วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555


ลิ่วล้อเผด็จการ


นายสุชาติ สหัสโชติ ที่อ้างตัวเป็นเป็นประธานชมรมนิติมธ.2501 ขับไล่คณะนิติราษฎร์พ้นจากการเป็นอาจารย์ธรรมศาสตร์ ที่แท้เป็นลิ่วล้อเผด็จการ เคยได้ปูนบำเหน็จเป็น สสร. สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสมาชิกวุฒิสภาลากตั้ง ยุคคมช.หลังรัฐประหาร 19 กันยาฯ

นายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตนายกรัฐมนตรี ก็เป็นศิษย์้เก่านิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ รุ่นพ.ศ.2501ด้วย ในวันที่นายสุชาติออกมาเคลื่อนไหวขับไล่นิติราษฎร์ นายชวนก็ออกมาให้สัมภาษณ์เป็นคอหอยลูกกระเดือกรับลูกกันเป็นทอดๆ (ดูข่าวประกอบ)

นิติมธ.01 จี้ปลดอาจารย์ "นิติราษฎร์" ร้องอธิการบดีห้ามใช้มหาวิทยาลัยเป็นสถานที่รณรงค์แก้ม.112

ชมรมนิติ มธ. 01 นำโดยนายสุเทพ นิรันดร และนายสุชาติ สหัสโชติประธานชมรมชมรมนิติ มธ. 01 ได้ออกแถลงการณ์และทำจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้ดำเนินการห้ามไม่ให้มีการใช้สถานที่ของมหาวิทยาลัย ในการรณรงค์ยกเลิกหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 8 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ที่จาบจ้วงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และยังเรียกร้องให้กลุ่มอาจารย์นิติราษฎร์ และคณะอื่นอีกบางคณะยุติการปฏิบัติหน้าที่อาจารย์ทันที เพื่อไม่ให้นักศึกษารับความคิดมาเป็นแบบอย่าง พร้อมกับให้มีการดำเนินการสอบสวน เพื่อลงโทษทางวินัยกลุ่มอาจารย์นิติราษฎร์ หลังแสดงออกอย่างชัดเจนว่า เป็นผู้ไม่นิยมเลื่อมใสการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข

นายชวน หลีกภัย หนึ่งในรุ่นนิติ มธ.01 ระบุว่า พรรคประชาธิปัตย์ชัดเจนมีจุดยืนชัดเจนว่า ไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหว รณรงค์ยกเลิก หรือแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 8 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 ของกลุ่มนิติราษฎร์ แม้กลุ่มนิติราษฎร์จะมีสิทธิเสนอความเห็นทางวิชาการได้ แต่การแก้ไขแก้ไขจะต้องดำเนินการผ่านรัฐสภา โดยเรื่องดังกล่าวไม่มีทางการผ่านสภาฯ ได้แน่นอน
http://redusala.blogspot.com

อดีต นศ.ละครแขวนคอชี้ นิติราษฎร์เหยื่อซ้ำรอย 6 ตุลา

เรื่องแบบนี้ทำมาเหมือนๆกัน ตั้งแต่การกล่าวหา ..ท่านปรีดี กรณีลอบปลงพระชนม์ ร. 8 กรณีหมิ่นพระบรม ฯ เหตุการณ์ 6 ตุลาคม ...ของผม มาจนถึง คณะนิติราษฎร์ กำลังเป็นเหยื่อรายปัจจุบัน -อภินันท์ บัวหภักดี อดีตนักศึกษาเหยื่อกรณี 6 ตุลา 19

อภินันท์ บัวหภักดี อดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เคยแสดงเป็นตัวละครช่างไฟฟ้าถูกแขวนคอที่จังหวัดนครปฐม เพื่อประท้วงการเดินทางกลับประเทศไทยของจอมพลถนอม กิตติขจร แต่ถูกสื่อหนังสือพิมพ์ช่วงนั้นบิดเบือนว่า นักศึกษาเล่นละคร"หมิ่นเจ้าฟ้าชาย" จนนำไปสู่การจุดชนวนปลุกเร้าให้เจ้าหน้าที่ และมวลชนออกมาปราบปรามเข่นฆ่านักศึกษาที่ชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อย่างทารุณโหดร้ายในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับกรณีคณะนิติราษฎร์ว่า กำลังตกเป็นเหยื่อเช่นเดียวกับที่เขาและนักศึกษา 6 ตุลาฯเคยเจอมา

นับจากกรณี 6 ตุลาคม 2519 เป็นต้นมา แทบจะนับครั้งได้ที่เขาจะแสดงความคิดเห็นทางด้านการเมือง นี่เป็๋น 1 ในจำนวนน้่อยครั้งที่ว่านั้น โดยอภินันท์ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ค ดังต่อไปนี้

วันนี้ ขอแสดงความคิดเห็นทางการเมืองสักครั้ง

ในฐานะ คนที่เคยโดนทำร้ายด้วยกฏหมายมาตราที่ว่าด้วยพระมหากษัตริย์ และ พระราชวงศ์

... อย่างไม่เป็นธรรม ย้ำอีกครั้ง อย่างไม่เป็นธรรม ...

แถมท้ายว่า เป็นการใส่ร้ายป้ายสี หลอกลวงคนทั้งประเทศ

ที่ประชาชนทั้งประเทศจำนวนไม่น้อย ก็ตั้งใจที่จะเชื่อด้วยว่า

การใส่ร้ายป้ายสี หลอกลวง นั้น ... เป็นความจริง



กรณี การล่าชื่อเพื่อให้แก้ไขมาตรา 112 ของคณะนิติราษฎร์ นั้น

ผมเห็นว่า กฏหมายมาตรานี้ ก็เป็นกฎหมายมาตราหนึ่ง

ทำไมกลุ่มคนที่จะต้องมีส่วนปฏิบัติตามกฏหมายนี้ ..จะขอให้แก้ไขบางส่วน ..ไม่ได้

สิทธินี้ ควรเป็นสิทธิตามระบอบประชาธิปไตย

และจริงๆ วิธีการแก้ไขก็มีระบุไว้อยู่แล้ว


ทำไมฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย จึงต้องกระทำการดัง ... การล่าแม่มด ...

คือการกล่าวหา ...ใส่ร้ายป้ายสี ...หลอกลวงคนทั้งประเทศ ...

ว่าคณะ นิติราษฎร์ มีแผนการณ์ มีความคิดว่าจะโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์

แล้วก็โยงใยไปถึง กลุ่ม นปช. คนเสื้อแดง รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ..แบบเหมารวม


ผมเห็นว่า เรื่องแนวคิดทางการเมือง ..ย่อมมีการเห็นตรงกันได้ ..

แต่ก้ไม่ได้หมายความว่า ..จะต้องเป็นกลุ่มเดียวกัน ...

และผมก้ไม่เห็นว่า คณะนิติราษฎร์ จะมีแนวคิด มีแผนการณ์

จะคิดโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ตรงไหน


ฝ่ายที่ต่อต้านคณะนิติราษฎร์ กำลังกระทำการอย่างที่คุ้นเคย

คือการกล่าวร้าย ด่าทอ ใส่ร้ายป้ายสี หลอกลวงประชาชน

เพื่อสร้างความรู้สึกโกรธแค้น ชิงชัง ..จนทำให้ฝ่ายที่ได้รับข้อมูล พร้อมที่จะเชื่อ ...


เรื่องแบบนี้ทำมาเหมือนๆกัน ตั้งแต่การกล่าวหา ..ท่านปรีดี กรณีลอบปลงพระชนม์ ร. 8

กรณี หมิ่นพระบรม ฯ เหตุการณ์ 6 ตุลาคม ...ของผม

มาจนถึง คณะนิติราษฎร์ กำลังเป็นเหยื่อรายปัจจุบัน ครับ

*********
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:บทสัมภาษณ์ "อภินันท์ บัวหภักดี" : ชายผู้ถูกกล่าวหาว่า "แสดงละครหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ"

คัดจาก นิตยสารสารคดี
ปีที่ 12 ฉบับที่ 140 ประจำเดือนตุลาคม 2539



อภินันท์ บัวหภักดี อดีตนักศึกษาที่ถูกกล่าวหาว่าแสดงละครหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เนื่องจากภาพที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์บางฉบับมีใบหน้าคล้ายองค์รัชทายาท จนกลายเป็นชนวนสำคัญของเหตุการณ์
6 ตุลา 19

เขาเป็น 1 ใน 19 ผู้ต้องหาจากเหตุการณ์ 6 ตุลา 19

ปัจจุบันเขาเป็นบรรณาธิการประจำกองบรรณาธิการ นิตยสาร อสท.


“เหตุการณ์นี้เป็นอุบัติเหตุในชีวิตที่เราบังเอิญเดินผ่านชุมนุมนาฏศิลป์และการละครในเช้าวันนั้น แต่ไม่ใช่อุบัติเหตุทางการเมืองแน่นอน เพราะเหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็วในเวลาไม่กี่ชั่วโมง”


อภินันท์ บัวหภักดี ย้อนอดีตเหตุการณ์การแสดงละครเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2519 ณ ลานโพ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


“ผมเป็นนักกีฬามหาวิทยาลัย กิจกรรมที่ทำส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมเกี่ยวกับกีฬา แต่ผมก็มีเพื่อนที่ทำกิจกรรมอยู่ใน อมธ. และชุมนุมต่าง ๆ ทุกวันเราจะเห็นเพื่อนเขียนโปสเตอร์ เขียนบอร์ด ถ้าผมว่างก็ไปช่วย และตอนนั้นเราก็เหมือนเพื่อนปีหนึ่งด้วยกันที่อยากเข้ากับชุมนุมอะไรซักชุมนุม ก็ตัดสินใจเข้าชุมนุมนาฏศิลป์และการละคร ผมชอบเล่นละครมาก แต่เล่นไม่เก่ง ทำอยู่พักหนึ่งก็รู้ว่าตัวเองไม่ไหวแล้ว พอดีช่วงนั้นมีวงดนตรีต้นกล้า ผมเป่าขลุ่ยเก่งก็เลยเปลี่ยนจากเล่นละครมาเล่นดนตรี

พอพระถนอมกลับมาก็มีการคุยกันในศูนย์กลางนิสิตฯ เพื่อจะจัดกิจกรรมประท้วงการกลับมาของพระถนอม ศูนย์กลางนิสิตฯ จะส่งแนวคิดลงมายังชุมนุมต่าง ๆ ว่า ทำอย่างไรที่จะให้นักศึกษาหยุดเรียนเพื่อมาประท้วงการกลับมาของพระถนอม สำหรับชุมนุมนาฏศิลป์ฯ ก็คิดกันว่าจะจัดการแสดงขึ้นในวันที่นักศึกษาปีที่ 1 หยุดสอบ เพราะถ้าทำให้นักศึกษาปีที่ 1 หยุดสอบได้ จะทำให้นักศึกษาทั้งหมดหยุดสอบไปโดยปริยาย”


ดังนั้นชุมนุมนาฏศิลป์ฯ จึงร่วมกันคิดละครขึ้นมาชุดหนึ่ง ในตอนแรกมีพล็อตเรื่องเพียงเรื่องเดียวซึ่งไม่เกี่ยวกับการแขวนคอ


“พล็อตเก่าเป็นละครเรื่องหนึ่ง จำลองภาพเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลา ที่นักศึกษาประท้วงแล้วถูกยิงตายกันเยอะ พล็อตนั้นก็ให้นักศึกษาทำเป็นนอนตายเต็มลานโพ มีคนตายเรียงอยู่ตามขั้นบันไดทางขึ้นตึกศิลปศาสตร์ (ตึกที่นักศึกษาปีที่ 1 ใช้สอบ) มีคนแต่งตัวเป็นพระถนอมและลูกศิษย์ ทำเป็นเดินวนเวียนอยู่บริเวณที่มีคนนอนตาย แล้วพระถนอมก็พูดพล่ามอยู่ตลอดเวลาว่า อาตมาขอบิณฑบาตอีกสักสี่ห้าสิบศพนะ ส่วนภาพที่เป็นหลักคือ ภาพนักศึกษาคนหนึ่งกำลังขึ้นไปสอบ นักศึกษาจะต้องเดินข้ามคนตายไปทีละคน ๆ ระหว่างที่เดินขึ้นบันได คนที่นอนอยู่จะถามว่า “คุณจะไปไหน” นักศึกษาก็ตอบว่า “จะขึ้นไปสอบ” คนที่นอนอยู่ก็บอกว่า ถ้าจะขึ้นไปสอบก็ต้องข้ามศพคนพวกนี้ไปก่อน ในขณะเดียวกันกับพระถนอมก็บิณฑบาตขอศพไปเรื่อย ๆ แล้วก็มาถึงไคลแมกซ์ นักศึกษาคนนั้นจะค่อย ๆ เดินไป ตัวสั่นไป ฉากจบคือ นักศึกษาทิ้งหนังสือ ไม่ไปสอบแล้ว”


ส่วนพล็อตที่ 2 เป็นพล็อตที่นำมาจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 24 กันยายน เป็นพล็อตที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าจะเป็นชนวนของเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนี้


“พล็อตที่ 2 คิดขึ้นได้จากเหตุการณ์ฆ่าแขวนคอช่างไฟฟ้าจังหวัดนครปฐมที่ไปติดโปสเตอร์ต่อต้านการกลับมาของพระถนอม พอกลางคืนวันนั้นชมรมนาฏศิลป์ฯ ก็คิดพล็อตกันเลย สาเหตุที่เล่นเรื่องแขวนคอ เพราะต้องการให้เห็นภาพความโหดร้ายของพระถนอม ที่กลับมาไม่ทันไรก็มีคนถูกแขวนคอ เป็นภาพที่สะเทือนขวัญก็เลยเอามาแสดง พอคิดเสร็จก็ลองเอาเฮียวิโรจน์ (วิโรจน์ ตั้งวาณิชย์) ขึ้นไปแขวนดู”


แล้วอุบัติเหตุในชีวิตของเขาก็เกิดขึ้น เมื่อเขาบังเอิญเดินผ่านชุมนุมนาฏศิลป์ฯ ในเช้าวันที่ 4 ตุลาคม


