังสำคัญในการพาลาวเดินก้าวต่อไปข้างหน้า” เปรมฤดี ดาวเรือง โครงการฟื้นฟูนิเวศในภูมิภาคแม่น้ำโขง
เปรมฤดี เริ่มต้นด้วยการเล่าถึงครั้งแรกที่ได้พบกับ สมบัด สมพอน คือเมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมา และครั้งสุดท้ายที่ได้พบกับสมบัด คือหนึ่งวันก่อนที่เขาจะถูกพาตัวไป การจะจินตนาการถึงอีก 30 ปีข้างหน้า ย่อมต้องกลับมาย้อนมองสิ่งที่ สมบัด ทำตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งจะเห็นว่าประเด็นที่ สมบัด ให้ความสนใจมากในช่วงหลัง คือเรื่องของคนหนุ่มสาว พลังเยาวชน สันติภาพ แต่ช่วงแรกประเด็นที่สมบัดให้ความสนใจ คือเรื่องกสิกรรมยืนยง ที่พยายามจะทำความเข้าใจว่าการทำกสิกรรมของประเทศลาวเป็นอย่างไร ทว่าพอเวลาผ่านมาในช่วงท้ายประเด็นที่ สมบัด ให้ความสนใจคือเรื่องของคนหนุ่มสาว ซึ่งนั่นสะท้อนให้เห็นว่า สมบัด ได้คิดวิเคราะห์มาอย่างดีแล้วว่า การจะพัฒนาประเทศลาวให้ยั่งยืนนั้น กลุ่มคนที่จะเป็นพลังในการขับเคลื่อนคือ กลุ่มเยาวชนคนหนุ่มสาว
เปรมฤดี กล่าวต่อไปว่า หากจินตนาการไปถึงอนาคตอีก 30 ปีข้างหน้าถ้าสมบัด ยังอยู่กับเรา สิ่งที่เราจะเห็นคือ ประเทศลาวจะมีเยาวชนที่กลายมาเป็นผู้นำในการพัฒนาประเทศ และนำพาให้ประเทศลาวก้าวเดินไปข้างหน้าได้ อย่างไรก็ตามการที่สมบัด หายตัวไปนั้น กลับให้คนที่ยังอยู่ย้อนกลับมาตั้งคำถามว่า การอุ้มหายในภูมิภาคเอเชีย หรือทั่วโลกนั้นมีความรุนแรงอย่างไร และกลับมาตื่นตัวเพื่อร้องบอกกับสังคมว่า การอุ้มหาย ไม่ใช่เรื่องปกติ ทว่าเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม
“อีก 30 ปีข้างหน้าถ้าเขายังอยู่ ประเด็นที่เขาจะทำคือเรื่องคนไม่ดีในสังคมไทย ซึ่งตอนนั้นดิฉันเองก็ยังไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้รู้สึกภูมิใจมากที่ระดับความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนในสังคมไทย เริ่มมีการอภิปรายกันถึงเรื่อง คนไม่ดีก็ควรมีสิทธิ คนไม่ดีก็ควรมีคุณค่าด้านสิทธิมนุษยชน” ประทับจิต นีละไพจิตร
ประทับจิต เริ่มต้นการเล่าถึงความเสียดายที่ปัจจุบันนี้ไม่ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน สมชาย เลยทำให้เกิดคำถามอยู่ในใจว่า ถ้าสมชายยังอยู่กับเราในวันนี้เขาจะมีความคิดเห็นอย่างไรกับการประกาศใช้กฏอัยการศึกทั่วประเทศแบบนี้ เพราะงานสุดท้ายที่สมชายทำก่อนที่เขาจะหายตัวไป คือการล่ารายชื่อเพื่อยกเลิกการประกาศใช้กฏอัยการศึกใน  3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ประทับจิตกล่าวต่อไปว่า ถ้าหากจินตนาการถึงช่วงเวลาอีก 30 ปีข้างหน้า สมชายยังอยู่กับเรา เราอาจจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นของ การบวนการยุติธรรมและการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของผู้ด้อยโอกาสในสังคม และรวมทั้งเราอาจจะได้เห็นการสร้างหลักประกันที่เสมอกันต่อหน้ากระบวนการยุติธรรมว่า ไม่ว่าใครก็ตาม ทั้งคนดี และคนไม่ดี ย่อมที่จะสมควรได้รับหลักประกันเรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งการสร้างความเข้าใจในลักษณะนี้ไม่เป็นแต่เพียงการขับเคลื่อนงานในเชิงโครงสร้างกระบวนการยุติธรรมเท่านั้น ทว่าสิ่งที่สมชาย ทำคือความพยายามขับเคลื่อนในเชิงวัฒนธรรมด้วย เพื่อให้เกิดความคิดและความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง
ด้านครอบครัวของพอละจี รักจงเจริญ ได้กล่าวว่า ถ้าโลกนี้ไม่มีการอุ้มหาย เชื่อว่าโลกใบนี้จะมีแต่สิ่งที่ดี เช่นบิลลี่ ซึ่งเป็นคนที่มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือคน ช่วยฟื้นฟูวิถีชีวิตของคนในชุมชน และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น เขาต้องการให้ชาวบ้านทุกคนมีที่ดินทำกิน เพื่อให้ชาวบ้านมีความสุข ตอนที่บิลลี่ยังอยู่เขาจะคอยช่วยทุกคน แต่ตอนนี้เขาไม่อยู่แล้วชาวบ้านก็ไม่รู้จะไปขอความช่วยเหลือจากใคร บางคนเขาก็กลัว แต่ถ้าบิลลี่ยังอยู่ชาวบ้านก็จะไม่กลัวว่าจะมีใครมาทำลายหรือคิดไม่ดีกับพวกเขา
ทริปโบกรถเพื่อสันติภาพ และความไว้ใจเพื่อนมนุษย์
ก่อนที่จะมาถึงการจัดงานเสวนาครั้งนี้กลุ่มเครื่อข่ายนักกิจกรรมเพื่อสังคม ที่รวมตัวกันในนามกลุ่ม Sombath Somphone & Beyond Project ได้จัดกิจกรรมทริปโบกรถเพื่อสันติภาพเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ที่ผ่านมา โดยเริ่มต้นโบกรถจากกรุงเทพฯ ไปยังจังหวัดหนองคาย ซึ่งมีวัตถุประสงค์ 2 ประการคือ 1.เพื่อเป็นการรณรงค์ไม่ยอมรับการอุ้มหาย ให้กับเพื่อนร่วมทางที่จอดรถรับระหว่างทาง 2.เพื่อเป็นการยืนยันว่าสันติภาพระหว่างเพื่อนมนุษย์ยังมีอยู่จริง
หนึ่งในผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้เล่าถึงความเชื่อมโยงระหว่างการโบกรถ และการรณรงค์เรื่องการอุ้มหายว่า การโบกรถไปต่างจังหวัดในสมัยนี้เริ่มมีให้เห็นน้อยลง อาจจะเป็นเพราะหลายสาเหตุ แต่ส่วนหนึ่งเห็นว่าเป็นเพราะความเชื่อใจ และความไว้วางใจซึ่งกันและกันระหว่างเพื่อนมนุษย์มีน้อยลง ซึ่งหมายถึงสันติภาพก็น้อยลงด้วย การที่พวกเราจัดทริปนี้ก็เพื่อเป็นการยืนยันว่าสันติภาพยังมีอยู่จริง และไม่ใช่เรื่องไกลตัว ส่วนในแง่ของการรณรงค์เรื่องการอุ้มหายนั้นคิดว่าการโบกรถก็มีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากในหลายๆ กรณีภาพสุดท้ายที่เราเห็นผู้ที่อุ้มหายไปนั้น ถูกพาขึ้นรถไป เช่น สมบัด สมพอน และ บิลลี่  แต่สุดท้ายการโบกรถครั้งนี้เราก็มาถึงจุดหมายได้ด้วยความปลอดภัย พร้อมกับมิตรภาพใหม่ที่เกิดขึ้นระหว่างทาง
ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 14 ธ.ค. ที่ผ่านมา เมื่อกลุ่มทริปโบกรถเพื่อสันติภาพเดินทางไปถึงจังหวัดหนองคายแล้ว ได้มีการจัดกิจกรรมรณรงค์ “ถ้าโลกนี้ไม่มีการอุ้มหาย” ที่บริเวณถนนคนเดิน ท่าเสด็จ ริมฝั่งแม่น้ำโขง โดยมีประชาชนในพื้นที่ และนักท่องเที่ยวให้ความสนใจอย่างมาก
ภายหลังจากการรณรงค์เสร็จสิ้นได้มีการพบปะพูดคุยกันระหว่างกลุ่มทริปโบกรถ กับครอบครัวของสมบัด สมพอน ด้วย โดยอึ้ง ชุยหมิง ภรรยาของสมบัด สมพอน ได้ขอบคุณที่กลุ่มเยาวชนคนหนุ่มสาวให้ความสนใจในประเด็นการอุ้มหาย โดยเฉพาะในกรณีของ สมบัด ซึ่งหลายคนไม่ได้รู้จัก สมบัด เป็นการส่วนตัวแต่กลับให้ความสนใจ และร่วมเรียกร้องในประเด็นดังกล่าว