“วันนั้นผมนักเพื่อนที่ชมรมวอลเลย์จะไปดูหนังเรื่อง “ยุทธภูมิมิดเวย์” ด้วยกัน ตั้งใจว่าจะไปดูรอบเช้า นั่งรอเพื่อนอยู่นานเพื่อนก็ไม่มาสักที เราก็ไม่รู้จะทำอะไร เลยเดินเล่น เห็นเขากำลังจับเฮียแขวนอยู่ใต้ต้นไม้ รู้สึกน่าสนุกดี พอปลดเฮียลงมาเฮียก็บ่นว่าเจ็บ ก็เลยต้องหาคนอีกคนเอาไว้สลับ บังเอิญผมเดินขึ้นไปตอนเขากำลังบ่นว่าเจ็บพอดี สักพักหน่อย (อนุพงศ์ พงศ์สุวรรณ) ก็ออกมาบอกว่าให้ผมช่วยหน่อย เพราะคนที่ขึ้นไปแขวนจะต้องตัวเล็ก ๆ ตอนนั้นน้ำหนักผมประมาณ 50 กิโลเท่านั้น เราว่างอยู่ไม่รู้จะทำอะไรแล้ว ก็ตัดสินใจเดี๋ยวนั้นเลย

รู้ตัวว่าเป็นนักแสดงตอนสิบเอ็ดโมง แล้วต้องแสดงก่อนนักศึกษาเข้าสอบบ่ายโมง จึงมีเวลาเตรียมตัวนิดเดียว เขาก็ให้ไปหาเสื้อมาใส่ เราก็ไปค้นจากกองเสื้อที่ใช้เล่นละคร ก็ได้เสื้อ รด. สีคล้ำ ๆ ซึ่งเข้าชุดกับกางเกงสีเขียวที่เรานุ่งอยู่ หลังจากนั้นจึงให้เพื่อนชื่อต้อที่อยู่วงดนตรีกงล้อมาแต่งหน้าให้ โดยแต่งให้เหมือนกับคนถูกซ้อม พอแต่งหน้าเสร็จก็ออกไปแสดงเลย ตอนนั้นเขาเตรียมบทอะไรเราก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าพอเฮียวิโรจน์เจ็บ ก็จะเปลี่ยนให้เราขึ้นไปแขวนแทน จำได้ว่าขึ้นไปแขวนสองสามเที่ยว ละครที่เล่นไม่มีบทพูด เป็นการแสดงภาพเฉย ๆ คนที่เดินผ่านไปมาเขาจะรู้ว่าเราต้องการสื่ออะไร และมีคนคอยพูดโทรโข่งอยู่ด้านล่าง ชักชวนให้นักศึกษาเข้าร่วมชุมนุม ตอนนั้นไม่มีใครพูดว่าหน้าเหมือนใครเลย”


ระหว่างเล่นละคร ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อธิการบดีในขณะนั้น ได้ลงมาขอร้องให้นักศึกษาเลิกแสดงละคร เนื่องจากถึงเวลาที่นักศึกษาต้องเข้าสอบ แต่มีนักศึกษาเข้าห้องสอบน้อยมาก ในที่สุดมหาวิทยาลัยจึงประกาศงดสอบ


“ตอนแรกอาจารย์ป๋วยก็ลงมาห้าม บอกว่าให้เลิกได้แล้ว แต่ท่านก็ทำอะไรไม่ได้ ตอนนั้นอาจารย์ป๋วยน่าสงสารที่สุดเพราะถูกบีบจากทั้งสองฝ่าย อาจารย์ป๋วยเปิดโอกาสให้ทำตามสิทธิตามปรัชญาของท่านว่ามหาวิทยาลัยจะต้องมีเสรีภาพ ท่านก็ไม่ได้คัดค้านพวกเรา แต่ท่านต้องทำตามหน้าที่”


หลังจากเล่นละครเสร็จตอนบ่ายสามโมง อภินันท์ก็มุ่งหน้ากลับบ้านโดยไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมประท้วงที่ศูนย์กลางนิสิตฯ จัดขึ้นแต่อย่างใด กว่าเขาจะรู้ว่าตัวเองได้กลายเป็นชนวนของเหตุการณ์ครั้งนี้ก็ล่วงเข้าตอนเย็นวันเดียวกัน เมื่อได้ฟังวิทยุยานเกราะกล่าวหาว่ามีการเล่นละครหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ


“พอฟังวิทยุยานเกราะจึงรีบกลับมาที่ธรรมศาสตร์ เจอหน่อย (อนุพงศ์) คนที่ชวนให้เล่นละคร เขาก็บอกว่าอย่าเพิ่งไปไหน เพราะจะมีการแถลงข่าวกับสื่อมวลชนว่าเราไม่ได้มีเจตนาเล่นละครหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ผมขอออกมากินข้าวเย็นที่ท่าพระจันทร์ เห็นหนังสือพิมพ์วางขายอยู่ที่แผง พอเรายื่นหน้าเข้าไปดูก็ได้ยินคนพูดว่า มันทำกันอย่างนี้เชียวหรือ คนที่ดูหนังสือพิมพ์อยู่ไม่รู้ว่าผมคือคนที่อยู่ในรูป ผมคิดว่ามันไม่เหมือนเราเลย

คืนนั้นนอนอยู่ที่ตึก อมธ. นอนไม่หลับทั้งคืน เริ่มกลัวเพราะเป็นคดีอาญา คงจะถูกดำเนินคดี แต่เรามั่นใจว่าเราไม่ได้ทำ แต่ตอนนั้นก็เริ่มรู้สึกแล้วว่าอาจเป็นชนวนให้เรื่องบานปลายใหญ่โตได้ แต่ไม่คิดว่าจะมีการล้อมฆ่า พอเช้าเริ่มมีระเบิดลง ผมอดที่จะโทษตัวเองไม่ได้ เพราะเราก็เป็นส่วนหนึ่งของละครเรื่องนี้เหมือนกัน”


หลังจากนั้น เขาและเพื่อนที่เกี่ยวข้องกับการแสดง รวมทั้งเพื่อนในศูนย์กลางนิสิตฯ ถูกตามให้ไปพบ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี ที่บ้าน ในขณะนั้นเสียงกระสุนปืนดังถี่ขึ้น และสถานการณ์เริ่มเลวร้ายลง แต่เขาคิดว่าหากได้พบนายกฯ สถานการณ์คงจะดีขึ้น


“คนที่ออกไปพบนายกฯ มีทั้งหมด 6 คน จากศูนย์กลางนิสิตฯ 3 คน คือ สุธรรม แสงประทุม สุรชาติ บำรุงสุข และประพนธ์ วังศิริพิทักษ์ และกลุ่มผู้แสดงละครมี 3 คน คือ ผม วิโรจน์ และอนุพงศ์ ขณะออกจากธรรมศาสตร์มีการยิงหนักมากจนเราต้องวิ่งฝ่าห่ากระสุนและหยุดรอจนกระทั่งเสียงปืนสงบจึงวิ่งต่อ เราไม่เห็นตัวคนยิง เห็นแต่ลูกกระสุน วิ่งไปก็เห็นปูนกระจายเต็มไปหมด

เมื่อออกมาถึงประตูท่าพระจันทร์ ก็มีคนมารับขึ้นรถพาไปที่บ้านนายกฯ พอไปถึง ยังไม่ทันเข้าบ้านเขาก็ไล่กลับขึ้นรถ ตอนนั้นก็งง เพราะยังไม่ได้เจอนายกฯ เลย ไม่รู้ว่าจะไปไหนต่อ คนที่พาไปเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตอนนั้นเริ่มใจไม่ดีแล้ว เพราะคิดว่าพอไปถึงบ้านนายกฯ คงเจรจากันได้”


ในขณะนั้นอภินันท์และเพื่อนคาดเดาจุดหมายปลายทางของตนเองไม่ออก จนกระทั่งรถเข้าจอดที่กองปราบฯ สามยอดเขาจึงได้รู้ว่า


“ถูกตำรวจหลอกให้เข้าคุกทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีข้อหา ตอนนั้นทุกคนก็งง ๆ เพราะพอไปถึงเขาก็ให้เข้าห้องขังเลย ตอนแรกสุธรรมถามว่าจับผมข้อหาอะไร เขาก็บอกว่าให้เข้าไปก่อนเถอะ ตอนนั้นเป็นช่วงสาย ๆ ของวันที่ 6 อยู่ในห้องขังตลอดวันไม่รู้เรื่องอะไรเลย กว่าข้อหาจะมาถึงก็ตอนกลางคืน จึงถูกนำตัวไปสอบสวน”


ระหว่างที่เดินจากห้องขังซึ่งอยู่ชั้น 3 ลงไปชั้นล่างอภินันท์เริ่มรู้สึกตัวว่าตนได้กลายเป็นที่เกลียดชังของคนที่นี่ไปเสียแล้ว


“จำได้ว่ามีคนมามุงดูเราด้วยสายตาอาฆาตมาดร้าย โกรธแค้น คนที่มามุงดูเราทั้งหมดเชื่อว่าเราดูหมิ่นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ มีการชี้หน้าว่าไอ้นี่แหละ ตำรวจที่ของขึ้นหน่อยก็เข้ามาอัดเลย ผมถูกอัดคนเดียว เหมือนกับแค้นที่ผมไปทำร้ายสิ่งที่เขาเคารพบูชา เข้าใจว่ามันเป็นอารมณ์โกรธ โดนไปหลายตุ้บ ทั้งมือทั้งเท้า ตอนนั้นรู้สึกไม่เข้าใจ ไม่ได้เถียงอะไร งง ๆ ไม่รู้ว่าทำไมคนเหล่านี้ถึงมีความรู้สึกรุนแรงได้ถึงขนาดนี้ พอลงมาสอบสวน เราก็ยอมรับว่าแสดงละครจริง ๆ แต่ไม่ได้ต้องการดูหมิ่นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ค่ำวันนั้นได้รับข้อหามาหนึ่งข้อหา คือ ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”


เขาและเพื่อนเริ่มรู้สถานการณ์ภายนอกเมื่อย่างเข้าวันถัดไป


“ตอนที่เจ้าหน้าที่บอกว่าฆ่าพวกเราตายหมดแล้ว ตอนนั้นไม่เชื่อ แต่พอวันรุ่งขึ้นแม่ของเฮียวิโรจน์มาเยี่ยม แล้วบอกว่ามีการล้อมปราบที่ธรรมศาสตร์ ตอนแรกเราก็โทษตัวเองอยู่แล้ว ถึงตอนนั้นก็ยิ่งโทษตัวเองมากขึ้นว่าเป็นเพราะเราที่ทำให้มีคนตายมากมาย ตอนนั้นคิดอะไรไม่ออก ผมกับเฮียวิโรจน์เลยผลัดกันนั่งร้องไห้ตลอดคืน”


หลังจากถูกคุมขังอยู่ที่กองปราบได้ 7 วัน เขาและเพื่อนทั้ง 6 คนก็ถูกย้ายเข้าเรือนจำบางขวางทันที พร้อมด้วยข้อหาเพิ่มอีก 10 ข้อหา นับตั้งแต่ก่อการจลาจล มีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ ฆ่าและพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน มีอาวุธปืนและวัตถุระเบิดอยู่ในครอบครอง ข้อหาที่เบาหน่อยก็คือ บุกรุกในเวลากลางคืน ฯลฯ


“ข้อหามันเยอะ แต่มันไม่เกี่ยวกับเรา เราไม่ได้ทำอย่างนั้น จึงเชื่อว่าคงรอดออกมาได้ เพราะถ้าผิดตามข้อหาที่ถูกกล่าวหาจริง ถูกประหารชีวิตสักสิบครั้งก็คงยังใช้โทษไม่หมด เราเชื่อว่าเรายังเป็นผู้บริสุทธิ์ ถ้าจะโดนจริง ๆ คงแค่คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเท่านั้น”


ระยะแรกที่อยู่ในคุก เขารู้สึกว่าโลกใบนี้ช่างเลวร้ายกับเขาเหลือเกิน และเขาก็โทษตัวเองอยู่ตลอดเวลา


“ชีวิตในคุกแม้จะไม่เลวร้ายนัก แต่ก็เป็นการจำกัดอิสระให้อยู่ในที่แคบ ๆ ไร้อิสรภาพ ความรู้สึกตอนเข้าไปใหม่ ๆ รู้สึกว่าทุกอย่างรอบกายมันเลวร้าย ตอนนั้นมันคับแค้นใจ รู้สึกว่าโลกมันเลว มากล่าวหาว่าเราทำในสิ่งที่เราไม่ได้ทำ เมื่อมองหาทางออกแล้วหมดหวังเลย เพราะเขากล่าวหาว่าเราทำร้ายผู้ปกครองประเทศ เรารู้แล้วว่าเราเป็นหมากตัวหนึ่งที่ต้องถูกกำจัดทิ้งไป รู้สึกว่าโลกคือความเลว…หมดหวัง”


แต่เมื่ออยู่ ๆ ไปเขาก็เริ่มรู้สึกมีความหวังมากขึ้น เมื่อมีคนมาเยี่ยมและส่งข่าวคราวความเคลื่อนไหวของการดำเนินคดีว่ามีแนวโน้มไปในทางที่ดีขึ้น หลังจากติดคุกอยู่ 2 ปี ข้อเท็จจริงก็เริ่มคลี่คลายขึ้นเมื่อเพื่อนคนหนึ่งชื่อ บุญชาติ เสถียรธรรมณี เป็นคนเดียวในผู้ต้องหา 19 คนที่ไม่ถูกกล่าวหาในคดีมีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ ความแตกต่างนี้เป็นกุญแจสำคัญนำไปสู่การปลดปล่อยเพื่อนทั้งหมดให้เป็นอิสระ


“เนื่องจากคดีที่มีข้อกล่าวหามีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์พ่วงอยู่ด้วยจะต้องขึ้นศาลทหาร คดีนี้เป็นคดีครอบจักรวาลที่ต้องการกักขังคนไว้นาน ๆ และการขึ้นศาลทหารก็อยู่นอกเหนือการรับรู้ของประชาชน อาจทำให้การพิจารณาคดีขาดความชอบธรรม ดังนั้นเมื่อบุญชาติได้ขึ้นศาลพลเรือนในข้อหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จึงมีโอกาสได้รับการพิจารณาที่ยุติธรรม และที่สำคัญ คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นคดีกุญแจ เนื่องจากหากไม่เกิดคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ การจลาจลก็จะไม่เกิดขึ้น ถ้าคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหลุด คดีอื่น ๆ ก็จะกลายเป็นความไม่ชอบธรรมและจะทำให้ทุกคนหลุดพ้นจากข้อหาทั้งหมด

การพิจารณาคดีดำเนินการสอบสวนมาตลอด 2 ปี ยิ่งมีการไต่สวน ความจริงก็เริ่มเปิดเผย เนื่องจากคำให้การของพยานโจทก์ไม่มีน้ำหนัก ทุกอย่างจึงกลายเป็นความไม่ชอบธรรม ส่งผลให้มีการออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมก่อนที่การพิจารณาจะสิ้นสุด ความหมายของการนิรโทษกรรม คือ การยกโทษความผิดให้แก่ทุกคนที่กระทำผิดในวันที่ 6 ตุลา ผู้ต้องหาทั้ง 19 คนจึงได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสรภาพ”


แม้เขาจะรู้สึกยินดีกับอิสรภาพที่ได้ แต่เขากลับไม่รู้สึกยินดีกับการออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมเท่าใดนัก


“เนื่องจากความหมายของการออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม คือ การบอกว่าเราเป็นคนผิดที่ได้รับการให้อภัย เป็นการช่วยคนที่ทำผิด จริง ๆ แล้วคนที่บริสุทธิ์ยังไม่ได้รับการพิสูจน์โดยกระบวนการยุติธรรม และคนที่ทำผิดยังไม่ได้รับโทษ ทั้ง ๆ ที่ความผิดของเขาเป็นความผิดที่ร้ายแรงมาก”


เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อตัวเขาอย่างไร อภินันท์กล่าวว่า


“เหตุการณ์นี้เป็นจุดหักเหในชีวิตผม ก่อนเหตุการณ์ 6 ตุลา ผมไม่ได้สนใจเรื่องการเมืองมากเท่าไร แต่หลังจากเหตุการณ์แล้ว ผมเริ่มมองการเมืองอย่างคนที่เข้าใจมากขึ้นและสนใจมากขึ้น ในใจเรายังต้องการเรียกร้องความเป็นธรรม มันซึมเข้าไปในสายเลือด และมีส่วนผลักดันต่อชีวิตผมทุกวันนี้มาก เพราะทำให้มีคนรู้จักผมมากขึ้น ได้ทำงานที่อยากทำ แม้จะสูญเสียอิสรภาพไป 2 ปี แต่หลังจากนั้นกลับเป็นช่วงชีวิตที่ผมมีความสุขมาก”


อภินันท์ได้ข้อสรุปว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับเหตุการณ์ 6 ตุลา คือ สื่อมวลชน ซึ่งเป็นตัวทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมา สื่อมวลชนทำงานสัมฤทธิผลมากเกินไป เมื่อสถานการณ์ถูกปลุกเร้าโดยสื่อต่าง ๆ การแสดงละครของเขาจึงได้กลายเป็นชนวนสำคัญของเหตุการณ์ครั้งนี้

20 ปีผ่านไป ชายหนุ่มที่ชื่อ อภินันท์ บัวหภักดี ก็ยังคงมีประโยคหนึ่งติดค้างในใจของเขาอยู่เสมอ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นองเลือดเช้าวันที่ 6 ตุลา 19 ประโยคนั้นคือ

“ถ้าไม่มีเรา เหตุการณ์นี้ก็คงไม่เกิดขึ้น”


-เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ดูที่ http://www.2519.net/

-วีระ ธีระภัทร:ก่อนที่คุณคิดจะ ไม่เห็นด้วย ทำร้าย ตัดคอ นิติราษฎร์ เรื่องแ้ก้ ม. 112 คุณได้อ่านและศึกษาถึงสิ่งที่พวกเขานำเสนอแล้วหรือยัง?



เมื่อ 1 ก.พ. ที่ผ่านมา ในรายการ "คุยได้คุยดี Talk News & Music" ทางคลื่น 96.5 MHz อสมท. ดำเนินรายการโดยนายวีระ ธีระภัทรานนท์ ช่วงหนึ่งได้มีผู้โทรศัพท์เข้ามาแสดงความเห็นในเชิงตำหนิและระบุว่าต้องการจะทำร้ายกลุ่มนิติราษฎร์

ทำให้นายวีระรีบตัดบท และถามผู้ที่โทรศัพท์เข้ามาว่ารู้จักกลุ่มนิติราษฎร์หรือไม่ว่าสมาชิกประกอบด้วยใคร และถามด้วยว่ารู้ข้อความในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือไม่ และยังแนะนำให้กลับไปค้นคว้าข้อมูลจะได้มีพื้นฐานในการแสดงความรู้สึก ก่อนวางสาย โดยท้ายรายการนายวีระระบุด้วยว่าการเคลื่อนไหวแก้ไขมาตรา 112 อยู่ในประมวลกฎหมายอาญาไม่ใช่รัฐธรรมนูญ และประมวลกฎหมายอาญามาตราดังกล่าวเคยมีการแก้ไขมาแล้วในปี 2519
http://redusala.blogspot.com


เปิดเอกสารหายากที่เพิ่งค้นพบสายธารปฏิวัติไทย
ร่วมใจฉลองปีมหามงคล 80 ปี 2475 - 100 ปี ร.ศ.130



2555 ปีมหามงคลประชาชนไทย-ปีนี้เป็นวาระมหามงคลของประชาชนชาวไทย เป็นโอกาสครบรอบ 80 ปีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 และวาระครบ 100 ปีกบฎร.ศ.130( 27 กุมภาพันธ์ 2455) แม้เหตุการณ์สำคัญยิ่งนี้จะถูกทำให้พร่าเลือนลืมหลง ประชาชนไทยพึงรู้เถิดว่า"ประวัติศาสตร์ยังตื่นอยู่เสมอสำหรับชนชั้นหลัง"(ภาพ:ประชาทอล์ก)


โดย ณัฐพล ใจจริง 
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม

หมายเหตุไทยอีนิวส์:บทความชุดนี้นำมาจากเอกสารชื่อ จาก“คณะร.ศ.130” ถึง “คณะราษฎร” :ความเป็นมาของความคิด“ประชาธิปไตย”ในประเทศไทย เขียนโดย ณัฐพล ใจจริง ท่านสามารถดาวน์โหลดอ่านเอกสารต้นฉบับได้ตามลิ้งค์ http://www.rsu-cyberu.com/leadership/media/Leadership_Forum/RorSor130.pdf


1 ศตวรรษบรรพชนปฏิวัติ 2455--คณะกบฎ รศ.130( พ.ศ.2455 หรือ 100 ปีที่แล้ว) ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของนายทหารหนุ่ม ได้แรงบัลดาลใจจากการปฏิวัติซินไห่ ของหมอซุนยัดเซ็น โดยต้องการยกเลิกระบอบราชาธิปไตยแล้วเปลี่ยนแปลงการปกครองไปเป็นแบบสาธารณรัฐแบบเดียวกับจีน 

แต่ต่อมามีสมาชิกอาวุโสเพิ่มเติมเข้ามาในคณะก่อการมากขึ้น เสนอให้เปลี่ยนแปลงไปเป็นประชาธิปไตยแบบมีกษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญก็พอ 

นิตยศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2554 นำเสนอบทความเรื่องจาก "คณะ ร.ศ.130" ถึง "คณะราษฎร": ความเป็นมาของความคิด "ประชาธิปไตย" ในประเทศไทย ของณัฐพล ใจจริง ที่นำเสนอหลักฐานใหม่ว่า แกนนำผู้ริเริ่มก่อการปฏิวัติรศ.130(พ.ศ.2455 หรือ 99 ปีที่แล้ว)ต้องการยกเลิกระบอบราชาธิปไตยแล้วเปลี่ยนแปลงการปกครองไปเป็นแบบสาธารณรัฐ อย่างไรก็ดีท้ายที่สุดได้ลงมติเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบลิมิเต็ดมอร์นากี้

โดย ณัฐพล ตั้งคำถามว่า ระบอบ "ประชาธิปไตย" ตามความคิดของ "กบฏ ร.ศ.130" ซึ่งส่งอิทธิพลอย่างสูงไปยัง "คณะราษฎร" ในปี 2475 นั้น คือ ประชาธิปไตยแบบใด ก่อนที่ณัฐพลจะให้คำตอบว่า แกนนำของคณะ ร.ศ.130 มีความคิดโน้มเอียงไปในทาง "รีปัปลิ๊ก"(สาธารณรัฐ) อย่างไรก็ดีในท้ายที่สุดคณะราษฎรได้ลงเอยด้วยการเลือกระบอบลิมิเต็ด มอร์นากี้(กษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ) แบบเดียวกับที่คณะรศ.130ได้ลงมติในตอนท้ายสุด


สยามในบริบทของการปฏิวัติแห่งศตวรรษที 20

แทบไม่น่าเชื่อ เมื่อรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่ถูกสถาปนาขึ้นจากกระบวนการรวมศูนย์อำนาจทางการเมืองกลับเข้าสู่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯได้ปรากฎผลสำเร็จขึนในปี 2435 แต่เพียงราว 2 ปี ภายหลังรัชกาลของพระผู้ทรงสถาปนาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และพระผู้ทรงเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของสยามได้สิ้น สุดลง(2453) ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อันเป็นพระราชมรดกของพระองค์ได้ถูกท้าทายอย่างหนักหน่วงจากกระแสความคิดทางการเมืองสมัยใหม่ที่ก่อตัวขึ้น

ในกลุ่มคนชั้นใหม่ภายในสังคมสยาม ปลายเดือนกุมภาพันธ์ ร.ศ. 130 (2455) รัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้เข้าจับกุมกลุ่มนายทหารและพลเรือนหัวก้าวหน้ากลุ่มหนึ่งที่คิดเปลี่ยนแปลงการปกครองของสยาม จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบ“ประชาธิปไตย”

( ยังคงมีข้อถกเถียงกันในวันที “คณะ ร.ศ. 130” ถูกจับกุม จากบันทึกความทรงจำของร.ต.เนตร พูนวิวัฒน์ ใน คน 60 ปี พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ ร.ต. เนตร พูนวิวัฒน์ ณ ฌาปนสถาน วัดมกุฏกษัตริยาราม 21
ธันวาคม 2523(กรุงเทพฯ : หจก.เซ็นทรัลเอ็กเพรสศึกษาการพิมพ์, 2523), หน้า 111 และ ร.ต. เหรียญ ศรีจันทร์ ร.ต.
เนตร พูนวิวัฒน์ , หมอเหล็งรำลึก: ประวัติปฏิวัติครั้งแรกของไทย ร.ศ.130(พ.ศ.2454) พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานศพ
ของร.อ.ขุนทวยหาญพิทักษ์(นายแพทย์เหล็ง ศรีจันทร์) ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม 19 เมษายน 2503 , (กรุงเทพฯ :
โรงพิมพ์กิมหลีหงวน), หน้า 83 ระบุว่า วันที ถูกจับกุมคือ 27 กุมภาพันธ์ 2454 (นับอย่างใหม่ คือ 2455)

แต่การศึกษาของแถมสุข นุ่มนนท์ , ยังเติร์กรุ่นแรก กบฎ ร.ศ. 130 (กรุงเทพฯ : เรืองศิลป์, 2522),หน้า196 และอัจฉราพร
กมุทพิสมัย, กบฏ ร.ศ. 130 กบฏเพื อประชาธิปไตย : แนวคิดทหารใหม่ (กรุงเทพฯ : อมรินทร์วิชาการ, 2540), หน้า
188 ระบุว่า วันที ถูกจับกุม คือ 1 มีนาคม 2454 (นับอย่างใหม่ คือ 2455) )

แม้ว่า ที่ผ่านมาจะมีหนังสือและงานวิจัยที่ชิ้นสำคัญทำการศึกษาประวัติศาสตร์ของความพยายามที่เปลี่ยนแปลงการปกครองในช่วงดังกล่าวก็ตาม เช่น งานของแถมสุข นุ่มนนท์ ที่มุ่งเน้น การศึกษาเหตุการณ์ที เรียกว่า “กบฎร.ศ.130” 

อัจฉราภรณ์ กมุทพิศสมัย ที ศึกษาการปรับตัวของกองทัพสยามสมัยใหม่ ส่วนกุลลดา เกษบุญชู-มี้ด ที่ศึกษาการการล่มสลายของรัฐ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์สยาม โดยพินิจไปที่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ จากรัฐศักดินามาสู่รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์และเคลื่อนไปสู่รัฐประชาชาติเป็นผลมาจากความขัดแย้งระหว่างกลุ่มคนชั้นศักดินากับกลุ่มคนชั้นใหม่ที่กำเนิดขึ้น ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของบริบทโลก 

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีงานศึกษาชิ้นใดที่มุ่งไปตรงไปยังตัวความคิดทางการเมืองที่เรียกกันว่า“ประชาธิปไตย”อันเริ่มต้นจาก “คณะ ร.ศ.130” อย่างเป็นระบบเท่าที่ควร 

ดังนั้นการศึกษาครั้งนี้ จึงเป็นการศึกษาในเชิงประวัติความคิดทางการเมืองไทย ด้วยวิธีการตีความข้อมูลและตัวบททางประวัติศาสตร์

คำถามที่เกิดขึ้นในใจของผู้เขียนเกี่ยวกับความพยายามปฏิวัติทางการเมืองของ “คณะร.ศ.130” คือ พวกเขามีความต้องการเปลี่ยนการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยามไปสู่ระบอบใด หรือแบบใดกันแน่ รวมถึง ผู้เขียนต้องการทราบว่า ผู้คนในสังคมสยามขณะนั้น รับรู้ความคิดถึงแบบการปกครองนั้นได้อย่างไร 

มีร่องรอยการปรากฏตัวของความคิดถึงแบบการปกครองนั้นๆในการปฏิวัติ 2475 หรือไม่ และมีความสัมพันธ์ระหว่าง “คณะร.ศ.130” กับ “คณะราษฎร” อย่างไร

การอำพรางความคิด“ประชาธิปไตย”ของ “คณะร.ศ.130”