‘ประยุทธ์’ สั่ง คสช. ดำเนินคดีหมิ่นสถาบันทั้งใน-นอกประเทศ ชี้โพสต์สมศักดิ์ เจียม ไม่เหมาะสม


Tue, 2014-12-16 17:16

           หัวหน้า คสช.สั่งตามผู้ทำผิดมาตรา 112 ทั้งใน-นอกประเทศมาดำเนินคดี เน้นทำความเข้าใจต่างประเทศไม่ให้ใช้เป็นฐานเคลื่อนไหว ระบุสมศักดิ์ เจียม โพสต์ข้อความวิจารณ์สถาบัน ไม่เหมาะสม ชี้เป็นอาจารย์ต้องสอนคนเคารพ ก.ม.

         16 ธ.ค.2557 สำนักข่าวไทยรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมร่วม ครม. - คสช. มีคำสั่งให้ คสช. ติดตามความเคลื่อนไหวของผู้กระทำผิดกฎหมายโดยเฉพาะมาตรา 112 ที่หลบหนีอยู่ทั้งในและนอกประเทศมาดำเนินการตามกฏหมาย รวมถึงทำความเข้าใจกับต่างประเทศไม่ให้ใช้เป็นฐานในการเคลื่อนไหว

          พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การที่ต่างประเทศไม่สามารถส่งตัวผู้กระทำความผิด หรือการที่ไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้นั้น เนื่องจากมีกฏหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอยู่เป็นจำนวนมาก จึงต้องทำความเข้าใจกับต่างประเทศถึงการเคลื่อนไหวเหล่านั้นว่า เป็นการสร้างความแตกแยก เป็นเรื่องที่ร้ายแรงและถือเป็นภัยต่อความมั่นคง เนื่องจากมีการดึงสถาบันมาใช้ในการเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลยอมไม่ได้ และยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้ใช้อำนาจเกินขอบเขต หรือนำมาตรา 112 มาเล่นงานทางการเมือง

         นอกจากนี้ สำนักข่าวไทยรายงานถึงคำกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่กล่าวถึงนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ที่เดินทางไปนอกประเทศแล้วว่า ยังคงมีการวิจารณ์สถาบันผ่านทางโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม

          ขณะที่วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหารโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก Wassana Nanuam รายงานคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่กล่าวถึงกรณีดังกล่าวด้วยเช่นกัน

         "อย่างสมศักดิ์ ก็ยังเขียนอยู่ เขียนอย่างโน้น อย่างนี้ เขียนไปเรื่อย คนพวกนี้มีไม่กี่คนหรอก เป็นถึงครูอาจารย์ทำได้อย่างไร สอนให้คนปฏิเสธกฎหมาย ต้องสอนให้เคารพกฎหมาย อนาคตจะเป็นยังไง ก็ว่ามา อย่างนี้ไม่ได้ ผมไม่ยอม อยู่แล้ว"