กว่า 3 ทศวรรษที่มีการศึกษา “คณะร.ศ.130” นักวิชาการได้ใช้เอกสารชั้นต้นในหอจดหมายเหตุ และบันทึกความทรงจำของสมาชิกคณะร.ศ.130 โดยเฉพาะอย่างยิ งบันทึกที ชื อ “หมอเหล็งรำลึก:ประวัติปฏิวัติครั้งแรกของไทย ร.ศ.130(พ.ศ.2454)” ที เขียนโดยร.ต.เหรียญ ศรีจันทร์และร.ต.เนตร พูนวิวัฒน์ พิมพ์เผยแพร่ในงานศพของร.อ.เหล็ง ศรีจันทร์ เมื่อปี 2503 

แต่ผู้เขียนยังคงไม่ได้รับคำตอบอย่างพอใจถึงแบบของการปกครองใดกันแน่ที่พวกเขาต้องการ ในบันทึกเล่มดังกล่าว ร.ต.เหรียญ และร.ต.เนตรบันทึกที กำกวมเพียงว่า “ที่ประชุมลงมติให้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชที่มีกษัตริย์เหนือกฎหมายเป็นประชาธิปไตยรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง 

ดังนั้น คำถามที่ผุดในใจของผู้เขียน คือ อะไร คือ ความหมายของคำว่า “ประชาธิปไตย” ในช่วงบริบทแห่งชีวิตและในความคิดของพวกเขา ตลอดจน พวกเขาได้อำพราง“ประชาธิปไตย”ของพวกเขาในบริบททางการเมืองที เปลี ยนไปอย่างไร7

การเริ่ มต้นตอบคำถามข้างต้น ผู้เขียนพบว่า งานศึกษาในเรื่องเหตุการณ์ร.ศ.130นั้น ล้วนอ้างอิงจาก“หมอเหล็งรำลึก”ทำให้ไม่สามารถตอบคำถามที่ผู้เขียนต้องการทราบได้ อีกทั้งแทบไม่มีใครให้ความสนใจกับคำว่า“ประชาธิปไตย”ที่ ปรากฏในงานเขียนของพวกเขาว่า หมายความว่าอย่างไร 


อีกทั้งปราศจากการถอดรหัส ความหมายของคำดังกล่าวของพวกเขา จนกระทั่ังผู้เขียนได้พบหนังสือเล่มเขียนโดย ร.อ. เหล็ง และ ร.ต. เนตร ชื อ“ปฏิวัติ ร.ศ.130” ซึ งเป็นกุญแจสำคัญในการไขปริศนาถึงเป้าหมายทางการเมืองของพวกเขา โดยเฉพาะแกนนำในครั้งนั้น 

หนังสือเล่มนี้พิมพ์แรกในปี 2484 โดยมีปรีดี พนมยงค์ แกนนำของ“คณะราษฎร” และผู้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับแกนนำ“คณะร.ศ.130”
หลังการปฏิวัติ 2475 เขามีส่วนการผลักดันให้พวกเขาเขียนประวัติของความพยายามปฏิวัติครั้งแรกเพื่อเผยแพร่สู่สังคมสยาม 

ด้วยเหตุที่ บริบทที่หนังสือเล่มดังกล่าวพิมพ์เผยแพร่ในยุคคณะราษฎร หนังสือเล่มนี้จึงบันทึกอย่างเปิดเผยถึงความคิดทางการเมือง เป้าหมายและความเห็นพ้องร่วมกันของแกนนำนายทหาร และพลเรือนหัวก้าวหน้าเมื อ 100 ปีที แล้วว่า พวกเขาโดยเฉพาะอย่างยิ่ งแกนนำมีความคิดโน้มเอียงไปในทาง “รีปัปลิ๊ก” และความคิดดังกล่าวได้ปรากฎในหลักฐานแวดล้อมในเวลาต่อมา

(หนังสือเล่มนี้ได้ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2484 สมจิตร เทียนศิริ ผู้เรียบเรียงได้บันทึกว่า เขาได้เรียบเรียงเรื่องราวจากบันทึกของร.ต.เนตร และหนังสือเล่มดังกล่าวได้รับการตรวจ “ทุกตัวอักษร” จากร.อ.เหล็ง ภูมิหลังของการเกิดหนังสือเล่มนี้เกิดจากความต้องการของนายปรีดี ดังนี้

“ท่านรัฐมนตรี(นายปรีดี)ได้เป็นผู้หนึ่งซึ่งร่วมมือในการปฏิวัติ เมื่อ 24 มิถุนายน 2475 เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งที่สองที่สำเร็จลง ท่านรัฐมนตรีได้คิดทีจะเรียบเรียงประวัติของคณะราษฎรนี้ไว้ แต่เมื่อท่านเห็นว่าประวัติศาสตร์ชิ้นน้จะสมบูรณ์ก็โดยที่ควรจะมีใครคนหนึ่งทำเหตุการณ์ในสมัย ร.ศ.๑๓๐ ขึ้นก่อน และท่านก็ได้เรียกนายร้อยตรีเนตร พูนวิวัฒน์ซึ่งเป็นผู้ก่อการที่เข้มแข็งผู้หนึ่งในสมัย ร.ศ.๑๓๐ ไปพบ
และแจ้งความคิดในการเรียบเรียงที่จะกระทำของท่านขึ้น กับขอให้นายร้อยตรีเนตร พูนวิวัฒน์ เล่าเหตุการณ์ของคณะร.ศ.๑๓๐ให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบลง แล้วจึงขอให้นายร้อยตรีเนตร ถ้ามีเวลาให้สละเพื่อทำการบันทึกเหตุการณ์เหล่านี้ แต่เนื่องจาก ด้วยบุคคลทั้งสองยังหาเวลาที่จะปลีกตนมากระทำให้เป็นผลสำเร็จไม่ได้ ทั้งท่านรัฐมนตรี และนายร้อยตรีเนตร จึงปล่อยเวลาให้เนิ่นมาจนกระทั่งบัดนี้)

ความเปลี่ยนแปลงของบริบททางการเมือง“หลังยุคคณะราษฎร” อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้บันทึกของพวกเขาใน“หมอเหล็งรำลึก” ที่พิมพ์ในปี 2503 ปราศจาการเปิดเผยถึง ความคิดทางการเมือง และเป้าหมายของระบอบการปกครองที่แท้จริงของพวกแกนนำในครั้งนั้น 

เนื่องจาก หากพิจารณาจากบริบทแล้ว หนังสือเล่มนี้พิมพ์ขึ้น ในช่วงเวลาที่ “คณะราษฎร” สิ้นอำนาจไปแล้ว พร้อมกับบรรยากาศเริ่มต้นในการฟื้นฟูสถาบันกษัตริย์อย่างรอบด้าน ภายใต้ระบอบเผด็จการทหารของจอมพลสฤษดิ ธนะรัชต์ อาจทำให้พวกเขาระมัดระวังไม่กล้าเปิดเผยความคิดทางการเมืองของพวกเขาเมืองของพวกเขาเมื่อครั้งเก่าออกสู่สังคม“หลังยุคคณะราษฎร”อย่างเปิดเผย 

ด้วยเหตุนี้จึงมีความเป็นไปได้ที่พวกเขาอาจต้องอำพรางความคิดทางการเมืองของพวกเขา ด้วยการใส่รหัส(encoding)ความหมายโดยการใช้คำว่า “ประชาธิปไตย” ซี่งเป็นคำศัพท์เก่าในบริบทการเมืองใหม่ 

ดังนั้น หากเราจะถอดรหัส(decoding)ความหมายของคำว่า “ประชาธิปไตย”ของพวกเขา เราต้องตีความคำดังกล่าวหรือหาความหมายของคำนี้ในบริบทที่ใกล้เคียงกัน 

ทั้งนี้ก่อนการปฏิวัติ 2475 ความหมายของคำว่า “ประชาธิปไตย” หมายถึง “การปกครองที่ ผู้เป็นหัวหน้าแห่งอำนาจบริหารไม่ใช่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน คือเป็นบุคคลสามัญหรือ คณะบุคคลซึ่งราษฎรได้เลือกตั้งไว้มีกำหนดเวลา การอยู่ในตำแหน่งไม่เป็นมฤดกตกทอดไปได้แก่ผู้อยู่ในสกุลเดียวกัน” (http://en.wikipedia.org/wiki/History_of_the_Republic_of_Chinaเข้าถึง 27 ธันวาคม 2553)

หรือ หมายถึงการปกครองแบบ “รีปัปลิ๊ก”ที่พวกเขาได้เคยนำเสนอความคิดเอาไว้ใน และแกนนำในครั้งนั้น มีท่าทีสนับสนุนการปฏิวัติไปในทิศทางดังกล่าว

แม้“หมอเหล็งรำลึก” ถูกบันทึกขึ้น' โดยแกนนำของคณะจะอำพรางความคิดทางการเมืองของพวกเขาไว้ แต่ “ปฏิวัติ ร.ศ.130” ที่พวกเขาได้บันทึกและพิมพ์ขึ้นในปี 2484 ซึ่งเป็นยุคสมัยที่“คณะราษฎร” มีอำนาจทางการเมือง บริบทดังกล่าวทำให้พวกเขาได้เปิดเผยให้เห็นร่องรอยความคิดทางการเมืองของพวกเขา 

แต่หนังสือเล่มนี้กลับไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลาย ซึ่งอาจมีผลทำให้การศึกษาความคิด“ประชาธิปไตย” ซึ่งเป็นความคิดทางการเมืองสมัยใหม่ที่เกิดขึ้นในสังคมสยามมาหนึ่งศตวรรษนี้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ความคิดทางการเมืองและประวัติศาสตร์การเมืองของไทยไปอย่างน่าเสียดาย

จากนี้ไปผู้เขียนจะพาท่านสะกดรอยเพื่อหาความหมายของคำว่า “ประชาธิปไตย” ควบคู่ไปกับการพิจารณาบทบาท ความเคลื่ อนไหวของ”คณะร.ศ.130” และความสัมพันธ์ที ใกล้ชิดระหว่างพวกเขากับ“คณะราษฎร” ในประวัติศาสตร์การเมืองและประวัติศาสตร์ความคิดทางการเมืองไทยเมื่อราวหนึ่งศตวรรษที่ ผ่านมา

ร.ต.วาศ วาสนา (คนที่ 2 จากขวาแถวนั่งหน้าสุด)กับสหายคณะรศ.130ขณะถูกฝ่ายรัฐบาลพระมงกุฎเกล้าฯจับกุมสมาชิกหลายคนเสียชีวิตในคุก ร.ต.วาศ กล่าวกับสหายในวาระสุดท้ายของชีวิตนักปฏิวัติว่า "เพื่อนเอ๋ย กันต้องลาเพื่อนไปเดี๋ยวนี้ ขอฝากลูกของกันไว้ด้วย กันขอฝากไชโย ถ้าพวกเรายังมีชีวิตได้เห็น" 

รุ่งอรุณของความคิด“ประชาธิปไตย” ใต้เงาระบอบเอกาธิปไตยสยาม

ความเสื่อมทรามที่เกิดขึ้น จากการปกครองจีนของราชวงศ์ชิง และความเคลื่อนไหวของขบวนการ“ถงเหม็งฮุ่ย” หรือ ขบวนการปฏิวัติจีนที่นำโดยซุนยัดเซนก่อให้เกิดการโค่นล้มราชวงศ์ชิงในปี 2454 ผนวกกับ“ความเสื่อมซาม “ของระบอบเอกาธิปไตยสยามทำให้ในปลายเดือนธันวาคม 2454 เกิดแสงสว่างทางปัญญาท่ามกลางฤดูหนาวในสยาม เมื่อนายทหารหัวก้าวหน้ากลุ่มหนึ่ง ได้เริ่มพูดคุยกันถึงการสร้างความก้าวหน้าให้กับสยาม

ประกายความคิดได้ถูกจุดขึ้นจากร.ต.เหรียญ ศรีจันทร์ ร.ต.จรูญ ษตะเมษ และร.ต.เนตร ได้ปรึกษากันถึงอนาคตของสยามที่กองปืนกลที่ 1 รักษาพระองค์ ถนนซางฮี และได้ใช้หนังสือชื่อ“ประวัติศาสตร์การปฏิวัติ”ซึ งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของประเทศต่างๆมาเป็นตัวอย่างแนวทางการปฏิวัติ

ต่อมา พวกเขาได้ไปหา ร.อ.เหล็ง ที บ้านถนนสาธร เมื่อวันที 10 มกราคม 2455 ร.อ.เหล็งได้นําหนังสือพงศาวดารของประเทศต่างๆมาให้ดูเหตุการณ์ปฏิวัติที เกิดขึ้น เปรียบเทียบเป็นยุคๆเพื อให้เหล่านักปฏิวัติหนุ่มพิจารณา 

การพบปะครั้งนั้นของนายทหารนักปฏิวัติหนุ่ม นางอบ ศรีจันทร์ ภริยาของร.อ.เหล็งได้ร่วมกินข้าวเย็น และรับฟังแผนการต่างๆ พร้อมกับเหล่านักปฏิวัติด้วย
“ในฐานะที่เธอเป็นสตรี ซึ่งตามลักษณะธรรมดา เมื่อพบว่า สามีของเธอและเพื่อนกับน้องชายต่างคิดการดังเช่นกบฏต่อพระมหากษัตริย์โดยตรง เอาศีร์ษะเข้าแลกกับคมดาบนั้นแล้ว หน้าที่เธอจะตระหนกตกใจยับยั้งความคิดของสามีเธอ กับเพื่อน แต่เธอกลับแสดงความคิดเห็นและปิติยินดีต่อหน้าที่ของคณะผู้คิดการณ์ไกลจะกู้ราชการบ้านเมืองอีกด้วย เธอได้กล่าวส่งเสริมความยินดี อวยชัยให้พร ขอให้ความคิดของคณะจงสัมฤทธิผล เพื่อจะได้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และประชาราษฎร กับนํามาซึ่งความเป็นอารยะเทียมทันบรรดาประเทศชาติอื่นๆทั้งหลายต่อไป”

ต่อมาได้มีการประชุมจัดตั้ง “คณะพรรค ร.ศ. 130” ขึ้นเมื่ อ 13 มกราคม 2455 ที่บ้านร.อ.เหล็ง การประชุมครั้งนั้นมีผู้เข้าร่ วมประชุม จํานวน 7 คน คือ ร.อ.เหล็ง ร.ต.เหรียญ ร.ต.จรูญ ร.ต.เนตร ร.ต.ปลั่ ง บูรณโชติ ร.ต. ม.ร.ว แช่ รัชนิกร และร.ต.เขียน อุทัยกุล 

พวกเขาได้ร่วมกันกําหนดสัญลักษณลับของ “คณะพรรค ร.ศ. 130” เป็นเครื่องหมายธงมีตัวอักษรว่า “เสียชีพดีกว่าเสียชาติ” ส่วนเครื ่องหมายของสมาชิก คือ ผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่ ปักมุมด้วยอักษร 2 ตัว สีเดียวกันว่า “ร”และ “ต” โดย“ร” หมายถึงจงระวังตัว ส่วน “ต” หมายถึง จงเตรียมตัวไว้เพื อเคลื อนที ได้

และการประชุมในครั้งต่อมา ได้มีการพูดถึง “ความเสื่อมซาม”ของระบอบเอกาธิปไตยสยาม หลังจากนั้นมีการเตรียมการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที มีกษัตริย์เหนือกกฎหมายไปสู่ “ประชาธิปไตย”

“ความเสื่อมซามและความเจริญของประเทศ”: ถอดรหัสความคิด“ประชาธิปไตย”ของ “คณะร.ศ.130”

ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2455 รัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้เข้าจับกุม“คณะร.ศ.130” เจ้าหน้าที ได้ยึดเอกสารชิ้นหนึ งในบ้านของแกนนําสําคัญ คือ ร.อ.เหล็ง เอกสารชิ้นนั้นชื อ “ความเสื่อมซาม และความเจริญของประเทศ” ซึ่ งเป็นเอกสารที่ สะท้อนให้เห็นความคิดทางการเมืองของแกนนําคณะอย่างแจ่มชัด 

ในบันทึกมีการแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ว่า ความก้าวหน้าของประเทศ ต่างๆทั วโลกนั้น จะรุ่งเรือง หรือเสื อมทรามลงก็เพราะการกครองของประเทศนั้น 
“ ถ้าประเทศหนึ่งประเทศใดรู้จักจัดการปกครองโดยใช้กฎหมายแลแบบธรรมเนียมที่ยุติธรรม ซึ่งไม่กดขี่และบียดเบียนให้ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ประเทศนั้นก็จะมีความเจริญรุ่งเรืองแลศรีวิลัยยิ่งขึ้นทุกที เพราะราษฎรได้รับความอิสรภาพเสมอหน้ากันไม่มีใครที่จะมาเป็นเจ้า สําหรับกดคอกันเล่นดังเช่นประเทศซึ่งอย่ในูยุโรป แลอเมริกา เป็นต้น

ประเทศเหล่านี้ แต่เดิมก็เคยมีกระษัตริย์ปกครองอยู้่เหนือกฎหมายใช้อํานาจ แอ็บโซล๊ดเต็มที่สําหรับกดขี่ราษฎรได้ตามความพอใจ ครั้นนต่อมาเมื่อราษฎรเกิดความรู้แลความฉลาดมากขึ้นแล้ว จึงได้ช่วยกันลบล้างประเพณีอันชั่วร้ายของกระษัตริย์เสียหมด คิดจัดตั้งประเพณีการปกครองบ้านเมืองขึ้นใหม่ บางประเทศก็บังคับให้กระษัตริย์อยู่ใต้กดหมาย บางประเทศก็ยกเลิกไม่ให้กระษัตริย์ปกครอง คือ การจัดตัั้งการปกครองเป็นรีปับลิ๊ก...”

หัวใจสําคัญของบันทึกดังกล่าวได้เสนอ และวิเคราะห์แนวทางการปกครองในโลกว่า มี 3 แบบ คือ 

แบบแรก“แอ็บโซลุ๊ดมอนากี” 

แบบที สอง“ลิมิตเต็คมอนากี” 

และแบบสุดท้ายคือ “รีปัปลิ๊ก” 

สําหรับการปกครองแบบแอ็บโซลุ๊ดมอนากี”นั้น บันทึกวิจารณ์ว่า
เป็นระบอบการปกครองที่ กษัตริย์มีอํานาจเต็ม อยู่เหนือกฎหมาย“กระษัตริย์จะทําชั่วร้ายอย่างใดก็ทําได้” จะกดขี่ แลเบียดเบียนราษฎรให้ได้รับความทุกข์ได้ทุกประการ ทรัพย์สิน สมบัติและที่ ดินจะถูกกระษัตริย์เบียดเบียนเอามาเป็นประโยชน์ส่วนตัวได้อย่างไม่มีขีดจํากัด เช่น ไล่ที ่ทําวัง เงินภาษีอากรจะถูกนํามาบํารุงความสุขให้ส่วนตัว พระราชวงศ์และบ่าวไพร่ เงินบํารุงบ้านเมืองจึง“ไม่เหลือหรอ” ประเทศสยามเป็นประเทศหนึ่งที ปกครองในระบอบดังกล่าว และมีพวกที คอย“ล้างผลาญ”ภาษีอากรที่ เข้ามา“กัดกันกินเลือดเนื้อของประเทศ”

ในบันทึกวิเคราะห์ต่อไปว่า ประเทศที่ปกครองแบบดังกล่าวจะทําให้ประเทศทรุดโทรมและถึงแก่กาลวินาศ 

การปกครองแบบ“ลิมิตเต็คมอนากี้” ในบันทึกวิเคราะห์ว่า 
การปกครองแบบนี้ กระษัตริย์ต้องอยู่ใต้กฎหมาย ดังนั้นกษัตริย์จึงไม่มีอํานาจ พวกเต้นเขนและพวกเทกระโถนตามวังเจ้าจะไม่มีโอกาสได้เป็นขุนนางเลย วิธีการปกครองแบบนี้ เริ่มต้นจากอังกฤษ ประเทศต่างๆได้ทําตามแบบดังกล่าว เช่น ตุรกี และญี่ปุ่น แต่บางประเทศทําเลยไปถึงรีปัปลิ๊ก

บันทึกเห็นว่า คงเหลือแต่ประเทศสยามเท่านั้นที่ ยังคงระบอบการปกครองที่ ่ทําให้ พวกกระษัตริย์ได้รับความสุขสนุกสบายมากเกินไปจนไม่มีเงินจะบํารุงประเทศ

การปกครองแบบสุดท้าย คือ "รีปัปลิ๊ก” บันทึกนิยามว่า
การปกครองแบบนี้เป็นการปกครองที่ยกเลิกไม่ให้มีกระษัตริย์ปกครองอีกต่อไป แต่มีที่ประชุม สําหรับจัดการบ้านเมืองอย่างแข็งแรง โดยมีประธานาธิบดีเป็นประธานสําหรับการปกครองประเทศ ประชาชนมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน

การปกครองรูปแบบนี้ ในบันทึกวิเคราะห์ว่า “ ราษฎรทุกประเทศจึงอยากเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศให้เป็นรีปัปลิ๊กทั้งหมด เวลานี้ ประเทศใหญ่น้อยต่างๆเป็นรีปัปลิ๊กกันเกือบทั่วโลกแล้ว” เช่นประเทศในยุโรป อเมริกา และจีนกําลังต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เป็นรีปัปลิ๊ก 


นายแพทย์นักปฏิวัติ-ร้อยเอกนายแพทย์เหล็ง ศรีจันทร์ หรือ"หมอเหล็ง"ได้เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ เพราะประสงค์จะเจริญรอยตามจีนที่ได้นายแพทย์ซุนยัดเซ็นเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองสำเร็จมาก่อนหน้านี้

ร.อ.เหล็ง และร.ต.เนตรได้บันทึกต่อไปอีกว่า ที่ ประชุมในช่วงแรกๆหลายครั้งให้การสนับสนุนการปกครองอย่างหลังสุดตามแบบจีน พวกเขาได้บันทึกบรรยากาศในประชุมเมื อครั้งนั้นว่า “ที่ประชุมเอนเอียงไปในระบอบแผนการปฏิวัติของประเทศจีน เนื่องจาก[จีน]มีฐานะและสภาพไม่ต่างจากเรา[สยาม] ”

สอดคล้องกับร.ต.จรูญ ษตะเมษ หนึ่งในสมาชิกของ “คณะร.ศ. 130” ได้ย้อนความทรงจําว่า แนวทางในการปฏิวัติเปลี ยนแปลงปกครองของพวกเขาได้แบบจากจีน แต่แนวความคิดในการปกครองได้มาจากตะวันตก 

แนวทางตัดสินใจไปสู่ “ประชาธิปไตย”นั้น พวกเขาบันทึกว่า ได้รับการสนับสนุนจากทั้งนายทหารกลุ่มหนึ งและพลเรือน เช่น พระยารามบัณฑิตสิทธิเศรณี(เซี่ยง สุมาวงศ์) พระพินิจพจนาตรถ์(น่วม ทองอินทร์) บุญเอก ตันสถิตย์(อดีตนักเรียนฝรั่เศส ขณะนั้นทํางานในสถานทูตฝรั่งเศส)และอุทัย เทพหัสดินทร์ ณ อยุธยา

แม้ในบันทึกของพวกเขาเล่าว่า เมื่อมีสมาชิกเพิ่มขึ้นในการประชุมแต่ละครั้งทําให้เกิดกลุ่มสายกลางขึ้น กลุ่มดังกล่าวมี ร.ต.จือ ควกุล และสมาชิกบางส่วนที เป็นสมาชิกที่มีอายุมากต้องการเปลี่ยนเป็นระบอบ “ลิมิเต็ดมอนากี”มากกว่า 

กลุ่มสายกลางให้เหตุผลว่า “ไม่ต้องการให้เกิดความชอกช้ำมากเกินไป ฝ่ายที่ถูกชิงอํานาจก็จะไม่เคียดแค้นถึงกับทําตัวเป็นศัตรูอย่ตลอดกาล” ร.ต.เนตร ซึ งเป็นเลขาธิการคณะได้ประเมินความคิดของกลุ่มสายกลางว่า “ไม่ได้ความเลย”

น่าสังเกตว่า ในบันทึกของพวกเขาและท่าทีที่ ปรากฎในบันทึกหลายเล่ม พวกเขามิได้เคยรวม ร.อ.เหล็ง ร.ต.เนตรและร.ต.เหรียญ ซึ งเป็นแกนนําสําคัญของคณะสายทหารเอาไว้ในกลุ่มสายกลางเลย 

มิพักถึงท่าทีของกลุ่มพลเรือนในคณะซึ่งมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกับแกนนําสายทหาร ดังนั้น เราจึงอาจวิเคราะห์ได้ว่า พวกเขาที่เป็นแกนนําทั้งสายทหารและพลเรือนมิได้จัดตัวเองอยู่ในกลุ่มสายกลาง 

กล่าวอีกอย่าง คือ พวกเขามิได้เห็นด้วยกับทิศทางการปฏิวัติเปลี ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปสู่ระบอบ“ลิมิเต็ดมอนากี”ให้เกิดขึ้นในสยามในครั้งนั้น แม้แนวทางที พวกเขาต้องการมิได้ประสบชัยชนะ ด้วยคะแนนเสียงที น้อยกว่าเพียงเล็กน้อย แกนนําได้ยอมรับมติที ประชุมในครั้งสุดท้าย 

และได้ตกลงกันลงมือปฏิวัติในวันถือนํ้าพระพิพัฒน์สัตยาในเดือนเมษายน 2455 แต่ความหวังของพวกเขาในการเปลี ยนแปลงการปกครองของสยาม ไม่อาจบรรลุผลได้เนื องจาก พวกเขาถูกจับกุมในเวลาต่อมาก่อนการลงมือเพียง 1 เดือน

เนื องจาก พ.อ.พระยากําแพงราม(แต้ม คงอยู่)ได้ทรยศหักหลังนําแผนการของพวกเขาไปแจ้งต่อรัฐบาล ทําให้การปฏิวัติครั้งนั้นไม่สําเร็จ 

การทรยศดังกล่าวทําให้ พระยากําแพงรามได้ทุนจากรัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปศึกษาด้านการทหารในฝรั ่งเศส แต่ทําให้พวกเขาเหล่าผู้กล้าที มาก่อนกาลบางคน เช่น ร.ต.ชอุ่ม สังกัด กองทหารม้าที 1 ยิงตัวตายด้วยการใช้ปืนเล็กสั้นของนายทหาร “ยัดเข้าปาก” ปลิดชีพตนเอง
คณะผู้มาก่อนกาล-ทหารหนุ่มคณะรศ.130ช่วงติดคุกการเมือง หลังพ้นโทษได้เผยแพร่ความคิดปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองต่อนายทหารหนุ่มในรุ่นถัดมา ทำหนังสือพิมพ์โฆษณาให้คนไทยคิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง และถอดบทเรียนให้คณะราษฎรก่อการ 2475 สำเร็จในอีก 20 ปีต่อมา


สมาชิกส่วนใหญ่ถูกโยนเข้าคุกไปเป็นเวลากว่า 12 ปี ความรุนแรงของตัดสินโทษของรัฐบาล สมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ มีต่อเพื่อนๆของพวกเขาทําให้ ร.ต.เจือ ศิลาอาสน์ สมาชิกคนหนึ งที ยังไม่ถูกจับกุมได้ลักลอบส่งจดหมายติดต่อกับเพื่อนที่ ต้องโทษทัณฑ์ว่า เขาจะเป็นผู้ถือ “ธงรีปัปลิ๊ก” นําขบวนการปฏิวัติปลดปล่อยเพื่อนออกจากการลงทัณฑ์โดยรัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่เคราะห์ร้ายที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลยึดจดหมายบับนี้ได้ทําให้เขาถูกจับกุมในเวลาต่อมา 

ในระหว่างที่พวกเขาถูกลงโทษ สมาชิกหลายคนเสียชีวิตในคุก ร.ต.วาศ วาสนา หนึ่งในสมาชิกของคณะ เขาได้กล่าวกับเพื่อนๆในวาระสุดท้ายของชีวิตนักปฏิวัติว่า “เพื่อนเอ๋ย กันต้องลาเพื่อนไปเดี๋ยวนี้ ขอฝากลูกของกันไว้ด้วย กันขอฝากไชโย ถ้าพวกเรายังมีชีวิตได้เห็น”

การรับรู้การปฏิวัติจีนและความเคลื่อนไหวของ “ไทยเหม็ง”

100ปีเก๊กเหม็ง-ภาพยนตร์ 1911 ซึ่งออกฉายในปี 2554 ที่ผ่านมา เฉลิมฉลองโอกาส 100 ปีเปลี่ยนแปลงการปกครองของจีนจากราชาธิปไตยสู่สาธารณรัฐ

หากหันมาดูบทบาทของปรีดี พนมยงค์ แกนนําสายพลเรือนในคณะราษฎรซึ่งมีส่วนในการก่อตั้ง“คณะราษฎร” ขึ้นในปารีสเพื่อทําการปฏิวัติ 2475 จนสําเร็จนั้น ในเวลาต่อมา เขาได้เล่าย้อนถึงแรงดลใจของเขานั้นเกิดขึ้นจากความสําเร็จของการปฏิวัติจีน และความกล้าหาญของ “ไทยเหม็ง” หรือ “คณะ ร.ศ. 130” ว่า 

“ฝ่ายพวกจีนเก็กเหม็งที่อยุธยาก็ได้ใช้วิธีโฆษณา โดยเช่าห้องไว้ที่ตลาดหัวรอไว้เป็นห้องอ่านหนังสือ มีภาพการรบเพื่อแจกจ่ายแก่ผู้สนใจ ส่วนงิ้วที่ศิลปินจีนแสดงประจําที่วัดเชิง (วัด พนัญเชิง)นั้น ก็เปลี่ยนเรื่องเล่นใหม่ให้สมกับสมัย คือ เล่นเรื่องกองทหารเก็กเหม็งรบกับกองทหารกษัตริย์ จึงทําให้คนดูเห็นเป็นการสนุกด้วย”

ปรีดี ได้เล่าย้อนในวัยเด็กต่อไปว่า เขาได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน เขาเห็น ชายจีนทุกคนตัดผมเปียทิ้ง ทั้ง ๆ ที่ได้ไว้เปียมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ ชาวจีนเหล่านั้นอธิบายกับเขาว่า ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของจีนเป็นผู้กําหนดให้ไว้ผมเปียได้ถูกล้มล้างไปแล้ว จีนได้เปลี่ยนการปกครองก้าวสู่สาธารณรัฐอันมีซุนยัดเซนเป็นผู้นํา 

เขาบันทึกว่า “ในสมัยนั้น หนังสือพิมพ์ยังไม่แพร่หลายในสยาม โดยเฉพาะในจังหวัดบ้านเกิดของข้าพเจ้า บิดาข้าพเจ้าเห็นว่าข้าพเจ้ากระหายใคร่รู้ข่าวคราวต่าง ๆ มากนัก จึงได้นําหนังสือพิมพ์เก่า ๆ ของญาติของข้าพเจ้าคนหนึ่ง ซึ่งเป็นนายทหารแห่งกองทัพบกมาให้ข้าพเจ้าอ่าน ทําให้ข้าพเจ้ารับรู้ทีละเล็กทีละน้อยว่า ระบอบการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น มีข้อเสียหรือข้อบกพร่องอย่างไร ชาวจีนจึงได้ต่อต้านการปกครองระบอบนี้ และเปลี่ยนมาเป็นการปกครองในระบอบสาธารณรัฐ”

นอกจากนี้ ครูวิชาประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ของเขาได้สอนให้เขารู้จักรูปแบบการปกครองฉบับย่อ ว่า “ครูสอนว่าแบบการปกครองประเทศแยกออกเป็นสามชนิด คือ ๑.พระเจ้าแผ่นดินอย่เหนือกฎหมาย เรียกว่า ‘สมบูรณาญาสิทธิราชย์’๒.พระเจ้าแผ่นดินอยู่ใต้กฎหมายการปกครองแผ่นดิน ๓.ราษฎรเลือกตั้งขึ้นเป็นประมุขเรียกว่า ‘รีปับลิก’… มีคณะเสนาบดี การปกครองประเทศตามความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร…ครูบางท่านที่ก้าวหน้าได้ติดตามข่าวแล้วเอามาวิจารณ์ให้นักเรียนฟังว่า วันไหนฝ่ายใดชนะฝ่ายใดแพ้ ซึ่งทําให้ปรีดีและนักเรียนที่สนใจเกิดสนุกกับข่าวนั้น”

ต่อมาในภายหลัง เขาได้ตั้งข้อสังเกตว่า ครูมัธยมผู้นี้ อาจเป็นสายจัดตั้งของ“คณะ ร.ศ. 130” เพราะนําความคิดประชาธิปไตยมาเผยแพร่ แก่นักเรียน โดยเฉพาะในช่วงเกิดสงครามในประเทศจีนระหว่างฝ่ายเก็กเหม็งกับฝ่ายกษัตริย์ราชวงศ์แมนจู 

ครูได้สอนอีกว่า “ ต่อมาในไม่ช้า ความปรากฏว่าฝ่ายกษัตริย์แห่งราชวงศ์แมนจูต้องพ่ายแพ้ ครูที่ก้าวหน้าจึงพดเปรย ๆ กับปรีดีว่า ระบบสมบูรณาฯ ก็สิ้นไปแล้วในจีน ยังเหลือแต่รุสเซียกับเมืองไทยเท่านั้น ครูไม่รู้ว่าระบบสมบูรณาฯ ใดใน ๒ ประเทศนี้ประเทศใดจะสิ้นสุดก่อนกัน”

การปฏิวัติจีนกับหนังสือ“ลัทธิตรัยราษฎร์” : การแพร่ กระจายของความคิด “ประชาธิปไตย”ในสังคมสยาม 
ต้นแบบ-หมอซุนยัดเซ็น ผู้นำการปฏิวัติพ.ศ.2454 ต้นแบบของหมอเหล็งแลเะคณะในปีต่อมา

ไม่แต่เพียงการรายงานข่าวความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไปสู่สาธารณรัฐของจีนจะสร้างความตื่นตัวและสนใจให้กับสังคมสยามเป็นเวลาหลายปี ท่ามกลางความสนใจของสังคมสยามในช่วงกลางทศวรรษ 2460 ได้ปรากฎการแปลความคิดทางการเมืองของซุนยัดเซนและเหตุการณ์การปฏิวัติจีนเป็นหนังสือหลายเล่ม เช่น ซุ่ยเทียม ตันเวชกุล “สุนทรพจน์ของท่านซุนยัดเซน เรื่อง ความเพียรนำามาซึ่งผล หรือ เรื่อง การเก๊กเหมงในประเทศจีน ปี พ.ศ.2454”(2465) และ“มินก๊กอินหงี” (2467)

ต่อมา ตันบุญเทียม อังกินันทน์ ได้แปล “ลัทธิตรัยราษฎร์”ซึ่งเป็นหนังสือเล่มสําคัญของซุนยัดเซนที่ถือได้ว่าเป็นคัมภีร์ของการปฏิวัติจีนเป็นตอนๆบนหน้าหนังสือพิมพ์หลักเมืองในช่วงปี 2468 

การนําเข้าความคิด“ประชาธิปไตย”แบบจีนและความคิดทางการเมืองของซุนยัดเซนผ่านการแปลในหนังสือพิมพ์และตีพิมพ์เป็นหนังสือได้สร้างความหวั่นวิตกให้กับรัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยามเป็นอันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ งเมื่ อ ต.บุญเทียมได้ตีพิมพ์ผลงานแปลความคิดของซุนยัดเซนเป็นเล่ม และใช้ชื อหนังสือเล่มดังกล่าวเป็นสามภาษาซึ่งแสดงความเป็นสากลของความคิดว่า “ลัทธิตรัยราษฎร์ ซามินจูหงี (三民主義 San Min Chu I : The Three Principles of The People)”(2472)

จากบันทึกของพล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อดีตอธิบดีกรมตํารวจ นายทหารผู้ใกล้ชิด“คณะราษฎร” และอดีตนายทหารมหาดเล็กคนหนึ่งในขณะนั้น ได้บันทึกเรื่องราวในช่วงดังกล่าวว่า “ คณะหนังสือพิมพ์หลักเมืองของนาย ต. บุญเทียม เจ้าของโรงพิมพ์หลักเมือง ก็ได้เผยแพร่ ลัทธิไตรราษฎร์หรือซามินจูหงี ขึ้น ซึ่งลัทธินี้เป็นลัทธิการต่อสู้ที่น่าสนใจของคณะก๊กมินต๋องที่ต่อสู้มากับระบบเจ้าขุนมูลนายเป็น
ผลสําเร็จ... คําว่าเก็กเหม็งหรือการปฏิวัติก็เริ่มเผยแพร่ เข้ามาอย่ในความรู้สึกของคนไทย ”

ไม่นานจากนั้น รัฐบาลได้สั่งเก็บหนังสือเล่มดังกล่าวออกไปจากตลาดหนังสืออย่างรวดเร็วและนําไปทําลายทิ้ง หลังจากจําหน่ายได้เพียงไม่กี่เล่ม

โดยรัฐบาลขณะนั้นอาศัยอํานาจตาม พระราชบัญญัติสมุดเอกสารแลหนังสือพิมพ์ พระพุทธศักราช 2465

ด้วยเหตุนี้ การทําลายหนังสือดังกล่าวย่อมสะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลขณะนั้นไม่ต้องการให้ความคิดการปฏิวัติและความคิด “ประชาธิปไตย”เข้ามาสู่สังคมสยาม

ภารกิจของคณะ ร.ศ.130 และศรีกรุงกับการสนับสนุนการปฏิวัติครั้งใหม่

หลังจาก ปรีดี ว่าที่ นักปฏิวัติรุ่นใหม่ ได้ไปเรียนต่อในโรงเรียนกฎหมาย เมื่อเขาสําเร็จการศึกษา เขาได้รับทุนไปศึกษาต่อด้านกฎหมายที่ฝรั่งเศสในปี 2463 พร้อมกับการนําการรับรู้การพยายามปฏิวัติของ“คณะ ร.ศ.130” ไปด้วย และต่อมา เขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่ งของ“คณะราษฎร” ที่ก่อตั้งขึ้นในปารีสเมื อ 2469 และได้ร่วมนําการปฏิวัติ 2475 ในอีกไม่กี ปีต่อมาจากนั้น โดยมี “คณะร.ศ.
130” เป็นแนวร่วมในการบ่มเพาะและปลุกกระแสความตื่นตัวของสังคมสยามให้พร้อมในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กําลังจะเกิดขึ้นต่อไป 

ในระหว่างที่คณะ ร.ศ.130 ถูกจําคุกอย่างทรมานระหว่าง 2455-2467 ในบันทึกของสมาชิกของคณะได้บันทึกว่า แม้ว่าพวกเขาจะมีชีวิตที่ ถูกทารุณ แต่ความคิดทางการเมืองของพวกเขายังคงสว่างไสว ทําให้พวกเขายังคงเคลื่ อนไหวทางการเมืองต่อไป ด้วยการลักลอบเขียนบทความแสดงการวิพากษ์วิจารณ์การบริหารงานของรัฐบาลสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์และนวนิยายส่งไปลงตามหนังสือพิมพ์การเมืองหลายฉบับ เช่น “จีโนสยามวารศัพท์” “ผดุงวิทยา”ของเซียวฮุดเส็ง “สยามราษฎร์” ของมานิต วสุวัต “ยามาโต” “วายาโม” “พิมพ์ไทย” “ตู้ทอง” และ “นักเรียน” เป็นต้น 

หลังพ้นโทษในปี 2467 สมาชิกหลายคนไปทํางานหนังสือพิมพ์ เช่น ร.ท.ทองดํา คล้ายโอภาศ ร.ต.จือ ควกุล ทํางานหนังสือพิมพ์ “บางกอกการเมือง” ซึ่งมีอุทัย เทพหัสดินทร์ เพื่อนนักปฏิวัติผู้มีหุ้นส่วนในหนังสือพิมพ์ดังกล่าว 

ส่วน ร.ต.บ๋วย บุณยรัตนพันธ์ ร.ต.ถัด รัตนพันธุ์ ร.ต.สอน วงษ์โต ร.ต.โกย วรรณกุล และร.ต.เนตร ทํางานที ”ศรีกรุง” และ “สยามราษฎร์” ของมานิต วสุวัต 

สมาชิกของคณะร.ศ.130 ได้เล่าความมุ่งมั่นของพวกเขาในการทําหน้าที่นักหนังสือพิมพ์ว่า “ผู้ที่เคยก่อการ(คณะร.ศ.130)เป็นนักหนังสือพิมพ์แท้ มักตระหนักชัดแจ้งว่า (พวกเขา)เป็นส่วนหนึ่งของชาติหน่วยหนึ่ง

พอเลิกงานแล้วมักจะออกเที่ยวคบค้าสมาคมตามสโมสรและแหล่งชุมนุมต่างๆ เพื่อสังสรรกลั่นกรองความคิดความเห็นและข่าวสารการเมืองเป็นการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน”
เผ่า ศรียานนท์

บทบาทของเหล่าผู้มาก่อนกาลยังคงต้องการผลักดันการปฏิวัติของสยามต่อไป ดังที่ พล.ต.อ.เผ่า ในขณะนั้นเขามียศเพียงร.ต.ทหารมหาดเล็กฯได้บันทึกว่า เขาได้รับอิทธิพลทางความคิด “ประชาธิปไตย”จาก“คณะร.ศ.130” และต่อมานายทหารผู้นี้ได้ให้การสนับสนุนการปฏิวัติ 2475 และร่วมต่อสู้กับอํานาจเก่าจนเขาพ้นจากอํานาจไป 

เขาได้บันทึกต่ออีกว่า “(ความคิดปฏิวัติได้แพร่ เข้ามาอยู่ในกระแสความคิดของคนสยามและนายทหาร) เพราะพวกทหารที่คิดเก็กเหม็งหรือคิดปฏิวัติในรัชกาลก่อน(รัชกาลที 6)นั้น ก็มาทํางานตามโรงพิมพ์หนังสือรายวันต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรงพิมพ์ศรีกรุง เชิงสะพานมอญ และคําภาษาไทยใหม่ๆก็ได้เกิดขึ้นขนานค่กับลัทธิไตรราษฎร์ของดร.ซุนยัดเซนที่เผยแพร่ ในหนังสือพิมพ์หลักเมือง เช่น คําว่า เสมอภาค ภราดรภาพ ดังนี้เป็นต้น ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องเร้าอารมณ์ของนายทหารหนุ่มๆ ยิ่งหนังสือพิมพ์หลักเมืองถูกปิด โรงพิมพ์ศรีกรุงถูกปิด ก็ทําให้มีนายทหารเป็นจํานวนมากแอบซื้อหนังสือพิมพ์นี้มาอ่าน ”

พล.ต.อ เผ่า ได้บันทึกความทรงจําต่อไปว่า ด้วยความกระหายใคร่รู้ของนายทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์จํานวนหนึ ง พวกนายทหารเหล่านั้นได้เริ่มต้นค้นหาความหมายของคําว่า“เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ ที่เคยเป็นแต่เสียงกระซิบกระซาบ ก็เกิดมีการค้นคว้ากันว่า มัน คือ อะไร”

และเมื่ อนายทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์จํานวนหนึ่ งเริ่มตระหนักสนใจในแนวคิดเรื่องเสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ รัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์เริ่มระแคะระคายถึงความตื ่นตัวทางการเมืองดังกล่าว ทําให้เกิดการจัดตั้ง “สมาคมลับแหนบดํา”ขึ้นเพื อทําการต่อต้านการปฏิวัติ โดยสมาคมนี้มีหน้าที่ป้องกันการโค่นล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที เริ่มปรากฎขึ้นภายในกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ 

พล.ต.อ.เผ่าเชื อว่า พล.อ.พระยาสุรเดชรณชิต ทําหน้าที ่สืบข่าวและปรามความคิดทางการเมืองของเหล่านายทหาร

แม้รัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยามจะติดตามกระแสความคิดที ่ไม่พึงปรารถนามิให้เผยแพร่ในกองทัพ แต่กระนั้นก็ดี ร.ต.บ๋วย สมาชิกคณะ ร.ศ.130 ก็ยังคงเพียรทําหน้าที เข้าไปเผยแพร่แนวความคิดในสโมสรนายทหารมหาดเล็กต่อไป 

ดังที่ พล.ต.อ.เผ่า ได้บันทึกบทบาทของ “คณะร.ศ.130”ว่า “ลัทธิเก็กเหม็งหรือปฏิวัติแบบซุนยัดเซนก็กระพือสะพัดไปทั่ว นายทหารที่คิดการปฏิวัติเมื่อร.ศ.130 ก็เริ่มเป็นดาราดวงเด่นขึ้น มีคนอยากรู้อยากฟังเรื่องปฏิวัติใน ร.ศ.130 และส่วนมากของนายทหารซึ่งได้รับการพระราชทานอภัยโทษ ในสมัยรัชกาลที่หกนั้น ก็เข้าทํางานหาเลี้ยงชีพอยู่ตามโรงพิมพ์เป็นส่วนมาก ผู้ที่ขึ้นชื่อที่สุด คือ ร.ต.บ๋วย บุณยรัตนพันธ์ เป็นนักเขียนเรื่องเริงรมย์ทางสวาทชั้นยอด ร.ต.บ๋วยทํางานอยู่โรงพิมพ์ศรีกรุงได้มีโอกาสมาเยี่ยมทหารมหาดเล็กบ่อยๆและชอบเล่าเรื่องการปฏิวัติใน ร.ศ.130 

บางคนถามว่าอยู่ในคุกลําบากไหม ร.ต.บ๋วยตอบว่า จะเอาอะไรล่ะคุณ เราก็เป็นทหาร เคยเป็นนักเรียนนายร้อย กินอย่างไรก็ได้ นอนอย่างไรก็ได้ ในคุกนั้นมีของทุกอย่าง เว้นไว้แต่ช้าง ไม่มี เพราะลอดประตูคุกเข้าไปไม่ได้ ทุกๆคนนิ่งฟัง ชมเชยในความกล้าหาญ อีกคนถามว่า กลัวถูกยิงเป้าไหม ร.ต.บ๋วยตอบว่า กลัวน่ะกลัวกันทุกคน แต่อย่างมากคนเราก็แค่ตายเท่านั้น ผมพดอย่างนี้จริงหรือไม่ แล้วสังคมก็ครื้นเครงอารมณ์ไปในทางเลื่อมใส ร.ต.บ๋วย บุณยรัตนพันธ์เป็นอย่างยิ่ง”

ร.ต.บ๋วยได้พยายามเผยแพร่ แนวความคิด“ประชาธิปไตย”ให้กับนายทหารอย่างต่อเนื ่อง แม้ในเวลาต่อมา มีคําสั งห้ามมิให้นายทหารชวนคนภายนอกเข้ามาในสโมสร แต่ร.ต.บ๋วยก็ยังคงเพียรเปลี ยนแปลงความคิดของนายทหารต่อไปด้วยการส่งหนังสือพิมพ์มาให้ห้องสมุดนายทหารมหาดเล็กเสมอ และได้ย้ายวงสังสรรค์ออกไปนอกกรมทหาร ตามรอบสวนเจ้าเชตุ บางวันก็ไปกินเลี้ยงกันตามร้านอาหารใหญ่ เช่น ร้านฮงเฮง ร้านฮั วตุ้น ตามแต่ขณะนั้นจะมีเงินมากหรือเงินน้อย

การพบปะสังสรรค์แลกเปลี ยนความคิดทางการเมืองระหว่างร.ต.บ๋วยกับนายทหารคนอื ่นๆทําให้นายทหารเริ ่มรับรู้และเห็นด้วยกับความคิดทางการเมืองนั้น ดังที่ พล.ต.อ.เผ่าบันทึกไว้ว่า“เรื่องกบฏเก็กเหม็งในเมืองไทยและ ที่ในเมืองจีนซึ่งกําลังต่อสู้กันอยู่ก็เริ่มกระจ่างแจ้งในใจของผู้บังคับหมวด คือ ร.ต.เผ่า ศรียานนท์”


การบรรจบกันของ“คณะร.ศ.130” กับ “คณะราษฎร” ในการปฏิวัติ 2475 
ปรีดี พนมยงค์

เมื อปรีดีเดินทางกลับสู่สยาม ภายหลังที เขาสําเร็จการศึกษาและร่วมจัดตั้ง “คณะราษฎร” ที่ปารีสแล้ว เขาได้มีโอกาสพบปะกับ ร.ต.เนตร อดีตแกนนําของ“คณะ ร.ศ.130” ด้วย 

เมื่ อมีความคุ้นเคยระหว่างกันมากขึ้น เขาได้เคยถามถึงสภาพชีวิตในคุกของเหล่าคณะร.ศ.130 และได้แสดงความเห็นอกเห็นใจต่อโศกนาฏกรรมที่ เหล่าผู้มาก่อนกาลได้รับโทษทัณฑ์ และเขาได้ซักถามถึงสาเหตุของความล้มเหลวของ“คณะ รศ.130” คือ อะไร 

เขาได้รับคําตอบจากร.ต.เนตรว่า เกิดจากการทรยศหักหลังของคนในคณะนําความลับไปแจ้งแก่รัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ร.ต.เนตรมั ่นใจว่า หากไม่มีเหตุการณ์ทรยศดังกล่าว ร.ต.เนตรมั่ นใจว่าการปฏิวัติจะประสบความสําเร็จ

ความสัมพันธ์พิเศษระหว่างเขากับแกนนําใน “คณะร.ศ.130” นี้ เขาได้บันทึกยืนยันความสัมพันธ์นี้ว่า “ปรีดีสนใจในข่าวนี้มาก เพราะเห็น
ว่า เมืองไทยก็มีคณะ ร.ศ.130 รักชาติกล้าหาญ เตรียมเลิกระบบสมบูรณาฯ หากแต่มีคนหนึ่งในขณะนั้นทรยศนําความไปแจ้งแก่รัฐบาล ปรีดีจึงพยามสอบถามแก่ผู้รู้เพื่อทราบเรื่องของ ร.ศ.130ด้วยความเห็นใจมาก”

จากประสบการณ์ของ “คณะร.ศ.130” ที ่เขาได้รับฟังมา ทําให้เขาต้องสรุปบทเรียนจากเหตุการณ์ดังกล่าว ดังที่ เขาบันทึกว่า “มีคนกลุ่มหนึ่งเช่นอย่างร.ศ.130 ก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่จะทํา(การปฏิวัติ)แต่ถูกหักหลัง ถ้าไม่ถูกหักหลังเขาก็สําเร็จ...ผมก็เอาบทเรียนที่เขา(คณะร.ศ.130)พลาดพลั้งมาศึกษา... ”

เมื่ อความสัมพันธ์พิเศษระหว่าง “คณะร.ศ. 130” กับ “คณะราษฎร” มีความแนบแน่นมากขึ้น จนนําไปสู่ความร่วมมือกัน ดังสมาชิกสําคัญใน“คณะร.ศ.130” ได้บันทึกถึงบาทบาทของพวกเขาในการสนับสนุนการปฏิวัติ 2475 ว่า “เราในโรงพิมพ์ศรีกรุงซึ่งมีสมองปฏิวัติอยู่แล้วแต่เดิม เมื่อเห็นเขาเต้นเขารําก็อดไม่ได้ มิหนําซํ้ามีบางคนได้ตกปากรับคํากับสายสื่อของคณะ พ.ศ.2475 เป็นทางลับไว้ด้วยว่า จะขออนุญาตเจ้าของโรงพิมพ์ใช้หนังสือพิมพ์ศรีกรุงเป็นปากเสียง(organ)ของคณะ 2475 ก็เผอิญนายมานิต วสุวัต ท่านเจ้าของโรงพิมพ์ศรีกรุงซึ่งมีนิสัยใจคอใคร่เห็นความเจริญก้าวหน้าของประเทศชาติให้ทันสมัยอยู่่แล้วได้อนุญาตอย่างลูกผู้ชายนับแต่นั้นเป็นต้นมา ”

ความหมายของ“ประชาธิปไตย”ก่อนการปฏิวัติ 2475 


ก่อนการปฏิวัติ 2475 ปรีดีรับราชการในกระทรวงยุติธรรมและเขายังได้ทําหน้าที ผู้สอนวิชากฎหมายปกครองในโรงเรียนกฎหมายและได้เขียนตํารา “คําอธิบายกฎหมายปกครอง”เล่มสําคัญขึ้น เพื อสอนเหล่านักเรียนกฎหมาย 

ในตํารามีการจําแนกของคําว่ารัฐบาลในโลกนี้ ออกเป็น 2 แบบ คือ แบบแรก คือ รัฐบาลราชาธิปไตย ซึ งมีหลายชนิดตั้งแต่ รัฐบาลราชาธิปไตยอํานาจไม่จํากัด (Monarchie absolue)ซึ งพระเจ้าแผ่นดินมีอํานาจเต็ม จนถึง รัฐบาลราชาธิปไตยอํานาจจํากัด (Monarchie limitee)ซึ ่งพระเจ้าแผ่นดินไม่มีอํานาจในการแผ่นดิน 
และแบบที สอง คือ รัฐบาลประชาธิปไตย คือ รัฐบาลที ่มีหัวหน้าของผู้บริหารเป็นคนสามัญธรรมดา ไม่มีการสืบทอดตําแหน่งไปยังทายาท แต่การเข้าสู่ตําแหน่งมาจากมาจากการเลือกตั้ของประชาชนตามกําหนดเวลา รัฐบาลประชาธิปไตยมี สองชนิด คือ รัฐบาลที มีประธานาธิบดีเป็นหัวหน้า เช่น ฝรั งเศส กับ รัฐบาลที อํานาจ
บริหารอยู่กับคณะบุคคล เช่น สหภาพโซเวียต

การเรียนการสอนและการถกเถียงถึงรูปแบบการปกครองแบบต่างๆของโรงเรียนกฎหมายในช่วงก่อนการปฏิวัติ 2475 นั้น สร้างความตื่นตัวทางการเมืองให้กับผู้สนใจในความรู้สมัยนั้น โดยเฉพาะนักเรียนกฎหมาย จนกระทั ่งนายทหารผู้หนึ่ งขณะนั้นคนหนึ ่งบันทึกว่า “ มีข่าวแพร่มาว่า ที่โรงเรียนกฎหมายได้วิพากษ์วิจารณ์ลัทธิการปกครองแบบใหม่อย่างกว้างขวาง... ที่ของโรงเรียนกฎหมายอันเป็นแหล่งเพาะวิชาปกครองบ้านเมืองและเป็นสถาบันค้นคว้าวิชาการปกครองได้แพร่สะพัดออกมาว่า การที่เขาวิพากษ์วิจารณ์กันเช่นนั้นได้ เพราะเป็นสถานที่ๆให้การศึกษาวิชา
กฎหมายจึงไม่กีดกันความคิดเห็นแต่อย่างใด ”

เมื องานฉลองพระนคร 150 ปี (เมษายน 2475)ใกล้เข้ามา มีข่าวลือแพร่ สะพัดไปทั วตามเบียร์ฮออล์ บาร์ ร้านจําหน่ายสุรา สถานที่ เต้นรํา แม้กระทั งในสโมสรนายทหารว่า จะเกิดการจลาจล ทําให้รัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์สั่ งการให้ตํารวจภูบาลซึ งเป็นตํารวจลับของระบอบเก่าปลอมตัวเข้ามาเป็นแขกขายเนื้อสเต๊ะเข้ามาสืบข่าวในกรมทหารอย่างสมํ าเสมอ ประกอบกับบทบาทของ“ศรีกรุง” ได้ลงบทความโจมตีระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างต่อเนื่ อง ทําให้เหล่านักหนังสือพิมพ์ชาว“คณะร.ศ.130” ถูกติดตามจากตํารวจภูบาลด้วยเช่นกัน

ข่าวการเข้ามาสืบข่าวของตํารวจลับแพร่ออกไป พล.ต.อ.เผ่าได้บันทึกว่า “ร.ต.บ๋วย บุณยรัตน์พันธ์ อาจารย์เก็กเหม็งก็หัวเราะร่วนในวงสุราว่า เห็นไหมล่ะ ผมว่าแล้วมีข่าวแปร่งๆในหมู่ทหารบก พวกเรานี่ เมืองไทยนั้นถึงคราวมาช้านาน ถ้าพร้อมเพรียงกันเป็นสําเร็จแน่” 

ความคิด “ประชาธิปไตย”ในประกาศคณะราษฎร 
ทหารคณะราษฎรแจกจ่ายเอกสารประกาศคณะราษฎร พร้อมเปล่งเสียงไชโยให้กับการปฏิวัติ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475

พลันที ่การปฏิวัติได้เริ่มต้นขึ้น ในเช้าวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ปรีดี ได้รับภารกิจสําคัญจาก“คณะราษฎร” ให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 27 มิถุนายน และร่าง “ประกาศคณะราษฎร”ซึ่ งถือเป็นคําประกาศอิสรภาพของราษฎรจากการปกครองระบอบเก่าและประกาศก้าวสู่ระบอบใหม่ ว่า

“เมื่อกษัตริย์องค์นี้ได้ครองราชย์สมบัติสืบต่อจากพระเชษฐานั้น ในชั้นต้นราษฎรบางคนได้หวังกันว่า กษัตริย์องค์ใหม่นี้จะปกครองราษฎรให้ร่มเย็น แต่การณ์ก็หาได้เป็นไปตามที่คิดหวังกันไม่ กษัตริย์คงทรงอํานาจอย่เหนือกฎหมายเดิม

ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า ประเทศเรานี้เป็นของราษฎร ไม่ใช่ของกษัตริย์ตามที่เขาหลอกลวง..คณะราษฎรได้แจ้งความประสงค์นี้ให้กษัตริย์ทราบแล้ว เวลานี้ยังอยู่ในความรับตอบ ถ้ากษัตริย์ตอบปฏิเสธหรือไม่ตอบภายในกําหนดโดยเห็นแก่ส่วนตนว่าจะถูกลดอํานาจลงมาก็จะชื่อว่าทรยศต่อชาติ และก็เป็นการจําเป็นที่ประเทศจะต้องมีการปกครองแบบอย่างประชาธิปไตย กล่าวคือ ประมุขของประเทศจะเป็นบุคคลสามัญซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้เลือกตั้งขึ้นอยู่ในตําแหน่งตามกําหนดเวลา…"

ประกาศคณะราษฎรฉบับที่1

ัดังนั้น จะเห็นได้ว่า แม้ความคิด“ประชาธิปไตย”ที่ เริ่มต้นขึ้นจากความคิดของ“คณะร.ศ.130”จะมิได้เกิดขึ้นจริง แต่ความคิดดังกล่าวยังปรากฏแพร่หลายในสังคมสยามโดยสื อผ่านเหตุการณ์การปฏิวัติในจีน หนังสือ“ลัทธิตรัยราษฎร์” ของซุนยัดเซ็นและปรากฏขึ้นมาอย่างสําคัญอีกครั้งในคําประกาศคณะราษฎร

เมื่ อพ้นเช้าแห่งประวัติศาสตร์ที่ เกิดการปฏิวัติในสยาม เมื อ 24 มิถุนายน 2475 ในช่วงบ่ายพระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้า“คณะราษฎร” ได้เชิญ ร.อ.เหล็งและเหล่า“คณะร.ศ.130” มาที ่พระที่นั งอนันตสมาคม ซึ งขณะนั้นเป็นกองบัญชาการของ“คณะราษฎร” ในเวลา 13.00 น. หัวหน้า“คณะราษฎร” ได้ยื่ นมือสัมผัสกับอดีตผู้ก่อการรุ่นก่อนหน้า 

เขาได้กล่าวกับ “คณะร.ศ.130” ว่า “ถ้าผมไม่ได้ไปเรียนที่เยอรมนี ก็เห็นจะเข้าอยู่ในคณะของคุณอีกคนเป็นแน่” เขาเล่าให้“คณะร.ศ.130” ฟังว่า ในเช้าตรู่ ของวันที 24 มิถุนายน ในระหว่างที เขาคุมกําลังทหารเข้าปฏิวัติ เขาได้จับกุมพระยากําแพงราม(แต้ม) ผู้ทรยศคณะร.ศ.130ได้ และต้องการสั่งยิงเป้าพระยากําแพงรามเพื อเซ่นธงชัยเฉลิมพลที สี ่แยกเกียกกาย แต่พระยาทรงสุรเดช แกนนําสําคัญของคณะราษฎร ได้ห้ามไว้

ส่วนพระยาทรงสุรเดช ผู้เป็นเพื ่อนนักเรียนนายร้อยทหารบกรุ่นเดียวกับร.ต.บ๋วย ได้กล่าวทักทายว่า “พอใจไหมบ๋วย ที่กันทําในครั้งนี้” อดีตนักปฏิวัติได้กล่าวตอบว่า “ พอใจมากครับ เพราะทําอย่างเดียวกับพวกผม”

และในบ่ายวันนั้น “คณะร.ศ.130” ได้พบกับปรีดี แกนนําฝ่ายพลเรือน เขาได้กล่าวกับกล่าวกับเหล่าผู้มาก่อนกาลว่า “พวกผมถือว่า การปฏิวัติครั้งนี้เป็นการกระทําที่ต่อเนื่องกันมาจากการกระทําเมื่อ ร.ศ.130 จึงขอเรียกคณะร.ศ.130 ว่า พวกพี่ๆต่อไป” 

เมื อการปฏิวัติในวันนั้นผ่านพ้นไป บรรดาเหล่าผู้ที่ ได้เคยสนับสนุนความคิด“ประชาธิปไตย”ได้ให้การสนับสนุน“คณะราษฎร” เช่น การบริจาคสิ ่งของ และการจัดพิมพ์สิ ่งพิมพ์สนับสนุนการปฏิวัติ 2475 โดย ต. บุญเทียม ผู้แปลหนังสือ“ลัทธิตรัยราษฎร์” และ“คณะร.ศ.130” ได้เข้าสนับสนุนการปฏิวัติครั้งนี้อย่างแข็งขัน 

พวกเขาได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดแรกของประวัติศาสตร์ เช่น ร.ต. เนตร จรูญ ณ บางช้าง ต่อมา สมาชิกบางส่วนได้ลงสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที มีความกล้าหาญและมีฝีปากกล้าในการคัดค้านพระราชประสงค์ของพระปกเกล้าฯที ่ขัดรัฐธรรมนูญซึ ่งเป็นตัวอย่างสําคัญยิ่งของประวัติศาสตร์สภาผู้แทนราษฎร เช่น ร.ต. สอน (ชัยนาท) ร.ท.ทองคํา(ปราจีนบุรี) และร.ต. ถัด (พัทลุง)

สมาชิกบางส่วนกลับเข้ารับราชการภายหลังที ่“คณะราษฎร”นิรโทษกรรมความผิดที ผ่านมาให้ นอกจากนี้ พวกเขาได้สนับสนุนพิมพ์หนังสือเอกสารสนับสนุนการปฏิวัติออกแจกจ่ายด้วย รวมทั้ง มานิต วสุวัต ผู้เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ที เสียสละยอมให้หนังสือพิมพ์ของตนเป็นหัวหอกในการสนับสนุนการปฏิวัติได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนชุดแรกของประวัติศาสตร์การเมืองไทยเช่นกัน 

แม้ “คณะราษฎร” จะทําการปฏิวัติเปลี่ ยนแปลงระบอบการปกครองของสยามได้ แต่กลุ่มอํานาจเก่ามิได้ถูกขจัดไปทั้งหมด ทําให้การปฏิวัติ 2475หาได้ปลอดจากการต่อต้าน เห็นได้จากกลุ่มอํานาจเก่าให้การสนับสนุนกบฎบวรเดช(2476) แต่ “คณะราษฎร”ก็สามารถปราบกบฏบวรเดชลงได้ 

และต่อมามีการจัดงานฌาปนกิจศพเหล่าทหารและตํารวจ ฝ่ายคณะราษฎร จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้เชิญ“คณะร.ศ.130” ร่วมเป็นเจ้าภาพงานศพเจ้าหน้าที ฝ่ายรัฐบาลที สละชีวิตปกป้องระบอบใหม่

แบบและประสบการณ์ของการปฏิวัติฝรั่งเศสในความคิดของแกนนําคณะราษฎร 
วัฒนธรรมปฏิกริยาต้านปฏิวัติ-ฝ่ายปฏิกริยาได้ผลิตงานโฆษณาชวนเชื่้อออกมาจำนวนมากเพื่อต่อต้านการปฏิวัติ หนึ่งในนั้นคือนวนิยาย"สี่แผ่นดิน"ของม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่ผลิตซ้ำอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเป็นละครเวทีที่เต็มไปด้วยชุดวาทกรรมประณามการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เช่น"ทรยศต่อพระเจ้าแผ่นดิน ,ชิงสุกก่อนห่าม ,คิดเอาอย่างฝรั่งโดยหลงลืมวัฒนธรรมและัการเมืองแบบไทยๆ" ตลอดจนโหยหาชีวิตในสทัยราชาธิปไตยว่าเต็มไปด้วยความสุขสมบูรณ์ชวนฝัน จนถึงล่าสุดเขียนบทให้ 1 ในคณะปฏิวัติรำพึงรำพันสารภาพผิดที่ก่อการปฏิวัติในวันนั้น

ภายหลังการปฏิวัติ 2475 สังคมสยามมีความตื่ นตัวกับการเปลี ยนแปลงทางการเมืองดังกล่าวอย่างมาก เห็นได้จากในขณะนั้น มีการผลิตหนังสือที กล่าวถึงประวัติศาสตร์การปฏิวัติฝรั งเศสหลายเล่ม เช่น “ประวัติศาสตร์สมัยการปฏิวัติฝรั่งเศส”(2477) “ปฏิวัติฝรั่งเศส ฉบับพิศดาร” และ “ขุมปฏิวัติ(ปฏิวัติฝรั่งเศสฉบับประชาชน)” 

มีการเกริ ่นนําในหนังสือว่า “ดุเดือดที่สุด… เลวร้ายที่สุด…ทารุณี.สุด…แต่ก็ดีที่สุด ปฏิวัติฝรั่งเศสระเบิดขึ้นในปี ค.ศ.1789 ไม่ใช่แต่ฝรั่งเศสเท่านั้นเปลี่ยนโฉมหน้าไป โลกทั้งโลกก็เปลี่ยนแปลงไปด้วยเป็นการพลิกประวัติศาสตร์โลกยุคใหม่”

สองปีหลังการปฏิวัติ เราจะเห็นท่าทีของนายปรีดีที มีความประนีประนอม เนื ่องจาก เขาอาจคิดว่า กลุ่มอํานาจเก่าคงจะไม่ต่อต้านการปฏิวัติ 2475อีก และเขาต้องการทํางานมากกว่าการพะวักพะวงกับปัญหาการต่อต้าน เขากล่าวว่า เป้าหมายของเขาอยู่ที่ ความสุขสมบูรณ์ของประชาชนมากกว่าการเปลี ยนแต่เพียงแบบ และเขาวิจารณ์การปฏิวัติฝรั งเศส 1789 ว่า การปฏิวัติฝรั งเศสเป็นการปฏิวัติที ไม่สมบูรณ์(Revolution imparfaite) เนื องจากให้ความสําคัญกับการ“เปลี่ยนแบบ เปลี่ยนบุคคลผู้เป็นประมุขแห่งการปกครอง” มากกว่าการสร้างความสุขสมบูรณ์ของประชาชน การดําเนินการของคณะปฏิวัติฝรั่ งเศสจึงนําไปสู่การช่วงชิงอํานาจทางการเมืองที ไม่รู้จบ เขาเห็นว่า แบบการปฏิวัติฝรั งเศสที ่หาได้มุ่งสู่ความสุขสมบูรณ์เป็นแบบที ไม่ควรนํามาใช้กับสยาม

ในขณะที ในเวลาต่อมา จอมพล ป. เพื ่อนนักปฏิวัติในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวอย่างตระหนักถึงผลที ่จะตามมาภายหลังการปฏิวัติของ“คณะราษฎร”จากการต่อต้านโดยกลุ่มอํานาจเก่าต่อสภาผู้แทนฯในปี 2482 หลังรัฐบาลได้ปราบปรามการก่อการบกบฎและก่อวินาศกรรมโดยกลุ่มอํานาจเก่าลงได้ เช่น กบฏบวรเดช การลอบสังหาร“คณะราษฎร” และตัวเขา(2476-2481) เขาได้กล่าวว่า “การเปลีjยนแปลงการปกครองนัhน ใช่ว่าจะเปลีjยนแต่ระบอบแล้วย่อมเป็นการเพียงพอ ...ยังต้องคอยควบคุมดูแลมิให้ถอยหลังกลับเข้าสู่ที่เดิมอีก ู ” 

และในปี 2483 เขาได้กล่าวย้ำกับสภาผู้แทนฯอีกว่า “ระบอบเก่าและระบอบใหม่นี้จะต้องรบกันไปอีกนานจนกว่าระบอบใดจะชะนะ และผมขอยืนยันว่า ในชั่วชีวิตเรา บางทีลูกเราด้วยจะต้องรบกันไปอีกและแย่งกันระหว่างระบอบเก่ากับระบอบใหม่นี้ ”

บทความนี้ ขอสรุปด้วยการยกคําพูดของ ปรีดี แกนนําสําคัญใน“คณะราษฎร” ผู้ร่างประกาศคณะราษฎร(2475) ผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกที สุด(2475) ผู้เคยไม่เห็นด้วยกับการนําแบบการปฏิวัติฝรั งเศสมาใช้(2477) ผู้เคยเป็นผู้สําเร็จราชการแทนพระมหากษัตริย์(2484-2489) และต่อมาเขาได้พยายามปรองดองและปลดปล่อยกลุ่มอํานาจเก่าโดยหวังว่า กลุ่มอํานาจเก่าจะลืมความขัดแย้งในอดีต และร่วมมือกันสร้างสรรค์การปกครองที่ ยอมรับอํานาจประชาชน(2488) 

ไม่นานจากนั้นเขาได้ถูกกล่าวหาว่ามีความเกี่ยวข้องกับการสวรรคต(2489-2490) และพ้นอํานาจไปด้วยกลุ่มคนที่เขาเคยทําดีด้วย(2490) ในเวลาต่อมา เขาได้วิเคราะห์การเมืองไทยด้วยสายตาของนักปฏิวัติในช่วงปลายแห่งชีวิต(2526)ที่น่าคิดว่า 
“ในเมืองไทยเวลานี้ ซากทาส-ศักดินายังมีพลังมากหรือน้อยเพียงใดก็ไม่ควรประมาท คิดว่าได้อํานาจรัฐแล้ว จะไม่มีซากเก่าคอยจองล้างจองผลาญอย่างนั้นหรือ ? ”


********
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:

-ซ่ีรีส์ชุด ร่วมเฉลิมฉลองปีมหามงคลบรรพชนปฏิวัติ80ปี2475-100ปีร.ศ.130
http://redusala.blogspot.com